ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Oh! My God ภารกิจติ๊ดชึ่ง

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 : มาเก็บขี้หมากันเถอะ#2

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 51


    “สปินซ์ อาวุธมาแล้วจ้ะ” สแปลพูดขึ้นก่อนที่เธอจะเดินมาพร้อมกับกล่องใบหนึ่ง

    “ฮ่าๆๆๆ เอาล่ะ คราวนี้แกไม่รอดแน่” สปินซ์เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่น่ากลัวเป็นยิ่งนักแก่ฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่เธอจะเปิดกล่องใบนั้นพร้อมกับหยิบของในนั้นออกมาชูเพื่อเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้

    “เอ๋??”

    “หืม??”

    “........”

    “อะไรของเธอเนี่ยสแปล ของพวกนี้มันยังไงกันเนี่ย!!!!” สปินซ์พูดขึ้นเสียงดังบ้านแทบแตกพร้อมเทสิ่งของทั้งหมดกองลงบนพื้นตรงนั้น

    เทียนไข เชือก แส้ กุญแจมือ อุปกรณ์สารพัดชนิดที่อยู่ภายในกล่องนั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันอยู่ในกล่องของสแปล หญิงสาวผู้เรียบร้อย อ่อนโยน และไร้เดียงสา

    “นี่สแปล กล่องนี้ของเธอใช่มั้ย ไหงมีของพวกนี้ด้วยล่ะเนี่ย” สปินซ์พูดกับสแปลพร้อมกับหันมาทางเธอ

    “ก็เอ่อ....” สแปลนิ่งเงียบและอ้ำอึ้งพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ “ก็มันมีอะไรที่เผื่อจะเป็นอาวุธได้บ้างไงอ่า”

    “เอาเถอะ งั้นฉันเอาไอ้นี้ก็แล้วกัน” สปินซ์เลือกหยิบของบางอย่างจากในนั้นขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือแส้นั่นเอง

    เพี๊ยะ!!!!

    เสียงสะบัดแส้ของเธอที่ดังข่มขู่คู่ต่อสู้อย่างฮารุจนทำให้เขาถึงกับเสียวสันหลังวาบไปเลยทีเดียว

    “คราวนี้ล่ะแกเอ๊ย! แม่จะจัดการให้สิ้นฤทธิ์ไปเลย” ดูเหมือนว่าทันทีที่สปินซ์ถือแส้อันนั้น วิญญาณของสาวซาดิสม์ก็เข้าสิงเธอทันที(ที่จริงสปินซ์ก็ซาดิสม์มาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่รึ)

    เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ

    สปินซ์ระรัวบรรเลงเพลงแส้นรกของเธออย่างเมามันส์ และดูเหมือนว่าเธอจะเข้ากันดีกับแส้อันนี้มาก เพราะมันทำให้การเคลื่อนไหวและการโจมตีของเธอดูคล่องแคล่วและแข็งแรงมากขึ้นราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

    “โอ้ย!!!” ฮารุร้องโอดครวญขึ้นมาทันทีที่การสะบัดแส้ของสปินซ์ครั้งสุดท้ายจะโดนไปที่ไหล่ข้างซ้ายของเขาเข้าอย่างจัง เลือดไหลซิบๆเล็กน้อยพร้อมกับรอยฉีกขาดเล็กๆของเสื้อผ้าบริเวณนั้น ฮารุควบคุมการแปลงร่างเป็นมนุษย์กระต่ายของเขาไม่ไหวจึงกลับร่างมาเป็นมนุษย์แทน คนที่มีฝีมือการต่อสู้มากอย่างฮารุจะต้องมาแพ้สปินซ์ หญิงสาวที่มีอาวุธเพียงแค่แส้ธรรมดาๆอย่างนั้นเหรอ

    “ฮ่าๆๆๆ นายมันกระจอกสิ้นดี นึกว่าจะแน่ ที่แท้เจอแค่แส้สะบัดก็สิ้นลายซะแล้ว ฮ่าๆๆๆ” สปินซ์พูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะอย่างชั่วร้าย

