ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมฟิคสั้น Avengers, Thor, Sherlock, Maze Runner [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #25 : Fic Maze Runner [minewt AU] : Remember me.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 996
      7
      24 ธ.ค. 57




    Shot Fic : Remember me.

    Couple : Minho x Newt, minewt (AU)

    Rate : PG

    Note : เป็นฟิคที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแจ็คฟรอสค่ะ กรุณาจินตนาการภาพนิวท์ในเวอร์ชั่นคุณแซงส์เตอร์ที่มีผมสีเงินแบบแจ็คฟรอส…. ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
             
              ปล.หาที่มาของรูปข้างล่างไม่เจอ ใครเป็นเจ้าของภาพสามารถทวงเครดิตได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ ;;w;;


     

     



     



     

     

    ท้องถนนยามบ่ายในมหานครนิวยอร์ก เต็มไปด้วยเกร็ดหิมะสีขาวที่หล่นร่วงลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเป็นแค่หิมะที่ตกบางเบา แต่ถ้าบวกกับอุณหภูมิเกือบติดลบแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้คนที่เดินอยู่บนท้องถนนรู้สึกหนาวจนแทบสั่นได้ไม่ยาก และในท่ามกลางผู้คนนับร้อยนั้น เด็กหนุ่มเชื้อสายเอเซียคนหนึ่งกำลังซุกมือลงในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตตัวหนาของตน ในขณะที่เท้าก็ก้าวเดินไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังพยายามที่จะหลีกเลี่ยงอากาศหนาวๆ อย่างสุดความสามารถ


    ภาพที่ทำให้คนที่แอบมองอยู่ต้องลอบซ่อนยิ้ม


    รอยยิ้มซนๆ ระบายอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยองๆ อยู่บนปล่องไฟของหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ราวกับไม่เกรงกลัวต่ออากาศเย็นๆ หรือหิมะที่กำลังตกอยู่เลยซักนิด เส้นผมสีเงินปลิวตามลมน้อยๆ ร่างกายผอมบางและสีผิวที่ติดจะขาวซีดกว่าคนปกติถูกปกปิดด้วยเสื้อแขนยาวติดฮู้ดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนขาสามส่วนเก่าๆ ตัวหนึ่ง ในขณะที่มือเล็กๆ ก็กำลังควงไม้เท้ารูปร่างแปลกตาด้วยท่าทางคล่องแคล่วราวกับมันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างไรอย่างนั้น


    มันคงจะเป็นภาพที่ดูประหลาดตามากที่สุดถ้าหากว่ามีใครซักคนเงยหน้าขึ้นไปมอง หากแต่ก็ติดตรงที่ว่า ถึงจะเงยหน้าขึ้นมองจริงๆ ก็ไม่มีทางที่ใครจะมองเห็นเขาได้


    ต่อให้เป็นกลางวันแสกๆ แบบนี้ก็เถอะ


    ความคิดที่ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ต้องยักคิ้วเล็กน้อย มือเล็กๆ นั้นยังคงควงไม้เท้าอันยาวไปเรื่อย ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชาวเอเชียเพียงคนเดียวที่เดินอยู่บนถนนท่ามกลางชาวอเมริกันนับร้อย รอยยิ้มซุกซนยังคงแต้มอยู่บนมุมปาก ก่อนที่ดวงตาจะพราวระยับ ควงไม้เท้าในมืออีกสองสามครั้ง เล็งไปที่เป้าหมาย


    และ


    “ฟิ้วว~


    เผละ!


