คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ร้ายกาจ ≠ บทที่ 00 [รีไรท์]
ก่อนจะฉลาด คนเราก็มักเคยโง่มาก่อน
ดังนั้นไม่แปลกหรอก
เมื่อรักมากจนโงหัวไม่ขึ้น
ฉันถึงได้โดนเขาหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า
:: ใบบัว ::
“ ‘ใบบัว’ เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย!”
“ทำไมเหรอ?” เสียงเรียกอย่างหงุดหงิด พลางสะกิดเบาๆ ตรงหัวไหล่ ไม่ได้ทำให้ฉันซึ่งกำลังยืนกดแชทบนโทรศัพท์มือถือเงยหน้าขึ้นหรอก
ตอนนี้ตัวเองกำลังแชทคุยกับคนคนหนึ่งอย่างสนุกสนานอยู่น่ะ
ซึ่งเราต่างก็อยู่คนละสถานที่กัน ดังนั้นโลกภายนอกตอนนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง
ฉันไม่คิดจะสนใจเลยแม้แต่น้อย ตัวเองจึงไม่ทำตามเสียงสั่งของเพื่อน
แล้วเอาแต่กดพิมพ์ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างนั้นแหละ
พร้อมหัวเราะคิกคักคนเดียวเป็นระยะๆ
ถ้าหากคนรอบข้างจะมองว่าฉันบ้า
มันก็ไม่แปลกนักหรอก
“เพราะเธอเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไง
สังคมถึงได้ก้มหน้าก้มตากันหมด!” หลังจากที่ฉันมีท่าทีไม่สนใจไยดีเสียงเรียกแกมบังคับ
แล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างเพลิดเพลินใจอยู่อย่างนั้น ‘มาร์ติน’ก็ร้องโวยวายเสียงดังลั่นทันทีอย่างไม่แคร์ว่าผู้คนรอบข้างเราต่างก็กำลังทำกิจกรรมเช่นเดียวกับฉันจะพากันจ้องเขม็งเขาตาเดียวกัน
ไอ้เพื่อนบ้าคนนี้ก็จริงๆ
เลยนะ โวยวายแบบนี้ คือวอนอยากโดนรุมกระทืบอะ
มาร์ตินนี่บ้าบอที่สุด
เวลาอย่างนี้ จะให้ฉันอยู่เฉยๆ เหมือนเขาเหรอ มันไม่ใช่อะ
ก็ในเมื่อตอนนี้เรายืนอยู่บนรถไฟฟ้านี่นา
ถ้ายืนอยู่เฉยๆ มันก็น่าเบื่อสุดๆ เลยน่ะสิ
การที่มีเครื่องสื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟนก็ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดีเยี่ยม
และที่สำคัญพบพาได้สะดวก ไปได้ทุกที เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติของสังคมสมัยนี้อยู่แล้วแหละที่จะหยิบมันขึ้นมาเล่นในช่วงเวลาน่าเบื่อหน่ายอย่างนี้น่ะ
“นายจะโวยวายทำไมเล่า
ฉันกำลังแชทคุยกับเพื่อนอยู่ อย่าขัดได้ปะ!” ในที่สุด
ฉันก็ยอมแหงนหน้าขึ้นมองเขาจนได้ ทว่าสายตาที่มองเพื่อนเหมือนจะหาเรื่องกันมากกว่าน่ะ
เพราะฉันรู้สึกหัวเสียเป็นเอามากเลยยังไงล่ะ
ผู้คนส่วนใหญ่ที่ติดมือถือน่าจะเข้าใจอารมณ์นี้ของฉันดีนะ
คือแบบ...กำลังแชทคุยสนุกๆ อยู่อะ แล้วโดนขัดเนี่ย คนคนนั้นมันน่าโดนดีนัก!
“แล้วเพื่อนที่อยู่ตรงหน้านี้ล่ะ
เธอไม่อยากคุยเหรอ เธอถึงได้เอาแต่พิมพ์แชทอยู่นั่นแหละ เพื่อนในนั้นมันจริงใจกว่าฉันที่คบกันมา
5 ปีหรือไงกัน?!”
จุก...
และก็เงิบเลยจ้า!
