คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : LILO || What is LOVE...
24-12-1991
“Tuesday”
เขาว่ากันว่าคนเกิดวันอังคารมักมีรูปโฉมที่ไม่ค่อยจะสวยงามเท่าคนเกิดวันศุกร์หรือวันจันทร์ ไม่ได้มีสติปัญญาเลิศล้ำแบบคนเกิดวันพฤหัสบดี ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษเช่นคนเกิดวันเสาร์ ไม่ได้ดูทรงพลังแบบคนเกิดวันอาทิตย์หรือวันพุธ
คนเกิดวันอังคารมักจะมีชื่อเสียงในด้านที่ไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเป็นความเลือดร้อน ความบ้าบิ่นจนไม่สามารถเรียกได้ว่ากล้าหาญ พูดง่ายๆคือไม่มีอะไรพิเศษ
แล้วคนที่เกิดวันที่ยี่สิบสี่ในเดือนธันวาคมละ
วันที่มีการเฉลิมฉลอง วันคริสต์มาสอีฟ วันที่คนหนุ่มสาวต่างกล่าวความในใจ มีซานตาคลอส ของขวัญนับร้อยนับพัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุข แม่ของเขากลับเจ็บปวดแทบขาดใจ แม่ของเขาไม่สามารถไปเฉลิมฉลอง ไม่สามารถลุกขึ้นเดินเหินอย่างมีความสุข แต่กระนั้นทุกคนก็กล่าวขวัญว่าเขาเป็น “ของขวัญจากพระเจ้า”
แม้ว่าจะได้รับการกล่าวขานเช่นนั้น ชีวิตของเขาไม่ได้สวยหรูอย่างที่ผู้คนคาดคิด ห้าปีต่อมาพ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกันด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ได้ว่าเพราะเหตุใด… มันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครอยากบอกเด็กชายห้าขวบที่ยังไม่รู้ประสาที่มีพร้อมทุกอย่างว่ากำลังจะขาดบางสิ่งไปหรอก เป็นเขา เขาก็ไม่มีวันทำ
ในวันนั้นเขารู้อย่างเดียวว่าพ่อ… ไม่รักเขาอีกต่อไป
ทุกคืนวันคริสต์มาสอีฟเขาได้แต่เฝ้าฝันถึงช่วงเวลาอันแสนสุข ช่วงเวลาอันแสนเลือนรางในความทรงจำ เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ทุกวัน เขาขอให้ช่วงเวลาอันแสนสุขนั้นกลับมาอีกครั้ง
พระเจ้าอาจไม่เห็นคำอธิษฐานของเด็กอย่างเขา…
บางทีพระเจ้าอาจมีงานต้องทำมากมาย เขาเคยปลอบใจตัวเองอย่างนั้น
เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากจากหน้าที่การงานของแม่ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่เขาต้องทุกข์ทรมาน แม่ต้องไปทำงานที่ไกลๆบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศ แม่ซื้อคอนโดมิเนียมแถบชานเมืองให้เขาอยู่อาศัย ชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องทรมานกับความโดดเดี่ยวมากกว่าครึ่งของชีวิต…
เขาเหงา… เหงาจริงๆ
แม่ของเขารักเขามากมาย แม่ไม่เคยปล่อยให้เขาขาดอะไร ความรักของแม่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้หมด แม้เพียงได้ยินเสียงลมหายใจเขาก็รู้ได้ว่าในลมหายใจของแม่มีเขาอยู่ แม้โทรศัพท์คุยกันเพียงไม่กี่นาทีคำพูดเพียงไม่กี่คำ หากแต่รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายราวกับได้เห็นหน้า
‘ทนหน่อยนะลูก บูแบร์คนเก่ง’
‘อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวแม่ก็กลับแล้ว’
ความรักคืออะไร?