    ทันทีที่ร่างสมส่วนของเด็กหนุ่มชาวเอเชียเดินผ่านต้นไม้ต้นใหญ่ริมถนน หิมะสีขาวกองใหญ่ที่ค้างเติ่งอยู่บนกิ่งไม้ก็หล่นเผละลงบนหัวพอดิบพอดีราวกับมีใครจับวาง ให้เจ้าตัวต้องเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ก่อนจะสบถยาวเหยียดอย่างที่ทำให้คนต้นเหตุบนปล่องไฟต้องหัวเราะจนตัวงอ


    “ฮะ ฮ่าๆๆๆๆ”


    เสียงหัวเราะใสๆ ลอยอยู่ในอากาศอย่างที่บอกถึงอารมณ์ดีๆ ของเจ้าตัว แต่เสียงหัวเราะนั้นมันก็ไม่ได้ดังมากพอที่จะทำให้ใครได้ยินมันได้


    แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้เขาหัวเราะเสียงดังมากกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครได้ยินมันได้อยู่ดี


    เว้นก็แต่


    แล้วคนที่กำลังหัวเราะอยู่ก็ต้องหุบปากฉับ เมื่อใบหน้าหล่อๆ ของมนุษย์ผู้ถูกกลั่นแกล้งตวัดสายขาขึ้นมามอง... แต่การหันมามองนั้นก็ยังช้ากว่าความเร็วในการหลบหนีของภูติตัวน้อยอยู่หลายขุม เพราะแค่การกระโดดเพียงครั้งเดียว ร่างเล็กๆ นั้นก็หายลับลงไปในปล่องไฟแทบจะทันที


    ทิ้งไว้ก็แต่ความว่างเปล่าและหิมะเย็นเยียบที่ทำให้เด็กหนุ่มผู้ถูกกลั่นแกล้งได้แต่สบถออกมาอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดหิมะบนหัวทิ้งแล้วสาวเท้าเดินต่ออย่างติดจะหัวเสีย


    และเมื่อเด็กหนุ่มโชคร้ายเดินลับตาไปแล้ว ภูติขี้แกล้งก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากปล่องไฟอีกครั้ง มือสองข้างจับอยู่บนขอบของปล่องไฟ ก่อนจะหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยคำพูดด้วยเสียงใสๆ


    “เมอร์รี่คริสต์มาสนะ มินโฮ”


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    มินโฮเดินมาถึงบ้านเพื่อนด้วยสภาพตัวเปียกปอน ผมแข็งไปด้วยหิมะที่จับตัวเป็นก้อนอยู่บนหัวราวกับเจลแต่งผมชั้นดีก็ไม่ปาน สภาพที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังรับรู้ถึงความดูไม่ได้ของตัวเอง มันถึงไม่น่าแปลกใจเลยซักนิดที่เขาจะโดนหัวเราะเยาะทันทีที่เดินผ่านต้นคริสต์มาสต้นใหญ่กลางห้องรับแขกมาจนถึงโต๊ะอาหารที่มีกลุ่มเพื่อนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว


    “นายไปผ่านสงครามปาหิมะมาจากไหนเนี่ย?!


    คำทักแรกจากโทมัสที่ทำให้คนถูกทักได้แต่เหลือบตาขึ้นฟ้า พาตัวเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวแรงๆ จนน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนหัวกระเซนไปโดนเพื่อนอีกคน


    “เฮ้ๆ ออกไปทำไกลๆ สิวะ”


    “หุบปากน่าแกลลี่” มินโฮตอบโต้ออกไปแค่นั้น ก่อนจะเลิกพยายามทำความสะอาดตัวเอง แล้วเปลี่ยนไปหยิบพิซซ่าบนโต๊ะเข้าปากแทน


    “แล้วสรุปว่านายไปเล่นปาหิมะกับเด็กที่ไหนมาเนี่ย?” ยังคงเป็นคำถามจากโทมัส ให้มินโฮต้องกลืนพิซซ่าลงคอ ดื่มน้ำตามอึกใหญ่ ก่อนจะส่งคำตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนิดๆ


    “หิมะบนต้นไม้มันหล่นลงมาใส่หัวฉัน”

    "หา????"



    “ฉันบอกว่า หิมะบนต้นไม้มันหล่นลงมาใส่หัวฉัน หูแตกรึไงวะ?!”


    "..."


    "...."


    "........."

     


    “กร๊ากกกกกกกกกกกกก!