“โอเคๆ เก็บแล้วก็ได้
นายไม่เห็นต้องดราม่าเลยนี่นา” พอมาร์ตินว่าด้วยประโยคตัดพ้ออย่างนั้น
มันก็ทำให้ฉันสะอึกเลยน่ะสิ ดังนั้นตัวเองเลยจำใจเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าสะพายทันที
แต่ก็ไม่วายแอบรู้สึกเซ็งเล็กน้อย
เฮ้อ...จะว่าไปก็น่าเสียดายจัง
ฉันไม่ได้ตอบกลับข้อความไปอะ นี่ไม่รู้ว่าป่านนี้คนฝั่งโน้นกำลังรออ่านข้อความตอบกลับแย่เลย
เมื่อกี้ฉันกดอ่านแล้วด้วยสิ แย่จริง หวังว่า‘น้องเขา’คงไม่เคืองฉันหรอกนะ
“ทำหน้าแบบนี้ หมายความว่ายังไงวะใบบัว?!”
ไอ้เพื่อนร่างสูงหัวสีประหลาดยังไม่เลิกพูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะอะ
ทั้งๆ ที่ฉันยอมเขาแล้วแท้ๆ
มาร์ตินย้อมผมสีควันบุหรี่ทำไมไม่รู้
ดูแล้วเหมือนพวกเกเรไม่มีผิด
ยิ่งบวกกับการที่เขาสวมเสื้อช็อปสีแดงเลือดของคณะวิศวะฯ ด้วยแล้ว มันก็ยิ่งดูเข้ากันเสียเหลือเกิน
คือเหมือนพวกที่มักจะชอบหาเรื่องชกต่อยเป็นกลุ่มๆ ตามสื่อต่างๆ ไง ซึ่งมักจะออกข่าวให้เห็นอยู่บ่อยๆ
อะ
“งอนแล้ว
นายทำให้ฉันอับอาย” ฉันยื่นปาก พลางยกแขนกอดอกแน่น
“ฉันไม่ได้แก้ผ้าให้เธอดูสักหน่อย
จะอายทำไม?” แม้ตอนแรกมาร์ตินจะมีท่าทีหงุดหงิด แต่แล้วพอเห็นสีหน้าบึ้งบูดของฉันแล้ว
เขาก็เหมือนจะมันเขี้ยวขึ้นมาซะอย่างนั้น
หมับ!
ไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด
อยู่ๆ มาร์ตินก็ดึงตัวฉันเข้ามากอดรัดแน่น แล้วยีผมฉันแรงๆ ทำให้ผมฉันยุ่งเป็นรังนก
“ไอ้เพื่อนบ้า! ที่นี่มันในที่สาธารณะนะ!” ลองพิจารณาคำพูดคำจาประโยคเมื่อกี้ของมาร์ตินดูสิ
ไหนจะกอดรัดฟัดตัวฉันอย่างไม่แคร์สายตาใครต่อใครอีกล่ะ เขามันบ้าจริงๆ ด้วย ฉันรีบดีดดิ้นขัดขืนผละออกไปจากวงแขนของเพื่อนตัวดีโดยเร็ว
แล้วรีบจัดทรงผมหน้าม้าของตัวเองให้เรียบร้อยเหมือนเดิม จากนั้นก็ค้อนใส่เขาวงใหญ่
“กอดทำไมเนี่ย คนมองกันใหญ่เลยอะ เห็นมั้ย!”
