คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑
โรงเรียนวิชารบ
ภ. ม. ภาคิโน
๑
อากาศในวันนั้นร้อนมหาโหด เหมือนจะร้อนอบอ้าวผิดแปลกไปจากทุกวัน ฉันต้องขึ้นลงบันไดหลายครั้งเพื่อไปหาเครื่องดื่มดับกระหายของตัวเอง แค่วันนี้ก็เซ็นต์น้ำเก็กฮวยพร้อมดื่มในขวดพลาสติกขุ่น ๆ ซึ่งจ่าทหารนายหนึ่งเอามาฝากขายที่ร้านแห่งนี้ไปแล้ว ๒ ขวด ขวดที่สามกำลังจ่อริมฝีปากของฉันอยู่ในตอนนี้
“ร้อนจริง ๆ ร้อนมาก............” ฉันลากเสียงยาวบ่งบอกความรู้สึกได้ดี ขณะเหลียวมอง วีระพงษ์ เพื่อนอีกคนที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสีเขียวเข้ม เสื้อยืดตัวบางสีเดียวกัน กำลังจรดปากกาลูกลื่นลงบนสมุดบันทึกเล่มใหญ่ เพื่อจารึกความเป็นหนี้ของฉันสำหรับการชำระโดยการหักบัญชีเงินเดือน
“ใส่ชุดอย่าง เอ น่าจะเย็นดี” ฉันดื่มน้ำเก็กฮวยอีกจิบหนึ่ง
“แล้วทำไมนายไม่ถอดเสื้อตัวนอกออกละ ใส่ครึ่งท่อนก็ได้นี่” วีระพงษ์ หรือชื่อเล่นว่า เอ แนะนำ
ฉันส่ายหัว “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวผู้กองมาเห็นจะโดนอีก” ฉันหมายถึงผู้บังคับกองร้อยของเรา ซึ่งมักแวะเข้ามาตรวจความเรียบร้อยในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หากแกเห็นพลทหารที่ประจำอยู่บน บก.ร้อยฯ แต่งตัวครึ่งท่อน มักจะสั่งวิดพื้นเป็นประจำ แกย้ำเสมอว่า ใครก็ตามที่ปฏิบัติหน้าที่บน บก.ร้อยฯ หากยังเป็นเวลาราชการอยู่ ต้องแต่งเครื่องแบบให้เต็มยศ ห้ามใส่ครึ่งท่อนเป็นอันขาด จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องมานั่งทนร้อนในชุดพรางพับแขน มีปลอกผ้ากำมะหยี่สีแดงติดทับตรงแขนเสื้อที่พับขึ้นปักว่า “ผู้ช่วยสิบเวรฯ” พร้อมกับเหน็บหมวกทรงอ่อนสีเลือดหมูไว้บนบ่าอยู่อย่างนี้
ฉันเป็นพลทหาร หรือทหารเกณฑ์มาได้จนเกือบจะครบปีแล้ว แม้ว่าวุฒิปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ของฉันควรจะได้ครบกำหนดปลดประจำการไปทำมาหากินแบบบัณฑิตทั่วไป แต่กลับมานั่งทำงานอยู่บน บก.ร้อยฯ ของหน่วยบังคับกองร้อยแห่งหนึ่งประจำกรมรบพิเศษ อันที่จริงฉันสมัครเป็นทหาร ซึ่งตามระเบียบแล้ว จะปลดประจำการเมื่อครบ ๖ เดือน ทว่าด้วยความที่ขี้เกียจออกไปทำงาน และที่บ้านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ฉันจึงตัดสินใจสมัครอยู่ต่ออีกปีครึ่ง รวมระยะเวลา ๒ ปี หรือ ๒๔ เดือน โดยขณะนี้ กำลังย่างเข้าเดือนที่ ๑๐ หลังจากปลดออกไป ตั้งใจว่าจะสมัครเรียนต่อปริญญาโทสาขาใดสาขาหนึ่ง เมื่อจบแล้วค่อยหางานทำก็ยังไม่สาย