    และนั่นมันก็เป็นการระเบิดเสียงหัวเราะแบบประสานเสียงที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่มินโฮเคยได้ยินมา


    “ฮ่าๆ โอ๊ย มินโฮ นายนี่มันลูกชังของเทพเจ้าฤดูหนาวจริงๆ ว่ะ ฮ่าๆ” คราวนี้เป็นความเห็นจากฟรายแพน ที่กำลังเดินมาที่โต๊ะพร้อมกับไก่งวงอบจานโตสูตรพิเศษของเจ้าตัว


    “เออ ปีที่แล้วก็หิมะหล่นจากหลังคามากองแผละปิดประตู จนแทบออกจากบ้านไม่ได้ ปีก่อนโน้นก็ลื่นตกบ่อน้ำกลางโรงเรียน นายนี่มันซวยทุกคริสต์มาสจริงๆ ว่ะ ฮ่าๆ” ส่วนอันนี้เป็นความเห็นจากอัลบี้ เพื่อนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ


    “แต่ฉันว่าปีนี้ยังถือว่าเบาะๆ นะ ถ้าเทียบกับทุกปีน่ะ” ส่วนนี่ก็เทเรซ่า ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ห้าวซะจนบางทีเขาก็ลืมอยู่บ่อยๆ ว่าเธอเป็นผู้หญิง


    “นั่นสิ สงสัยภูติหิมะคงจะเมตตา ฮ่าๆ” โทมัส


    “หรือไม่ก็คงหมดมุขเล่น” และจบที่แกลลี่อีกรอบ


    “กร๊ากกกกกกกกกกก”


    ส่วนนี่ก็เป็นการประสานเสียงหัวเราะที่ทำให้มินโฮแทบจะยกเท้าขึ้นเตะพวกมันเรียงตัว แต่เขาก็ทำได้แค่กรอกตาขึ้นฟ้า ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จนต้องยกยิ้มบางๆ ออกมา


    “เทพเจ้าฤดูหนาว แล้วก็ภูติหิมะงั้นเหรอ?...


    เว้นวรรคประโยคเล็กน้อย ดวงตาคู่เข้มหันไปมองต้นคริสต์มาสสีเขียวต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน ก่อนจะหันกลับมามองหน้าเพื่อนๆ ด้วยรอยยิ้มที่ยังติดอยู่ที่มุมปาก แล้วเสียงทุ้มๆ ก็เอ่ยคำพูดต่อประโยคด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ


    “ของไร้สาระแบบนั้นมีจริงที่ไหนกัน ฉันเลิกเชื่อเรื่องพวกนั้นไปตั้งแต่อายุ 12 แล้ว”


    “แล้วไอ้ปลวกที่ไหนเคยบอกฉันว่ามันเห็นแจ็คฟรอสวะ?”


    “ตอนนั้นฉันแค่ 8 ขวบน่าโทมัส”


    “ตอนนั้นฉันก็ 8 ขวบเหมือนกัน”


    “เออ! ตอนนี้ฉันก็เลิกเชื่อแล้วไง”


    “กว่าจะเลิกได้ โตช้าเป็นบ้าเลยว่ะ ฮ่าๆๆๆ”


    คำพูดที่เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้อีกระลอก หากแต่มันกลับเป็นคำพูดที่ทำให้ร่างเล็กๆ ของใครบางคนที่ถูกเงาของต้นคริสต์มาสต้นใหญ่บดบังอยู่ต้องตัวแข็งทื่อราวกับต้องคำสาป


    เลิกเชื่อเรื่องพวกนั้นไปตั้งแต่อายุ 12 แล้วงั้นเหรอ?


    ล้อกันเล่นใช่ไหม?...


     

     

     



    คริสต์มาสอีฟเป็นค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง


    และเมื่อเฉลิมฉลองกับเพื่อนจนค่อนคืนแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องพาตัวเองกลับบ้านซักที


    มินโฮเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนนในกรุงนิวยอร์ก แสงไฟน้อยใหญ่ที่ประดับประดารับเทศกาลคริสต์มาสทำให้ยามค่ำคืนไม่มืดมิดอย่างที่ควรจะเป็น เสียงเพลงคริสต์มาสถูกเปิดดังให้ได้ยินไปตลอดทาง ในขณะที่หิมะก็ยังคงตกบางเบาราวกับภูติหิมะไม่คิดที่จะหยุดพักงานเลยสักนิดความคิดที่ทำให้ต้องระบายยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเกร็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าสีดำ


    “ภูติหิมะงั้นเหรอ?...


