คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : นักล่าพ่นไฟกับเหวมรณะ
การเดินทางของทั้งสี่ผ่านไปกว่าสามชั่วโมงแล้ว พวกเขาเจอแต่ทราย ทรายแล้วก็ทรายจนตอนนี้พวกเขามาถึงเขาลูกหนึ่งมีทางเดินขึ้นเขาไป ที่ตีนเขามีป้ายเขียนไว้ว่า"เข้าสู่เขตเวทมนตร์"
"ระวังตัวกันหน่อยนะ"คาลันบอก
มันเป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อเข้าสู่เขตเวทมนตร์ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของเขาลูกนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ดรากูล" ซึ่งมันไม่เคยออกมาจากเขตเวทมนตร์เลย ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เป็นสัตว์ที่ร้ายกาจพอสมควร และมันมักจะไปเล่นงานคนที่เข้ามาในเขตเวทมนตร์ที่เหวมรณะ
ทั้งสี่เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างระวังตัวกันเต็มที่ จนไปถึงยอดเขา ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาเดินขึ้นประมาณหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ พวกเขาเลยนั่งพักทานข้าวกลางวันอยู่บนยอดเขา เบื้องหน้าทางเดินต่อไปจะต้องข้ามสะพานไปอีกเขาหนึ่ง ทางยาวประมาณร้อยเมตร ข้างล่างไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีอะไรอยู่ เพราะสูงมาก แถมที่สะพานยังมีหมอกปกคลุมตลอดทาง ที่ตรงนี้คือเหวมรณะ
"เราจะผ่านไปยังไงละเนี่ย"สโตนเปรยพลางมองทางเบื้องหน้า
"ก็ขอให้มันไม่รู้ว่าเราเดินมาแล้วกัน"วิลบอก
"ไม่มีทางเป็นไปได้ นายก็รู้ว่าจมูกมันไวต่อกลิ่นกว่าเราเป็นสิบเท่า"สโตนพูด
"ก็คงต้องภาวนาให้มันอิ่มแล้วมั้ง"คาลันพูดบ้าง
"เฮอะ สุดยอดความคิด"สมายล์ถากถาง คาลันหันไปมองหน้าก่อนจะหรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจแล้วพูดเบาๆว่า
"เราได้แต่ภาวนาเท่านั้นแหละ"
นี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้แววตาอันเยือกเย็นดุจน้ำแข็งของคาลันละลายลงกลายเป็นไฟที่ลุกโชนได้อย่างไม่เย็น เพราะคาลันไม่ชอบหรืออาจจะเรียกว่าเกลียดเลยทีเดียว ที่มีคนมาถากถางความคิดของเขา แม้ว่ามันจะไร้สาระก็ตามที
"ถ้าเธอมีวิธีที่ดีกว่านี่ก็บอกมาสิ"คาลันพูดอย่างเยือกเย็นและน่ากลัว ทุกคนเห็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า จะมีการทะเลาะกันอีกในไม่ช้า สโตนเดินไปด้านหลังคาลันทันทีเผื่อว่า จะเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น
"ฉันขอโทษ"สมายล์พูดเสียงแผ่ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าเมื่อคาลันโกรธ อะไรจะเกิดขึ้น ทุกคนจ้องมองคาลัน แล้วรู้สึกดีขึ้น เมื่อเห็นว่าแววตาของเขาเริ่มก่อตัวเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง
"เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ แล้วยังจะมายั่วอีก"คาลันพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
เมื่ออาหารกลางวันซึ่งนั่นก็คือแซนวิชตกลงกระเพาะจนอิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ไปอยู่ตรงหน้าสะพาน มันเป็นสะพานไม้มีเชือกให้จับสองข้างกันตก แคบพอที่จะเดินได้เพียงคนเดียว พวกเขาเดินไป แต่เพียงแค่วิลกับคาลันที่เดินนำหน้าเหยียบลงบนสะพาน มันก็เริ่มสั่นคลอนพร้อมกับเสียงเชือกที่เริ่มจะขาดออกจากกัน ทั้งสี่ใจเต้นอย่างรุนแรง แล้วถอยหลังกลับทันที
"ฉันว่าเดินไปทีละคนดีกว่านะ แล้วพอถึงอีกฝั่งก็พูดมาทางวอคกี้-ทอคกี้"คาลันเสนอ ทั้งหมดสบตากัน แล้วกลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่จะทำอย่างไรได้ ไปพร้อมกันสี่คงมีหวังตายหมู่
"เดี๋ยวฉันจะไปก่อน สโตนตาม ต่อมาก็สมายล์แล้วปิดท้ายด้วยวิลนะ"คาลันบอก ในน้ำเสียงเขาไม่มีอะไรบ่งบอกได้ว่าเขากลัวเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เพื่อนๆก็รู้ดีว่าเรื่องความรู้สึก คาลันเป็นคนที่ซ่อนความรู้สึกเก่งที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยรู้จักมา จึงไม่สามารถบอกได้เลยว่า ตอนนี้คาลันรู้สึกอย่างไร
คาลันมองหน้าทุกคนให้เป็นความหมายว่าไม่ต้องเป็นห่วงแล้วเขาก็เดินหายไปในหมอก ไปบนสะพานที่อันตรายอย่างยิ่งยวด เขากำลังเดินอยู่บนเหวมรณะ
ใจของคาลันเต้นอย่างแรง จนเขารู้สึกว่า ใจมันจะหลุดออกมาจากหน้าอกก็ไม่ปาน หันไปมองรอบๆระหว่างการเดินไปช้าๆอย่างระมัดระวัง หากแต่เขาก็เจอเพียงแค่สีขาวเท่านั้น จนกระทั่งคาลันคิดว่าตัวเองได้เดินมาประมาณกลางสะพานได้แล้ว เสียงที่ไม่พึงประสงค์ก็บังเกิดขึ้น
พึ่บ! พึ่บ!