^^^^^^
>>>เพื่ออรรถรสกรุณาดาวน์โหลดฟอนต์ v.11.3 SuphanFont THAI<<<
นอกจากแม่ ความรักเพียงหนึ่งเดียวของเขา เขาก็ไม่เคยรู้สึกรักใครอย่างจริงจังมาก่อนเลย
อันที่จริงก็เหมือนจะเคย แต่สาวเจ้ากลับบอกว่าเขา หล่อไม่พอ
นั่นหรือคือความรักแบบหนุ่มสาว ตั้งแต่เป็นเด็กน้อยในอ้อมแขนพ่อแม่ กระทั่งอายุยี่สิบเอ็ดปีทำงานในบริษัทเอนิเมชันยักษ์ใหญ่
เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ลูอี ลู นายเป็นอะไร”
เสียงทุ้มนุ่มนวลเรียกเขาจากภวังค์ เลียม เพนย์ เพื่อนรักและเพื่อนร่วมงานจากวูล์ฟเวอร์แฮมตัน ที่ชอบพูดเสมอว่า “ฉันเป็นแบทแมน” แต่อย่างไรในสายตาลูอีเขาเห็นเลียมเป็น “เจนเทิลแมน” อยู่วันยังค่ำ
ลูอีเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนดังเคย สักพักก็มีแก้วกาแฟร้อนยื่นมาให้ตรงหน้าของเขาอย่างไม่ต้องร้องขอ “ไม่ใส่น้ำตาลเหมือนเดิม”
“ขอบคุณนะ แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกแค่มีอะไรต้องคิดนิดหน่อยน่ะ”
ลูอียิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจและก็ได้รับค่าตอบแทนด้วยมือใหญ่ๆที่ยื่นมายีหัวอย่างหมั่นเขี้ยว เลียมเป็นเพื่อนที่แสนดี เป็นคนที่รู้จักเขาดีมากพอที่จะรู้จักรักษาระยะห่าง รู้ว่าอะไรที่เขาชอบไม่ชอบ เขาไม่รู้ว่าเลียมเหนื่อยหรือเปล่าที่ต้องเป็นแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ออกปากถาม ก็ได้รับแต่รอยยิ้มอ่อนโยนเป็นคำตอบทุกคราไป
เขาซาบซึ้งในสิ่งที่เลียมทำทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความเอาใจใส่ เป็นบางสิ่งที่เขาขาด นี่เป็นความรักแบบที่เรียกกันว่ามิตรภาพสินะ
“นายมีอะไรก็บอกฉันได้นะ”
เลียมนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ขยิบตาสีน้ำตาลที่นอกจากจะมีรัศมีแห่งความอบอุ่นแล้วยังมีประกายของความขี้เล่น ประกายที่เขาไม่มีหรืออาจจะเคยมี
เนื่องจากโต๊ะทำงานที่ติดกันจนแทบเรียกได้ว่าใช้โต๊ะร่วมกันและตัวแทบติดกันตลอดเวลา เจ้านายจึงมักจะมอบหมายโปรเจกต์ร่วมกันเสมอ จะว่าดีก็ดี แต่ที่ไม่ดีคือเขาแทบจะไม่ได้คุยกับคนอื่นเลย ซ้ำร้ายบางคนยังคิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันอีกต่างหาก เดือดร้อนเลียมต้องออกมาแก้ต่างให้ทุกครั้งไป
“เลียม…”
เขาตัดสินใจแล้วละ…
“หือ…”
“ความรักคืออะไรเหรอ…”
เขาจะถามสิ่งที่เขาอยากจะรู้
“ห๊ะ…”
“ฉันกับนายเนี่ย เขาเรียกว่าความรักหรือเปล่า”
จะไม่เก็บไว้ในใจแล้วละ…
เลียมเกือบจะตกเก้าอี้เสียแล้ว ดีที่ยั้งไว้ได้ เขาเข้าใจว่าเพื่อนตัวเล็กอินโนเซนต์ขนาดไหน แต่ถึงขั้นไม่เข้าใจคำว่ารัก… เขาก็อึ้งไปเลย ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายสว่างออกมาอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าของร่างสูงจะมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
“หลังเวลางานแล้วจะบอก”
เลียมยีผมสีช็อกโกแลตของอีกคนอย่างหมั่นเขี้ยวอีกครั้งแล้วหันไปสนใจงานของตนต่อ
…
ในเวลาสองทุ่มแบบนี้ควรจะเป็นเวลาที่ทุกคนควรจะอยู่ในบริเวณของตนเอง เคหะสถาน บ้าน เคบิน กระท่อม (อะไรเทือกนั้นแหละ แต่ไม่ต้องสนใจหรอก)
แต่ไม่ใช่กับลูอีและเลียม ทั้งคู่อยู่ในร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัท ใบหน้าหวานมองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างงุนงง
ทำไมต้องมาคุยกันที่นี่ มีอะไรสลักสำคัญนักหนา กะไอ้แค่เรื่อง… ความรัก
“เอาละ รีแลกซ์หน่อยเพื่อน” เลียมขยิบตาให้ “เอาละ เข้าประเด็นเลยดีกว่า -- นี่นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าความรักคืออะไร”
ลูอีส่ายหน้ารัว คนตัวเล็กนั่งเท้าคางทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังราวกับเลียมเป็นอาจารย์เลกเชอร์ ร่างสูงหัวเราะให้กับท่าทางของอีกคนก่อนจะวกเข้าเรื่อง
“ก็แบบ เวลานายชอบใครมากๆ มากๆเลย รู้สึกอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไปอะไรแบบนี้”
เลียมยักไหล่ จิบกาแฟที่สั่งอย่างเสียมิได้ด้วยท่าทีเกร็งๆ ก็ไม่เคยโดนจ้องขนาดนี้นี่หว่า…
“งั้นฉันก็รักนายสิเลียม”
“คงงั้นมั้ง -- หา!!!”