การที่โกรธเคืองมาร์ตินฉับพลันอย่างนี้
เนื่องจากว่ากลัวจะมีใครยกโทรศัพท์มือถือเปิดกล้องถ่ายวิดีโอขึ้นมา แล้วไปลงใน facebook หรือไม่ก็ youtube
น่ะสิ เพราะเดี๋ยวนี้สังคมยิ่งเข้าถึงได้ง่ายมากๆ อยู่ด้วย และเผลอๆ
ไม่แน่อีกประเดี๋ยวอาจจะมีคลิป‘หนุ่มสาวในชุดนักศึกษามหา’ลัยดังกำลังนัวเนียกันบนรถไฟฟ้าอย่างไม่อายสายตาใครต่อใคร’ในทีวีก็เป็นไปได้ แม้ในคลิปไม่ได้มีอะไรมากอย่างที่ถูกกล่าวหา
แต่เชื่อสิว่ามันอาจจะเกิดประเด็นร้อนขึ้นมาก็ได้ ฉันไม่อยากเสี่ยงหรอกนะ
“ลืมไป
เดี๋ยวนี้พวกขี้เสือกมันเยอะ!” มาร์ตินจงใจพูดจากระแทกเสียงดัง
พลางกวาดมองรอบๆ บริเวณด้วยสายตาไม่พอใจสุดๆ
บางคนเป็นอย่างที่ฉันกำลังกังวลไม่มีผิด
คือรีบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเหมือนว่ากำลังจะถ่ายวิดีโอเราสองคนอยู่น่ะ ทว่าพอมาร์ตินโพล่งแบบนั้น
ต่างก็ลนลานรีบเก็บโทรศัพท์มือถือวางข้างลงลำตัว แล้วเบือนหน้าหนีทำทีเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เฮอะ...ไม่เนียน
“เราไปยืนรออยู่หน้าประตูกันดีกว่านะมาร์ติน
อีกเดี๋ยวใกล้จะถึงสถานีแล้ว” ฉันรีบดึงแขนมาร์ตินลากไปยังหน้าประตูทางเข้าออกของรถไฟฟ้าทันที
เมื่อเห็นท่าไม่ดี
อ้อ
ลืมบอกไป ฉันกับมาร์ตินเรียนมหาวิทยาลัย M ปีที่ 2 แต่อยู่คนละคณะกัน
ฉันเรียนบริหารการจัดการ ส่วนมาร์ตินเรียนวิศวกรรมเครื่องกล
เราสองคนมีความแตกต่างกันสุดขั้ว ทว่าเราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมปลายแล้วน่ะ
ซึ่งปัจจัยสำคัญมันมีอยู่ตรงที่ว่าบ้านของเราทั้งคู่อยู่ข้างๆ กันยังไงล่ะ ดังนั้นพวกเราเลยมาหาสู่กันเสมอ
กระทั่งสนิทสนมกันเป็นพิเศษจนถึงปัจจุบัน
“แต่ก่อนจะกลับถึงบ้าน
พวกเราแวะซื้อขนมที่ร้าน‘แป้ง’กันก่อนดีปะ
อยู่ๆ ฉันก็อยากกินเค้กขึ้นมาวะ”
“วันนี้นายป่วยแล้วกินยาไม่เขย่าขวดเหรอมาร์ติน
ประสาทเลยทำงานไม่ปกติอะ” ฉันถามด้วยความงุนงง พลางแหงนหน้าขึ้นสุดคอมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
เพราะเขายืนอยู่ใกล้
มาร์ตินสูงกว่าฉันเกือบยี่สิบเซนติเมตรเชียวนะ
การที่ต้องแหงนหน้า
ไม่ใช่เพราะมาร์ตินสูงเกินไปหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันต่างหากล่ะที่เตี้ยน่ะ อ้อ
เข้าเรื่องต่อดีกว่า การที่ฉันถามเขาไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าฉันอยากกวนประสาทอะไรเขาหรอกนะ
คือมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกนักเลย ถ้าหากว่าเพื่อนตัวดีคนนี้ไม่เกลียดของหวานเป็นเอามากๆ
น่ะ คือทุกครั้งเวลาเห็นฉันทานต่อหน้าเขา เขามักจะเบ้ปากทำหน้าเหมือนว่ารู้สึกขยะแขยงสุดๆ
ดังนั้นมันเลยแปลกมากๆ ที่เขาอยากทานของพวกนั้นขึ้นมาน่ะ
“แรง!” พอเข้าใจผิดคิดว่าฉันด่า มาร์ตินก็แยกเขี้ยวใส่ แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ
ฉัน “ฉันถามเธอจริงๆ นะใบบัว การที่เธอด่าฉันแรงขนาดนี้ เพราะเธออยากโดนฉันจับจูบเหรอ?”