คาลันหันไปมองรอบๆตัวแล้วออกวิ่งทันที มือทั้งสองจับเชือกไว้ระหว่างที่วิ่ง สะพานแกว่งไปแกว่งมาอย่างรุนแรงจนน่าหวาดเสียวยิ่งกว่าไวกิ้งหรือเฮอร์ริเคน เขาเริ่มเห็นต้นไม้สูงๆสีเขียวอยู่บนฝั่งเบื้องหน้าอยู่ลิบๆ แต่ยังคงมีหมอกจัดเกินกว่าที่จะเห็นทางบนสะพาน ขณะที่เสียงกระพือปีกของนักล่าพ่นไฟก็ดังขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงนั้นบ่งบอกว่ามีมากกว่าหนึ่งตัวเป็นแน่แท้ เขามองไปรอบๆ แต่ยังคงเห็นแค่หมอกสีขาว จนเกือบถึงฝั่งแล้ว สีเขียวของต้นไม้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกว่าสะพานสั่นสะเทือนอย่างแรงจนเขาล้มลงไป มองสะพานอย่างใจหาย กลัวว่าสะพานจะขาด แต่มันยังคงดูเหมือนเดิม เขาค่อยๆลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อไปข้างหน้า แต่ไม่ทันถึงสามก้าว เขาก็เจอตัวต้นเหตุที่ทำให้สะพานสั่นสะเทือนขวางทางเขาอยู่
มันเป็นสัตว์ประเภทนกสูงเกือบสองเมตร ยาวเกือบห้าเมตร ตัวมันคล้ายๆไดโนเสาร์ตัวหนึ่งที่ชื่อ 'เทอราโนดอน' หากแต่ตัวมันเป็นสีแดงสด ปากของมันแทนที่จะยาวเหมือนเทอราโนดอนกลับสั้นเหมือนปากสุนัขมากกว่า มีดวงตากลมโต แต่สีของดวงตาแทนที่จะเป็นสีขาว-ดำกลับกลายเป็นสีเหลือง-ดำ มีหางยาวพอสมควร มีขาสองข้างเป็นสีเหลือง ขาหนึ่งมีกรงเล็บอันแหลมคมสามกรงเล็บ มันคือ 'ดรากูล'
ดรากูลกำลังจ้องตาคาลันอยู่ ปากมันอ้ากว้างเห็นฟันที่แหลมคมกว่าห้าสิบซี่ หางมันที่ชูอยู่บนอากาศส่ายไปส่ายมาอย่างช้าๆ คาลันค่อยๆถอยกลับอย่างช้าๆ จ้องตามันไม่กระพริบ แต่แล้ว
ตึง!
ดรากูลตัวที่สองลงมาบนสะพานอยู่ข้างหลังคาลันอย่างพอดิบพอดี ทำให้เขาเจอทางตันเข้าให้แล้ว ขึ้นหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ตัวที่อยู่ข้างหน้าก็เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตัวทางด้านหลังก็เดินเข้ามาเช่นเดียวกัน คล้ายๆกับกำแพงที่กำลังบีบเข้าตัวมา จนเขาห่างจากตัวข้างหน้าประมาณสองเมตร มันก็ทำท่าสูดลมหายใจเข้าไป เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามันกำลังจะพ่นไฟ เขาหันกลับไปด้านหลังแล้วเห็นว่าดรากูลอีกตัวก็กำลังสูดลมหายใจเข้าไปเหมือนกัน ซึ่งคาลันก็รู้แล้วว่าเขาอยู่เฉยๆต่อไปไม่ได้ จึงชักปืนฟาส์ด เลเซอร์ออกมาจากซองข้างเอวแล้วยิงตัวที่เขาหันหน้าให้ก่อนทันที
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เลเซอร์ห้านัดพุ่งไปหาดรากูลด้วยความเร็วเหนือเสียงและโดนหน้าอกเข้าเต็มๆ จนทำให้มันเซไปเล็กน้อยและบินขึ้นไปบนฟ้า ตัวที่อยู่ทางด้านหลังพ่นไฟออกมา แต่คาลันกระโดดแล้วกางขาออก เอาเท้าทั้งสองไปเหยียบที่เชือก ทำให้ไฟนั้นลอดช่องขาไป เขากระโดดอีกครั้งแล้วกลับตัวกลางอากาศไปเผชิญหน้ากับดรากูลอีกตัว พอลงมาถึงสะพาน ก็รัวเลเซอร์ไม่ยั้ง จนมันต้องบินขึ้นฟ้าเพื่อหลบเลเซอร์ ขณะที่ดรากูลอีกตัวก็พุ่งลงมาเตรียมโฉบเอาคาลันขึ้นไปเป็นอาหารอันโอชะของมันราวกับเหยี่ยว แต่คาลันวิ่งไปข้างหน้าได้ทันท่วงที ทำให้มันโหม่งสะพานเข้าอย่างจัง จนสะพานสั่นอีกครั้ง คาลันล้มลง แต่ก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไวแล้ววิ่งต่อไป ดรากูลอีกตัวบินตามหลังเขามา คาลันวิ่งถึงฝั่งแล้วกลับตัวไปยิงดรากูล จนมันบินหลบไปในหมอกแล้วหายไปเลย
สาเหตุที่ดรากูลไม่มารุกรานในฝั่งที่มีต้นไม้เพราะต้นไม้ทั้งหมดนี้คืออาหารของมัน ถ้ามันมารุกรานแล้วเกิดความเสียหายก็จะทำให้มันมีอาหารน้อยลงในเขตเวทมนตร์ที่มันอยู่ ดังนั้นเมื่อมาถึงแล้วก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน
"สโตนมาได้ แต่ระวังดรากูลด้วย ฉันถูกมันเล่นงานแล้ว"คาลันพูดผ่านวอคกี้-ทอคกี้เสียงหอบ
"รับทราบ"มีเสียงสโตนตอบกลับมา
"วิ่งมาเลยนะ สะพานดูแข็งแรงกว่าที่คิด แต่ก็นั่นแหละ เวลาวิ่งมันจะแกว่งมาก ระวังตกด้วย"
"รับทราบ"สโตนตอบคำเดิม