    ‘ไม่ได้นะ ฉันจะแพ้ผู้หญิงอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด นี้มันภารกิจแรกของฉันซะด้วย ฉันจะทำผิดพลาดไม่ได้’ ฮารุคิดในใจเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตัวเอง

    “โฮะๆ เป็นยังไงล่ะ เจ้ากระต่ายน้อยเอ๋ย คราวนี้ไม่วิ่งหนีอีกล่ะ” สปินซ์พูดขึ้นพร้อมกับถือแส้มาขึงให้ตึง ก่อนที่เธอจะ...

    เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ

    สปินซ์บรรเลงเพลงแส้มหาซาดิสม์อย่างบ้าคลั่งต่อทันที ฮารุไม่สามารถหลบการโจมตีของเธอได้ทัน ทำให้ตัวของเขาถูกแส้ของเธอฟาดไปโดนตามร่างกายจนเสื้อผ้าฉีกขาดพร้อมกับได้รับบาดเจ็บอย่างทรมาน

    “โอ๊ย!!! ฉันยอมแล้ว ได้โปรดอย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆนะ” ฮารุพูดจาอ้อนวอนหญิงสาวใจแม่มดนามว่าสปินซ์

    “คิดเรอะว่าฉันจะใจอ่อนน่ะ พวกผู้ชายมันก็เสแสร้งกันทุกๆคนนั่นแหละ โกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตะแหลสิ้นดี ไม่เคยจริงใจสักคน ถ้ามันสูญพันธุ์ไปซะได้ก็ยิ่งดี!!!!” สปินซ์พูดด้วยด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและโมโห แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังนำเอาอคติเรื่องผู้ชายมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

    “เอ่อ...สปินซ์ ฉันว่าเราทำเขาแรงไปมั้ยอ่า ที่จริงแล้วเขาก็ยังไม่ได้ทำร้ายอะไรเราเลยนะ” สแปลพูดขึ้นกับสปินซ์ พี่น้องของเธอ

    “นี่สแปลใช้อะไรคิดเนี่ย จะรอให้มันทำอะไรเราก่อนอย่างนั้นเหรอ เราถึงจะจัดการเขาตอบได้น่ะ ที่เราทำน่ะถูกแล้วนะ เพราะเขามาบุกรุกบ้านเรานี่ ในกรณีนี้ก็ถือว่าเป็นการป้องกันตัว ไม่ผิดอะไรหรอกน่า” สปินซ์บอกกับสแปล

    “ป้องกันตัวเหรอเนี่ย ฉันว่าเขาจะตายเพราะพวกเรานี่แหละ” สแปลแอบพูดเบาๆกับตัวเอง

    สภาพของฮารุในตอนนี้ดูจะเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก เพราะว่าเขายังไม่ได้โจมตีฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตัวเขากลับโดนสปินซ์ใช้แส้ฟาดจนได้รับบาดเจ็บไปแล้ว

    “ว่าไปฉันชักจะถูกใจกับแส้อันนี้ซะแล้วสิ พอได้จับมันแล้รู้สึกว่ามันเหมาะกับฉันซะเหลือเกิน ฉันขอใช้มันจัดการกับแกอีกหน่อยก็แล้วกันนะ” สปินซ์พูดขึ้นราวกับว่าเธอกลายเป็นตัวร้ายในหนังซาดิสม์

    “ฮึ่ม!!! ใช่แล้ว เราจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด นี่คือภารกิจแรกของเรานี่นา” ฮารุพูดขึ้นกับตัวเองพร้อมกับปลุกพลังความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งในตัวของเขาให้ลุกโชนขึ้นมาพร้อมกับการแปลงร่างเป็นมนุษย์กระต่ายอีกครั้ง แต่ดูเหมือนคราวนี้รอบๆตัวของฮารุจะมีออร่าเปล่งประกายพร้อมกับกระแสลมพายุอ่อนๆที่ไหลเวียนอยู่รอบๆตัวของเขา