ลูอียักไหล่ด้วยท่าที่ถอดแบบมาจากเขาเป๊ะ และเมื่อเห็นอีกคนกำลังกลั้นหัวเราะเลียมก็รู้ได้ทันที
ไอ้ตัวเล็กเล่นเขาเสียแล้ว…
“หน้านายเมื่อกี้นี้น่าขำเป็นบ้า”
ลูอีหัวเราะเบาๆ คนหน้าหวานมีท่าทีพอใจกับท่าทางของเลียม ถือเสียว่า เป็นการเอาคืนที่อีกคนเคยแกล้งนู่นนี่เขาไว้มากก็แล้วกัน มือเล็กเอื้อมไปตบบ่าเลียมที่กำลังไออย่างหนักเนื่องจากการแกล้งของเขา แม้จะเบาใจลงแล้วแต่คำพูดของลูอีทำให้เลียมสำลักกาแฟที่ดื่มไปเสียอึกใหญ่
แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเรื่องของเขามันทำให้ลูอีหัวเราะได้ จะให้เขาสำลักน้ำสักกี่รอบก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ถึงขั้นตายก็พอ
“โอย เล่นอะไรของนายฟะ ตกอกตกใจหมด” เลียมเสยผมที่หมาดเหงื่อ การสำลักกาแฟเย็นไม่ใช่เรื่องตลก เขายังแสบเพดานปากกับจมูกไม่หาย ให้ตาย ใครจะไปรู้ว่าเครื่องดื่มหอมอร่อย พออกทางจมูกแล้วมันจะแสบแบบนี้ “โหย ถ้าฉันเป็นอะไรไปนะ”
เลียมจิ๊ปาก โคลงหัวไปมาอย่างหงุดหงิด แต่เพื่อนสนิทอย่างลูอีมีหรือจะไม่รู้ว่าเลียมแค่ล้อเล่น
“ก็ไม่คิดว่านายจะตกใจจนสำลักน้ำนี่นา” ลูอีแกล้งถลึงตาใส่ “แต่ฉันคิดจริงๆนะ”
“คิดอะไร?”
“ฉันคิดว่าฉันอาจจะรักนาย--”
ลูอีเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยน “--จริงๆนะ”
“มันจะเป็นไปได้ไง ลู หือ ในเมื่อเราทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ชาย”
เลียมพยายามให้เหตุผลคนตัวเล็กที่เดินเคียงกัน
“ฉันก็… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลูอีส่ายหน้าช้าๆ นิ้วเรียวจิ้มไปที่ไหล่คนข้างๆเบาๆ “รู้แค่ฉันอยากจะอยู่กับนายตลอดไป”
“นายแน่ใจแล้วหรือ”
เลียมจ้องมองอีกคนอย่างอ่อนโยน ลูอีอ่อนต่อโลก อาจเป็นเพราะการเลี้ยงดู ที่ลูอีพูดว่ารักอาจเป็นเพียงความรู้สึกแสนงดงามระหว่างเพื่อนมากกว่าจะเป็นความรัก แต่จะว่าลูอีก็ไม่ได้ เขาเองก็ยอมรับว่ารู้สึกดีๆกับลูอีไม่น้อย เขารู้สึกอยากดูแล อยากจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป
เขาจึงอยากแน่ใจกับความรู้สึกนี้ก่อน… อยากทำความเข้าใจกับมัน… ไปพร้อมๆกัน
“ฉันแน่ใจ ต้องแน่ใจสิ” เสียงเล็กแหลมของลูอีปลุกเขาจากภวังค์ ใบหน้าหวานซบกับไหล่กว้างของเขาอย่างเคยชิน
เขาเองก็ไม่รู้ ลูอีก็อาจจะไม่รู้…
ความรักที่เขาทั้งสองมีต่อกัน มันจะจบลงตรงไหน ไม่สิ ทางที่ดีเขาไม่อยากให้รักนี้มีจุดสิ้นสุด