    เด็กหนุ่มเอื้อมมืออกไปรับหิมะสีขาวเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมันให้ร่วงหล่นลงบนพื้นอีกครั้ง


    “ของแบบนั้นมีจริงซะที่ไหนกัน”


    พูดจบก็ส่ายหัวเบาๆ ขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ก่อนจะผิวปากคลอไปกับเพลงคริสต์มาสแล้วสาวเท้าเดินต่อไปภาพที่ทำให้ร่างเล็กๆ ที่ยืนอยู่ในเงามืดห่างออกไปไม่ไกล ต้องมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยสายตาที่เกลื่อนไปด้วยรอยเศร้าหมอง


     

    มีอยู่จริงนะ


    ข้ามีตัวตนอยู่จริงๆ นะ


     

    หากแต่เสียงนั้นมันก็เบาเกินไปเบาเกินกว่าที่ใครจะได้ยิน


    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันเป็นเพียงแค่เสียงที่ดังอยู่ในใจของคนพูดเท่านั้น


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    มินโฮกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาตัวใหญ่หน้าจอโทรทัศน์


    เขากลับมาถึงบ้านได้เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัวลุกไปไหน ขี้เกียจเปิดไฟด้วยซ้ำ สุดท้ายก็เลยได้แต่นอนแผ่อยู่บนโซฟาโดยมีแค่แสงสว่างจากหน้าจอโทรทัศน์ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น


    ภาพของเด็กหนุ่มที่นอนเงียบๆ อยู่บนโซฟา ทำให้คนที่แอบมองอยู่ตรงมุมห้อมต้องเม้มริมฝีปากเล็กน้อยอย่างติดจะไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ ดวงตาคู่สีน้ำตาลฉายแววลังเล ในขณะที่มือเล็กๆ ก็กำไม้เท้าคู่ใจเอาไว้แน่น ภูติตัวน้อยยังคงทอดมองคนเป็นเจ้าของบ้านอยู่อย่างนั้น ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากมุมห้อง


    การปรากฏตัวที่ไม่ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จากคนที่นั่นอยู่บนโซฟาเลยแม้แต่น้อย


    ไม่มีแววตาที่ควรจะจ้องมองมา


    ไม่มีความตื่นเต้น


    ไม่มีคำทักใดๆ


    ไม่มีอะไรเลย

    ราวกับว่ามองไม่เห็นกัน


     

    มองไม่เห็นกัน

     


    การรับรู้ที่ส่งความกลัวเข้ามาในความรู้สึก ให้ดวงตาสีน้ำตาลต้องสั่นไหว ในขณะที่ขาเล็กๆ ก็พาตัวเองก้าวเข้าไปใกล้ให้มากขึ้น ร่างโปร่งบางนั่งลงตรงหน้าของคนตัวใหญ่กว่า ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าที่เขาเฝ้ามองมาตลอดระยะเวลาสิบปี และทั้งที่เป็นครั้งแรกหลังจากวันนั้นที่เขายอมปรากฏกายออกมาหา ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี หากแต่ดวงตาคู่สีดำที่ควรจะมองตอบเขาในตอนนี้ กลับเอาแต่พุ่งความสนใจไปที่รายการตลกในกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าแทน


    ราวกับคนคนนี้มองไม่เห็นเขา


    ราวกับว่ามินโฮมองไม่เห็นเขาอีกแล้ว


    “เจ้ามองไม่เห็นข้าจริงๆ หรือมินโฮ


    คำถามแผ่วเบาที่ได้รับเพียงแค่ความเงียบที่ดังกลับมาเป็นคำตอบ ให้แววสั่นไหวเจืออยู่ในดวงตาสีน้ำตาล ก่อนที่เลือกตาบางจะค่อยๆ ปิดลงอย่างอ่อนล้า


    เด็กผิดสัญญา”


     

     