    ถึงแม้ว่าฮารุจะดูแปลกๆกว่าเดิมเล็กน้อยเนื่องจากเขาปลุกความแข็งแกร่งในตัวขึ้นมา แต่สปินซ์ก็ยังไม่สนใจอะไรใดใด เธอยังคงเตรียมตัวสะบัดแส้นรกของเขาแก่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีรอ

    “ถ้าเธอคิดจะต่อสู้กับฉันแล้วล่ะก็ ฉันเองก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน!!!!” ฮารุพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งไปที่สปินซ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับมีกระแสลมช่วยดันตัวของเขาให้พุ่งไปรวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

    “อ๊ะ!! อะไรกันเนี่ย” สปินซ์พูดขึ้นเมื่อพบว่าคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีมาดูไม่เหมือนคราวก่อนๆแล้ว

    ตูม!!!!

    ฮารุพุ่งเข้าปะทะกับสปินซ์เข้าอย่างจังทำให้ทั้งคู่ล้มลงกับพื้น

    แต่ทว่า.....

    ภาพที่เห็นนั่นคือ ฮารุล้มตัวนอนทับตัวของสปินซ์ โดยที่หน้าของฮารุจมปลักอยู่ตรงหน้าอกของสปินซ์เข้าอย่างจัง ฮารุค่อยๆโผล่หน้าของเขาขึ้นมาสบตากับสปินซ์ แต่ดูจากสีหน้าสปินซ์ในตอนนี้แล้ว ยมบาลก็ยังเรียกพี่

    ”อีผู้ชายลามก!!!!!! แกตาย!!!!!!”

    นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฮารุได้ยินก่อนที่เขาจะสลบไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

    “เอ่อ.....สปินซ์ แล้วเราจะทำยังไงกับศพของนายคนนี้ต่อละเนี่ย” สแปลถามเธอขึ้นพร้อมกับมองดูสภาพของฮารุอย่างเวทนา

    “เฮอะๆ” สปินซ์ได้แต่มองร่างของชายหนุ่มพร้อมกับหัวเราะเหยาะๆเบาๆเท่านั้น

    ++++++++++++++++++++++
    ++++++++++++++
    ++++++

    “แฮ่ก แฮ่ก”

    เสียงเหนื่อยหอบของแยมที่วิ่งมาอย่างเหนื่อยหน่าย เธอค่อยๆชะลอฝีเท้าลงพร้อมกันหันไปมองด้านหลังของตัวเธอ

    “นะ...นี่ฉันวิ่งมาไกลขนาดไหนเนี่ย ....จะ...จริงสิ ฉันวิ่งแยกกับฮารุมาตั้งแต่ตอนที่เจอกับคนในบ้านหลังนี้สินะ ...แล้วฮารุป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย” แยมพูดขึ้นกับตัวเองพลางทบทวนเหตุการณ์ช่วงชุลมุนที่เธอเพิ่งผ่านพ้นมา

    “เป็นยังไงบ้างจ๊ะสาวน้อย ท่าทางจะดูเหนื่อยหอบมาเชียวนะ วิ่งหนีอะไรอยู่จ๊ะ”

    เสียงบุรุษปริศนาดังขึ้นทำเอาแยมสะดุ้งตกใจไม่น้อย เธอค่อยๆหันหน้าไปตามเสียงนั้นก็พบว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ

    “นะ...นายเป็นใครกันน่ะ” แยมถามขึ้นมาอย่างตกใจ

    “เอ๋?? ฉันน่ะเหรอเป็นใคร ฉันน่าจะเป็นฝ่ายถามเธอซะมากกว่านะว่าเธอเป็นใคร ก็ที่นี่มันเป็นบ้านของฉันเองไงล่ะ” ชายหนุ่มตอบกลับมาทำเอาแยมอึ้งไปเล็กน้อย แต่มันก็จริงอย่างที่ชายหนุ่มนั่นพูดมา เพราะที่จริงแล้วแยมเป็นฝ่ายบุกรุกบ้านคนอื่นต่างหาก