ทางด้านสโตน เขาหันไปมองเพื่อนทั้งสองแล้วกลืนน้ำลายดังเอื้อก ทั้งสองพยักหน้าให้ วิลเดินไปจับไหล่เขาพร้อมกับบอกว่า
"นายทำได้อยู่แล้ว"
"ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น"สโตนบอกเสียงแผ่ว จากนั้นก็หันไปมองทางเดินเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ แล้วเดินเข้าไปหายไปในหมอกเป็นคนที่สอง
สโตนออกวิ่งตั้งแต่ต้น เพราะรู้ว่าดรากูลกำลังไล่ตามเขามาอย่างไม่ลดละ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบบนสะพาน เสียงปีกที่กระพืออยู่กลางอากาศของพวกมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใจของสโตนเต้นไม่เป็นจังหวะ เขารู้อย่างเดียวว่ามันเต้นรัวเร็ว เลือดถูกสูบฉีดผ่านเข้าทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาวิ่งได้เร็วกว่าปกติ แต่ถึงกระนั้น เมื่อสโตนใกล้ฝั่งจนเห็นคาลันแล้ว ดรากูลตัวหนึ่งก็พุ่งลงมาหมายจะโฉบสโตนขึ้นไป หากแต่มันก็พุ่งมาโหม่งสะพานอีกตามเคย สโตนล้มลง หน้าคว่ำลงไป อกกระแทกกับสะพาน แต่แล้ว เสียงพุ่งลงมาก็ดังอีกครั้งจากดรากูลอีกตัว ยังไม่ทันที่สโตนจะตั้งตัว กรงเล็บอันแข็งแกร่งทั้งหกก็จับเข้าที่หัวไหล่ทั้งสองของสโตน แล้วเท้าทั้งสองของสโตนที่ควรจะอยู่บนสะพาน กลับกวัดแกว่งอยู่กลางอากาศเสียแล้ว
สโตนพยายามตั้งสติ แล้วชักปืนออกมาจากซองข้างเอวยิงที่ขาของมัน ทำให้มันร้องออกมา สโตนตกลงมาอยู่บนสะพาน มันพุ่งลงมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มีถึงสี่ตัว ไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่ตอนไหน แต่เขาไม่มีเวลาคิดแล้ว เขานอนหงายอยู่บนสะพาน สี่ตัวนั้นพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง ปากของมันอ้ากว้างเตรียมพร้อมที่จะคาบขึ้นไป ทำให้สโตนเห็นวิธีที่จะกำจัดมันแล้ว
สโตนหยิบระเบิดลูกเท่ากำปั้นออกมาลูกหนึ่งจากข้างเอว เขาถอดสลักแล้วโยนขึ้นฟ้าอย่างสุดแรงเกิด เนื่องจากดรากูลเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยฉลาดนัก มันจึงคิดว่าลูกระเบิดนั้นคืออาหารอันโอชะ ทั้งสี่ตัวจึงกลับตัวบินขึ้นฟ้าพุ่งไปหาระเบิดลูกนั้น ที่อยู่สูงกว่าสโตนประมาณสิบห้าเมตร เขารีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปต่อ ขณะที่ดรากูลตัวหนึ่งก็คาบลูกระเบิดได้พอดีกับที่ระเบิดทำงาน
ตูม!!!
ดรากูลทั้งสี่ถูกระเบิดไส้กระจุยกระจายแล้วหล่นลงมาบนสะพานพอดีกับที่สโตนถึงฝั่ง เลือดสีน้ำเงินของพวกมันตกลงมาราวกับฝนตรงจุดที่ระเบิด สโตนดูผลงานของตัวเองแล้วตะโกนออกมาสุดเสียงอย่างดีใจราวกับเขาได้เป็นประธานาธิบดีก็ไม่ปาน คาลันก็ยิ้มน้อยๆบ่งบอกถึงความดีใจอยู่เหมือนกัน
"สมายล์มาได้แล้ว เธอได้ยินเสียงระเบิดไหม ฉันกำจัดมันได้สี่ตัวละ!"สโตนตะโกนใส่วอคกี้-ทอคกี้ด้วยความดีใจไม่หาย
"รับทราบ เก่งจริงๆ แต่ลดเสียงลงหน่อยนะ หูฉันจะแตกอยู่แล้ว"เสียงสมายล์ตอบกลับมา
"ขอโทษ ก็คนมันดีใจ ตอนนี้เธอเดินมาได้สบายๆได้แล้วละ"สโตนพูดเสียงเบาลง
สมายล์มองไปที่ทางเบื้องหน้า แล้วหันไปมองวิล
"ไม่ต้องห่วงนะ"
"อืม ระวังตัวด้วยแล้วกัน"วิลบอก
"จะให้ระวังอะไรอีกละ ก็สโตนจัดการหมดแล้วไม่ใช่เหรอ"สมายล์พูด อมยิ้มน้อยๆ
"ก็เป็นห่วง"วิลบอกแล้วก็หน้าแดงขึ้นมา
"งั้นเหรอ เดินคนสุดท้ายก็ระวังตัวด้วยนะ เป็นห่วงเหมือนกัน"สมายล์พูดแล้วรีบหันหน้าไปบนทางเดินเบื้องหน้า ก่อนที่วิลจะเห็นว่าเธอเองก็หน้าแดงไม่แพ้วิลเลย
สมายล์ก้าวไปบนสะพานแล้วก็หายเข้าไปในหมอก มือจับเชือกไว้ เธอเดินอย่างช้าๆ เพราะคิดว่าปลอดภัยเป็นแน่แท้แล้ว จนเธอเดินไปถึงกลางสะพาน เธอก็รู้ว่าเธอคิดผิดไปอย่างมากเลยทีเดียว
พึ่บ! พึ่บ!
เสียงกระพือปีกของดรากูลใกล้เข้ามา สมายล์ไม่รอช้ารีบวิ่งไปทันที แล้วเธอก็เห็นว่ามีดรากูลหนึ่งตัวกำลังมาทางด้านซ้ายของเธอ จนเกือบถึงฝั่งอยู่แล้วดรากูลตัวนั้นก็สูดอากาศเข้าไปแล้วปิดปาก สมายล์รู้ว่ามันกำลังจะพ่นไฟ รีบวิ่งอย่างรวดเร็ว มันเปิดปากของมัน และ....
ฟู่!!!
