คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : แผนการ luhan zone
Luhan zone
“งานของแกใกล้จะเริ่มแล้ว” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นหลังจากที่ผมรับโทรศัพท์
“แล้วผมจะต้องทำอะไรบ้างครับ”ผมถามกลับ
“แกคงเห็นแล้วใช่มั๊ย งานเต้นรำหน้ากากที่กำลังจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ ”
“ครับ ผมเห็นแล้วครับ”
“แกต้องแฝงตัวเข้าไปในงาน แล้วทำตามแผนที่ฉันวางไว้ ราชวงศ์เอกโซจะต้องล่มสลาย ให้สมกับที่พวกมันเคยทำกับบรรพบุรษของฉัน”ปลายสายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ครับ ผมจะพยายาม…..แต่ถ้าแผนการนี้ไม่สำเร็จหละครับ จะให้ผมทำอย่างไรครับ”
“ฉันนึกอยู่แล้ว ว่าแกจะต้องถามคำถามนี้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะฉันได้ตกลงกับขุนนางในนั้นแล้ว งานเลี้ยงนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเจ้าชายคนเดียวในราชวงศ์บ้าๆนั่น ที่เพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศสและแน่นอนเป็นถึงเจ้าชายก็ต้องมีองครักษ์ประจำตัว…”
“อย่าบอกนะครับว่าคืนพรุ่งนี้ผมจะต้องเข้าไปในพระราชวังนั่น ไม่ใช่เพียงแค่ก่อความวุ่นวาย แต่ต้องไปเป็นองครักษ์ประจำตัวเจ้าชายหลังจากงานเลี้ยงเลิกราไป”
“เพราะแกมันฉลาดแบบนี้นี่ไง ฉันจึงส่งงานใหญ่ให้นายทำ”เขาเอ่ยชมเชยผม แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ผมภาคภูมิใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับทำให้ผมกังวลใจมากกว่าด้วยซ้ำ
“ครับ ผมจะพยายาม แต่ผมจะต้องอยู่ในพระราชวังนานเท่าไรครับ”
“จนกว่างานของแกจะสำเร็จ แต่ถ้างานนี้ไม่สำเร็จอย่าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้า”
“แล้ว….”ก่อนที่คำถามข้อต่อมาจะหลุดออกจากปากนั้น เสียงที่ดังกว่าก็กลบเสียงผม
“อย่าถามมากน่า พรุ่งนี้ฉันติดต่อขุนนางในนั้นไว้แล้ว พองานเลี้ยงเลิกราไป นายก็ไปตามเส้นทางตามแผนที่ที่ฉันส่งไปให้ก็แล้วกัน ที่นั่นจะมีคนของฉันรอนายอยู่ เพื่อเตรียมตัวให้นายไปเป็นองครักษ์ประจำตัวของเจ้าชายนั่น เข้าใจยัง ถ้านายเข้าไปในฐานะองครักษ์ประจำตัวได้เมื่อไร ฉันจะติดต่อไป”ปลายสายอธิบาย
“ครับ ”
“ไปนอนได้แล้ว ไป๊!!”