    “ฉะ...ฉันชื่อ...ยะ...แยม……….” แยมตอบชายหนุ่มพร้อมกับเงียบไป เธอกำลังเกรงกลัวว่าชายหนุ่มนั้นจะต้องไม่พอใจหญิงสาวอย่างเธอที่มาบุกรุกบ้านของเขาเป็นแน่

    “ชื่อแยมเหรอ ชื่อน่ากินดีนะ ส่วนฉันชื่อสปาร์คนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีท่าทางเป็นมิตรกับแยมดีกว่าที่ดีไว้ “ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่บ้านฉันงั้นเหรอ”

    และดูเหมือนว่านี่จะเป็นคำถามที่ตอบยากที่สุดของเธอในเวลานี้ เธอนิ่งเงียบและอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ถ้าขืนจะให้เธอตอบไปว่า ‘ฉันมาที่นี่เพื่อมาเก็บขี้หมา’ คงไม่มีใครบ้าจี้เชื่อเธออย่างแน่นอน แล้วถ้าอย่างนั้นเธอจะบอกอ้างเหตุผลอะไรดีล่ะ

    “เอ่อ.......ฉันมาที่นี่.....เพื่อ......เพื่อมาตามหารักยังไงล่ะ”

    “เอ๋??”

    ‘กรี๊ด!!!! นี่ฉันพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย’ ดูเหมือนแยมจะเผลอเข้าให้ซะแล้ว เธอโทษตัวเองในใจที่พูดเหตุผลอะไรบ้าบอแบบนั้นลงไป แท้จริงเธอเพียงแค่ต้องการอ้างเหตุผลเพื่อเอาตัวรอดจากชายหนุ่มคนนี้เท่านั้น แต่เหตุไฉนเธอกลับเอ่ยเหตุผลอะไรแบบนี้ขึ้นมาซะได้ หรือว่าเธอเผลอหลุดพูดตามความรู้สึกของเธอขึ้นมาจริงๆซะนั่น แต่ยังไงซะก็เถอะ เธอคงต้องโดนชายหนุ่มตรงหน้าจัดการเธอเป็นแน่ เพราะคงไม่มีใครบ้าจี้มาเชื่อคำพูดไร้สาระของเธอแน่นอน

    “มาตามหารักอย่างนั้นเหรอ ....นี่เธอเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตด้วยอย่างนั้นด้วยเหรอ” ชายหนุ่มตรงหน้าเธอที่ชื่อสปาร์คถามขึ้นมา

    “อ่ะ....เอ่อ...อื่ม......” แยมอ้ำอึ้งพร้อมกับอาการหน้าแดงระเรื่อสีชมพู เธอไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มจะหลงเชื่อคำพูดของเธอ แต่ทำไมนะทำไมเธอถึงต้องหน้าแดงด้วย เธอเพียงแค่รู้สึกแปลกๆที่มีผู้ชายมาพูดเรื่องแบบนี้กับเธอใช่หรือไม่ หรือว่าเธอมีความรู้สึกนอกเหนือจากนั้น

    “ใช่สินะ ใช่มั้ย เธอก็เชื่อในพรหมลิขิตเหมือนกับฉันใช่มั้ย!!” ชายหนุ่มถามหญิงสาวพร้อมกับทำหน้าระรื่นราวกับเจอเนื้อคู่

    “อ่า...เอ่อ........”