ไฟที่ร้อนมากกว่าสองร้อยองศาเซลเซียสออกมาจากปากของมันแล้วพุ่งไปหาสมายล์ แต่เธอวิ่งหลบได้ทันท่วงทีแล้วก็เข้าถึงฝั่งหลังจากที่มันพ่นไฟไปประมาณไม่ถึงหนึ่งวินาที นับว่าเป็นโชคดีสำหรับสมายล์ แต่มันโชคร้ายอย่างที่สุดสำหรับวิลเนื่องจากไฟนั้นได้ไปติดที่สะพานตรงที่ห่างจากฝั่งไปประมาณสามเมตร และกำลังเผาสะพานอย่างรวดเร็ว
"วิลมาได้แล้ว ระวังตัวด้วย ยังเหลือดรากูลอีกตัว สะพานไฟไหม้อยู่เดินดีๆด้วย"สมายล์บอกใส่วอคกี้-ทอคกี้
"รับทราบ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ"วิลตอบกลับมา แต่จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร ไฟกำลังเผาสะพานอยู่อย่างนั้น ทุกคนเหนื่อยอย่างหนัก เหงื่อท่วมตัว คาลันผู้เฉลียวฉลาดคิดวิธีช่วยเหลือได้ทันที
"เอาเชือกออกมาให้หมด"คาลันสั่ง
ทางด้านวิลเขาก็กำลังเดินอย่างระมัดระวังไปตามสะพาน ดรากูลบินไปบินมาอยู่รอบๆไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาหาเขา ราวกับว่าจะรอให้สะพานขาดก่อนแล้วค่อยจับวิลไป ใจของวิลเต้นรัวเร็วราวกับกลองจังหวะร็อค จนวิลไปถึงตรงที่มีไฟลุกโชนอยู่ข้างหน้า เขาจะทำอย่างไรดี เดินข้ามไปคงไหม้เกรียมแน่ อยู่เฉยๆคงไม่ทำให้ไฟดับได้ ถ้ากระโดดไป สามเมตรคงทำได้เฉพาะนักกีฬาทีมชาติเท่านั้น ถ้าวิ่งกระโดด ตอนวิ่งมีหวังสะพานขาดแน่ๆ เขาจะทำอย่างไรดีหากแต่เวลาคิดก็มีจำกัดเสียด้วย เมื่อเขาเห็นเชือกที่ถูกไฟไหม้อยู่กำลังดำลงและบางลงเรื่อยๆ เขาคิดว่าทางรอดมีศูนย์เปอร์เซนต์ แต่เขาก็ยังจะคิดต่อไปว่าเขาจะทำอย่างไรดี เขาจะทำอย่างไรดี
"วิล! โดดมา เร็ว! เรามีเชือกอยู่ เร็ว!"เสียงคาลันตะโกนมา ราวกับเป็นเสียงสวรรค์ที่วิลรอคอย วิลไม่รอช้า เมื่อเห็นทางรอดอยู่ข้างหน้านับหนึ่ง สอง สามในใจแล้วกระโดดทันที
ทันทีที่เท้าของวิลละจากสะพาน สะพานก็ขาดสะบั้นลงทันที วิลเห็นเชือกลอยมาพร้อมกับเสียงตะโกนมาว่า
"รับ!"
เขามองเห็นเชือกเส้นหนึ่งลอยมา ที่ปลายเชือกอีกด้านหนึ่งผูกกับต้นไม้ขนาดสามคนโอบ เขาเอื้อมมือเข้าไปจับความหวังของชีวิตของเขา เชือกที่จะช่วยชีวิตของเขา ไม่ให้ตกไปในก้นเหวที่ลึกจนมองไม่เห็น เชือกที่จะช่วยให้เขาทำภารกิจในการระเบิดโรงไฟฟ้าให้สำเร็จลุล่วง เชือกที่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากดรากูล นักล่าพ่นไฟสุดโหด เชือกที่จะทำให้ทุกคนไม่ต้องหลั่งน้ำตากับการจากไปก่อนวัยอันควรของเขา มันคือเชือกเส้นเดียวที่มีความหมายจนตีค่าไม่ได้ เชือกที่มีความหวังของเพื่อนๆอัดแน่นด้วยความรักและความห่วงใย เขาจะต้องเอื้อมไปรับให้ได้เขาต้องคว้าความหวังที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ แต่แล้ว....
ฟิ้ว!!!!
ราวกับเสียงนรกแตกได้เกิดขึ้น พร้อมกับภาพที่ทุกคนตะลึงจนทำให้อะไรไม่ถูก
ดรากูลพุ่งตัดหน้าเขาก่อนที่เขาจะได้คว้าเชือกที่เป็นความหวังไว้ มันคาบเชือกไปแล้วก็ใช้ฟันอันคมกริบของมันกัดเชือกจนขาดสะบั้น ความหวังในใจของวิลก็ขาดสะบั้นไม่ต่างจากเชือกเลย
"ไม่!"สมายล์กรีดร้องออกมา น้ำตาไหลออกมาเป็นสายน้ำ สโตนเบิกตากว้าง น้ำตาก็ไหลออกมาเช่นเดียวกับสมายล์ และในดวงตาอันเยือกเย็นดุจน้ำแข็งของคาลันก็มีน้ำตาไหลออกมาไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งสามจ้องร่างของวิลที่กำลังร่วงลงไปในความมืด สมองของทั้งสามเหมือนหยุดทำงาน พวกเขาคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจ้องร่างของวิล
ร่วงลงไป
ร่วงลงไป
ร่วงลงไป
ร่วงลงไปแล้วหายไปในความมืด...
