ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมฟิคสั้น Avengers, Thor, Sherlock, Maze Runner [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #9 : Shot Fic HiddlesWorth : In Valentine #5 (จบ)

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 57





    In Valentine #5 (End)

    Couple : Chris x Tom, HiddlesWorth

    Rate : PG

     

     



    Chris’s Part.

     


    ผมออกมาจากห้องน้ำเพื่อที่จะพบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยิ้มน้อยๆ ให้กับมัน ก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมือขยุกขยิกของคนที่ไม่ได้อยู่ในห้อง


     

    “ฉันออกไปข้างนอกนะ

    นายรู้มั๊ยว่าพัทยานี่มีที่เจ๋งๆ ที่เค้าเรียกว่า Walking street อยู่ด้วยล่ะ ฮ่าๆ”

     


    ข้อความที่ทำให้ผมแทบจะอ้าปากค้าง กระดาษโน้ตแผ่นน้อยร่วงหลุดจากมือลงไปนิ่งสนิทอยู่ที่พื้น


    “วอคกิ้งสตรีท!!! ให้ตายเหอะ นี่นายรู้มั๊ยว่ามันเป็นที่แบบไหนเนี่ย?!” จบคำพูดผมก็คว้าเสื้อผ้ามาใส่แบบลวกๆ แทบจะวิ่งออกจากห้องทันที


    ให้ตายเถอะ! หมอนั่นจะไปทำอะไรที่นั่นวะ?! หรือเกิดนึกอยากจะดูโชว์เปิดขวดขึ้นมารึไงกัน?!!


    อยากจะออกไปเที่ยวคนเดียวก็ไม่ว่าหรอก แล้วจะไปที่ไหนก็ไม่คิดจะห้ามเลย


    แต่ทำไมต้องเป็นที่วอคกิ้งสตรีทด้วยวะ?!!!


    ผมสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาพี่คนขับสองแถวที่จอดเรียงรายคอยให้บริการนักท่องเที่ยวไม่ไกลจากโรงแรมนัก


    “แหลมบาลีฮาย”


    พูดสั่งสั้นๆ ให้พี่หนวดคนขับรถพยักหน้ารับ ก่อนผมจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถสองแถวที่มีผมเป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียว แล้วพี่คนขับก็ออกรถตรงไปยังสถานที่เป้าหมายทันที ในใจผมก็ได้แต่หวังว่าคนชอบเหวี่ยงมันจะไม่ไปเหวี่ยงใครจนก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก่อนหรอกนะ


    แล้วทำไมพี่หนวดนั่นถึงได้ขับรถช้าเป็นเต่าแบบนี้เนี่ย?!


     

     


    ผมลงมาจากรถสองแถวแล้วยื่นแบงค์ห้าร้อยบาทไทยให้กับพี่หนวดโดยที่ไม่ได้ใส่ใจเสียเวลาต่อรองราคาอะไรทั้งนั้น ห้าร้อยบาทกับระยะทางแค่นั้นอาจจะแพงไปนิดก็จริง แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะคิดเรื่องนั้น ในเมื่อความคิดเดียวที่อยู่ในหัวผมก็คือต้องตามหาทอมให้เจอโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ไอ้คนชอบเหวี่ยงมันจะไปหาเรื่องอะไรใส่ตัวเข้าซะก่อน


    คนตัวบางๆ หน้าสวยๆ แบบนั้น แถมยังนิสัยแบบนั้นอีก ไปเดินในวอคกิ้งสตรีทคนเดียวดึกๆ ถ้าไม่ไปเหวี่ยงใส่ใครจนมีเรื่องชกต่อยก็คงมีอันได้ถูกใครซักคนลากไปข่มขืนที่ไหนซักแห่งแน่ๆ


    ผมสาวเท้าเร็วๆ เดินผ่านซุ้มทางเข้าที่มีตัวหนังสือไฟตัวใหญ่เขียนว่า ‘Walking street’ นอกจากเสียงดังหนวกหูของดนตรีและแสงไฟวับๆ จากสถานที่อโคจรทั้งหลายที่เรียงรายอยู่ตามข้างทางแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นก็คือผู้หญิงทั้งแท้และเทียมที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่ใส่อะไรเลยกำลังยืนอยู่ตามมุมต่างๆ คอยดักคนที่เดินผ่านไปมา ปากสีแดงสดก็คอยเรียกแขกอย่างที่ทำให้ผมต้องรีบเดินหลบออกมาให้เร็วที่สุด