    เสียงเพลงคริสต์มาสลอยอยู่ในอากาศคลอเคล้าไปกับเกร็ดหิมะที่ตกลงมาไม่ขาดสาย เด็กชายอายุ 8 ขวบคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายในเมืองใหญ่ ดวงตาสีดำที่เจือไปด้วยความหวาดกลัวกำลังเหลียวมองไปรอบๆ กาย มองแสงไฟ มองต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ มองหิมะที่ตกลงมาต้องผิวหน้าให้รู้สึกหนาวจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ


    มองคนแปลกหน้ามากมายที่เดินผ่านไปมา แต่กลับไม่มีใบหน้าคุ้นเคยของพ่อกับแม่ของเขาเลยซักคน


    การรับรู้ที่ทำให้แววตาของเด็กน้อยสั่นระริก ร่างเล็กๆ กระชับเสื้อหนาวตัวโตเข้ากับตัว มือสองข้างกอดตัวเองเอาไว้แน่น ในขณะที่ริมฝีปากก็เบะออกเล็กน้อยอย่างที่พร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ


    และเมื่อหิมะเริ่มตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็ยิ่งทำให้เด็กชายหลงทางรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก


    “พ่อกับแม่อยู่ไหนฮึก”


    แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาจนได้


    เด็กชายสะอื้นฮัก มือเล็กๆ ยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ในขณะที่ผู้คนก็เดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่มีใครคิดจะสนใจเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังยืนร้องไห้อยู่เลยด้วยซ้ำ


    ไม่มีใครคิดที่จะสนใจ


     

    “โว้ว เด็กหลงทางเหรอเนี่ย?”


     

    เสียงใสๆ ของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของร่างโปร่งบางที่ควงไม้เท้าประหลาดอยู่ในมือ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องหน้าของมนุษย์เด็กที่กำลังร้องไห้อยู่กลางทางเท้า คิ้วสีเงินขมวดมุ่นอย่างติดจะใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนใบหน้างดงามจะระบายยิ้มกว้างแล้วดีดนิ้วเปาะ


    “เดี๋ยวข้าเล่นอะไรให้ดูเอามั๊ย?”


    ส่งคำถามให้เด็กชายตรงหน้าที่มองผ่านตัวเขาไป ให้ภูติหิมะต้องขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้ากลมๆ นั้น


    “เฮ้ ก็รู้หรอกนะว่ามองไม่เห็นกันน่ะ แต่นี่ข้ากำลังพยายามอยู่เป็นเพื่อนเจ้านะ อย่าเมินกันนักสิ”



    “เหอะ! ทีซานต้า นางฟ้าฟันน้ำนม กระต่ายอีสเตอร์ยังเชื่อกันเข้าไปได้ แล้วทำไมถึงมีแต่ข้าที่ถูกละเลยอยู่คนเดียวทุกที?”



    “โลกนี้มันไม่ยุติธรรมสุดๆ อ่ะ!


    ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างติดจะปลงๆ มองหน้ากลมๆ ของเด็กหลงทางตรงหน้าอยู่ซักพัก ก่อนจะเงยขึ้นมองหิมะที่เริ่มตกหนักขึ้นทุกทีๆ มันตกหนักมากขึ้น จนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหาที่หลบกันให้วุ่น ให้คนบนทางเท้าเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ


    จะมีก็แต่ไอ้เด็กหลงทางซื่อบื้อนี่แหละที่ยังเอาแต่ยืนร้องไห้ตากหิมะอยู่ได้!


    ความคิดที่ทำให้ต้องเหลือบตาขึ้นฟ้าอย่างติดจะหน่ายๆ


    “เห็นมั๊ย? สุดท้ายก็เป็นข้าทุกที ซานตาครอสเคยมาช่วยพวกเจ้าซะที่ไหน?”


    บ่นพึมพำอย่างติดนิสัย ก่อนจะเดินเข้าไปชิดร่างกลมๆ ของเด็กหลงทางแล้วใช้ไม้เท้าเกี่ยวคอเสื้อลากมันให้เข้าไปหลบหิมะใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล


    “เหวออออ!