“ไอ้...!” ฉันยกกำปั้นขึ้นสูง เตรียมพร้อมจะทุบตีบนร่างกายของมาร์ตินให้ช้ำใน
โทษฐานที่พูดจาบ้าๆ ออกมาหน้าตาเฉยอย่างนั้น
แต่แล้วก็มีเสียงประกาศว่าถึงสถานีแล้วเสียก่อน ดังนั้นตัวเองจึงเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่
โดยการสะบัดหน้าใส่เขา พลางยื่นปากงอนอีกรอบ ก่อนจะเดินกระแทกเท้าก้าวยาวๆ ออกไปจากตัวรถไฟฟ้า
เมื่อประตูเปิดออกพอดี
“เฮ้...เธอจะงอนทำไมวะ
ไม่รู้หรือไงว่าฉันแค่พูดเล่นเฉยๆ น่ะ” มาร์ตินจับหมับตรงหัวไหล่ฉันบังคับให้หยุดเดิน
แล้วกระชากแรงๆ ให้หันมาประจันหน้ากัน ท่ามกลางผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา
ซึ่งจะเข้าจะออกบนรถไฟฟ้า สวนทางกันอย่างไม่เป็นระเบียบนัก
“ฉันไม่ชอบนี่นา บนรถไฟก็หนหนึ่งแล้วนะ
นายไม่เห็นเหรอ ผู้คนมองเรากันใหญ่เลยอะ”
“แล้วเธอจะแคร์สายตาคนอื่นทำไมวะ
เราไม่ได้ทำอะไรเสียหายสักหน่อย”
“นายจะคิดตื้นๆ แบบนี้ไม่ได้นะ
เพราะเดี๋ยวนี้อะไรๆ เขาก็แชร์กันในโลกโซเชียลกันทั้งนั้น แม้แต่ยำมะม่วงที่ขายกันในตลาดถุงละ
240 บาท เขายังแชร์เลยว่ามันแพงเกินไป พร้อมระบุตำแหน่งเสร็จสรรพด้วยว่าขายแถวไหนอะ”
“เออ
เรื่องนั้นมันก็จริงนี่หว่า ยำมะม่วงบ้าบออะไรวะ ตั้ง 240
บาท นี่สอยมะม่วงมาจากเทือกเขาหรือยังไงกัน นี่ขนาดว่าฉันรวย ฉันยังคิดว่าแพงนะ”
มาร์ตินพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าอีกครั้ง
ทว่าเบาๆ เหมือนฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “อ๋อ...ฉันเข้าใจแล้ว
เธอคงไม่อยากให้ตัวเองดังในโลกโซเชียล เพราะมันจะส่งผลกระทบถึงโลกภายนอกด้วย ถูกปะ?”
“ใช่”
ยังดีนะที่มาร์ตินพอฉลาดอยู่บ้าง
ฉันจะได้ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ฉันยิ่งหงุดหงิดอยู่ด้วย
“งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ
พอเราไปถึงร้านแป้ง ฉันจะเลี้ยงเธอแบบไม่จำกัดจำนวนชิ้นเลยเอาปะ”
“...” ฉันเงียบ ตั้งท่างอนตุ๊บป่องท่าเดียวเลยล่ะ
“ไม่งอนน่า ดีกันๆ”
เมื่อฉันตั้งท่าไม่ยอมหายเคืองง่ายๆ มาร์ตินจึงยกนิ้วก้อยขึ้นเพื่อจะเกี่ยวก้อยกัน
ทำราวกับว่าเราสองคนเป็นเด็กๆ ไม่มีผิด
แม้คนตัวสูงทำแล้วมันน่ารัก
ทำแล้วมันน่าให้อภัย แต่ฉันกลับยกแขนกอดอกแน่นอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม ฉันแกล้งทำเหมือนว่ายังไม่หายงอน
แล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อกลั้นยิ้มไม่ให้มาร์ตินทันได้สังเกต
“จริงๆ นายก็เลี้ยงขนมฉันเกือบทุกวันอยู่แล้วนี่นา
ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลยอะ นี่ดีนะเนี่ยที่น้ำหนักฉันไม่เพิ่มขึ้นเลยสักโล” ฉันว่าเสียงอ่อย พลางแกล้งกะพริบตาถี่ๆ ทำทีว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก และไม่เพียงแค่นั้นนะ
ฉันยังยกนิ้วชี้ทั้งสองข้างแตะกันเบาๆ ใกล้ๆ ปลายจมูกเลียนแบบนางเอกในซีรี่ส์เกาหลีอีกด้วย
“จะง้อทั้งที ฉันขอดอกกุหลาบสวยๆ สักช่อใหญ่ๆ หรือไม่อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ของกินอ่า
ไม่ได้เหรอ?”
