คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ครอบครัวสุขสันต์ (2)
วันนี้ภานุรุจมีนัดกินอาหารเย็นกับครอบครัว หลังจากเลิกงานแล้วรองประธานหนุ่มจึงขับรถไปยังบ้านทีปกรนฤนาถที่ตั้งอยู่ในซอยแห่งหนึ่งย่านพร้อมพงษ์ แทนที่จะกลับคอนโดที่ทองหล่อ
ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นวันธรรมดา ภานุรุจจะพักอยู่ที่คอนโด เพราะเป็นส่วนตัวมากกว่า และจะกลับมาค้างที่บ้านเฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น แต่ก็ยังแวะมากินอาหารเย็นกับคนในครอบครัวเสมอเมื่อมีเวลาว่าง เพื่อไม่ให้พ่อแม่น้อยใจ หาว่าเขาทำตัวห่างเหินพวกท่าน
รองประธานหนุ่มใช้เวลาขับรถนานพอสมควรกว่าจะมาถึงบ้าน เมื่อเข้าไปในห้องรับประทานอาหารก็พบว่านอกจากพ่อแม่แล้วยังมีภากร พี่ชายของเขาอยู่ด้วย
“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ขอโทษที่มาช้าครับ” เขายกมือไหว้พ่อแม่ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน
“รถติดเหรอเนส” ภากรถามน้องชายที่อายุน้อยกว่าเขาห้าปี
ภากรเรียนจบปริญญาโทสาขาวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันชายหนุ่มเป็นโพรเจกต์แมเนเจอร์ผู้ควบคุมงานก่อสร้างตึกเออร์เบิน เฮริเทจที่สาทร ซึ่งกำลังจะกลายเป็นแลนมาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครในเร็วๆ นี้
“อือ วันนี้ว่างเหรอ”
“ใช่ ตอนเย็นไม่มีงานอะไร เลยกลับมากินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่”
“อืม”
“ได้ข่าวว่าวันนี้สัมภาษณ์เลขาฯ ใหม่ เป็นไงบ้างวะ สวยไหม” ดวงตาของคนถามเป็นประกายวิบวับ
“ตาไนน์นี่ น้องเขาหาเลขาฯ ไม่ได้หาแฟน เกี่ยวอะไรกับความสวยจ๊ะ” อุษาส่ายหน้าขำลูกชายคนโต
บุคลิกของภากรและภานุรุจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะคนพี่จะมีสองโหมดคือจริงจังเวลาทำงาน แต่พออยู่กับครอบครัวจะออกแนวทะเล้นมากกว่า ส่วนคนน้องไม่ว่าจะเวลางานหรือเวลาไหนก็นิ่งขรึม พูดน้อยอย่างนี้ตลอด
“เกี่ยวสิครับคุณแม่ ถ้าเลขาฯ สวย เจ้านายก็จะกระชุ่มกระชวยเวลาทำงานไงครับ” ภากรยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปยักคิ้วเย้าแหย่น้องชาย “จริงไหมเนส”
ภานุรุจส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ฉันไม่ใช่สมภารกินไก่วัด”
“หึๆๆ แล้วจะรอดู” เห็นใครพูดคำนี้ทีไร สุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองทุกที
“เอ้า กินข้าวกันดีกว่าหนุ่มๆ พ่อหิวแล้ว” อาทิตย์บอกลูกชายที่มัวแต่คุยกัน
“วันนี้มีแต่ของโปรดไนน์กับเนสทั้งนั้นเลยนะจ๊ะ อ้ะ ปีกไก่น้ำแดงของเนสจ้ะ แล้วก็นี่ไข่เจียวปูของไนน์” หญิงวัยกลางคนตักอาหารใส่จานให้ลูกชายคนเล็ก จากนั้นจึงตักให้ลูกชายคนโตบ้าง
“ขอบคุณครับคุณแม่”
“ขอบคุณครับ”
“ตกลงสัมภาษณ์เลขาฯ เป็นไงบ้างเนส” ผู้เป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“ยังเลือกไม่ได้เลยครับ เพราะโอเคทั้งสองคนเลย” ภานุรุจตอบแล้วตักอาหารใส่ปาก
“เลือกคนที่แกรู้สึกว่าชอบมากกว่าดิ” ภากรแนะนำ เพราะการเลือกด้วยความรู้สึก บางครั้งก็ดีกว่าใช้สมองวิเคราะห์
“ชอบเท่าๆ กัน”
“ไม่มีทาง มันต้องมีคนที่แกชอบมากกว่านิดนึงแน่ๆ”
“แกเป็นใคร ถึงได้รู้ความคิดฉันดีนัก”
“ฉันก็เป็นพี่ชายแกไง แค่มองตาก็รู้ใจแล้วไอ้น้อง” ผู้เป็นพี่ยกมือขึ้นตบหัวน้องชายแบบเฉียดๆ ไปหนึ่งที
“ตาไนน์! อย่าแกล้งน้องสิ” อุษาดุลูกชายพลางส่ายหน้าไปมา แม้ภากรจะอายุสามสิบสองแล้ว แต่ก็ยังชอบแกล้งน้องเหมือนตอนเด็กๆ ไม่เปลี่ยน
“ถ้าผมไม่รักมัน ผมไม่แกล้งหรอกครับคุณแม่”
“ไม่ได้แล้วนะจ๊ะ ต่อไปน้องจะเป็นประธานบริษัทแล้ว ถ้าเผลอไปแกล้งกันข้างนอก เดี๋ยวเสียภาพลักษณ์หมด”