    เด็กชายผู้ถูกลากด้วยมือที่มองไม่เห็นเบิกตากว้างอ้าปากค้างแล้วหยุดร้องไห้ฉับ เมื่ออยู่ๆ ร่างของตัวเองก็แทบลอยเข้ามาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมถนน ใบหน้ากลมๆ หันซ้ายมองขวาอย่างตื่นตระหนก แต่แววหวาดกลัวที่เคยเจืออยู่ในดวงตาสีดำคู่นั้นกลับวับหายไปแล้ว


    “ว๊าว เราลอยได้แฮะ”


    น้ำเสียงตื่นเต้นที่ทำให้คนต้นเหตุต้องเบะปากเล็กน้อย


    “ข้าทำให้เจ้าได้มากกว่านั้นอีกนะ”


    และเมื่อไม้เท้าในมือของภูติหิมะถูกกวัดแกว่ง ดวงตาคู่เล็กของเด็กชายก็ต้องเบิกกว้าขึ้นอีกครั้งกับภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า หิมะที่ตกอยู่รอบกาย ค่อยๆ ปลิวห่างออกไปเรื่อยๆ มันลอยห่างออกไปจากร่มเงาของต้นไม้ราวกับมีชีวิต


    ทั้งๆ ที่หิมะข้างนอกกำลังตกหนักมากขึ้น แต่ภายใต้กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้กลับไม่มีหิมะตกลงมาให้เด็กชายต้องรู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย


    “ว๊าว...


    “เจ๋งใช่มั๊ยล่ะ?”


    คำถามที่ถามออกไปอย่างไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบ หากแต่เสียงเล็กๆ ของคนข้างตัวกลับทำให้เด็กหนุ่มต้องชะงักนิ่ง


    “ภูติหิมะ



    “ต้องเป็นฝีมือภูติหิมะแน่ๆ เลย”


    “จเจ้าว่าไงนะ?!


    ส่งคำถามแผ่วเบาหากแต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับกำลังเจือไปด้วยความหวัง ร่างโปร่งบางของภูติหิมะเดินเข้าไปใกล้ร่างป้อมๆ ของเด็กชายหลงทาง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าให้ดวงตาอยู่ในระดับเดียวกัน


    “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?...




    “ผมบอกว่า ต้องเป็นฝีมือของภูติหิมะแน่ๆ เลย


    “จเจ้า


    ดวงตาสีน้ำตาลของภูติหิมะกำลังเบิกกว้าง ในขณะที่สบมองดวงตาสีดำใสแจ๋วที่ค่อยๆ สะท้อนภาพของเด็กหนุ่มผมเงินขึ้นในนั้น


    “เจ้ามองเห็นข้า...


    “ผมมองเห็นคุณ


    “เจ้ามองเห็นข้า!


    “ผมมองเห็นคุณล่ะ!


    “เจ้ามองเห็นข้า!!! ฮะ ฮ่าๆ เจ้ามองเห็นข้า!


    แล้วภูติหิมะก็จับร่างป้อมๆ นั้นเขย่าจนหัวแทบคลอน ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วคว้าตัวเด็กชายหลงทางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เสียงหัวเราะใสๆ ดังแข่งกับเสียงเพลงเฉลิมฉลองคริสต์มาสของเมืองใหญ่เป็นเวลานาน ก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะค่อยๆ ดังแผ่วลง... แผ่วลง


    “เจ้ามองเห็นข้า



    “ในที่สุดก็มีคนมองเห็นข้าซักที”



    “ในที่สุด...


    น้ำเสียงเริ่มติดจะสั่นเครือ หากแต่อ้อมแขนกลับสวมกอดร่างป้อมๆ ของเด็กน้อยให้แน่นยิ่งขึ้น


    แรงกอดกับไหล่ที่สั่นไหวที่ทำให้เด็กชายค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดตอบ


    “คุณอย่าร้องไห้นะฮะ” คำปลอบที่ทำให้คนที่กำลังจะร้องไห้ต้องหลุดหัวเราะขำ


    “ใครกันแน่ที่เพิ่งหยุดร้องไห้น่ะ เจ้าเด็กปลวก” พูดจบก็ได้แต่ส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะดันร่างในอ้อมกอดออกห่าง แล้วสบมองดวงตาคู่เล็กนิ่ง


    “คุณคือแจ็คฟรอสเหรอฮะ?”