ใช่ว่าชีวิตการเป็นทหารจะน่าพิสมัยไปเสียทุกเรื่อง จนดึงดูดความสนใจของฉันให้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชุดพรางต่อไปได้ หากมันมีหลายรสชาติจากหลายเหตุการณ์ผสมปนเปกัน ทำนองเดียวกับข้าวราดแกงที่แล้วแต่ว่าเราจะเลือกกับข้าวราดแบบไหนคู่กับอะไร ถ้าโชคดีเข้าคู่กันได้ก็กินอร่อย แต่ถ้าวันไหนฝีมือสุดบู่ก็ยากจะกลืนได้เช่นกัน ช่วงแรกที่ฉันเข้ามาเป็นทหารต้องฝึกหนักอยู่เกือบ ๒ เดือน ทั้งเรียนภาคทฤษฎีในห้องเรียน หรือฝึกปฏิบัติกลางแจ้งทั้งกลางวันและกลางคืน ผ่านการฝึกฝนให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัย เคร่งครัดต่อหน้าที่ เชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น มีความอดทนอดกลั้น และช่วยเหลือเพื่อนซึ่งกันและกัน ฉันผ่านด่านทดสอบมากมายเพียงเพื่อที่จะเรียนรู้ความหมายของคำว่า “ทหาร” กว่าจะได้รับมอบหมวกทรงอ่อนสีเลือดหมูในวันปิดหน่วยฝึกนั้น ฉันก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน แต่เมื่อวินาทีที่หมวกสัมผัสกับศีรษะของฉัน มันเปรียบเสมือนพวกเขาได้สวมสัญลักษณ์แห่งการยอมรับลงบนตัวของพวกเราด้วยเช่นกัน
การยอมรับที่ฉันพูดถึง คือ การที่ฉันไม่ได้เป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าฉันจะไม่นิยมไว้ผมยาว เสริมหน้าอกหรือแต่งค่าหน้าค่าตาให้สวยงามกระเดียดไปทางผู้หญิง แต่ด้วยบุคลิกที่เป็นคนนุ่มนิ่ม เรียบร้อย และชอบเพศเดียวกัน ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันถูกตราเข้าไว้ว่าเป็นหนึ่งในจำพวกที่ไม่ได้เป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์เหล่านั้น แล้วการที่คนอย่างฉันอาจหาญสมัครเป็นทหารร่วมฝึกร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อนชายชาติทหารแท้ จึงเป็นเรื่องที่ออกจะ หวือหวา แม้ว่าในความเป็นจริงฉันไม่ได้ไปออกรบที่ไหนก็ตามเถอะ ถ้าหากพวกคุณที่ไม่เคยผ่านการฝึกทหารเลย แล้วมาลองมาฝึกทหารดูสักครั้ง จะรู้ว่า สงครามที่เราต้องออกรบนั้น ไม่ได้ไปต่อสู้กับศัตรูที่ไหนฝ่ายไหน แต่กลับต้องต่อสู้กับตัวศัตรูที่แท้จริง คือตัวจิตใจของเราต่างหาก ฉันก็ผ่านสงครามนี้มาด้วยเช่นกัน ฉันท้อแท้ ผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ บางคนดูถูกเหยียดหยามว่าการที่เราไม่ได้เป็นผู้ชาย จะสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้อย่างองอาจทระนงหรือไม่ ผู้ที่ชอบถามคำถามเหล่านี้ ได้แก่ บรรดาเพื่อนที่ไม่ได้เป็นทหาร เพื่อนพลทหารที่รังเกียจคนอย่างฉัน นายทหาร ครูฝึก รุ่นพี่พลทหาร หรือแม้แต่คุณพ่อของฉัน ต่างได้รับคำตอบซึ่งพิสูจน์ไปแล้วเมื่อเกือบ ๘ เดือน ที่ผ่านมา แล้วมันก็ปราศจากซึ่งคำถามใด ๆ อื่นอีกจากบุคคลเหล่านั้น นอกจากรอยยิ้ม และความชื่นชมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ในขณะที่หัวสมองกำลังพล่านนึกถึงเรื่องราวย้อนหลัง ฉันก็กลับมาสู่โลกแห่งปัจจุบันทันที เมื่อเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นบน บก.ร้อย ฉันวิ่งพรวดพราดขึ้นบันไดทีละสามขั้น รับโทรศัพท์เสียงดังชัดเจน
“บก.ร้อย รพศ.๕ พัน.๓ สวัสดีครับ ผมพลทหารพัฒนรัฐ รับสายครับ”
“พัทซี่” เสียงผู้ชายนุ่ม ๆ ลอยมาตามสาย พัทซี่เป็นชื่อที่พวกเพื่อน ๆ พลทหารรุ่นผลัดฉันตั้งให้ตั้งแต่ตอนฝึก มาจากชื่อเล่นที่ชื่อ พัท เฉย ๆ เสียงนั้นกระตุ้นสมองของฉันให้ทำงานหนัก “จำเราได้ไหม? ใครเอ่ย?”