“ครับ”ผมเอ่ยก่อนที่จะได้ยินตัดสายจากโทรศัพท์
ร่างบางล้มตัวลงนอนลงกับเตียงเก่าๆ พลางถอนหายใจออกมาอย่างกังวลใจ งานใหม่ที่ได้รับมอบหมายนั้นทำให้ผมหนักใจเป็นที่สุด นี่ไม่ใช่แค่งานก่อความวุ่นวายเล็กๆที่ผมเคยทำ แต่นี่เป็นถึงงานทำลายราชวงศ์เอกโซ ราชวงศ์ที่อยู่เคียงคู่กับนคราแห่งนี้ นคราที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม มากว่าหกศตวรรษ
ผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่า ลุงคับแค้นใจแค่ไหนที่ราชวงศ์เอกโซเคยทำกับบรรพบุรุษของเราซึ่งเคยเป็นถึงขุนนางใหญ่ในนั้น
ลุงเล่าให้ผมฟังเสมอ ตั้งแต่ผมจำความได้
’แกฟังไว้นะ เพราะไอ้ราชวงศ์เอกโซนั่น ทำให้แทนที่ครอบครัวเราจะได้เป็นขุนนางกลับต้องมาเป็นนักดนตรีข้างถนน ยังดีที่บรรพบุรุษเราทิ้งที่ดินมาให้ผืนนึง ทำให้เรามีบ้านไว้ซุกหัวนอน แกจำไว้นะแค้นนี้ต้องชำระ’
เมื่อผมโตขึ้นพอที่จะเข้าใจอะไรๆบ้าง
ครั่งหนึ่งหลังจากที่ผมกับลุงกลับจากการเล่นดนตรี ลุงก็เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังอีกเป็นครั้งที่ร้อยครั้งที่พัน เมื่อเล่าจบผมจึงถามลุงด้วยความสงสัย
’ทำไมลุงไม่ปล่อยวางบ้างหละครับ เรื่องก็ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ว ไม่เห็นจะต้องกลับมาคิดเป็นทุกข์เล…’
‘เผียะ!!’ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ลุงก็ตวัดฝ่ามือลงมาบนแก้มของผมอย่างหนัก
‘ แกจำไว้เลย แกไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้ มันทำให้เราเกือบจะเป็นขอทานอยู่วันยังค่ำ แกยังไม่สำนึกอีกหรอ แกจงรู้ไว้ซะว่า แค้นนี้ต้องชำระ!!!! ’
คำว่า’แค้น’คืออะไร ทำไมถึงมีอิทธิพลมากมายกับมนุษย์เช่นนี้ เพราะคำว่าแค้นคำเดียวทำให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงมากมาย และอีกอย่างทำไมจะต้องแก้แค้น บางทีมนุษย์ก็แก้แค้นแทนคนอื่น ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังคิดแก้แค้นนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน ‘เฮ้อ อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วซินะ’ ก่อนที่ความกังวลจะหายไปกลับห้วงนิทราอันแสนสุข
___
มือบางกำชุดทักซิโด้ หน้ากาก และแผนที่ ที่เพิ่งได้รับมาอย่างหวาดๆ อีกแค่ไม่กี่นาที งานก็จะเริ่มขึ้น
ความเครียดความกังวลใจก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดวงหน้าหวานแหงนหน้านองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าเสมือนเครื่องเตือนใจว่า มันกำลังจะเริ่มขึ้น ท้องฟ้ายามสนธยาช่างงดงามเหลือเกิน ผมมองภาพเหล่านั้นอย่างตั้งใจดั่งว่าจะไม่มีโอกาสเห็นความสงบสุขของธรรมชาติอีก ก่อนจะลุกขึ้นไปแต่งตัวเมื่อเห็นว่าอีกเพียงไม่กี่นาทีจะถึงเวลานัด