    หลังจากหลุดออกมาจากฝูงหญิงแท้หญิงเทียมทั้งหลายได้อย่างยากลำบากแล้ว ผมก็เดินลึกเข้าไปตามถนนเรื่อยๆ ผู้คนมากมายเดินสวนไปมาทั้งคนตะวันตกอย่างผม คนเอเชีย คนไทย เยอะแยะเต็มไปหมด แต่ในหมู่คนเหล่านั้นกลับไม่มีร่างผอมๆ ของใครบางคนที่ผมกำลังตามหาอยู่เลย


    ยิ่งเดินก็ยิ่งลึก ยิ่งลึกก็ยิ่งอันตรายมันยิ่งทำให้ผมกระวนกระวายเข้าไปใหญ่


    ให้ตายเหอะ! นายไปอยู่ที่ไหนของนายเนี่ยทอม ฮิดเดิลส์ตัน!


    ผมเดินไปเรื่อยสายตาก็มองหาทอมไปพรางจนลืมสังเกตว่าตอนนี้บรรยากาศรอบๆ ตัวเริ่มเปลี่ยนไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่บังเอิญไปสบตากับผู้ชายคนหนึ่งเข้า นัยน์ตาคู่สีดำสนิทนั้นมองมาที่ผมหยาดเยิ้ม ยกยิ้มบริหารเสน่ห์นิดๆ…. ก่อนจะยกแขนขึ้นเบ่งกล้ามโชว์


    ในสภาพที่ใส่กางเกงในตัวเดียว?!!


    เอาเข้าไป! หลุดจากดงสาวงาม (?) มาได้ก็ต้องหลงมาอยู่ในดงของหนุ่มสีม่วง


    พระเจ้า! นี่ทอมคิดอะไรอยู่ ถึงได้บอกว่าที่แบบนี้มันคือที่ เจ๋งๆได้น่ะ?!


    และก่อนที่ผมจะตกเป็นเหยื่อของหนุ่มน้อยกางเกงในตัวเดียวคนนั้น เสียงโวยวายคุ้นๆ ก็ดังเข้าหูให้ผมต้องหันไปมองต้นเสียงแทบไม่ทัน


    “ปล่อยฉันนะ! ออกไปนะเว้ย!


    เสียงโวยวายที่ทำให้หัวใจผมแทบจะหล่นวูบ แต่เมื่อหันไปพบกับคนตัวบางที่ถูกผู้ชายร่างยักษ์กำลังยึดข้อมือเอาไว้ ความรู้สึกโกรธมันก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน และก่อนที่มือใหญ่ๆ อีกข้างของไอ้ผู้ชายคนนั้นจะได้ยกขึ้นแตะใบหน้าของทอม หมัดหลุนๆ ของผมก็ต่อยโครมใส่หน้าไอ้ยักษ์นั่นก่อนที่ผมจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป


    “อย่ามายุ่งกับคนของกู!!” ความโกรธจัดทำให้ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดภาษาอะไรออกไป แต่จะภาษาอังกฤษ เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย จีน หรือภาษาต่างดาวที่ไหนตอนนี้ผมก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหละ!


    ผมลากคนหาเรื่องใส่ตัวออกมาจากตรงนั้นทันที ก่อนจะเดินดุ่มๆ ตรงไปยังทางออกอย่างไม่คิดจะสนใจคำประท้วงของคนที่ถูกลากอยู่ด้วยซ้ำ


    ผมรู้แต่ว่าต้องเอาหมอนี่ออกไปจากไอ้สถานที่เสื่อมๆ นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


    ผมรู้แค่นั้นแหละ!


    “นายมาได้ยังไงเนี่ย?”



    “เฮ้ย แล้วนี่จะรีบไปไหนเนี่ย?”



    “เฮ้ นี่มันทางออกนี่ ไม่เอาน่า ฉันยังไม่อยากกลับนะ”



    “นี่ หยุดเดินก่อนได้มั๊ย? คุยกันก่อน”



    “ไอ้หมียักษ์ นี่นายฟังฉันพูดอยู่รึเปล่าเนี่ย?” เสียงโวยวายดังอยู่อย่างนั้นไปตลอดทาง อย่างที่ผมแทบจะไม่ได้ฟังว่าเจ้าตัวแสบนี่พูดอะไรบ้าง จนเมื่อออกมาพ้นจากไอ้สถานที่เสื่อมๆ นั่นจนถึงโซนหน้าแหลมบาลีฮายแล้วผมถึงได้หยุดเดิน


    ปึ๊ก!