ภาพนับสิบที่ทั้งสี่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ไหลเข้ามาใน สมองราวกับสายน้ำ มันเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน ภาพในตอนที่คาลันอายุแปดขวบ แข่งการขับยานชนะ แล้วทั้งสี่ก็ดีใจจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว ภาพที่สโตนที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการเรียนสอบเข้าโรงเรียนมัธยมได้เป็นคนสุดท้าย ภาพของสมายล์ที่วิ่งแข่งชนะวิลได้ตอนห้าขวบ และภาพของวิล ซึ่งมีภาพที่ประทับใจมากกว่าทุกคน ภาพที่เขาวิ่งแข่งชนะทุกครั้งได้ ยกเว้นครั้งที่เขาแพ้สมายล์ ภาพที่เขาสามารถทำให้ปืนของเขาอัพเกรดได้ ภาพที่เขายืนหยัดกับเพื่อนยิงมิสซายล์ลูกเท่าบ้าน ภาพที่เขาทำลายหุ่นยนต์แห่งการทำลาย และอีกหลายๆภาพที่ไหลเข้าสู่สมองทั้งสามอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทั้งสามได้แต่ยืนเหม่ออย่างไร้จุดหมาย ราวกับคนบ้าไร้สติ จนกระทั่งภาพหนึ่งที่เขาเห็น ทำให้พวกเขาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง มันไม่ใช่ภาพที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก หากแต่มันเกิดขึ้นจากประสาททางตาได้รับรู้จากภาพเบื้องหน้าแล้วส่งเข้าสู่สมอง สมองจึงทำการลบภาพในจิตใต้สำนึกทิ้งไปแล้วดึงทั้งสามเข้าสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน
มันเป็นภาพที่ดรากูลพุ่งลงสู่เหว ตามร่างของวิลที่กำลังร่วงลงไป ด้วยความเร็วที่เร็วกว่า ทั้งสามรู้ทันทีว่ามันจะลงไปจับวิลขึ้นมาเป็นอาหารอันโอชะของมัน แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไร มันก็บินกลับมาพร้อมกับวิลที่ถูกกรงเล็บทั้งหกจับที่หัวไหล่ วิลไม่มีท่าทีที่จะให้มันปล่อย เพราะรู้อยู่แล้วว่าถ้ามันปล่อยจะเกิดอะไรขึ้น ดรากูลจับวิลไว้ แล้วบินไปไกลจากทั้งสาม สโตนไม่รู้จะทำอย่างไร หยิบก้อนหินก้อนเท่ากำมือจากพื้นขึ้นมา แล้วปาไปโดยเป้าหมายคือหัวของดรากูล
ก้อนหินก้อนนั้นลอยไปด้วยความเร็วสูงแล้วโดนหัวดรากูลอย่างจัง ทำให้มันเปลี่ยนทิศทางการบินทันที มันบินกลับมาถึงฝั่ง วางวิลลงบนพื้น แน่นอนมันคงไม่อยากปล่อยวิลลงกลางเหวแล้วบินลงไปเก็บใหม่เป็นแน่แท้ จากนั้นมันก็เดินบนพื้น ย่างสามขุมเข้าหาทั้งสาม ดวงตาของมันเป็นสีแดงฉานแทนที่จะเป็นสีเหลือง-ดำตามปกติ นั่นหมายความว่ามันกำลังโกรธอย่างมาก
"ดรากูลพิโรธ"คาลันกระซิบ จ้องดรากูลอย่างแน่วแน่ วิลนั้นอยู่ข้างหลัง ดรากูลจึงไม่เห็นดวงตาของมันว่าพิโรธอยู่ วิลจึงยิงปืนใส่ดรากูล หากแต่มันสะทกสะท้านแต่อย่างใด วิลเห็นอันตรายแล้ว แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร มันก็สะบัดหางของมันฟาดเข้าที่ท้องของวิล จนวิลกระเด็นไปเกือบห้าเมตรได้ แล้วจุกจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ดรากูลเริ่มเดินเข้าใกล้อีกสามคน ทั้งสามก็ค่อยๆถอยหลังอย่างช้าๆจ้องดรากูลไม่กระพริบ
"จุดอ่อนอยู่ที่ตามันนะ"คาลันบอกแล้วลั่นไกปืนทันที
ปัง!!!
เลเซอร์พุ่งแหวกอากาศไปด้วยความเร็วเหนือเสียง หากแต่มันก้มหลบเลเซอร์สีส้มนั้นได้ทันด้วยความเร็วที่เหนือกว่า อีกสองคนที่เหลือระดมยิงทันที ตามด้วยคาลันที่ระดมยิงเป็นคนต่อไป
"อย่างน้อยก็ต้องโดนบ้างละ!"สโตนคำราม หากแต่มันยังคงหลบเลเซอร์นับสิบได้อย่างไม่ยากเย็น ความเร็วของมันเร็วมากจนทั้งสามทึ่งและยอมรับว่า พวกเขาดูไม่ทันเลยทีเดียว
ขณะนั้น วิลลุกขึ้นมา โซซัดโซเซเล็กน้อย เห็นเพื่อนทั้งสามกำลังอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ ไม่รอช้า กระโดดขึ้นเกาะหางมันทันที
"วิล!"สมายล์ตะโกน มือยังคงยิงปืนต่อไป
"ไม่เป็นไร!"วิลตะโกนกลับมา ทั้งที่มันออกจะไม่เป็นดังที่พูดสักเท่าไร เพราะดรากูลพิโรธตัวนี้กำลังสะบัดหางของมันไปมาอย่างแรง หากแต่วิลก็ไม่ยอมปล่อย จนเขาเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ คล้ายกับเล่นไวกิ้งยี่สิบรอบติดต่อกัน แล้วเขาก็รู้สึกขอบคุณดรากูลทันที เมื่อมันทำตามแผนเขาแล้ว
ดรากูลเหวี่ยงหางของตัวมันเองไปหาปากของมัน เพื่อจะส่งวิลเข้าปากมันไป เพื่อนที่เหลือหยุดยิงทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เพราะกลัวจะไปยิงถูกวิลเข้า มันอ้าปากกว้างเตรียมรับอาหารจากหางมัน พอใกล้จะเข้าปากมันแล้ว วิลก็ชักปืนออกมาจากซองข้างเอวแล้วยิงไปที่ดวงตาสีแดงข้างซ้ายของมันทันที
ปัง!!!!