    “ข้าคือนิวท์ต่างหากล่ะ”


    “อ้าว ภูติหิมะไม่ใช่แจ็คฟรอสหรอกเหรอ?”


    “นั่นมันการ์ตูนหลอกเด็ก ภูติหิมะชื่อแจ็คฟรอสมีที่ไหนกัน ข้าชื่อนิวท์ต่างหาก!


    “แต่


    “ข้า ชื่อ นิวท์!” พูดย้ำทีละคำพร้อมกับส่งสายตาดุๆ อย่างเอาเรื่อง ให้คนอายุน้อยกว่าแทบจะหุบปากฉับอย่างที่บอกว่าไม่กล้าเถียง


    “โอเคฮะ”


    “ดี”




    “ผมชื่อมินโฮ” คำบอกเล่าที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าสวยจะค่อยๆ ระบายยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วยื่นมือส่งให้


    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ มินโฮ”


    คำพูดที่ทำให้มินโฮยิ้มกว้าง และยื่นมือออกไปจับตอบ


    "ยินดีที่ได้รู้จักฮะ"

     


    “เจ้าเป็นคนแรกที่มองเห็นข้า เพราะงั้น สัญญากับข้าได้มั๊ยว่าเจ้าจะจดจำข้าไปตลอด?”


    “จดจำคุณไปตลอด?...” นิวท์ระบายยิ้มบางเบา ก้มลงมองมือเล็กๆ ที่ยังคงจับมือเขาเอาไว้อยู่อย่างนั้น ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นจับใบหน้ากลมๆ แผ่วเบา


    “ข้าจะมีตัวตนเฉพาะในดวงตาของคนที่มีความเชื่อว่าข้ามีตัวตนอยู่เท่านั้น”



    “เพราะงั้นสัญญากับข้าได้มั๊ยว่าเจ้าจะมองเห็นข้าตลอดไป?”


    ดวงตาสีดำของเด็กชายยังคงสบมองกับดวงตาสีน้ำตาลคู่เหงาอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานที่ความเงียบโรยตัวอยู่รอบๆ คนสองคน นานแสนนานที่มีเพียงแค่เสียงเพลงของวันคริสต์มาสเท่านั้นที่ดังให้ได้ยิน


    ก่อนที่ใบหน้ากลมๆ ของเด็กชายจะค่อยๆ ระบายออกเป็นรอยยิ้มกว้าง


    “ผมสัญญา”


     

     

     








    แล้วเจ้าก็ผิดสัญญา”




    น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยเป็นคำตัดพ้อ ทั้งๆ ที่เปลือกตาก็ยังคงปิดอยู่อย่างนั้น เปลือกตาที่ปิดซ่อนแววสั่นไหว ปิดบังความรู้สึกผิดหวัง ปิดร่องรอยของความเสียใจที่มันเกลื่อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น


    ปิดกลั้นไม่ให้หยาดน้ำใสได้ไหลออกมาจากขอบตาที่มันกำลังร้อนผ่าว


    ทั้งๆ ที่เจ้าสัญญากับข้าแล้ว


    ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นคนเดียวที่มองเห็นข้า


    ทั้งๆ ที่ข้าทั้งที่ข้าแค่อยากจะมีตัวตนอยู่ในความทรงจำของใครซักคน


    ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆ ลืมขึ้นอีกครั้ง มองใบหน้าของคนผิดสัญญาอีกครั้ง ก่อนที่มือเรียวจะยกขึ้นปาดหยดน้ำที่ไหลออกมาจากหางตาทิ้งไปอย่างลวกๆ


    “เจ้ามันใจดำ”


    ทิ้งคำต่อว่าสุดท้าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ยังไม่ทันจะได้เดินหนีอย่างที่ใจคิด ร่างทั้งร่างก็ต้องชะงักกึกเมื่อถูกมือใหญ่ของใครบางคนยึดข้อมือเอาไว้ และเพราะว่าไม่ทันได้ตั้งตัว ขาเล็กๆ ถึงได้เซจนล้มเพียงเพราะแรงดึงจากมนุษย์เพียงคนเดียวแรงดึงที่ทำให้ภูติหิมะได้แต่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง


    และตอนนี้ร่างโปร่งบางก็แทบจะเกยอยู่บนตักของเด็กหนุ่มคนที่เพิ่งจะถูกประณามว่าใจดำ


    มือใหญ่ข้างหนึ่งเกาะกุมข้อมือเล็กเอาไว้แน่น ในขณะที่ใบหน้าของคนสองคนก็กลับอยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบ


    ใกล้เพียงแค่ลมหายใจกั้น


    ใกล้ จนมองเห็นเงาของกันและกันในดวงตา


    “ใครกันแน่ที่ใจดำ?...


    เสียงทุ้มเอ่ยคำกระซิบแผ่วเบาให้ดวงตาของคนฟังต้องเบิกกว้าง หากแต่คนเจ้าเล่ห์กลับเพียงแค่ระบายยิ้มบางเบาแล้วกระชับกอดเอวบางให้ชิดตัวมากขึ้น


    “ไม่ยอมออกมาหากัน ไม่ยอมออกมาให้เห็น ปล่อยให้คนอื่นเค้าเพ้อหาอยู่ฝ่ายเดียวตั้งเป็นสิบปี” ดวงตาของคนพูดยังคงสบมองดวงตาคู่สวยของคนฟังอยู่อย่างนั้น



    “แถมยังชอบแกล้งให้คนเค้าเดือดร้อนบ่อยๆ อีกต่างหาก” มือใหญ่ที่ยึดอยู่บนข้อมือเล็กเปลี่ยนไปกุมมือบางๆ นั้นเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ สอดประสาน...



    “แบบนี้ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายใจดำน่ะ?”


     



    แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่ของมัน


    ความเงียบโรยตัวบางเบาอยู่รอบๆ บรรยากาศ หากแต่ในตอนนี้คนสองคนกลับไม่มีใครคิดที่จะทำลายมันลงเลยสสักนิด แล้วใบหน้าของมนุษย์เจ้าเล่ห์ก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ภูติหิมะมากขึ้น ก่อนจะจรดหน้าผากลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา


    เนิ่นนานที่ได้แต่แนบชิดกันอยู่อย่างนั้น


    นานแสนนานก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยคำกระซิบแผ่วเบา


     

    “คิดถึงจัง


     

    และนั่นก็เป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องระบายยิ้มกว้าง


    ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆ หลับลงช้าๆ ซึมซับเอาความคิดถึงที่มันอยู่ในคำพูดประโยคนั้น รับเอาไออุ่นจากสัมผัสที่ไม่เคยได้รับ และรู้สึกถึงหัวใจของตัวเองที่มันกำลังเต้นแรง


     

    ข้าก็คิดถึงเจ้า”


     

     

     



    End.

     

    *******************************************************************************




    นี่มันพล็อตอะไร?

    แล้วทำไมนิวท์ผมเงิน?

    นี่มันนิวท์ หรือแจ็คฟรอส หรือคาโล วาเนบลี??

     

    แล้วนี่มันพล็อตอะไร? ทำไมถึงออกทะเลป่าเขาลำเนาไพรได้ถึงเพียงนี้? แล้วทำไมถึงได้จบง่อยแบบนี้?

    อะไร? อะไร? อะไร? อะไร และ อะไร?????? #ร้องไห้

     

    เอาเถอะ

    ยังไงก็เขียนออกมาแล้วล่ะนะ TT^TT

    เอาเป็นว่าชอบไม่ชอบยังไงก็ด่า เอ๊ย! ติชมกันได้นะคะ ;;w;;

     

    แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ

    ไอวิชรักคนอ่านนะ ;3;

     

    ปล.แบบนี้จะเรียกว่านิวท์เลี้ยงต้อยได้ป่ะ? แอบเลี้ยงมาตั้งสิบปีเลยนะ กร๊ากกกกกกกก #อะไร






     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×