“ไอ้เยิ้ม!” ฉันตะโกนเกือบสุดเสียง ปลายสายหูคงแทบหนวก เพราะได้ยินเสียงสบถเป็นคำเรียกอวัยวะเพศชาย
“พัทซี่ วันนี้ใครเข้าเวรฯ?” เยิ้ม หรือชื่อจริงพลทหารเอกลักษณ์ พวกเราตั้งชื่อว่า “เยิ้ม” ตามดวงตาที่หยาดเยิ้มของมัน ถามฉัน
“ฉันเนี่ยแหละ เพราะรุ่นพี่ผลัดปลดกลับบ้านกัน พวกที่เหลือก็จำหน่ายไปช่วยงานฝึกยิงปืนของกรมฯ อ่ะ”
“ไม่ใช่ ๆ” มันแย้งมาตามสาย “กูไม่ได้หมายถึงผู้ช่วยสิบเวรฯ หมายถึงจ่าที่เข้าสิบเวรฯ เป็นใครต่างหาก?”
“อ๋อ.... จ่าแหลม ทำไม...มีอะไร?” ฉันหมายถึงจ่าสิบเอกสายัณห์ จ่าประจำ บก.ร้อยฯ อีกนายหนึ่ง ซึ่งมีรายชื่อเข้า เวรฯ วันนี้ อันที่จริงนายสิบที่เข้าเวรฯ ต้องอยู่ประจำตั้งแต่เช้าของวัน จนถึงเช้าของวันถัดไป ย่อมหมายถึงต้องนอนค้างที่ห้องพักเวรฯ ด้วย แต่จ่าแหลมมักทำตัวเป็นข้อยกเว้น แกสวมปลอกแขนอยู่ถึงตอนค่ำ ๆ พอพ้นหลังสองทุ่มแกก็กลับไปนอนกับเมียที่บ้านพักหลังค่าย เช้า ๆ ตีห้าแกก็กลับมาใหม่ เป็นอย่างนี้ประจำจนพวกเรารู้กัน แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะแกเป็นคนเก่าคนแก่ แถมอีกเจ็ดแปดปีก็จะเกษียณแล้ว
“หวานหมู” ปลายสายกรุ้มกริ่ม “งั้นกูจะเข้าไปช้าหน่อยนะ อาจจะทุ่มนึง”
“อ้าว!” ฉันประหลาดใจ “ก็ครบกำหนดลากลับบ้านถึงวันนี้นี่นา ต้องกลับเข้าถึงนี่ มาก่อนหกโมงเย็นสิ จะเป็นทุ่มนึงได้ยังไง?”