“ใช่ ให้เกียรติท่านประธานนิดนึง” อาทิตย์สำทับ
ภานุรุจหันไปมองพี่ชายและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า
“โธ่ ท่านประธานก็แค่ตำแหน่ง เวลากลับบ้านมันก็เป็นน้องชายผมเหมือนเดิมนั่นแหละ” ภากรพูดจบก็เอื้อมมือไปดึงแก้มว่าที่ท่านประธานด้วยความรักและเอ็นดู
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ภากรก็ชวนภานุรุจไปที่ห้องทำงานซึ่งอยู่ทางด้านปีกขวาของบ้านทีปกรนฤนาถด้วยกัน ผู้เป็นน้องชายเดินตามไปโดยไม่ขัดข้อง เมื่อเข้ามาถึงในห้องแล้วจึงเอ่ยถามพี่ชายเสียงเรียบ
“มีอะไร”
“ขอปรึกษาหน่อย” ภากรมีสีหน้าสับสนระคนว้าวุ่น
“ว่า?” ภานุรุจยกมือขึ้นกอดอกรอฟังปัญหาของอีกฝ่าย
“คือ...เมื่อเดือนก่อน ฉันเจอผู้หญิงคนนึง ฉันชอบเขามาก แล้วท่าทางเขาก็ชอบฉันเหมือนกัน” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเกริ่นขึ้นโดยไม่อ้อมค้อม
“อือฮึ”
“เราสองคนคุยกันถูกคอมาก แล้วก็อยากจะลองคบกันเป็นแฟน แต่จู่ๆ เขาก็หนีฉันไปเว้ย จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด” ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความกลัดกลุ้ม
ภานุรุจพยักหน้าเบาๆ นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นปัญหาหัวใจ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยปรึกษาเขาเรื่องงานเลย “แกไม่มีเบอร์ ไลน์ หรือเฟซบุ๊กของผู้หญิงคนนั้นเหรอ” ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย
“ไม่มี”
“อ้าว แล้วไหนบอกว่าคุยกันถูกคอมาก”
“ก็ใช่ แต่ฉันกับเขาคุยกันเรื่องอื่น ยังไม่ได้ถามข้อมูลติดต่ออะไรทั้งนั้น เอาจริงๆ แม้แต่ชื่อเขาฉันยังไม่รู้เลย” คิ้วหนาของคนพูดแทบจะผูกกันเป็นปม
“อะไรนะ!” ภานุรุจทำหน้าทึ่ง คุยกันยังไงถึงไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ
“เออ นั่นแหละ ฉันเจอเขาในงานเปิดตัวบริษัทของเพื่อน แล้วก็มีโอกาสได้คุยกันในงาน เราไปนั่งดื่มกันต่อหลังจากนั้น ถึงจะใช้เวลาด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ฉันชอบเขามากๆ ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แหละคือคนที่ฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลือด้วย”
นัยน์ตาของภากรเป็นประกายพร่างพราวเมื่อเอ่ยถึงหญิงสาวที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เธอครอบครองหัวใจของเขาไปแล้วทั้งดวง
“แกแน่ใจเหรอว่าไม่ได้ทำอะไรผิด” พูดถึงเรื่องผู้หญิงหนี ภานุรุจก็อดนึกถึงเรื่องของตัวเองไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับผู้หญิงคนนั้น
“ไม่เลย ก่อนที่จะหนีไป เขายังคุยกับฉันดีๆ อยู่เลย”
“เขาอาจจะมีเหตุผลของเขา”
“เหตุผลอะไรวะ”
“ไม่รู้ แต่เดี๋ยววันนึงแกก็รู้เอง โลกมันไม่ได้กว้างใหญ่ขนาดนั้น ถ้าแกกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ ยังไงก็ต้องกลับมาเจอกันอีกจนได้”
ยกเว้นเรื่องของเขากับเพลงขวัญ...เพราะการที่โชคชะตานำพาให้เขาและเธอโคจรกลับมาพบกันก็เพื่อให้โอกาสแต่ละฝ่ายชี้แจงเรื่องที่ยังค้างคาให้เข้าใจกันเท่านั้น เขาไม่ได้ชอบเธอ และเธอก็ไม่ได้ชอบเขาด้วย
“ฉันก็หวังว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง ไม่งั้นคงคาใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ” ภากรถอนหายใจอย่างอึดอัด ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียด
“อืม ขอให้ได้เจอแล้วกัน” ภานุรุจอวยพร เขาเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายดี
การที่คนคนหนึ่งเดินออกจากชีวิตเราไป ไม่ว่าจะบอกเหตุผลหรือไม่บอก มันก็คงเจ็บปวดไม่ต่างกัน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่มีเขาอยู่ในชีวิตอีกต่อไปอยู่ดี
ความคิดเห็น