    “โอ๊ย! จะหยุดเดินก็บอกกันก่อนสิ!” เสียงโวยวายจากคนที่ถนัดโวยวายมากที่สุดทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปจ้องใบหน้าสวยๆ นั้น


    คนหน้าสวยที่ตอนนี้กำลังยกมือขึ้นคลำจมูกที่ติดจะแดงๆ จากการเดินชนหลังของผมเมื่อกี้ ริมฝีปากบางๆ นั่นก็ยังคงบ่นพึมพำไม่ยอมหยุดในขณะที่คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นอย่างที่บอกว่าเจ้าตัวคงกำลังหงุดหงิดอยู่ ผมหยุดยืนมองคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้นซักพัก ก่อนที่ความรู้สึกบางอย่างจะวิ่งเข้ามาในใจให้ผมต้องดึงร่างตรงหน้านั้นเข้ามากอด


    ความรู้สึกบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่?


    รู้แต่ว่าเป็นห่วงคนคนนี้เหลือเกิน ห่วงจนแทบอยากจะบ้าแล้วก็โกรธจนไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี


    โกรธที่คนคนนี้ชอบหาเรื่องใส่ตัวให้คนอื่นเค้าต้องวิ่งวุ่นหาไปทั่ว


    โมโหที่เจ้าตัวทำอะไรไม่รู้จักคิดจนตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายแบบนั้น


    “นายมากอดฉันทำไมเนี่ย?”



    “ปล่อยน่า กอดแบบนี้มันอึดอัด”



    “เฮ้ พูดไม่ได้ยินรึไง?”


    “นาย


    “ฉันทำไม?”


    “นาย


    “ฉันอะไรล่ะ?!


    “นายอย่าทำแบบนี้อีกนะทอม อย่าอยู่ๆ ก็หายไปแบบนี้อีก”



    ได้โปรด”


    จบคำพูดของผมคนที่ดิ้นไม่หยุดตั้งแต่ถูกคว้าตัวเข้ามากอดก็หยุดชะงักกึก คำโวยวายที่เคยออกมาจากริมฝีปากสวยนั้นก็เงียบเสียงไปเช่นกัน สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ได้ในตอนนี้ก็คือตัวอุ่นๆ ของคนในอ้อมกอดกับเสียงหัวใจตัวเองที่มันเต้นระรัวอยู่ในอกข้างซ้าย


    พระเจ้าหรือใครก็ได้ช่วยบอกผมที


    บอกผมทีว่าตอนนี้ผมเป็นอะไรกันแน่?...


    หรือไอ้สิ่งที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้มันจะเป็นสิ่งที่ผมตามหาและเฝ้ารอมาตลอดทั้งชีวิต?


    และถ้าหากว่ามันคือสิ่งนั้นจริงๆ


    คนที่ผมกำลังกอดอยู่นี่ก็คือคนคนนั้น คนที่ผมอยากจะเจอตลอดมาใช่รึเปล่า?


    ใครซักคนที่ผมรอคอยที่จะได้ใช้คำว่ารักคนนั้นคือคนคนนี้ใช่มั๊ย?


    ใครก็ได้ ได้โปรดช่วยบอกผมที


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     


    Tom’s Part.


     

    ผมกัดแฮมเบอร์เกอร์คำโตเข้าปากอย่างไม่ค่อยจะรู้สึกว่ามันอร่อยเท่าไหร่นัก แต่ก็นั่นแหละจะไปเอาอะไรมากกับแฮมเบอร์เกอร์ที่ซื้อจากเซเว่นข้างทางแบบนี้


    ตอนนี้ผมกับหมียักษ์กำลังนั่งอยู่บนพื้นทรายของหาดจอมเทียนที่ถึงจะดึกแล้วแต่ก็ยังมีแสงจากสปอร์ตไลค์ดวงโตส่องลงหาดให้ความสว่างแก่นักท่องเที่ยวอยู่ ออกมาจากแหลมบาลีฮายก็นานแล้ว นั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ซักพักใหญ่ๆแล้ว แต่คนที่นั่งข้างๆ ผมนี่จนป่านนี้ก็ยังเอาแต่เงียบ เงียบ และก็เงียบไม่ยอมพูดอะไรกับผมซักคำ ทั้งๆ ที่สามสี่วันที่ผ่านมาหมอนี่ออกจะเป็นคนพูดมากจะตาย


    หรือว่าเขาจะโกรธผมจริงๆ?...