“เหอะน่า กูมีธุระ” มันเริ่มยัวะ
“เออ ๆ ตามใจ ระวังจ่าแหลมรู้เข้ามึงจะโดนทำโทษลงบ่อส้วมนา” ฉันขู่
“บ่อส้งบ่อส้วมอะไร กูกำลังอยู่บ่อสร้างนี่” มันสำบัดสำนวน แต่จริง ๆ บ้านมันก็อยู่บ่อสร้างนั่นแหละ
“ตามใจละกัน มึงก็รู้ว่าถ้ากลับเข้าค่ายช้า อาจจะโดนทำโทษให้โดดลงบ่อนรกนั่น... ระวังจะหาว่ากูไม่เตือน” ฉันเปลี่ยนสรรพนามมาเป็นภาษาพ่อขุนราม ตามความเคยชินกับมัน
“เออ...กูรู้นา ก็เห็นมีแต่จ่ากองเท่านั้นแหละที่จับพวกกูโดดบ่อส้วมนั่น นอกนั้นไม่เห็นทำสักคน จ่าแหลมยิ่ง เด๊ะ ๆ .... แค่นี้ กูคุยกันได้” ป๊าด!... ไอ้เยิ้มตีเสมอ
ฉันวางสายยังไม่ทันเท่าไร โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“บก.ร้อย รพศ.๕ พัน.๓ สวัสดีครับ ผมพลทหารพัฒนรัฐ รับสายครับ”
“พัฒนรัฐ!” พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ฉันจำเสียงนี้ได้ เข้ม ๆ ขึงขังมีคนเดียวเท่านั้น “นี่จ่ากองเองนะ”
“ครับผม จ่ามีอะไรหรือครับ?” ฉันขานตอบจ่ากอง หรือนายสิบใหญ่ประจำกองบังคับการกองร้อย จ่ากองเป็นชื่อเรียกตำแหน่งนี้อย่างลำลอง ชื่อจริงของจ่ากองประจำ บก.ร้อยฯ แห่งนี้ คือ จ่าสิบเอกอานนท์ หรือ จ่านนท์
“ใครเข้าผู้ช่วยสิบเวรฯ เราเร๊อะ?”
“ครับผม”
“ดีละ.... จ่าเพิ่งออกจากห้องประชุมที่กรมฯ มา เจอจ่าแหลมเข้าพอดี เลยโทรมาบอกว่า จ่าแลกเวรฯ กับจ่าแหลมแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้จะเข้าไป มีธุระด่วน เราช่วยเป่าเรียกรวมตอนหกโมงเย็นหลังเคารพธงชาติให้จ่าหน่อยนะ”
“ครับจ่า”
ฉันวางสายโทรศัพท์ พลางนึกขึ้นได้อีกอย่างว่า ควรลงไปเปิดบ่อส้วมคอยไอ้เยิ้มไว้เลยน่าจะดี!!!!
ตอนห้าโมงเย็นนิด ๆ ฉันพิมพ์ใบยอดพลทหารประจำวันเพื่อส่งให้กับโรงสูทกรรม หรือโรงอาหารประจำกรมฯ ของพวกเรา หน้าที่ของฉันคือการแจกแจงรายละเอียดจำนวนพลทหารในสังกัดนั้น ว่ามียอดคงเหลือเมื่อหักจำนวนกลับบ้านและเบี้ยเลี้ยงบุคคลเท่าไหร่ ทางโรงสูทกรรมจะได้จ่ายอาหารตามยอดพลทหารและนำไปคำนวณงบบัญชี พลทหาร บางมื้อกับข้าวอร่อย (เพื่อนพลทหารมักจะถามทางโรงสูทกรรมตั้งแต่เช้าว่า เมนูวันนี้มีอะไรบ้าง) ฉันก็แอบบวกเพิ่มยอดพลทหารไปหนึ่งหรือสองนาย เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ พลทหารจะได้กินกันอิ่มหนำสำราญได้โดยไม่ผิดกติกา แต่กรมฯ ก็ออกระเบียบให้พลทหารทั้งหมดต้องออกไปทานอาหารทุกมื้อที่โรงสูทกรรมเท่านั้น อนุญาตให้ยกเว้นเฉพาะพลทหารที่ประจำ บก. หรือเข้าเวรฯ ณ สถานที่ต่าง ๆ ไม่ต้องเดินทางไป แต่เพื่อนพลทหารจะนำข้าวมาส่งให้ แต่ถึงกระนั้น พลทหารที่ประจำ บก. ส่วนใหญ่จะได้เบี้ยเลี้ยงบุคคล กล่าวคือ ไม่ต้องทานอาหารโรงสูทกรรม แต่จะจ่ายเป็นเงินสดให้ตอนสิ้นเดือน ทั้งนี้ เป็นเรื่องน่าแปลกที่ตัวฉันทำงานประจำ บก.ร้อยฯ มาเกือบ ๗ เดือนแล้ว แต่ยังไม่เคยได้รับการปรับเป็นเบี้ยเลี้ยงบุคคลให้ เห็นจ่ากองบอกว่า ทำเรื่องยุ่งยากเหมือนกัน แถมกับข้าวโรงสูทกรรมอร่อย (บางมื้อ) และมีราคาถูก ถ้าฉันได้เบี้ยเลี้ยงบุคคลต้องไปซื้อกินเอง ตรงร้านข้าวราดแกง ท้ายค่ายนั่น จานหนึ่งก็ปาไป ๒๕ บาทแล้ว ขืนกระเดือกทุกมื้อ เงินเดือนคงไม่เหลือแน่ ๆ
