คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 02 ฟ้าคราม [1]
ตอนที่ 02 ฟ้าคราม
“เจ้ ขอร้องล่ะ ให้หนูอยู่ต่ออีกสักเดือนไม่ได้เหรอ!”
“ไม่ได้!
เธอค้างค่าเช่ามาสองเดือนแล้วนะ นี่ถ้าอีกสามวันเธอยังไม่มาจ่ายค่าเช่าที่ค้างไว้ เธอก็เตรียมตัวไสหัวออกไปจากแมนชั่นแห่งนี้ตัวเปล่า ๆ ชนิดที่ว่าห้ามหยิบข้าวของติดตัวออกไปด้วยแม้แต่ชิ้นเดียวเป็นอันเด็ด เข้าใจมั้ย!” สิ้นคำขาดไม่รอให้ฉันขานรับ เจ้เจ้าของตึกห้องเช่าที่ฉันพักอาศัยอยู่เป็นระยะเวลาสองปีกว่า ๆ ก็เดินเชิดหน้าใส่อย่างแยแสฉันเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ...ทำไมไม่เห็นใจกันบ้างเลยนะ” ฉันบ่นพึมพำพลางถอนหายใจเฮือกแรงอย่างคนหนักอกหนักใจ จากนั้นฉันก็ยกมือทุบหัวตนเองเบา ๆ เพราะรู้สึกมืดแปดด้าน
ฉันชื่อ ฟ้าคราม เป็นเด็กสาวเฟรชชี่ปีหนึ่ง เหตุผลที่ฉันกำลังเดือดร้อนอยู่ในตอนนี้ สาเหตุมันเป็นเพราะว่าฉันเพิ่งจะได้รับการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยไงล่ะ
ฉันเอาเงินที่เก็บมาจากการทำงานหนักไปจับจ่ายใช้สอยกับค่าต่าง ๆ ไปหมดแล้ว เช่น ชุดนักศึกษาอะไรพวกนี้เนี่ย และมันก็มีค่าใช้จ่ายจิปาถะอีกเยอะแยะรวมอยู่ด้วยนั่นแหละ ฉันถึงได้ไม่มีเงินเหลือไว้จ่ายค่าเช่าห้องยังไงล่ะ
ฉันจะรบกวนขอเงินคนที่บ้านก็เกรงใจเพราะป๊ากับม๊าก็มีภาระต้องส่งเสียฟ้าลั่นเรียนหนังสือด้วยเหมือนกัน ปีนี้ฟ้าลั่นก็ขึ้นม.6 แล้ว
ค่าใช้จ่ายก็เยอะพออยู่แล้วน่ะ
อ้อ ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วหรอกนะ ฉันย้ายออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่มัธยมปลายแล้วล่ะ เพราะต้องการหางานทำส่งเสียตนเองเรียนหนังสือเอง
ยิ่งคิดหาทางออก ฉันก็ยิ่งหนักใจ แค่สามวัน ฉันจ่ายไม่ทันหรอก แม้ว่าตนเองจะทำงานหลายที่ทุกวัน โดยไม่มีวันหยุดแล้วก็ตาม ทว่าฉันได้รับค่าจ้างวันละไม่ถึงสี่ร้อยบาทเองนะ นี่ถ้าหากว่าข้าวของไม่แพง ฉันคงมีเงินเก็บเหลือเฟือแล้วล่ะ
“เฮ้อ...บ่นไปก็เท่านั้น ไปเรียนดีกว่า” เป็นอีกครั้งที่ฉันทำได้แค่ถอนหายใจเพราะยังคงคิดหาทางออกไม่เจอ
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอมเรียนด้วยสิ อีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลารวมตัวกันของนักศึกษาปีหนึ่งแล้วล่ะ
สำหรับน้องใหม่วันนี้มีกิจกรรมรับน้องตั้งแต่วันแรกน่ะ นี่ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากเลยล่ะ ฉันสอบเข้าเรียนคณะครุศาสตร์ เอกภาษาไทยน่ะ เป็นเด็กทุนประเภทยากจน ซึ่งประเภทนี้ต้องสอบชิงทุนปี ไม่เหมือนพวกเด็กฉลาด คือต่อให้ร่ำรวยอยู่แล้ว แต่หากสอบได้คะแนนสุดสูงของคณะนั้น ๆ ก็จะสามารถเรียนฟรีจนจบปริญญาเลยแหละ
ซึ่งอันที่จริงเด็กทุนประเภทอย่างฉันมีความเสี่ยงมากเลยนะ หากปีถัดไปตนเองไม่สามารถสอบชิงทุนไปได้เนี่ย เนื่องจากว่าค่าเทอมแพงมากเลยไง อย่างต่ำคือใกล้หลักแสนเชียวล่ะ ทว่าเหตุผลง่าย ๆ ที่ฉันยอมเสี่ยงเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัย M นั่นก็เป็นเพราะว่าหากเรียนจบก็จะมีที่รองรับเข้าทำงานยังไงล่ะ
มหาวิทยาลัย M ขึ้นชื่อเรื่องพวกนี้เป็นอย่างมาก คือมหาวิทยาลัยจะเป็นตัวกลางในการจัดการหางานให้ด้วยนั่นเอง
ฉันจน แต่ฉันก็วางใจนะ