    แต่เขากับผมไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย แล้วมีอะไรสิทธิ์มาโกรธผม?


    นั่นสิ ก็แค่คนที่บังเอิญให้ต้องมาอยู่ด้วยกัน เพราะงั้นจะโกรธหรือจะงอนอะไรผมก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องไปสนใจ


    มั้ง?


    แต่ว่า


    เฮ้อ……


    แฮมแบอร์เกอร์ถูกกัดเข้าปากอีกคำก่อนที่ผมจะเหลือบตามองคนข้างๆ ที่ตอนนี้กำลังนั่งมองวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่กำลังเล่นน้ำกันอยู่ เด็กตัวสูงกำลังจับแขนเพื่อนคนตัวเล็กไว้ทั้งสองข้าง ในขณะที่เด็กอ้วนอีกคนก็กำลังจับขาสองข้างไว้เช่นกัน แล้วเด็กสองคนก็เหวี่ยงเพื่อนตัวเล็กเป็นจังหวะได้อย่างพร้อมเพรียงกันเป็นที่สุด


    หนึ่งสองสาม และ


    ตู้มมม!


    เด็กตัวเล็กถูกโยนลงน้ำอย่างสวยงามจนตัวแทบพับ ในขณะที่ผู้กระทำได้แต่ยืนมองและส่งเสียงหัวเราะลั่น คงจะสนุกกันน่าดูนะ แต่เฮ้ นี่พวกนายลืมไปรึเปล่าว่าเพื่อนพวกนายน่ะเป็นผู้หญิง


    โยนผู้หญิงลงน้ำตูมแบบนั้นเนี่ยนะ?!


    เสียงโวยวายและเสียงหัวเราะที่ดังก้องตามมาทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ก่อนจะละสายตาจากการละเล่นอันสร้างสรรค์ (?) ของเด็กไทยแล้วหันกลับมามองหน้าคนข้างๆ ตัวที่ยังคงไม่คิดจะหันมามองผมตอบ


    เด็กวัยรุ่นพวกนั้นมีอะไรน่าสนใจมากกว่าผมตรงไหนเนี่ย?


    ชักจะโมโหบ้างแล้วนะ!


    “เฮ้อออออออออ”


    ผมแกล้งถอนหายใจยาวๆ อย่างที่หวังว่าจะเรียกร้องความสนใจจากไอ้คนเงียบได้บ้าง แล้วมันก็ได้ผลเมื่อหน้าหล่อๆ นั่นหันมามองผมนิดๆ แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะผมยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรหมอนี่ก็หันหน้ากลับไปมองทะเลเหมือนเดิม ภาพที่ทำให้ผมแทบจะอ้าปากค้าง


    อะไรของนายวะเนี่ย?!...


    สรุปว่าฉันต้องง้อนายจริงๆ ใช่มั๊ย?


    ถึงจะออกมาเดินเที่ยวคนเดียวมันก็ไม่ได้สนุกขนาดนั้นนะ ถูกผู้ชายตัวใหญ่ๆ มาถามซื้อน่ะ มันไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ


    แล้วคุณหมีนี่ยังจะมาโกรธผมอีกผมนี่มันน่าสงสารจริงๆ


    เฮ้อ


    สุดท้ายผมก็ไม่รู้จะทำยังไงให้คนเงียบเปิดปากพูดออกมาได้ เลยตัดสินใจยื่นแฮมเบอร์เกอร์ที่เหลืออยู่ครึ่งอันในมือส่งไปตรงหน้าหล่อๆ นั่น


    “กินมั๊ย?” หันมาส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะหันกลับไปมองทิศเดิม





    “เฮ้ พูดอะไรหน่อยสิ นายมานั่งเงียบแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆ นะ”



    “ใจคอนายจะไม่ยอมคุยกับฉันจริงๆ เหรอ?”