ด้วยความกว้างใหญ่ของค่ายแห่งนี้ ทำให้โรงอาหารที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางของค่ายอยู่ไกลจากกองพันซึ่งเป็นหน่วยบังคับบัญชาโดยตรงของพวกเราออกไปเกือบห้ากิโลเมตร การเดินทางจึงต้องใช้รถอย่างเดียว อันที่จริง ผู้ช่วยสิบเวรฯ ต้องคุมพลทหารทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องไปทานข้าวที่โรงสูทกรรม แต่สำหรับวันนี้ มีข้อยกเว้นตรงที่ว่า พวกเราเกือบครึ่งกำลังทยอยกลับมาจากบ้าน ซึ่งมีระเบียบกำหนดไว้ว่าต้องมาถึงค่ายก่อนหกโมงเย็น ส่วนที่เหลือไปช่วยงานฝึกยิงปืนประจำปีของกำลังพลในกรมฯ แย่งกันชนิดที่ว่า...แห่กันไปเกือบหมด เพราะงานนี้ได้เบี้ยเลี้ยงพิเศษด้วย งานจัดขึ้นตรงสนามยิงปืนที่ห่างไปจากกองพันฯ ราวสามกิโลเมตร ดังนั้น จึงเหลือพลทหารรุ่นน้องอยู่ที่ ร้อย.บก. เพียงไม่กี่นาย นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องมาสวมปลอกแขน “ผู้ช่วยสิบเวรฯ” ตำแหน่งที่ใคร ๆ หลายนายอยากเป็น เพราะนอกจากจะไม่โดนจำหน่ายไปช่วยงานที่ไหนแล้ว ยังอยู่สบายเฝ้า บก.ร้อยฯ ช่วยงานนายสิบทำโน้นทำนี่ อย่างไรก็ดี ตำแหน่งนี้ก็มักสงวนสิทธิ์ให้พลทหารรุ่นพี่ โดยเฉพาะผลัดปลด หรือผลัดรองลงมาซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยครูฝึกทหารใหม่ได้เป็นก่อนในแต่ละวัน หมุนเวียนสลับกันไป ยกเว้นกรณีพิเศษจริง ๆ ที่หาใครไม่ได้ เช่นวันนี้เป็นต้น สำหรับตัวฉันเอง ครั้งนี้เป็นครั้งที่หกแล้วที่ได้เป็นผู้ช่วยสิบเวรฯ ซึ่งถือเป็นเวรกรรมจับผลัดจับผลูโดยบังเอิญแทบทุกครั้ง
รถยีเอ็มซีบรรทุกพลทหารออกจากหมวดยานยนต์ไปได้ไม่ถึงสิบนาที เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ย่ำขึ้นมาตามขั้นบันได ฉันลุกขึ้นตะเบ๊ะทำความเคารพ
“ไปกินข้าวกันหมดหรือ?” จ่ากองถาม ในมือถือแฟ้มเอกสารสองสามเล่ม จ่าสิบเอกอานนท์อายุสี่สิบห้าปีแล้ว แต่ใบหน้าแกหล่อเหลาราวกับพระเอกหนังไทย ผิวออกขาวนวล ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงมาก สมฉายาที่ นายสิบคนอื่นเรียกแกลับหลังว่า “เพชฌฆาตหน้าหยก!” ไม่น่าเชื่อว่าแกเป็นคุณพ่อลูกสองแล้วด้วยซ้ำ
“ครับ”
“อย่าลืมที่จ่าสั่งนะ ไอ้พัท”
“ครับ” ฉันมองตามแกซึ่งผลักบังตาเข้าไปในห้องทำงานด้านหลังสุดของ บก.ร้อยฯ
ฉันนั่งเพลิน ๆ อีกพักหนึ่ง แกโผล่มาจากบังตา ตะโกนบอกเสียงดัง “พัท คืนนี้ว่างไหม?”
