ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เอรี่ บานาน่า กับอภินิหารย์แห่งขนนกทองคำ

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 เสียงกระซิบผ่านกาลเวลา

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ค. 54


    ดวงอาทิตย์อ้วน พยุงร่างกลมของเขาขึ้นมาเหนือท้องฟ้ายามอรุณอย่างเกียจคร้าน กว่าจะผ่านกลีบเมฆแต่ละกลีบมาได้ เห้อ ...

    บนท้องฟ้าทางทิศตะวันออกของเมืองลูโอจึงถูกประพรมเอาไว้ด้วยแสงสีทองอร่ามตา ปะปนกับกลิ่นของต้นไม้เบื่องล่าง กลิ่นที่ทำให้สีเขียวของพวกมันมีชีวิต โดยชีวิตนี้เองเมืองอันแสนสงบนี้จึงดูรื่นรมณ์ขึ้นอีกอย่างอัศจรรย์ 

    เบื้องล่าง คฤหาสน์หลังงามเกินบรรยายตั้งอยู่หัวมุมของถนนสายหนึ่ง รั้วและตัวบ้านเป็นสีเดียวกันกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า ให้ความรู้สึกว่าที่นี่เหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์เบื้องบน ซึ่งหากนับรวมกับอ่างน้ำพุรูปกามเทพตรงด้านหน้าของตัวบ้านแล้ว ความรู้สึกดังกล่าวคงทวีขึ้นยิ่งกว่าแรกเริ่ม

    ภาพของสรวงสวรรค์แห่งนี้สะท้อนอยู่ในแววตาใสของเด็กสาววัยงามสะพรั่ง กลิ่นสีเขียวของเหล่าแมกไม้ก็ด้วย เธอนั่งอยู่ท่ามกลางละอองของแสงสีทองที่ส่องสลัวเข้ามา มันโปรยปรายผ่านบานหน้าต่างบานยักษ์ที่แกะสลักไว้อย่างปราณีต ด้วยลวดลายที่ไม่ว่าเธอจะมองมันกี่ครั้งก็ตาม เธอก็ไม่เคยรู้สึกคุ้นตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

    มันเป็นเช่นนั้นกับทุกสิ่งในห้องนี้ ห้องกว้างขวางที่มีชั้นหนังสือ เครื่องเรือนโบราณ เตียงไม้ และภาพเขียน พวกมันล้วนถูกสลักเสลาเอาไว้ด้วยรูปของเหล่าทวยเทพอันแสนพิศวง ทำให้มันต่างออกไปจากสถานที่อื่น เหมือนว่าทุกครั้งที่เธอเปิดประตูเข้ามาภายในห้องนี้จะเป็นการเดินทางผ่านกาลเวลาไปยังอดีตอันแสนไกล

    ที่โต๊ะเขียนหนังสือโบราณ ซึ่งหันหน้าเข้าหาบานเหลี่ยมของหน้าต่าง สมุดบันทึกสีขาวถูกวางเอาไว้อย่างอ่อนโยนตรงหน้าของเด็กสาว เธอสวมชุดนอนลายทางสีชมพู มือหนึ่งค่อย ๆ เปิดมันออก ส่วนอีกมือหนึ่งนั้นเธอโอบอุ้มปากกาแท่งเรียวเล็กเอาไว้อย่างหลวม ๆ

    ใบหน้าอิ่มเอิบของเธอล่องลอยอยู่เหนือสมุดบันทึกเล่มน้อย บรรยากาศโดยรอบเชื้อเชิญให้เธอก้าวเท้าผ่านออกไปสู้อีกโลกหนึ่งซึ่งความจริงไม่อาจนิยาม โลกแห่งตัวอักษร ชวนเธอดื่มด่ำ ดำดิ่งลงในกาลเวลาที่เรียกว่า "รอยเท้าของเมื่อวาน"

    -----------------------------------------------------


    12 พฤศจิกายน กาลครั้งหนึ่งในฤดูหนาว 

    ฉันจ้องมองผ่านบานหน้าต่างบานยักษ์ บานยักษ์กว่าที่ฉันมองทุกวันนี้ มันใหญ่ท่วมท้นดุจท้องฟ้าท่ามกลางผืนแผ่นดิน เข้มแข็งและองอาจในอารมณ์ของเด็กหญิงตัวน้อยอย่างสุดพรรณนา ฉันทอดทิ้งบางห้วงของอารมณ์เอาไว้บนถนนหน้าบ้าน และตัดสินใจทำบางสิ่งลงไป

    ช่วงเวลาที่เสียงลากของหัวปากกากับกระดาษดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ถูกเว้นว่างไว้ เธอวางสายตาลงบนปุยเมฆเพื่อระรึกถึงห้วงหนึ่งของอารมณ์ท่ามกลางความหลัง

    มันเป็นวันที่แสนสดชื่น ฉันวิ่งลงบันไดอย่างรีบ ๆ พี่ชาย และพ่อของฉันกำลังทำอาหารอยู่ในครัว บ้านหลังใหญ่นี้เคย ... 