    “นี่ นายโกรธฉันจริงๆ เหรอ?”





    “คริส”


    แล้วหมียักษ์ก็ยอมหันมามองหน้าผมจนได้ คิ้วเข้มๆ นั้นขมวดขึ้นนิดๆ ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นเป็นครั้งแรก


    “เมื่อกี้นายเรียกฉันว่าอะไรนะ?”


    “ก็เรียกคริสไง”


    ผมตอบออกไปแบบงงๆ อะไรกัน ผมพยายามชวนคุยไปตั้งเยอะกลับทำเป็นเงียบ บทจะพูดก็ดันหันมาพูดเอาดื้อๆ  แถมยังมาทำท่าทางแปลกๆ อีก


    แค่เรียกชื่อแค่นี้เนี่ยนะ?


    แล้วหน้านิ่งๆ ของคนตัวโตก็ค่อยๆ ยกยิ้มบางๆ ก่อนที่นัยน์ตาสีฟ้าจะทอดมองผมด้วยประกายอ่อนโยน?


    อ่อนโยน งั้นเหรอ?...


    ไม่ใช่มั้ง ผมอาจจะคิดไปเอง นั่นสิคิดไปเอง


    คิดไปเองเข้าใจมั๊ยไอ้หัวใจบ้านี่! หยุดเต้นโครมๆ ได้แล้ว!


    “นึกว่านายจำชื่อฉันไม่ได้แล้วซะอีก”


    “หา?”


    “ก็ตั้งแต่รู้จักกันมานายไม่เคยเรียกชื่อจริงๆ ฉันซักครั้งเลยนะ”


    “เหรอ? ฉันทำอย่างนั้นหรอ?” นี่ผมทำแบบนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย? ไม่เห็นจะรู้ตัวเลยแฮะ


    “อืม” คริสตอบแค่นั้น แต่ก็ยังคงนั่งมองผมยิ้มๆ เหมือนเดิม จนผมเริ่มทำอะไรไม่ถูกเลยต้องก้มหน้าเอาเท้าเขี่ยๆ ทรายเล่นอยู่อย่างนั้น


     



    “แล้ว สรุปว่านายหายโกรธฉันรึยัง?” ผมถามออกไปด้วยเสียงหวิวๆ กลัวว่าเขาจะตอบว่า ยังชะมัด


    “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ?”


    “งั้นก็หายแล้วชัวร์” ผมพูดพร้อมกับยิ้มกว้างให้คนฟังต้องเลิกคิ้วมองผมยิ้มๆ “แค่ฉันออกมาเดินเที่ยวแล้วไม่ได้ชวนแค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธกันเลยน่า เอาไว้คราวหน้าถ้าจะออกมาแบบนี้อีกฉันสัญญาว่าจะไม่ลืมชวนนาย”


    “ฮ่าๆ ฉันไม่ได้โกรธนายเรื่องนั้น”


    “อ้าว”


    “อันที่จริงฉันไม่มีสิทธิ์จะไปโกรธอะไรนายด้วยซ้ำ”


    ผมหันไปมองหน้าคนพูดอย่างงงๆ ไม่โกรธ? แล้วไอ้ที่นายทำมาทั้งหมดนั่นมันเรียกว่าอะไรวะ?


    “อันที่จริงจะออกมาเดินเที่ยวข้างนอกคนเดียวมันก็เป็นสิทธิ์ของนายอยู่แล้ว ฉันไม่มีสิทธิ์ไปโกรธไปว่าอะไรนายได้อยู่แล้ว”



    “เพียงแต่พอรู้ว่านายไปอยู่ในที่แบบนั้นคนเดียวมันก็รู้สึกกลัวไปหมด กลัวว่านายจะตกอยู่ในอันตราย กลัวว่าจะมีใครมาทำอะไรนายเข้า” คนพูดหยุดเว้นวรรคประโยคไปนิด ให้หัวใจของผมที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับเต้นระรัวมากยิ่งขึ้นไปอีก มันเต้นดังอยู่ในอกอย่างนั้นจนผมเริ่มรู้สึกกลัว


    กลัวว่าคนต้นเหตุจะได้ยินเข้า


    “แล้วพอฉันเห็นว่าไอ้ยักษ์นั่นมันกำลังจะทำอะไรนาย ฉันก็แทบอยากจะกระทืบมันให้ตายไปซะตรงนั้น”