ด้วยความใกล้ขนาดนี้ คงไม่มีสิ่งใดในโลกหลบได้อีกแล้ว เลเซอร์สีเขียวของปืนล็อค กันยิงเข้าดวงตาข้างซ้ายของมันอย่างจัง มันผงะถอยไป วิลกระโดดลงจากหางมัน ตัวมันล้มลงราวกับการเสียดวงตาข้างเดียวมันทำให้มันเสียการทรงตัวไปด้วย คาลันเดินไปใกล้แล้วซ้ำเติมโดยการยิงเข้าที่ตาอีกข้าง ทำให้ตามันบอดสนิท มันแผดเสียงร้องดังกังวานเป็นกิโล หากแต่มันก็ยังไม่ตาย คาลันระดมยิงไปที่ตัวมันอีกสิบกว่านัด จนมันเลิกแผดเสียงแล้วเลือดสีน้ำเงินของมันก็ไหลออกมาท่วมตัวมันเลยทีเดียว
"หนังเหนียวจริงๆ"คาลันพึมพำ จากนั้นในมือที่ถือปืนของเขาก็เกิดแสงสีขาวสว่างจ้าอยู่สักครู่ก่อนที่จะหายไปพร้อมกับปืนล็อค กันที่ปรากฏขึ้นบนมือของเขาแทนที่ปืนฟาส์ด เลเซอร์
"สุดยอด! นายฆ่ามันได้!"สโตนตะโกนเมื่อเห็นซากศพของดรากูล จากนั้นทั้งสามก็เข้าไปหาวิลซึ่งตอนนี้นั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น
สมายล์เป็นคนที่พุ่งไปถึงก่อนเป็นคนแรก เธอจับมือวิลแล้วพูดทั้งน้ำตาว่า
"ฉันนึกว่าจะต้องเสียเธอไปซะแล้ว"
"ฉันดวงแข็งอยู่แล้ว อย่าร้องไห้สิ ฉันอยู่นี่แล้ว"วิลพูดพลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของสมายล์เบาๆ จากนั้นเขาและสมายล์ก็ลุกขึ้น แล้วสมายล์ก็กอดเขาทันที วิลก็เขินเล็กน้อยพร้อมกับเอามือโอบกอดเธอเช่นเดียวกัน
"โอะ โอ เราอย่าไปเป็น กอขอคอ ก้างขวางคอเขาดีกว่าเนอะ"สโตนผู้ซึ่งกำลังเดินเข้ามาวิลพร้อมกับคาลันพูด
สมายล์ได้ยินก็ปล่อยมือออก วิลก็เช่นเดียวกัน จากนั้นสมายล์ก็เดินไปหาสโตนแล้วทุบหลังพร้อมกับพูดว่า
"บ้า"แล้วเธอก็เดินตามทางหน้าตาเฉย ตามด้วยวิล และคาลันเป็นคนต่อไป ปล่อยให้สโตนยืนหลังแอ่นอยู่คนเดียว
"เฮ้ย เจ๊ มือหนักเป็นบ้าเลย"สโตนพูดแล้วเดินตามไป
สามชั่วโมงกว่าแล้วที่พวกเขาทั้งสี่เดินในป่าที่ต้นไม้นั้นทึบจนแทบมองไม่เห็นเลยทีเดียว ที่หลังของแต่ละคนก็แบกเป้ไว้คนละใบ ต้นไม้ทั้งหมดนี้ก็เป็นอาหารของพวกดรากูลทั้งหมดเลย ทั้งสี่รู้สึกว่าทางเดินที่เดินอยู่นั้นกำลังลาดต่ำลงทีละนิด นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังลงจากเขา ที่ในตอนเช้าพวกเขาได้เดินขึ้นมา ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว เพราะเวลามันก็ล่วงเลยเข้าไปสี่โมงกว่า คาลันเดินเป็นผู้นำทาง ตามด้วยวิล สมายล์และสโตนตามลำดับ พวกเขาเดินไปในความเงียบ เงียบมาก พวกเขาเหนื่อยจนไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว อากาศนั้นก็ร้อนอบอ้าว เหงื่อทำท่าจะออกก็ไม่ออก แต่ร้อนจริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดยิ่งนัก
อีกอึดใจต่อมา ทั้งสี่ก็เห็นทางออกจากเขตเวทมนตร์อยู่ข้างหน้า มันอยู่ข้างหน้าอีกประมาณห้าร้อยเมตร ก่อนจะออกเป็นทะเลทรายอีกประมาณร้อยเมตรถึงจะออกจากเขตเวทมนตร์ ทางนั้นไม่ลาดลงอีกต่อไปแล้ว หากแต่ตรงไปเหมือนพื้นปกติ นั่นหมายความว่า พวกเขาลงถึงพื้นแล้ว ต้นไม้ที่เคยหนาทึบเริ่มโปร่งใส ทำให้มองเห็นท้องฟ้าที่เริ่มจะมืดลงเรื่อยๆ
"จะออกแล้ว"คาลันบอก เมื่อพวกเขาเดินไปใกล้เขตทะเลทรายมากขึ้นเรื่อยๆ
"ดีแล้ว ฉันอยากเข้าไปตากแอร์ในโรงไฟฟ้าแทนที่จะต้องมาเดินในอากาศที่ร้อนยังกับนรกอย่างนี้"สโตนบอก
ทันใดนั้น เสียงเสียงหนึ่งก็เข้ามาในโสตของทุกคน มันเป็นเสียงที่ทุกคนคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และไม่คิดจะได้ยินด้วย ทุกคนภาวนาว่าขออย่าให้มันเป็นเสียงที่พวกเขาคิดไว้ ขอให้เป็นเสียงของลมที่พัดอย่างแรง แต่แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงนี้มันเป็นเสียงที่ทั้งสี่คุ้นเคยดี มันเป็นเสียงแห่งความหายนะ เสียงของปีกที่กระพืออยู่ในอากาศ มันคือเสียงการกลับมาของดรากูล
พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ! พึ่บ!