ฉันอ้าปากค้าง ถ้ามีผู้ชายเช่นนี้มาถามในสถานการณ์อื่นคงจะต้องรีบปรี่เข้าไปหาแทนคำตอบ แต่นี่เป็นจ่ากอง นอกจากจะกลายเป็นการปรี่เข้าไปหาตีนของแกแล้ว เผลอ ๆ อาจจะโดนลงโทษชุดใหญ่ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะแอบมีใจให้นิด ๆ ก็ต้องฝืนตอบออกไปเสียงสั่น ๆ (สู้) ว่า “ว่างครับ จ่ามีอะไรจะใช้ผมหรือครับ?”
“คืนนี้พิมพ์งานให้จ่าหน่อย” โธ่เอ๊ย... นึกว่าเรื่องอะไร! แกยังมองจ้องเขม็งมาไม่ห่าง แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นทำฉันแทบละลาย “อยู่นี่เหงาไหม?”
“ไม่... ครับ” ฉันเริ่มสับสนว่าแกกำลังจะเข้าประตู เอ๊ย..ทางไหน
“ถึงไม่เหงา ก็จะหาเรื่องให้ทำจนหายเหงา” นี่แกกำลังพูดให้ฉันคิด.. หรือฉันคิดไปเองนะเนี่ย... “เดือนหน้า จ่าจะชวนเอ็งไป..... ฝึก”
แป๋ว... ชวนไปฝึกนั่นเอง “จะให้ผมไปเป็นล่ามตอนฝึกคอบร้าหรือครับ?” การฝึกคอบร้า เป็นการฝึกร่วมกันระหว่างหน่วยทหารที่ฉันสังกัด กับหน่วยทหารของสหรัฐอเมริกา ทั้งหัวดำหัวแดงวิ่งกลางแดดกันให้ขวักไขว่ ได้ยินว่า พลทหารที่ไปช่วยงานนี้ต่างได้เบี้ยเลี้ยงเพียบกันทั้งนั้น
“รอฟังตอนรวมก็แล้วกัน”
แกตัดบท แล้วผลุบหายไป เวลาผ่านไปไม่นาน พลทหารทยอยกลับมากัน ฉันสั่งพลทหารรุ่นน้องซึ่งห่างกันอยู่หนึ่งผลัดจำนวน ๒ นาย ให้ไปเชิญธงชาติลงจากเสาหน้า บก.พันฯ ที่ตั้งอยู่ไกลคนละฝั่งสนามหญ้า แล้วรีบกลับมารวม เมื่อเสียงเพลงชาติจบลง ฉันเป่านกหวีดยาวและสั้นติดกันสี่ครั้ง ปิ๊ดปิดท้ายหนึ่งครั้ง พลทหารทั้งรุ่นเพื่อน พี่ และน้องรวม ๔ ผลัดร่วม ๓๐ นาย ก็นั่งประจำที่บนลานกว้างหน้าห้องโถง บน บก.ร้อยฯ ทุกนายต่างงุนงงว่า สิบเวรฯของวันนี้ หายไปไหน?