    “ไม่รู้สินะทอม ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตอนนี้ฉันกำลังเป็นอะไรอยู่”


    แล้วคริสก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงราวกับว่าพยายามจะปิดบังแววสับสนที่มันอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ภาพที่ทำให้ผมได้แต่มองเสี้ยวหน้าหล่อๆ จากทางด้านข้างอยู่อย่างนั้น แฮมเบอร์เกอร์อีกครึ่งอันที่ถืออยู่ในมือบัดนี้ซักนิดก็ไม่คิดอยากจะกินมันต่อให้หมด


    บางที ผมอาจจะเข้าใจความรู้สึกของเขานะ?...


    แค่คิดว่าบางทีนะ


    บางทีผมอาจจะกำลังเป็นแบบหมอนี่อยู่ก็ได้


    แต่อย่าถามผมเลย ว่าทำไมถึงต้องใช้คำว่า บางทีเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะไปเอาคำตอบจากที่ไหนมาให้คุณเหมือนกัน


    “กลับโรงแรมกันเถอะ” อยู่ๆ คนที่หลับตาอยู่ก็เปิดเปลือกตาขึ้น แล้วหันมาพูดยิ้มๆ จนผมตกใจแทบสะดุ้ง


    “ห๊ะ?”


    “ฮ่าๆ นายนี่ขวัญอ่อนชะมัด”


    แล้วมันเพราะใครล่ะวะ?!


    “ไปกันเถอะพรุ่งนี้ก็ต้องกลับลอนดอนแล้ว เราควรจะกลับไปนอนเก็บแรงเยอะๆ เอาไว้สำหรับการเดินทางนะ” พูดจบคริสก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นมือมาดึงมือผมให้ลุกขึ้นตามแล้วลากผมเดินไปที่ถนนทันที


    เดินเฉยๆ ไม่ได้รึไงกัน? ทำไมต้องจับมือด้วยนะ?


    แต่ว่า


    แบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     


    Chris’s Part.

     


    ในที่สุดผมกับทอมก็ได้กลับมายืนอยู่บนมหานครลอนดอนอีกครั้ง และตอนนี้เราสองคนก็กำลังยืนอยู่ในบริเวณประตูทางออกของสนามบินและก็ยืนอยู่อย่างนี้มาได้ซักพักหนึ่งแล้ว แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครคิดที่จะขยับตัวไปไหน ผมยืนมองผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างเร่งรีบ บ้างก็รีบเพราะกลัวว่าจะไม่ทันเครื่องออก บ้างก็เร่งเดินเพราะเกรงว่าจะไปไม่ทันส่งคนรู้จักที่กำลังจะออกเดินทาง หรือไม่อีกทีพวกเค้าก็คงจะอยากรีบเดินเพื่อจะกลับให้ถึงบ้านเร็วๆ


    คงจะมีแต่ เราที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ราวกับว่ามีเพียงแค่เวลาของผมกับเขาเท่านั้นที่มันกำลังหยุดเดิน


    ผมหันไปมองหน้าของคนข้างตัวที่กำลังยืนกอดอกขมวดคิ้วมุ่นราวกับว่ามีเรื่องที่คิดไม่ตกอยู่ ปากสวยๆ นั้นก็ขยับบ่นอะไรพึมพำเบาๆ อยู่คนเดียวตามนิสัย ทำให้ผมอยากจะรู้ขึ้นมาว่าเจ้าตัวกำลังบ่นอะไรอยู่


    แล้วผมก็ขยับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นหูเข้าไปใกล้ๆ เพื่อแอบฟัง


    คงไม่น่าเกลียดหรอกน่า


    แล้วมันอะไรล่ะที่บอกว่าน่าเกลียดน่ะ?


    “อืม….


    หืม?