แต่เสียงของการกลับมาของดรากูลในครั้งนี้ บ่งบอกให้รู้ถึงว่ามันมีมากกว่าหนึ่งตัวเป็นแน่ อาจจะเรียกได้ว่าทั้งฝูงเลยทีเดียว เสียงกระพือปีกของพวกมันดังก้องไปทั่วป่า จนทั้งสี่พูดกันแทบจะไม่ได้ยินเลยทีเดียว
"คาลัน มันจะเล่นงานเราเหรอ"สโตนพูด
"อะไรนะ"คาลันตะโกน เมื่อได้ยินชื่อตนเองแว่วๆ
"ฉันบอกว่า มันจะเล่นงานเราหรือเปล่า"สโตนตะโกนกลับไป
"ฉันว่าไม่หรอก มันน่าจะไปดักเราอยู่ตรงทะเลทราย กันไม่ให้เราออกไปได้"
เป็นจริงดังคาด ทั้งสี่เดินไปจนถึงสุดป่า อีกก้าวเดียวข้างหน้าคือทะเลทรายแล้ว หากแต่พวกเขาไม่สามารถเดินต่อไปได้ เพราะดรากูลได้บินว่อนอยู่เต็มฟ้า ทำให้ท้องฟ้านั้นมืดไปถนัดตา ทั้งสี่มองขึ้นไปบนฟ้า แล้วต้องอุทานมาด้วยความตกใจ
"เฮ้ย มันเกิดมาจากไหนได้มากมายขนาดนี้เนี่ย"สโตนพูด เมื่อเห็นดรากูลบินว่อนอยู่บนฟ้า มันเยอะมากจริงๆ พวกเขาเห็นแต่สีแดง แดง แดงและก็แดงอยู่เต็มท้องฟ้า มันมากจนเกินบรรยายจริงๆ
"มากกว่าร้อยตัวแน่เลย"สมายล์บอก
"บอกเป็นพันก็คงไม่โม้เกินไปหรอก"สโตนกล่าว พลางจ้องมองดรากูล บนท้องฟ้าแล้วทำหน้าเบี้ยว
"จะผ่านมันไปได้ยังไงละเนี่ย"วิลเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
"ฉันรู้แล้ว ลองเอาระเบิดโยนขึ้นไปเหมือนตอนบนสะพานสิ เผื่อมันคิดว่าเป็นอาหารแล้วก็ตายกันอีก"สโตนบอก
"เอาสิ"วิลพูด
จากนั้นสโตนก็หยิบระเบิดออกมาจากข้างเอว ซึ่งเป็นลูกสุดท้ายสำหรับเขาแล้ว แต่สำหรับคนอื่น ยังมีอีกคนละสองลูก เขาถอดสลักออกแล้วเหวี่ยงขึ้นฟ้า
แต่แล้ว ฝูงดรากูลตรงที่เป็นเป้าหมายของระเบิด กลับแตกฝูงกระจายออกไป ปล่อยให้ระเบิดลอยขึ้นฟ้า จนกระทั่งระเบิดทำงาน มันก็บินกลับเข้าฝูงตามเดิม โดยไม่มีตัวใดบาดเจ็บหรือตายเลย
"ท่าทางมันฉลาดขึ้นแฮะ"วิลเอ่ยขึ้นพลางมองไปที่ฝูงดรากูลที่บินไปบินมาเหมือนเดิม เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
"หมดกัน แล้วที่นี้จะทำยังไงละเนี่ย"สโตนถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งลงบนพื้น ตามด้วยวิลและสมายล์ ยังเหลือแต่คาลัน ที่ยังยืนเหม่อมองไปในทางข้างหน้าราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
"นายคิดอะไรอยู่อะ"สโตนถามหากแต่คาลันยกมือห้ามไว้ แล้วไม่ตอบคำถาม ยังคงเหม่อลอยต่อไป
"เดี๋ยวก็คงบอกเราเองแหละ"สมายล์พูด
อากาศเริ่มเปลี่ยนไป โดยเย็นลงเรื่อยๆ มีลมพัดเอื่อยๆ ทำให้ใบไม้ที่ต้นไม้ไหวเล็กน้อย ทรายจากทะเลทรายปลิวตามสายลม เสียงกระพือปีกของดรากูลก็ยังคงดังเป็นระยะๆ คาลันมองไปที่ทรายที่ปลิวไปตามสายลม แล้วพูดออกมาว่า
"ฉันรู้แล้ว"
"รู้อะไร"สโตนพูดอย่างงงๆ
"หยิบหน้ากากกันแก๊สออกมาจากเป้ เร็ว"คาลันออกคำสั่ง
"จะให้เราทำอะไรละเนี่ย"สโตนถาม
"ออกไปจากที่นี่"
"ยังไงละ"
"เราจะใช้ระเบิดที่เหน็บอยู่ข้างเอวน่ะ ปาออกไปบนทะเลทราย พอระเบิด ทรายจะกระเด็นออกมา ให้เราวิ่งฝ่าไปคล้ายๆกับฝ่าพายุทะเลทรายโดยใส่หน้ากากกันแก๊สไว้ ทรายจะได้ไม่เข้าตา แล้วใช้ทรายที่กระเด็นขึ้นมาน่ะ เป็นกำบังไม่ให้ ดรากูลมองเห็นเรา เท่านั้นแหละ จบ"
"อัจฉริยะ!"สโตนบอกแล้วยิ้มอย่างดีใจ "ไปกันเลยเถอะ"
ทั้งสี่หยิบหน้ากากกันแก๊สออกมา มันมีสีเขียว มีเชือกคล้องหัวไว้ด้านหลัง ตรงตามีกระจกกันไว้คล้ายกับแว่นดำน้ำ ที่จมูกและปากมีแผ่นกรองอยู่สามชั้น เพื่อกรองให้อากาศที่เข้าไปให้บริสุทธิ์ เมื่อทั้งสี่ใส่เสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็มองไปในทางเบื้องหน้า มือข้างขวาของทั้งสามที่ยังเหลือระเบิดอยู่จับที่ระเบิดลูกเท่าปั้นลูกหนึ่งไว้ในมือ อีกลูกหนึ่งยังคงเหน็บไว้อยู่ข้างเอว
"เอาละ"คาลันเอ่ย มองระเบิดที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ถอดสลักออกด้วยนิ้วโป้งแล้วขว้างออกไป
ลูกระเบิดลอยออกไปในอากาศ แล้วตกลงบนพื้นทราย ระเบิดในทันที
"ไปเร็ว!"คาลันตะโกน ทั้งสี่รีบวิ่งเข้าไปในทรายที่กระจุยขึ้นมาราวกับน้ำพุ ฝูงดรากูลมองลงมาแต่ไม่ได้ทำอะไร สมายล์ถอดสลักระเบิดที่อยู่ในมือแล้วขว้างออกไป