“ทำไมรวมตอนนี้ละ น้องพัทซี่?” รุ่นพี่พลทหารผลัดปลดนายหนึ่ง ชื่อว่า พี่ยู สงสัย
“อ้าว พัทซี่ แล้วจ่าแหลมไปไหน?” พลทหารสุรเทพ หรือ น้อย เพื่อนพลทหารรุ่นเดียวกันถามคล้ายกัน ฉันโบ๊ยให้หันไปดูจ่ากองซึ่งกำลังเดินออกมาอย่างน่าเกรงขาม ได้ยินเสียงครางในลำคอจากใครหลายคน ทุกนายยืนตรงทำความเคารพ จ่ากองรับแล้วบอกให้นั่งลง ฉันขานชื่อเพื่อเช็คยอดจำนวนพล ไอ้เยิ้มหายไปจริง ๆ ด้วย ฉันสบตาเพื่อนพลทหารอีกนายที่นั่งอยู่ใกล้กันอย่างรู้ทันกัน ส่วนจ่ากองมีสีหน้าเรียบเฉย
“จ่ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้พวกเอ็งทราบ” เสียงแกเข้มขึงขัง กังวาน “แต่ก่อนอื่นจ่าขอถามอะไรหน่อย? เอาใครดี.... ไอ้น้ำ!”
เพื่อนพลทหารที่สบตาฉันเมื่อครู่ มีชื่อเล่นว่า น้ำ ส่วนชื่อจริงคือ ชัยพล เงยหน้าขึ้นตอบทันควัน “ครับ”
“เอ็งอยู่กองร้อยนี่ วัน ๆ ทำอะไรบ้าง?”
“เอ้อ ไม่ทราบครับ” น้ำตอบอย่างไม่ทันคิด มีผลทำให้จ่ากองสั่งวิดพื้นเสียสิบที
“คิดออกหรือยัง?” จ่ากองถามอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายนั่งกับที่เรียบร้อยแล้ว
“ทำงานช่วยงาน บก.ร้อยฯ ครับ”
“งานอะไรบ้างล่ะ?”
“ตัดหญ้า กวาดหญ้า เผาหญ้าครับ”
หลายนายหัวเราะ ขนาดฉันยังแอบขำที่มันตอบตามความจริง เหลียวไปทางจ่ากอง แกอมยิ้มแหะ!
“เอ็งเบื่อไหม?”
“เบื่อ เอ๊ย..ไม่เบื่อครับ” น้ำตอบอย่างไม่ทันคิดอีกครั้ง แล้วมันก็ต้องวิดพื้นอีกสิบ
“จ่ารู้ว่าพวกเอ็งเบื่อ...” จ่ากองพูดหลังจากที่น้ำเข้าประจำที่แล้ว “ชีวิตวัน ๆ อยู่กับหญ้า คูคลองหนองบึง ถนนหนทาง กินแล้วก็นอนไปวันๆ เงินเดือนก็เท่านั้น... เรื่องที่จ่าจะแจ้งให้ทราบมี ๒ เรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวจ่าเอง ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับโอกาสและความก้าวหน้าของพวกเอ็ง”
“เดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีทหารใหม่เข้ามา กรมฯ มอบหมายให้จ่าไปเป็นจ่ากองหน่วยฝึกทหารใหม่” แกเว้นวรรคหยุดดูพลทหารหลายคนที่เงยหน้าขึ้นสบตากับแกพอดี “อีกเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเรา แล้วถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องเอาเข้าที่ประชุมวันศุกร์นี้ ก็คือ เขารับสมัครผู้ช่วยครูฝึกทหารใหม่อย่างทุกทีด้วย แต่ละกองพันได้โควตามา ๓ นาย โดยต้องเป็นผลัดสองของปีที่แล้ว และก็ต้องอยู่เป็นทหารตั้งแต่ ๑ ปีขึ้นไป จ่าเลยต้องนัดรวมเพื่อถามความสมัครใจจากพวกเอ็ง ว่ามีใครสนใจอยากไปบ้าง?”