จริงๆ
ของเหล่านั้นฉันไม่ต้องการมากนักหรอก แต่ไหนๆ มาร์ตินจะเลี้ยงขนมร้านแป้งอยู่แล้วไง
ฉันเลยอยากได้อย่างอื่นเพิ่มน่ะ อิๆ
“คราวนี้เธออยากได้อะไรอีกล่ะใบบัว
นี่เธอขอให้ฉันซื้อนั่นซื้อนี่ตลอดเลยนะ แล้วนี่ถ้าหากว่าฉันคิดแผลงๆ ขึ้นมาด้วยการอยากแต่งงานกับเธอ
ฉันคงไม่ต้องใช้สินสอดทองหมั้นให้เปลืองตังค์แม่งเลยสักบาทก็ได้มั้ง
แต่งแม่งได้เลยเหอะ ฉันเปย์เธอมาเยอะแล้วว่ะ”
ตึกตัก
ตึกตัก...
“พะ พูดบ้าอะไรของนายเนี่ยมาร์ติน
งะ งั้นเราไปกันเลยดีกว่า ฉันไม่อยากได้อย่างอื่นเพิ่มแล้วก็ได้” ฉันโวยเสียงงุบงิบอย่างตะกุกตะกัก แล้วรีบวิ่งนำหน้าไป โดยไม่สนใจคนด้านหลังที่แหกปากร้องเรียกตามหลังเสียงดังลั่นอย่างไม่แคร์คนอื่นอย่างมาร์ตินแม้แต่น้อย
โอ๊ย...มาร์ตินนี่บ้าที่สุดเลยอะ
เขาพูดอะไรออกมาแบบนี้ได้ยังไงกัน นี่เขารู้ตัวบ้างหรือเปล่าไหมเนี่ย
ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว ยังจะมาพูดจาแบบนี้กับฉันอยู่อีก เขาไม่รู้หรือไงกันว่าทำให้ฉันใจสั่นนะเฮ้ย!
ว่าแต่ฉันก็บ้ากว่านะ
รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเขาแค่พูดเล่น ทว่าตัวเองก็ยังแอบหวั่นไหวอยู่ได้
เฮ้อ...แอบชอบเพื่อนสนิทตัวเอง
มันไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด แถมยังรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ จี๊ดๆ ในใจบ่อยครั้งมากยิ่งกว่าเสียวฟันเสียอีก
นั่นก็เป็นเพราะว่าเขามีแฟนอยู่แล้วยังไงล่ะ
ฮือๆ
ใบบัวคนนี้เลยต้องเจ็บปวดเรื่อยมาจนอยากร้องไห้วันละหลายๆ รอบเลยล่ะ
ฉันอิจฉา‘ไพลิน’แฟนของมาร์ตินอะ
พวกเขาสองคนคบกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว รู้จักกันก็ในเฟซบุ๊คนี่แหละ
นี่มันน่าเหลือเชื่อมากเลยว่าไหมล่ะว่ารักแท้ก็หากันได้ง่ายๆ
เพียงแค่บนหน้าจอแคบๆ บนโทรศัพท์มือถือน่ะ
บางคู่ถึงขั้นแต่งงานมีลูก
แฮปปี้จ๊ะ
เฮ้อ...มาร์ตินนี่มะม่วง[ศัพท์วัยรุ่นแปลว่าโง่]จริงๆ
เลยอะที่มองข้างผู้หญิงน่ารักๆ อย่างฉันเนี่ย!
แหม...คู่นี้ เปิดตัวก็น่ารักเชียวนะ!
มองบน อิจเบาๆ
เรื่องนี้เคยอัพมาแล้วครั้งหนึ่งนะคะ
แต่อัพเพียงแค่ครึ่งเรื่องเท่านั้น
ตอนนี้ทุกคนคงลืมไปแล้วมั้ง ฮ่าๆ ><
สำหรับนักเขียน คอมเมนต์คือกำลังใจ
ถ้าไม่สะดวก กดให้กำลังใจอย่างเดียวก็ได้ค่ะ ^^
ความคิดเห็น