“ลูอี…ฉันมีบางอย่างอยากให้เราลอง…”
“อะไร”
“หนึ่งเดือนนับจากนี้เราจะลอง ลองดูความรู้สึกตัวเอง ว่าเรารักกันจริงๆหรือเปล่า”
เลียมมองลูอีด้วยสายตาอบอุ่นดังเคยแต่ที่แปลกไปคือเขาเอง… เขาหวั่นไหวแปลกๆกับรอยยิ้มนั้น ลูอีในตอนนี้เหมือน สาวน้อยที่ตกอยู่ในห้วงรัก และใช่ เขาเหมือนจะรักเลียมเข้าแล้วน่ะสิ
…
อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้คือวันที่ 24 ธันวาคม วันที่เขาทั้งสองตัดสินใจจะบอกความในใจกันหลังจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง เขาคิดว่าเวลาสี่สัปดาห์มันมากพอ พอที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกที่เหมือนจะเล่นตลกกับพวกเขาอยู่นี้มันคืออะไร ที่แน่ๆมันคือความรัก
แต่เป็นรักแบบไหนกันละ
….
เคยไหม เวลาบอกรักใครสักคนไป วันต่อมากลับรู้สึกแปลกๆ วันนี้ลูอีก็เป็นเช่นนั้น
เขาแอบเห็นเลียมหน้าแดงเวลาสบตากับเขา พยายามนึกถึงเรื่องอื่นแต่ในหัวก็มีแต่ เลียม เลียม เลียม เขาไม่เคยคิดเลยว่า เลียม เจมส์ เพนย์ เพื่อนสนิทที่เขาคิดไม่ซื่อจะมีอิทธิพลกับเขาขนาดนี้
เขาลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง พระเจ้า! สิบครั้ง แต่อีกคนก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่มีทีท่าจะหันมาเล่นเลยสักนิด
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่แกล้งแหย่เขาเล่น
“นี่ อะมิโก นายควรหันไปทำงานให้เสร็จนะ” เลียมแกล้งทำเสียงเข้มใส่เขา “ เอ๋ ไม่สิ ต้องใช้คำว่า เกริด้า ถึงจะถูก” เลียมกระเซ้า ลูอีหน้าขึ้นสี ก็เกริด้าน่ะมันแปลว่า… ที่รัก น่ะสิ
“หันกลับไปน่า”
ลูอีจงใจกระชากเสียงใส่ ได้ผล เลียมปลิ้นตาใส่อย่างหยอกเย้าหนึ่งทีก่อนจะหันไปสนใจงานตัวเองต่อ แล้วทั้งสองก็ไม่ได้พูดกันอีกเลยจนกระทั่งเที่ยงวัน
เลียมชวนลูอีไปกินข้าวด้วยกันเหมือนทุกวัน… เลียมก็ยังคงเป็นเลียมแม้จะมีท่าทีแปลกๆเหมือนขัดเขินไปบ้าง แต่อีกคนก็ยังคงเหมือนเดิม อ่อนโยน เอาใจใส่ ชอบที่จะเย้าแหย่เล่นสนุกเหมือนเด็กๆและก็ยังมีประกายสีทองระยิบระยับในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ประกายที่ดึงดูดใครต่อใคร แล้วเขาละเป็นใคร ลูอี ทอมลินสัน มนุษย์ธรรมดาๆจะไปต้านทานดวงตาอ่อนโยน สุภาพลุ่มลึกของเลียมไหวได้อย่างไร
“นายจะกินอะไร”
“อือ ขอเบาๆหน่อยละกัน นายเลือกให้หน่อยดิ”