น้อย ยกมือขึ้น จ่ากองอนุญาตให้ถาม “แล้วถ้าไปเป็นผู้ช่วยครูฝึกต้องทำอะไรบ้างครับ?”
“ไม่ยาก ก็ฝึกทหารใหม่อย่างที่เราเคยโดนฝึกมาไงละ ลองถามรุ่นพี่เราในนี้ดูสิ มีบางคนเคยเป็นผู้ช่วยครูฝึกรุ่นก่อนมาตั้งหลายคนอยู่เหมือนกัน” แกชี้ไปทางแถวซ้ายสุด “อาจจะลำบากตอนฝึกทบทวนช่วงแรก และช่วงฝึกทหารใหม่อีกสองเดือน แต่เงินเดือน เบี้ยเลี้ยงก็เพิ่ม สบายขึ้น พวกเอ็งเห็นว่าไง?”
ฉันมองเห็นเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันปรึกษากันพึมพำ มีการถามรุ่นพี่บ้าง บางนายแนะนำให้ น้ำ สมัคร เพราะมีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการ เนื่องจากตอนสมัยฝึกทหารใหม่รุ่นฉัน น้ำ เนี่ยแหละ...เป็นหัวหน้าตอน มีคนยุให้ เอ สมัครด้วย แต่เจ้าตัวปฏิเสธเพราะมีหน้าที่ประจำอยู่แล้ว คือ การดูแลร้านขายของประจำกองร้อยอยู่แล้ว แต่แล้วในที่สุด น้ำ ก็ยกมือเป็นคนแรก
“ดีมาก จ่าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” แกยิ้มชอบใจ “ที่เหลือล่ะ มีใครอีก?”
เราก้มหน้ากันเงียบ ทั้งรุ่นพี่กับรุ่นน้องก็เหมือนกัน ต่างเงียบเหมือนกันหมด จ่ากองถอนหายใจ “เอางี้ก็แล้วกัน จ่าเลือกไว้แล้ว ไอ้น้อย มึงไปฝึกกับไอ้น้ำแล้วกัน”
มีเสียงเฮเบา ๆ ดังขึ้น หน้าของน้อยตอนนี้จ๋อยไปเลย
เอยกมือขึ้นแล้วถาม “จ่ากองบอกว่าเราได้โควตามา ๓ คน แต่จ่าเลือกไปฝึกแค่สองคน แล้วหายไปไหนคนหนึ่งละครับ?”
“ไม่หายไปไหนหรอก” แกสวนทันควัน “ไม่หาย ๆ ... จ่าเลือกไว้แล้ว แต่ต้องสับเปลี่ยนกันนิดหน่อย พรุ่งนี้เป็นต้นไป เอ... เอ็งเริ่มฝึกน้องใหม่ เลือกเอาใครสักคนที่ดี ๆ มาช่วยงานพีเอ็กซ์ พอมันเป็นงานแล้วเอ็งก็ย้ายขึ้นมาทำงานบน บก. นี่ซะ”
“อ้าว... จ่าจะหาคนมาช่วยผมหรือครับ?” ฉันโพล่งขึ้นมา
“เปล่าหรอก” แกอมยิ้มมีเลศนัย “จ่าจะให้มันมาแทนเอ็งนั่นแหละ ไอ้พัท เพราะเอ็งต้องไปช่วยข้า เอ็งต้องไปฝึกทหารใหม่ด้วย จ่าบอกเอ็งตั้งแต่ตอนเย็นแล้วนี่นา ว่าจะชวนเอ็งไปฝึก.... เอ็งเนี่ยแหละคนสุดท้ายพอดี ทีนี้ก็ครบสามคนแล้ว!”
ฉันพูดไม่ออก ในขณะที่จ่ากองส่งยิ้มกว้างมาให้ฉัน ท่ามกลางเสียงเฮฮาของเพื่อนและพี่น้องร่วมกองร้อยทั้งมวล
ความคิดเห็น