นี่ดีที่ฉันวางแผนเช่าอยู่แมนชั่นหน้ามหาวิทยาลัย M ตั้งแต่ที่ตนเองตัดสินใจจะเข้าเรียนที่นี่ ทั้งที่ตอนนั้นฉันยังคงเรียนอยู่แค่ม.4 เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเรื่องค่าใช้จ่ายของการเดินทางก็ตัดไป และฉันยังร้องขอทางมหาวิทยาลัยด้วยว่าไม่อยากอยู่หอใน ซึ่งมีไว้ให้เช่าสำหรับพวกเด็กทุนและเด็กปีหนึ่ง ทว่ามันก็แพงเกินกว่างบที่ฉันต้องการอยู่ดี ดังนั้นฉันจึงใช้เหตุผลที่ว่าตนเองมีที่พักอยู่ใกล้สถานที่ศึกษาอยู่แล้วไง เพราะฉะนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงอนุโลมไป
“อ้าว ทำไมวันนี้เธอแต่งตัวดูเชยนักล่ะ?” ระหว่างที่ฉันกำลังเร่งฝีเท้าก้าวเดินมาถึงหน้าประตูรั้วมหาวิทยาลัย อยู่ ๆ ก็มีนักศึกษาชายร่างสูงคนหนึ่งเอ่ยทักทายขึ้นมาสักก่อน ซึ่งเมื่อเจอกัน เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูงพลางจ้องมองมายังฉันด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูประหลาดใจสุด ๆ
ซึ่งเมื่อฉันถูกมองมาอย่างนั้น ฉันก็ก้มหน้ามองดูเสื้อผ้าของตนเองพลางพิจารณาไปด้วยว่ามันดูเชยตรงไหนกัน ชุดก็ชุดนักศึกษา แม้เสื้อจะหลวมไปหน่อย ทว่ามันก็สบายตัวไง นี่หากต้องใส่แบบรัดรูป ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก หน้าอกฉันยิ่งไม่มีอยู่ด้วย เดี๋ยวคนอื่นเขาก็รู้หมดกันพอดีน่ะสิ กระโปรงก็อาจจะยาวไปหน่อยถึงตาตุ่ม ตอนนี้ฉันเพิ่งจะเข้าปีหนึ่งเองนะ ดังนั้นฉันควรจะแต่งตัวให้เรียบร้อยไม่ใช่เหรอ แต่ไว้เดี๋ยวปีหน้า ฉันจะคิดดูอีกทีก็แล้วกัน ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าหากว่าฉันมีเงินเหลือมากพอน่ะนะ ฉันก็จะซื้อตัวใหม่ให้เล็กกว่านี้ หรือไม่ก็ใส่ตัวเดิมนี่แหละ
ว่าแต่นี่ใช่เรื่องที่ฉันควรจะเอามาซีเรียสด้วยเหรอเนี่ย ทั้งที่ปัจจุบันฉันไม่มีเงินจะจ่ายค่าเช่าห้องพักเลยด้วยซ้ำ
“ก็ไม่นิ” ฉันตอบไปส่ง ๆ พลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“เราไปทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหารกันก่อนมั้ย หรือว่าเธอทานจากบ้านมาแล้ว?” พอเขาถามคำถามนี้ขึ้นมาอย่างคนสนิทสนมกันมาก่อน ฉันก็เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจสุด ๆ กลับไปด้วยเช่นกัน
เขารูปร่างสูงใหญ่กว่าฉันเยอะมาก ดังนั้นฉันจึงต้องถอยหลังไปสามก้าวเพื่อจะมองสบตากับเขาได้อย่างสะดวก โดยที่ไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นสูงให้ปวดคอนัก
ใบหน้าของเขาอย่างกับรูปปั้นตามแบบฉบับเชื้อสายฝรั่งแท้ ๆ
ยิ่งมอง ฉันก็ยิ่งตะลึง
นี่ถ้าเขาตรงสเปคฉันนะ ฉันคงจะกรี๊ดแตกไปแล้วล่ะ เขาหล่อมากซะจนฉันอยากจะร้องขอชีวิต แต่ถึงแม้ว่าหน้าตาและรูปร่างของเขาจะฝรั่งจ้าขนาดนี้ ทว่าเขากลับพูดภาษาไทยออกมาได้อย่างชัดแจ๋วมาก
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ใบหน้าหล่อเหลานี้ไม่ใช่ประเด็นสิ ที่ฉันสงสัยก็คือ...
“เราสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ?” ก็เขาทำเหมือนว่าเราสนิทกันไง ฉันถึงได้เอ่ยถามเขาออกไปอย่างนี้
“เฮ้...นานา อย่าอำกันเล่นแบบนี้ดิ” ผู้ชายตรงหน้าแค่นหัวเราะ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์ “หรือว่าพอได้ผัวใหม่แล้ว เลยลืมผัวเก่า?”
ไหน ๆ ก็โดนทักผิดแล้ว
เอายังไงดีฟ้าคราม ฮ่า ๆๆ
ความคิดเห็น