จะว่าไปเขาก็เหมือนเดิม ยังพูดได้เรื่อยๆเมื่อมีใครเปิดโอกาสราวกับเปิดน้ำก๊อก แต่ก็ดีไม่ใช่หรือไง
“แซนด์วิชไข่แฮมสองที่ครับ เออ แล้วนายเอาน้ำอะไร”
“น้ำเปล่าสองที่ฮะ”
ลูอีแกล้งเลียมด้วยการสั่งสองที่เสียเลย เขารู้ว่าเลียมชอบกินกาแฟเย็นเป็นประจำในตอนกลางวัน แต่น่าแปลกแทนที่เลียมจะโวยวาย อีกคนกลับยักไหล่ง่ายพร้อมกับงึมงำๆ ได้ความว่า “น้ำเปล่าก็ดี ตอนนี้ยังแสบจมูกไม่หายเลย”
มื้อกลางวันผ่านไปง่ายๆ เลียมแกล้งเขาด้วยประโยคภาษาสเปนแปลกๆที่เขาฟังไม่ทัน แย่งน้ำในแก้ว พยายามเอาเกลือและพริกไทยใส่ลงไปในแก้วน้ำของอีกฝ่าย เป็นสงครามขนาดย่อมๆในร้านอาหารที่เจ้าของร้านออกจะชินเสียแล้ว
“เอ่อ เอาพริกป่นด้วยไหมครับ”
เซน มาลิค เจ้าของร้านที่สนิทสนมกับพวกเขาเป็นทุนเดิมเนื่องจากเป็นลูกพี่ลูกน้องของเซนเดินออกมาประชด
“โอ ไม่ดีกว่า แต่จะกรุณาอย่างยิ่งถ้าได้น้ำสักแก้วนะน้องรัก”
เลียมตอบอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่อีกคนกลับทำสีหน้าประหลาดๆใส่
“เฮ้ ฉันกับนายรุ่นเดียวกัน เพนย์”
เซนเขม่นตาใส่คนที่ดื่มน้ำที่มีเกลือและพริกไทยผสมอยู่อย่างหน้าตาเฉย
“เฮ้ เกลอ ยังดีที่เรียกน้องนะ ลองนับลำดับญาติไปมานายจะเป็นหลานฉันเอา”
แล้วสองตาหลาน(?)ก็จะถกเรื่องลำดับญาติกันอย่างออกรส ลูอีชินเสียแล้ว สนุกดีเสียอีก เลียมจะตีมึนใส่ในทุกประโยค ส่วนเซนก็จะตอกเนือยๆกลับมา ทั้งร้านมองมาที่โต๊ะเขาแล้วก็หัวเราะกับมุกสุดพิสดารของสองคนที่ไม่เคยซ้ำกันสักวัน จนเขาเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้คิดมุกกันมาทั้งคืนเพื่อฉะกันโดยเฉพาะหรือเปล่า หรืออาจเป็นแผนการตลาด แต่ถ้านับจากจำนวนทิปในแต่ละวัน ต้องบอกเลยว่าวิธีนี้ได้ผล
“ฉันเกลียดกาแฟร้านนาย มันเย็นเกินไป สำลักแล้วแสบเหี้ยๆ”
“คุณสิกินประสาอะไร เขากินกันทางปากลงทางคอ แต่คุณเสือกออกจมูก”
“อ้าว คุณมาลิค พูดจาแบบนี้กับลูกค้าได้ไงครับ ไม่เคยได้ยินคำว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรือครับ”
เลียมยักคิ้วกวนบาทาพร้อมตอกกลับอย่างแสบสัน ท่าทางแบบนั้นถ้าลูอีเป็นคู่กรณีละก็คงโดนแว้ดใส่ด้วยเสียงแปดร้อยห้าสิบล้านห้าแสนแปดหมื่นเก้าพันสี่ร้อยสามสิบเอ็ดเดซิเบลเป็นแน่แท้ แต่เผอิญว่านี่คือเซน มาลิค ผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายตามลำดับโคตรเหง้าของเลียม ซึ่งท่าทางจะภูมิคุ้มกันความกวนทุกรูปแบบชนิดที่ว่าสามารถนำเลือดมาสกัดก็เป็นเซรุ่มรวมเลยทีเดียว และแน่นอนลูอีขอฉีดมันเข้ากระแสเลือดถ้าจะสามารถท้าชนกับเลียมได้ขนาดนี้