    “เอาไงดี?...” ประโยคบ่นพึมพำที่ฟังยังไงก็ไม่เข้าใจทำให้ผมต้องยิ้มกว้างก่อนจะพูดขัดขึ้น


    “จะเอายังไงก็เอาซักอย่างเถอะครับคุณฮิดเดิลส์ตัน”


    แล้วคนเจ้าของชื่อก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันขวับมามองหน้าผมที่อยู่ไม่ห่างกันนัก และนั่นมันก็ทำให้ใบหน้าของเราทั้งคู่มีเพียงแค่อากาศบางเบาเท่านั้นที่เป็นตัวกั้นผ่าน


    และมันก็เป็นอีกครั้งที่ราวกับว่าเวลาได้หยุดเดินลง


    “อะเอ่อคือ ขอโทษที” ผมที่ตั้งสติได้ก่อน ค่อยๆ ผละตัวออกห่างจากคนตัวบางที่ยังคงยืนทำหน้าเหวอๆ อยู่อย่างนั้น ภาพหน้ารักที่ทำให้ผมอดที่จะระบายยิ้มออกมาไม่ได้


    “อะเอ่ออ๋อ เอ้อ ไม่เป็นไรๆ” คนที่สติยังไม่ค่อยครบดีนักตอบกลับอย่างติดจะงุนงงอยู่เล็กน้อย ก่อนที่หัวคิ้วจะมุ่นขึ้นนิดแล้วดวงตาเรียวเล็กนั้นก็เบิกกว้างและเปิดปากเริ่มต้นโวยวาย


    “เฮ้ย! เมื่อกี้นายแอบฟังฉันนี่!


    ก็ใช่น่ะสิ เพิ่งจะรู้ตัวเหรอ?


    ความคิดที่ทำให้ผมต้องยิ้มขำๆ ก่อนจะแกล้งพูดเอาตัวรอด


    “แอบฟัง? ใครจะกล้าแอบฟังคุณโธมัส ฮิดเดิลส์ตัน บ่นคนเดียวได้ล่ะครับ”


    “จะใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่หมียักษ์แถวนี้น่ะ?”


    “ฮ่าๆ แล้วสรุปว่านายบ่นอะไรอยู่คนเดียว?”


    “ยุ่ง” คำว่าที่ผมเพียงแค่ยักคิ้วรับนิดๆ ให้คนพูดต้องค้อนให้ผมวงโต ภาพน่ารักที่ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างขึ้นไปอีกก่อนจะถอนหายใจเบาแล้วเอ่ยคำถามที่ผมไม่อยากจะถามมากที่สุด


    “แล้วนี่นายจะกลับบ้านเลยรึเปล่าทอม?” คนที่ต้องตอบคำถามชะงักไปนิด ก่อนจะเสมองไปทางอื่นอย่างที่ไม่คิดจะหันมาสบตากับผมซักนิด


    “ใช่”


    “แล้วจะกลับยังไง?”


    “แท็คซี่ แล้วนายล่ะ?” ผมหันหน้าออกไปมองทางเดินของสนามบินที่ยังคงมีผู้คนมากมายเดินผ่านไปมาอยู่อย่างนั้น เงียบไปนิดก่อนจะเอ่ยตอบคำถาม


    “อืม แท็คซี่เหมือนกัน”


    “งั้นก็” ทอมหันมามองผมนิดๆ ก่อนจะแย้มรอยยิ้มละไม แล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของตนที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาสะพาย “แยกกันตรงนี้เลยแล้วกันนะ”


    “โชคดีนะ”


    “อืม ลาก่อน”


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     


    รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อนึกถึงใบหน้าของใครบางคนให้ภาพความทรงจำในวันนั้นกลับมาฉายชัดในความรู้สึกอีกครั้ง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะพึมพำแผ่วเบา


    “ลาก่อนงั้นเหรอ?...


    แล้วคนที่กำลังบ่นอะไรอยู่คนเดียวก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนแข็งๆ ของใครบางคนที่อยู่ๆ ก็โอบกอดมาจากทางด้านหลัง


    “บ่นอะไรคนเดียวอีกแล้ว?”


    “ไม่ได้บ่น”


    “ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าบ่น” กระซิบที่ข้างใบหูเล็กๆ นั้นก่อนที่คนพูดจะขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ ให้คนถูกหอมต้องหันมาดุ


    “อย่าฉวยโอกาสน่าคริส”


    “ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะทุ้มๆ ที่ทำให้คนถูกฉวยโอกาสต้องหน้าหงิกขึ้นนิด แต่อ้อมแขนของคนอีกคนกลับกระชับกอดให้แน่นขึ้นไปอีก




    “นายอยากไปเที่ยวทะเลมั๊ยทอม?”


    “หืม?”


    “คิดถึงพัทยาเนอะ ไม่ได้ไปมาตั้งสามปีแล้ว ป่านนี้อะไรๆ คงเปลี่ยนไปเยอะเลย”


    “แล้ว?”