    “ฉันน่ะเชื่อในพรหมลิขิตนะ คนเราถ้ามันเป็นคู่แท้กันน่ะไม่ว่าจะเจอกันด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันก็ต้องเจอะกันสักวันอยู่ดี นี่แสดงว่าเธอมาที่นี่ก็เพราะมันเป็นพรหมลิขิตสินะ ไม่ว่าเธอจะมาที่นี่ได้ยังไง จะมาที่นี่เพราะอะไร แต่สุดท้ายเหตุผลมันก็เพราะฟ้าส่งเรามาคู่กันอยู่ดีนั่นไง” สปาร์คพูดขึ้นอย่างระรื่นใจ

    ‘อะไรกันเนี่ยนายคนนี่ เขาเป็นอะไรมากรึปล่าว ท่าทางจะอาการหนักไม่ใช่น้อย นี่เพียงแค่ฉันพูดอะไรพล่อยๆมั่วๆไปมันกลับทำให้เรื่องราวดูสับสนวุ่นวายมากขึ้นไปอีกรึเนี่ย ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็คงต้องพูดความจริงแล้วล่ะมั้ง’ แยมครุ่นคิดอยู่ในใจ เธอคิดมาได้ว่าเพราะเธอพูดอะไรบ้าๆในตอนนั้น ทำให้ชายหนุ่มถึงกับบ้าละเมอเพ้อฝันไปซะได้ถึงขนาดนี้

    “นี่แสดงว่าพรหมลิขิตชักนำสองเราให้มาเจอกันอย่างนั้นสินะ ไม่สิ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าความบังเอิญก็ได้ แต่ว่าความบังเอิญนั่นมันก็เป็นเพราะพรหมลิขิตด้วยเหมือนกันแน่ๆเลย” สปาร์คพูดขึ้นพร้อมกับพุ่งไปหาแยมพร้อมกุมมือเธอมาทาบไว้ที่อกของเขา

    “โอ้ย!!! พอกันที ฉันไม่ได้มาตามพรหมลิขิตบ้าบออะไรนั่นหรอก ฉันก็แค่จะหาเหตุผลอ้างนายไปเท่านั้นนั่นแหละ ที่จริงน่ะฉันต้องการจะมาเก็บขี้หมาไปต่างห่างล่ะ!!!” ดูเหมือนแยมจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของชายหนุ่ม เธอจึงพรั่งพรูความรู้สึกนึกคิดในใจของเธอออกไปหมด

    “อะ....อะ.....อะไรกัน นี่เธอดูถูกพรหมลิขิตอย่างนั้นเหรอ แถมยังว่าพรหมลิขิตนั่นเป็นขี้หมาอีกด้วยอย่างนั้นเหรอ” สปาร์คพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบและท่าทางที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เขาค่อยๆผงะและถอยหลังห่างจากตัวของหญิงสาวไปเรื่อยๆ

    “อะไรกัน ฉันไม่ได้เปรียบพรหมลิขิตเป็นขี้หมาเลยนะ แต่ฉันบอกว่าฉันต้องการมาเก็บขี้หมาไปต่างหาก” แยมเอ่ยเถียงกลับไป

    “แต่ในตอนแรกเธอบอกว่ามาตามหารักนี่ แล้วตอนนี้เธอก็มาบอกว่าเธอมาเก็บขี้หมา ถ้าอย่างนั้นเธอก็เปรียบว่าการตามหารักคือการเก็บขี้หมาอย่างนั้นเหรอ นี่เธอชักจะดูถูกความรักอันน่าหลงใหลจนฉันทนไม่ได้แล้วนะ!!!” สปาร์คพูดด้วยถ้อยคำเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความโกรธ ก่อนที่เขาจะค่อยๆหยิบไม้พลองที่เหน็บอยู่ข้างเอวของเขาออกมา “ถ้าอย่างนั้น การที่ฉันจะได้มาต่อสู้กับเธอก็คงจะเป็นพรหมลิขิตอย่างนั้นสินะ”

    “อีตานี่ยังบ้าไม่เลิกแฮะ” แยมพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมกับเตรียมรับมือการต่อสู้ระหว่างเธอและชายคนนี้

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามตอนต่อไปเน้อ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×