    "อบอุ่น" อย่างบอกไม่ถูก อันที่จริงมันไม่เคยกว้างขนาดนี้มาก่อน โถ่เอ๊ย ตั้งแต่ ... "ช่างมันเถอะ"

    ฉันจูงมือพี่ชายแล้ววิ่งพาเขาออกไปข้างหน้าที่ตรงหน้าบ้าน ชี้มือให้เขาดูความอ้าวว้างบนถนนที่ทอดตัวยาวไปข้างหน้า ไกลกว่าปัจจุบันนี้อย่างมาก มันเป็นนิยามคำว่า "เวิ้งว้าง" คำแรกที่ฉันเข้าใจ

    "มันไม่ค่อยมีรถเนอะ วันนี้" เขาโตกว่าฉันไม่เท่าไหร่แต่พูดจาฉะฉานกว่าฉันมาก 

    เราเดินออกไปบนผืนถนนกว้าง หมุนตัวไปในอากาศ เสียงหัวเราะกังวาลไปทั่วถนน มันก้องสะท้านสะท้อนไปในความว่างเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สงบสุข และมีเสรี ฉันกับพี่เดินอย่างสบายใจจนกระทั่งภาพของทุกอย่างมืดดำ

    โครม เพล้ง ตูม ขุกขัก กุกกัก !

    ผู้คนเดินไปมาตรงหน้าฉันอย่างเบลอ ๆ สลับกับเสียงไซเรนในหูอื้ออึง พวกเขามามุงดูอะไร 

    ความเสียใจไหลออกมาจากดวงตาของฉัน เมื่อภาพเบลอชัดเจนขึ้น พ่อกับพี่ชายของฉันกำลังโบยบินไปสู่ความว่างเปล่า ร่างของตัวเขานอนแน่นิ่ง เหมือนหลับ หากแต่กองเลือดที่นองอยู่ที่พื้นทำให้ฉันตกอยู่ในภวังค์ พวกเขาจากไปแล้ว พวกเขาจากไปแล้ว ฉันไม่เข้าใจ แต่รู้สึกได้อย่างนั้น

    -----------------------------------------------------       


    สมุดบันทึกเล่มน้อยปิดตัวเองลงอย่างแผ่วเบา สายลมแห่งความอ้างว้างพัดหวีดหวิวมาจากที่ต่างกาลเวลา มันหอบเอาใบไม้แห้ง ๆ กับความเหงาในจินตนาการมาด้วย ปากกาลูกลื่นถูกวางเอาไว้เคียงข้างกันกับสมุดปกขาว เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ เด็กสาวคนเดิมในชุดนักเรียนยืนพิงอยู่ที่ประตูห้องนอนของเธอ พลางสะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นบนบ่าทั้งสอง


    ในขณะที่เธอก้าวเท้าลงไปตามขั้นของบันได เสียงเปียโนที่ลอยอยู่อย่างเอื่อยเฉื่อยในอากาศได้แทรกตัวลงในห้วงความรู้สึกของเธอ ความละเมียดละไมและความรื่นรมณ์ถูกดึงให้จมดิ่งลงไปในวิญญาณ มันดังมาจากห้องโถงชั้นล่าง เธอเดินไปสักพักเพียงชั่วลมหายใจก็ปรากฎเด็กสาวในวัยเดียวกันอีกคน ทั้งสองมีหน้าตาละไม้คล้ายกันเป็นอย่างมาก ชุดสูทสีเทากับกระโปรงนักเรียนสีเดียวกันทำให้ทั้งคู่แทบจะกลายเป็นฝาแฝด ผมสีดำของทั้งคู่แวววาวดุจนิลที่ผ่านการเจียรไน

    ลูซี่ละมือจากเปียโนเมือเธอเห็นเอรี่เดินลงบันไดมา ท่วงทำนองสุดท้ายของดนตรีจางหายไป บ้านหลังใหญ่นี้รอคอยประโยคสนทนาของเด็กสาวทั้งคู่ คำพูดที่เอื้อนเอื่อยขึ้นเพื่อทำลายความสงัดเงียบ

    "รอนานมั้ย" เอรี่ถาม

    "นานเป็นปี" ลูซี่ตอบ

    ทั้งสองกระหยิ่มยิ้มให้แก่กันก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นไปในอากาศ ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออก เสียงของประโยคสนทนาที่คุ้นเคยลอดออกมาจากช่องแคบ ๆ ของบานประตูก่อนจะดังออกมาจนฟังได้ถนัดหู

    "เรารีบไปกันดีมั้ย เดี๋ยวจะไปไม่ทันโฮมรูม" เอรี่เร่ง

    "จ้า รีบไปเดี๋ยวนี้แหละ" ลูซี่เอ่ยแจ้ว ๆ

    แกร๊ก ! ประตูปิดลงอย่างแผ่วเบา ความเงียบบานสะพรั่งอีกครั้ง ...

    การเดินทางสู่โรงเรียนเริ่มต้นขึ้น หลังสิ้นเสียงกระทบกันของบานประตูกับวงกบ เสียงหัวเราะอันคุ้นชิ้นดังขึ้นไม่ขาดสายเหมือนคลื่นในทะเล ภาพบนทางเดินริมถนนของทั้งสองเลือนลางลงจนจางหายไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×