“สำหรับผมพระเจ้ามีองค์เดียวซึ่งนั่นคือองค์อัลเลาะห์”
อืม… เซนเป็นมุสลิมข้อนี้เขารู้ อาหารในร้านของเซนมีเพียงไก่กับเนื้อ ‘ถ้าอยากกินหมูก็ไปร้านอื่น’ เซนเคยประกาศิตไว้อย่างไม่กลัวโดนดักตีหัว ก็อย่างว่า เซนเคยกลัวอะไร เอ่อ นอกจากความสูงกับน้ำน่ะ
“เฮ้ ก็แค่คำเปรียบเปรยน่า ยืดหยุ่นมั่งเซ่ ลูกน้องนายไม่อึดอัดตายเรอะ ทำหน้าเคร่งตลอดเงี้ย”
“คุณเป็นพ่อผมหรือครับ”
“อ้าว อ้าว พูดงี้ ตัว ตัวมะ”
“คุณมึงกล้าทำกูเหรอครับ”
นั่น ศึกสายเลือดอุบัติขึ้นแล้ว และแน่นอนสิ่งที่ลูอีควรทำคือ ทำตามสคริปต์…
“เฮ้ย พวกนายหยุดก่อน ได้เวลางานแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหารนะเซน แล้วเจอกัน”
“ด้วยความยินดี”
เลียมลุกขึ้นปัดก้น แล้วก็เดินนำไปแต่ก็มิวายหันมายักคิ้วจึ้กๆให้หลานตัวเอง คนหลานก็ไม่น้อยหน้า เซนเหยียดยิ้มให้คนมีศักดิ์เป็นตาคล้ายจะสื่อว่า ‘ได้ทุกเมื่อ’
เลียมกับเซนเคยเล่าให้เขาฟังว่าความจริงทั้งสองดีต่อกันมาก และก็คิดว่าการฉะกันอันแสนพิสดารเป็นเพียงการลับสมองประลองปัญญาแบบหนึ่งเท่านั้นและก็เห็นเป็นเรื่องปกติเสียด้วย และไม่แปลกหากเอนิเมชันบางเรื่องเซนจะมีชื่อในเอนด์เครดิต เลียมบอกว่าการยืมมุกคนอื่นมาก็ควรจะให้เครดิตด้วย แต่น่าแปลกที่เซนเห็นทีไรก็โมโหทุกที ‘เลิกเอาชื่อผมไปขาย!’ นี่คือสิ่งที่เซนกล่าวไว้ เลียมจึงใส่คำว่า ‘แด่แบรดฟอร์ดแบดบอย หลานรักของตา’ ซึ่งแน่นอน เซนโมโหเสียยิ่งกว่าเดิม
…
“เย้! วู้ว”
“อะไรของนายเลียม” ลูอีขมวดคิ้วมุ่นก็อีกคนร้องอย่างกับบ้านไฟไหม้ “แบทแมนฆ่าโจ๊กเกอร์ร้อยตัวหรือไง”
“ก็ฉากจบอันแสนโหดร้ายของเรื่องนี้ได้ลุล่วงไปแล้วน่ะเซ่ วู้ว” เลียมยืดสองแขนอย่างดีอกดีใจ “เอาละ เซฟเรียบร้อย เยส ไฟล์ไม่เสีย แจ่ม”
“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนก็แค่พระเอกใช้ชีวิตอย่างสงบในชานเมืองเนี่ยนะ”
“นอมเบร เด ดิออส -- นายไม่เข้าใจจิตวิญญาณของคนทำเรอะ กว่าจะจัดแสงเงาเอย อะไรเอย โหดร้ายมากเลยนะ เกริด้า” ลูอีพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจก่อนจะหันไปทำงานต่อ “ว่าแต่เครดิตถึงไหนแล้วละ”
“ใกล้จบแล้วใส่เสียงแทร็กสุดท้าย เสร็จพอดี”
“เสร็จแล้ว เย้!!!!!”