    “วาเลนไทน์นี้เราสองคนไปพัทยากันดีมั๊ย?”


    “เห็นเบนบอกภูเก็ตสวยกว่าเยอะนะ”


    “แต่ฉันอยากไปพัทยามากกว่า”


    “ทะเลที่อื่นสวยกว่าตั้งเยอะ ทำไมต้องเป็นพัทยา?”


    “นั่นสิ ทำไมต้องเป็นพัทยานะ?” คำพูดที่ทำให้คนที่ถูกกอดอยู่ต้องแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนเสียงใสๆ จะเอ่ยรับคำ


    “แล้วนายอย่าพาฉันไปหลงทางล่ะไอ้หมียักษ์”


    “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงน่า”


     

     

     

     

     

    **********************************************************************************

     

    เหมือนจะจบใช่มั๊ย?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


    แต่

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     




    มันยังไม่จบนะ

     

     

     

     

     

     


    Tom’s Part.

     


    ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในสนามบิน


    “งั้นก็” ผมหันไปมองหน้าหมียักษ์นิดๆ ก่อนจะแย้มรอยยิ้มละไมแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของผมที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาสะพาย “แยกกันตรงนี้เลยแล้วกันนะ”


    “โชคดีนะ”


    “อืม ลาก่อน”


    ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ทั้งผมและคริสกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีใครก้าวขาหรือแม้แต่ขยับตัวไปไหนด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นสบมองผมนิ่ง อย่างที่ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกอาวรณ์นัก


    มีพบก็ต้องมีจากมันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?


    ...แล้วผมจะมาใจหายอะไรนักหนากับแค่การต้องลากับคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันแบบนี้?


    สุดท้ายผมก็ตัดสินใจหันหลังแล้วสาวเท้าเดินจากมา แต่ก่อนจะเดินออกมาพ้นประตูทางเข้าของสนามบินเสียงทุ้มๆ ก็ตะโกนไล่หลังมาให้ผมต้องหยุดฝีเท้าลง


    “ทอม!



    “ขอบใจสำหรับหลายวันที่ผ่านมานะ นายทำให้มันเป็นวันที่มีค่ามากสำหรับฉัน”


    ไอ้หมีบ้าเอ๊ย!


    ถึงจะตะโกนด่าในใจแบบนั้นแต่ตอนนี้ผมกลับหุบยิ้มไม่ได้


    เพียงเพราะประโยคแค่ประโยคเดียว แต่ทำไมมันถึงได้ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขได้มากมายขนาดนี้นะ?


    แล้วผมก็วางกระเป๋าเป้ของตัวเองลง ค้นหากระดาษกับปากกาอยู่ซักพักก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่าง ผมหันหลังเดินเร็วๆ กลับไปหาคนตัวใหญ่ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อๆ นั้น แล้วยื่นมือออกไปแปะกระดาษโน้ตหนึ่งใบลงบนหน้าผากของหมียักษ์


    “ถ้าไม่โทรมานายตายแน่!


    พูดจบผมก็หมุนตัวกลับแล้ววิ่งออกมาทันที



     

     






    ถ้าคนที่ผมตามหามาตลอดคือคนคนนี้จริงๆ


    มันก็คงน่าเสียดายแย่ ถ้าหากว่าผมจะปล่อยให้เขาผ่านไปเฉยๆ


    จริงมั๊ยครับ?...


    ...หรือคุณคิดว่าไง?

     

     

    End.

    ***********************************************************





    จบแล้ววววว! เย้เย้

    เป็นฟิคสั้นๆ แค่ 5 ตอนจบเองเนอะ

    คอนเสปต์ในตอนที่คิดจะเขียนฟิคเรื่องนี้คือ “จุดเริ่มต้นของคนสองคนที่เป็นคนแปลกหน้ากัน” ค่ะ

    มันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ จบในแบบจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นบทสรุป ส่วนตรงกลางระหว่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเค้าเองเนอะ ^0^

     

    ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ

    และขอโทษอีกทีสำหรับคาแร็คเตอร์ที่หลุดไปไกลของพี่ทอม 55555

     

    แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ (อาจจะเป็น Thorki หรือ Stucky)

    ไอวิชรักคนอ่านน้า >3<

     







     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×