นัยน์ตาหวานล้ำหากแฝงไปด้วยความโศกอย่างเปิดเผย สั่นระริก หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากทรวงอก
‘คงจะตื่นเต้นซินะ’
ผมพยายามหลอกตัวเอก หากแต่ในใจลึกๆก็รู้สาเหตุที่แท้จริงของอาการผิดปรกติเช่นนี้
ผมนั่งมองเงาสะท้อนในกระจกอย่างเหม่อลอย
และเมื่อคิดถึงงานที่จะต้องทำแล้ว…. หัวใจกลับรู้สึกเหมือนถูกของมีคมเสียดแทง
ตอนนี้ก็ได้แต่นับเวลาถอยหลังรอเวลาที่รถจะมารับไปงานเต้นรำสวมหน้ากากนั้น
ปี๊น!!!! เสียงแตรรถดังขึ้น ปลุกผมให้หลุดออกจากภวังค์อันน่าเศร้าสร้อย ผมรีบหยิบแผนที่ สวมหน้ากากที่จะต้องใส่ไป
มองเงาของตัวเองในกระจกอีกครั้ง
โครงหน้าเรียวได้รูป คิ้วโก่งปลายเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตนัยน์ตาหวานซึ้ง จมูกโด่งเป็นสัน เรียวปากเป็นกระจับได้รูป สีเชอร์รี่ กับผิวขาวผ่องเป็นองค์ประกอบทำให้วงหน้านี้ดูหวานเกินกว่าหญิงแท้หลายคน ซึ่งตอนนี้ได้อยู่ภายใต้หน้ากากครึ่งเสี้ยวสีดำสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปี๊น!! เสียงแตรรถดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ทำให้ผมต้องรีบสวมรองเท้าก่อนจะวิ่งไปที่รถที่ลุงเคยชี้ให้ผมดุเมื่อ2วันก่อน
รถคันเก่งวิ่งไปตามเส้นทางที่ไปพระราชวัง ข้างทางประดับธงหลากสีดูสวยงามจับใจ ตอนนี้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่แสงไฟเล็กๆจากโคมไฟที่แขวนตามต้นไม้ก็ทำให้บรรยากาศดูโรแมนติกขึ้นมาในทันตา
และแล้วพรหมสีแดงก็ปรากฏให้เห็น ทำให้ผมได้ทราบว่าผมมาถึง งานเลี้ยงหน้ากากแล้ว
ทันทีที่ปลายเท้าของผมแตะลงบนพรหมสีแดงสดนั้น ความหนาวเหน็บก็แผ่ซ่านเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
แต่ก็ยังฝืนก้าวเท้าลงไปบนพรหมสีแดงที่ตอนนี้ผมเห็นว่าน่าจะเรียกว่าสีเลือดมากกว่า
ขาเรียวยาวก้าวไปตามพรหมสีเลือด
ส่งบัตรเชิญที่ขุนนางในพระราชวังแอบส่งมาให้ลุงของผม ให้ทหารที่ยืนตรงแอ่นอก อย่างแข็งแรง
ประตูบานโตถูกเปิดออก และภาพที่ปรากฎขึ้นในสายตาผมทำให้เหงื่อเม็ดแล้วเม็ดเล่าผุดขึ้นบริเวณวงหน้าหวาน
ผู้คนนับร้อยแต่งกายด้วยชุดหรูหราหากแต่ว่าไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของพวกเขาได้เลยสักคนเพราะใบหน้าของพวกเขาถูกปิดบังด้วยหน้ากากแบบเดียวกับที่ผมสวมอยู่ต่างกันเพียงแค่คนละแบบกันเท่านั้น
ผู้คนเหล่านั้นอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่น่าจะรองรับคนได้ถึงห้าร้อยคน ทำให้ห้องไม่ดูแออัดจนเกินไป
ห้องโถงเป็นห้องขนาดใหญ่ มีหน้าต่างบานโตประดับอยู่รอบด้านทำให้สามรถเห็นทิวทัศน์อันสวยงามได้ในทุกมุมมอง ริมสุดทางตะวันออกของห้องโถงเป็นประตูต่อไปยังระเบียงกว้าง กลางห้องเป็นแท่นบัลลังก์ที่ถูกยกระดับให้สูงกว่าปรกติ บัลลังก์ตรงกลางซึ่งสูงและใหญ่ที่สุด ถูกประดับประดาให้สวยเด่น แทบไม่ต้องถามเลยว่าเป็นของใคร ข้างๆเป็นบัลลังก์เหมือนกันหากต่างกันตรงที่เล็กและต่ำกว่าอันตรงกลาง