สองคนเพื่อนรักที่กำลังจะขยับความสัมพันธ์โผเข้ากอดกันเหมือนเด็กๆด้วยว่างานที่ร่วมสู้ปลุกปั้นด้วยกันมากว่าปีครึ่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มิวายโดนล้อเลียนเรื่องคู่รักอีกตามเคย แต่ไม่นานหรอก ทั้งสองคนก็รู้ดีว่าไม่นานสิ่งที่ทุกคนพูดกันจะเป็นความจริง
สามอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
ลูอีมีอะไรบางอย่างที่ต้องบอกเลียม… เขาต้องไปประจำการที่ปารีสอย่างไม่มีกำหนด เขาไม่ได้กลับมาบอกเรื่องที่สัญญา เขากลัว กลัวว่าเลียมจะโกรธเขา
เขารู้ว่าเลียมมีเหตุผลพอที่จะเข้าใจว่าเขาต้องทำอะไร หากเขาเพียงแค่บอก แต่เจ้านายไม่แม้แต่จะรีรอ ออกคำลั่งให้ลูอีจัดของอย่างรวดเร็ว ไฟลท์บินจะออกในครึ่งชั่วโมงนี้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีทางทันถ้าเขาออกไปโทรศัพท์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมก็ดันแบตเตอรีหมด เขาไม่มีทางได้ติดต่อเลียมจนกว่าจะถึงปารีส แต่เลียมจะโกรธเขาหรือเปล่า
เลียมจะรู้สึกอย่างไรหากไปทำงานแล้วไม่เจอเขา
เลียมจะหัวเสียขนาดไหนหากเจ้านายบอกว่าเขาอยู่ที่คนละทวีปกัน
เลียมจะบินจากอเมริกามาที่นี่ไหมหากเขารู้
เลียมจะรู้ไหมว่าเขามีคำตอบให้แล้ว ขอแค่วันนั้นมาถึง
เลียมจะรู้ไหมว่าหากจะไม่มีเขาข้างกายอีกต่อไป ลูอีรู้สึกอย่างไร
เ ห ง า คิ ด ถึ ง เ ศ ร้ า ใ จ
เขาแค่อยากให้เลียมอยู่ ต ร ง นี้ ข้างๆเขา
…
เลียมหัวเสียจริงๆเมื่อเจ้านายบอกว่าส่งลูอีไปทำงานที่ปารีสเรียบร้อย เจ้านายของเขาขัดหูขัดตาที่เขากับลูอีกระหนุงกระหนิงกันมากเกินไปหรืออย่างไร ถึงได้ส่งลูอีไปไกลจากเขาเช่นนั้น ส่งเพื่อนตัวน้อยที่แสนอ่อนต่อโลกไปต่างถิ่นเช่นนั้น หากเป็นที่อังกฤษบ้านเกิดของเจ้าตัว เขาคงไม่รู้สึกคับแค้นแน่นใจกับเจ้านายตัวเองเช่นนี้
หากเมื่อได้รับเหตุผลเลียมก็ต้องหนักใจมากขึ้นไปอีก เจ้านายรู้เรื่องที่เขากำลังตกลงกันอย่างลับๆอยู่ แล้วก็เกิดความคิดเพ้อฝันฉบับคนทำหนังว่าหากลองไกลกันดูสักทีอาจจะรักกันมากกว่าเดิมก็ได้ เขาไม่รู้ว่าคนชอบดูหนัง หรือ ดูหนังมากไปอย่างเจ้านายรอดูจากจบแบบไหนอยู่
โศกนาฏกรรมหรือหนังรักแสนหวาน ถ้ามันเป็นอันแรกละก็เขามั่นใจว่ามันต้องเป็นการตายอย่างน่าอนาถของเจ้านายจอมบงการแส่หาเรื่อง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องบอก บอกความรู้สึกทั้งหมดในวันที่ยี่สิบสี่ธันวาคม วันคริสต์มาสอีฟ วันเกิดของลูอี และอาจเป็นวันเข้าโรงพยาบาลของเจ้านายหากไม่ยอมบอกที่ตั้งของบริษัทในปารีส
…
24 December 2013…
ตัวเลขในปฏิทินบอกลูอีว่าอย่างนั้น
11:30 PM.
ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาก็บอกเขาแบบนั้น
อีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเข้าวันคริสต์มาส แม่ พ่อเลี้ยงและเหล่าน้องสาวโทรมาอวยพรวันเกิด ไม่มีอะไรทำให้เขาสุขใจเท่ากับได้ยินเสียงครอบครัวอันเป็นที่รัก
แม่กับพ่อเลี้ยงรักกันมากมาย มีพยานรักเป็นลูกสาวตัวน้อยๆอีกสี่คน ฐานะทางบ้านดีวันดีคืน พ่อเลี้ยงใจดี เข้ากับเขาได้อย่างไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เป็นปัญหากับเขาคือเลียม…
เขาคิดถึงเลียม คิดถึงมากเกินกว่าที่ใครๆจะรู้ คิดถึงรอยยิ้มยียวน คิดถึงเสียงทะเลาะกันระหว่างคุณตาเลียมกับหลานสุดเฟี้ยวอย่างเซนที่มีอายุอานามเท่ากัน
ตึ๊ด…ตื๊ด… ตึ๊ด…ตื๊ด…
เสียงข้อความเข้ามาจากโทรศัพท์ เป็นเบอร์ที่ลูอีไม่คุ้นเคยเลยสักนิด
มาที่หอไอเฟล เดี๋ยวนี้เลย
ลูอีไม่มีกะจิตกะใจจะไปไหนเลยในตอนนี้ แต่เมื่อหัวของเขานึกไปถึงรอยยิ้มอ่อนโยน และดวงตาสีน้ำตาล… อาจเป็นเลียมก็ได้
ลูอีรีบรุดไปยังหอไอเฟล ลงจากแท็กซีอย่างรีบร้อนเขาเชื่อว่านั่นต้องเป็นเลียม… เลียมแน่ๆ
“เลียม เลียม!”
ลูอีวิ่งไปยังหอไอเฟลเขาเชื่อว่าคนที่ยืนอยู่บนนั้น รอการสารภาพจากเขาคนใดคนหนึ่งต้องเป็นเลียม เลียมแน่ๆ
“ลูอี”
ไม่ใช่เลียม แต่เป็นเซน “เอ่อ ฉัน… เลียมฝากมาบอกว่าเขา…’
เซนพูดตะกุกตะกัก ตอนนี้เขามาอยู่ที่ยอดของหอไอเฟล มุมโรแมนติกที่เหมาะจะเป็นการบอกรัก แต่เป็นการฝากบอก ไม่เห็นจะดีตรงไหน เขารีบมาที่นี่เพื่ออะไร มาเพื่ออะไรหากไม่มีเลียมอยู่ตรงนี้ เขาวิ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ปฏิเสธการใช้ลิฟต์ที่เหนื่อยน้อยกว่าแต่ทำเขาเสียเวลา
เขาทำไปทำไม ในเมื่อเลียมไม่ได้อยู่ตรงนี้
ลูอียืนโงนเงน เขาถูกเบียดจนไกลออกมาจากเซน น้ำตาอุ่นร้อนอาบคลอดวงตาก่อนจะไหลรินมาตามเนินแก้ม ที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรักของใครหลายคู่ แต่เขากลับต้องยืนเดียวดายเฝ้าคิดถึงใครสักคนที่ไกลออกไป Somewhere Out There เป็นเพลงที่โคตรจะเหมาะกับความรู้สึกเขาตอนนี้
ให้ตายสิ แล้วใครเสือกมาเปิดเพลงนี้ตอนนี้กันนะ
ไม่มี ไม่มีใครเปิด แต่เป็นเสียงจากจิตใต้สำนึกของเขาเอง
Somewhere out there
Beneath the pale blue night
Someone’s thinking of me and loving me tonight
Somewhere out there
Someone’s say a prayer, Then we’ll find one another
มีใครบางคนรวบตัวเขาจากด้านหลัง ลูอีดิ้นจะขัดขืนแต่กลับนิ่ง เมื่อได้ยินเสียงหนึ่ง…
“เกริด้า”
เสียงที่ทำให้อุ่นวาบไปทั้งใจ…
“Te Quiero’”
“I love you too.”
เลียมเล่าทุกอย่างให้เขาฟังตอนที่เขาอยู่ในปารีส ตอนที่เลียมหงุดหงิดงุ่นง่าน เลียมพาเซนมาด้วยเพื่อคอยปรามไม่ให้เขาเสียสติ และนับว่าได้ผล เซนและเลียมลับฝีปากกลางหอไอเฟล และเหมือนเคย ผู้คนหัวเราะสนุกสนานไปกับมุกโจ๊กฉบับรวมฮิต
และ ลูอี ทอมลินสัน กับ เลียม เพนย์ ก็ขยับความสัมพันธ์จากเพื่อนเป็นคนรักในที่สุด พวกเขารักกันรวมทั้งเซนด้วย
ทั้งสามเดินเคียงกันโดยมีเลียมที่โอบกอดกับลูอี ทั้งสามเคียงกันไปบนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีสิ่งของประดับประดา นับถอยหลังไปยังวันคริสต์มาส
และพวกเขาก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป…
Endless--
และรู้อะไรไหม…
พวกเขาก็เป็นตามนั้น
มีความสุขตลอดไป…
ความคิดเห็น