บ่อน้ำพุทรายที่สองระเบิดขึ้นมา ขณะที่อันแรกเริ่มหายไป ทั้งสี่วิ่งเข้าไปอย่างต่อเนื่อง วิลเป็นคนต่อไปที่โยน จากนั้นทั้งสามที่มีระเบิดอยู่ก็หยิบระเบิดจากข้างเอวมาอีกคนละหนึ่งลูก
เหตุการณ์ต่อเนื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาหลุดออกมาจากเขตเวทมนตร์ มองเห็นป้ายเข้าเมืองโรบอต ทาวน์อยู่ข้างหน้า มันเป็นซุ้มสูงมาก เขียนไว้ว่า "ต้อนรับสู่โรบอต ทาวน์ เมืองแห่งหุ่นยนต์" ด้วยตัวหนังสือสีทอง ขอบซุ้มก็เป็นสีทองเช่นเดียวกัน ถ้าเป็นตอนกลางวัน ทั้งสี่คิดว่า ซุ้มนี้คงสะท้อนแสงจนแสบตาแน่ๆ
"ใส่ชุดเหล็กได้แล้วละ"คาลันบอก จากนั้นทั้งสี่ก็หยิบชุดเหล็กออกมาจากเป้ ถอดหน้ากากกันแก๊สออก ชุดเหล็กนั้นเป็นสีเงินทั้งชุดและใหญ่มาก ร้อนมากด้วย พวกเขาทำท่าจะใส่ แต่สโตนท้วงขึ้นมาก่อนว่า
"กินข้าวก่อนไม่ดีกว่าเหรอ"อีกสามคนมองหน้ากัน แล้วคาลันก็สรุปว่า
"เอาสิ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง"
แซนวิชในเป้ที่พวกเขาเตรียมมานั้นหมดเกลี้ยงภายในพริบตา เนื่องจากพวกเขาเหนื่อยกันมาก พออิ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ใส่ชุดเหล็ก ทำให้เหมือนพวกนักวิทยาศาสตร์ใส่ชุดป้องกันเชื้อสีเงิน แล้วเดินไปหน้าซุ้ม ทั้งสี่คิดว่า ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยากที่สุดได้อยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็กำลังจะก้าวไปหามัน แต่ทันใดนั้นเสียงเรียกจากวอคกี้-ทอคกี้ก็ดังขึ้น ทั้งสี่ก็รับ แล้วก็ได้ยินเสียงที่ทำให้พวกเขาแทบจะเป็นลมเลยทีเดียว
"นี่ฉันเอง โทมัส ฉันมีข่าวร้ายจะมาบอก ดาวเทียมซีซีอุสของเมืองเราสแกนภายในตึกโรงไฟฟ้านั่นใหม่อีกครั้ง และมีข่าวจะบอกว่า รีมัสได้ค้นคว้าเกี่ยวกับเวทมนตร์ในเขตเวทมนตร์ที่พวกเธอเพิ่งผ่านมา แล้วค้นคว้าสำเร็จเสียด้วย เขานำเวทมนตร์มาผสมผสานกับวิทยาศาสตร์ทำเป็นม่านเวทมนตร์ขึ้นมา แล้วเขาก็ใช้ม่านนี้คลุมเมืองเขาไว้หมดแล้ว อีกไม่นานเขาคงจะใช้ม่านนี้ครอบคลุมทั้งโลกเพื่อฆ่าพวกเธอ ฉันจึงจะบอกว่า ทันทีที่พวกเธอเข้าไปในเมือง นั่นหมายความว่า เธอตายได้แล้ว เพราะฉะนั้นจงระวังตัวด้วย รับทราบไหม"
ทั้งสี่อึ้งจนพูดไม่ออกไปอยู่ครู่หนึ่ง
"รับทราบครับ"วิลตอบเสียงแผ่ว
"ดี งั้นยกเลิกการติดต่อ"เสียงของโทมัสที่พูดเป็นประโยคสุดท้าย แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป
ความหวังที่จะทำสำเร็จมลายหายไปหมดสิ้น พวกเขาเริ่มหดหู่อีกครั้ง จ้องไปในภารกิจเบื้องหน้า
"ยังไงเราก็ต้องทำให้ได้ ขนาดดรากูลเรายังผ่านมาได้แล้ว เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปหรอก"วิลบอก แต่ในใจเขาไม่คิดเช่นนั้นเลย
แล้วทั้งสี่ก็เดินผ่านเข้าไปในซุ้ม เครื่องสแกนที่ติดอยู่ที่ซุ้มทำการสแกนทันทีว่าใช่หุ่นยนต์หรือเปล่า เมื่อเครื่องสแกนตัดสินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าชุดเหล็กนี่หลอกเครื่องสแกนได้จริงๆ เมื่อเข้าเมืองได้ ทั้งสี่ก็ถอดชุดเหล็กออก เก็บใส่เข้าเป้ เผิยให้เห็นเสื้อและกางเกงขายาวสีดำของทุกคน เริ่มกลืนไปกับสีของท้องฟ้า ทั้งสี่มุ่งหน้าไปยังตึกระฟ้าและตึกน้องที่อยู่ใกล้ๆกัน บ้านเมืองในเมืองนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านที่เปิดไฟอยู่ พวกเขาเดินท่ามกลางความเงียบมุ่งตรงไปยังโรงไฟฟ้าทั้งสอง จนไปอยู่ข้างหน้าตึก ทั้งสี่ก็หยิบหน้ากากกันแก๊สออกมาจากเป้พร้อมกับระเบิดควัน จากนั้นทั้งสี่ก็จับมือซึ่งกันและกัน มองหน้ากันอยู่ชั่วครู่หนึ่งราวกับจะไม่ได้พบเจอกันอีก แล้วค่อยใส่หน้ากากกันแก๊ส ในมือถือระเบิดควันคนละลูก เป้ของวิลและคาลันที่สะพายอยู่บนหลังหนักอึ้งด้วยระเบิดที่จะต้องไปทำลายล้างให้ได้
"คิดว่าจะสำเร็จไหมเนี่ย"สมายล์ถาม ตอนนี้ทั้งสี่ยืนอยู่หน้าตึกในหน้าที่รับผิดชอบของตนเองแล้ว
"มาได้ไกลขนาดนี้แล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขอสู้จนตัวตายเลย"สโตนบอก
ทั้งสี่มองหน้ากันอีกครั้ง ผ่านหน้ากากกันแก๊ส
"พร้อมนะ..."วิลถาม
"พร้อมเสมอ"คาลันตอบกลับมา
เงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง
"ลุย!"
ความคิดเห็น