‘นี่ซินะ บัลลังก์ของเจ้าชาย’
ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
ผมเดินผ่านฝูงชนไปยังโต๊ะอาหารขนาดยาวซึ่งมีอาหารเรียงรายอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน นี่ยังไม่รวมเครื่องดื่มที่ถูกเสิร์ฟโดยเหล่าบุคลากรที่แต่งกายได้เหมือนบริกรตามภัตตาคารอีก
ระหว่างทางเดิน มีผู้คนมากมายส่งยิ้มบ้าง พยักหน้า หรือบางทีก็โบกไม้โบกมือบ้าง ทักทายผมอย่างเป็นมิตร ผมจึงส่งยิ้มไปให้ผู้คนเหล่านั้น ส่งผลให้หญิงสาวบางคนหน้าระเรื่อไปในขณะ
ต่างกันผู้คนที่แต่งตัวด้วยชุดขุนนางหรืชุดที่หรูหรากว่า กลับมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า บางคนก็ทำปากยื่นออกมาอย่างเหยียดหยาม
ฮึ คนอย่างผมไม่แคร์อยู่แล้ว
ผมตักอาหารที่ผมอยากกินมาพอประมาณ ยืนกินอาหารพลางมองเหล่าบรรดาผู้คนยืนคุยกันอย่างเพลิดเพลิน
และแล้ว
เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้น ผมจำได้ขึ้นใจว่านี่คือเพลง Je Te veux ของนักคีตกวีชาวฝรั่งเศส เพลงนี้ลุงมักเล่นให้ผมฟังก่อนนอน เสียงดนตรีบรรเลงไพเราะ ชวนรุกเร้าให้ผู้คนออกไปเต้นรำ
คนที่เปิดฟลอร์คนแรกจะเป็นใครไปไม่ได้ ฝ่ายชายเป็นชายอายุห้าสิบเศษ แต่งตัวด้วยชุดที่แปลกไปจากคนอื่นๆ เสื้อคลุมตัวยาวคลุมเข่า สีทอง ตรงบ่ามีบั้งสีแดงสดแซมด้วยขนนกสีขาวสองข้าง ตรงอกมีเข็มเกียรติยศมากมาย ส่วนฝ่ายหญิงเป็นหญิงวัยกลางคนซึ่งไม่สามารถคำนวณหาอายุได้ เพราะถึงแม้จะอายุเท่าไรหากแต่ใบหน้ายังคงงามสมวัย และยิ่งดูงดงามมากขึ้น เมื่อใบหน้านั้นถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ เธอแต่งกายด้วยชุดเดรสแขนกุดสีทอง ดูสง่าดังนางพญา เป็นที่แน่นอนที่สุดว่าทั้งสองต่างก็สวมมงกุฎสีเงิน ประดับเพชรสีน้ำเงินน้ำงามเม็ดโตตรงกลาง พื้นผิวของเพชรสลักด้วยตัวอักษร JT
ถูกแล้วหละ มงกุฎแห่งราชวงศ์เอกโซ และเค้าสองคนนั้นก็คือ พระราชาและพระราชินี แห่งเอกโซนั่นเอง
ทันทีที่ทั้งคู่เดินออกมาด้วยท่าทางที่สง่า มาตรงลานเต้นรำ ผู้คนทั้งหมดก็ทำความเคารพทั้งสอง รวมถึงนักดนตรีด้วย นั่นทำให้ดนตรีบรรเลงหยุดลง ก่อนที่เพลงJe Te veuxจะเริ่มบรรเลงอีกครั้งไปพร้อมๆกับการเคลื่อนไหวที่งดงาม พลิ้วไหว หากแต่แข็งแรงและสง่างาม ประดุจหงส์ในเทพนิยาย
ผู้คนทยอยมากมายกันไปเต้นรำอย่างสนุกสนาน จนพื้นที่บริเวณลานเต้นรำเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน
เสียงดนตรีบรรเลงมาอย่างไม่ขาดสาย เร็วบ้าง ช้าบ้างไปตามจังวะ
ผมอดที่เคาะเท้าไปตามจังหวะไม่ได้
รอเพียงแค่เวลาที่จะปฏิบัติตามแผนที่วางไว้
ความคิดเห็น