ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้นของชาวบารามอส ^^ [Fic Baramos (yaoi)]

    ลำดับตอนที่ #4 : ฟิคสั้น: แพ้คำว่ารัก (คิลxโร)

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 54





    ฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากกานนี่น้องสาวผู้น่ารักคนหนึ่งขอให้เราเขียนฟิค คิลxโร ให้อ่านค่ะ แต่พอเราคิดไม่ออกไม่รู้จะเขียนอะไรเลยขอให้น้องเลือกเพลงที่ชอบมาเพลงนึง แล้วน้องก็เลือกเพลงแพ้คำว่ารักมาให้ ซึ่งเป็นเพลงที่...เอิ่มมม ทำให้เราช็อคอยู่เป็นวันเลยทีเดียว เพราะเนื้อเพลงมันเป็นอะไรที่ไม่เข้ากับนิสัยของไอ้คู่นี้มันมากกกกกก ทั้งคิลและโรไม่ใช่คนที่จะบอกรักใครได้ง่ายๆ นะ! TT.TT

    แต่สุดท้ายเราก็เค้นทุกอย่างเขียนออกมาเป็นแบบนี้จนได้ เป็นมุมมองของการ "แพ้คำว่ารัก" ในอีกมุมหนึ่ง แพ้คำว่ารักในแบบของ คิลxโร อาจจะไม่ตรงกับอารมณ์เพลงมากนักก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ T.T สนุกไม่สนุกยังไงลองอ่านกันดูนะคะ ^^



    แพ้คำว่ารัก...


    ห้องนั่งเล่นของป้อมอัศวินในเวลาตีสองแลดูแปลกตาไป เมื่อไร้ซึ่งเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าลิงทโมนประจำป้อมอย่างเคย คิล ฟิลมัสเปิดประตูเข้ามาข้างใน ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเนือยๆไม่คิดแม้แต่จะเปิดไฟให้ห้องที่มืดมิดสว่างขึ้นมาด้วยซ้ำ


    “ถอนหายใจเฮ้อๆ แถมยังออกมาอยู่คนเดียวดึกๆดื่นๆแบบนี้ คราวนี้คุณนักฆ่าคนเก่งกลุ้มอกกลุ้มใจอะไรอยู่ล่ะเนี่ย?”
    เสียงทักที่ทำให้นักฆ่าคนเก่งต้องขยับตัวนิดๆในความมืด ก่อนที่ริมฝีปากจะระบายยิ้มน้อยๆเมื่อรับรู้ได้ว่าคนต้นเสียงนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัวไม่ไกลจากเขานัก


    “โร เซวาเรส?” คำเรียกที่ทำให้คนถูกเรียกได้แต่ยิ้มรับแต่ก็ไม่คิดที่จะเอ่ยเสียงตอบกลับ ในขณะที่คนเป็นนักฆ่าเองก็ไม่คิดที่จะต่อบทสนทนาใดๆเช่นกัน ความเงียบดำเนินอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปท่ามกลางความมืดที่ยังคงโรยตัวอยู่รอบๆ จนในที่สุดคนเป็นนักฆ่าก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน


    “ก็ขนาดขอทานยังมีอารมณ์มานั่งเหม่ออยู่คนเดียวมืดๆได้ แล้วทำไมนักฆ่าจะออกมานั่งถอนหายใจตอนดึกๆบ้างไม่ได้ล่ะ?”
    ประโยคกวนๆที่ส่งให้ทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏบนใบหน้าของคนตัวเล็กก่อนที่จะเอ่ยคำถาม


    “รู้ได้ไงว่าฉันนั่งเหม่อ?”


    “ก็
    เดาเอา”


    “ฮ่าๆ คำตอบไม่สมกับเป็นนายเลยแฮะ”


    “ก็นะ”




    “โร
    /คิล”


    “นายพูดก่อนก็ได้
    / นายพูดก่อนสิ” ประโยคสองประโยคที่ถูกกล่าวออกมาพร้อมๆกันทำให้เจ้าของคำพูดสองคนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เสียงหัวเราะใสๆของคนตัวเล็กกับเสียงทุ้มๆของคนตัวใหญ่กว่าดังอยู่ท่ามกลางความมืดในห้องนั่งเล่นเล็กๆนั้นซักพัก ก่อนที่ความเงียบจะกลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง




    “ไอ้คำว่า
    ความรัก เนี่ยมันเป็นความรู้สึกยังไงกันนะ?”


    “หือ?” ประโยคคำถามที่อยู่ๆก็ถูกส่งมาจากนักฆ่าทำให้คิ้วเรียวของคนเป็นขอทานต้องมุ่นขึ้นนิดๆ ใบหน้าหวานมองไปยังตำแหน่งของคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักแต่เพราะความมืดที่โรยตัวอยู่ในบรรยากาศทำให้ไม่อาจจะรู้ได้ว่านักฆ่าคนข้างๆเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ “ความรักกับนักฆ่า
    ฟังดูไม่ค่อยจะเข้ากันเท่าไหร่นะ”


    “ฮ่าๆ นั่นสินะ”




    “ไปตกหลุมรักใครเข้าหรือไงคิล ฟิลมัส?” คนถูกถามยิ้มนิดๆก่อนที่จะส่งคำตอบกึ่งเย้ากึ่งยั่ว


    “อืมมม ก็อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่” คำตอบที่ทำให้หัวใจของคนฟังแกว่งไหวอย่างที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าสวยก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่ริมฝีปากบางเอ่ยคำถาม


    “ใครกันนะที่ทำให้ทายาทนักฆ่าตระกูลดังหวั่นไหวได้แบบนี้?”


    “แล้วขอทานผู้แสนฉลาดคิดว่าใครคนนั้นคือใครล่ะ?”


    “อาจจะเป็น
    เจ้าหญิงเรนอนคนสวย?...ล่ะมั้ง”


    “แล้วทำไมต้องเป็นเรนอน?”


    “ก็แล้วใครจะไปรู้ใจนักฆ่าได้ล่ะ?” คำตอบติดจะแข็งๆอย่างที่ทำให้คนเป็นนักฆ่าต้องหลุดเสียงหัวเราะขำๆ เสียงหัวเราะที่ทำให้โร เซวาเรสอยากจะสาปไอ้เจ้าของเสียงให้มันกลายเป็นโคมุสไปซะเดี๋ยวนั้น ขอทานหน้าหวานค้อนให้กับความมืดน้อยๆก่อนที่จะเอ่ยคำพูดแผ่วเบา


    “ความรักน่ะ
    ฟังแล้วมันอาจจะดูยิ่งใหญ่ก็จริงนะ” เสียงหัวเราะของใครอีกคนเงียบลงไปก่อนที่ใครคนนั้นจะค่อยๆหันมามองคนพูดถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นว่านัยน์ตาสีเขียวคู่สวยนั้นกำลังฉายประกายแบบไหนอยู่แต่ความมืดก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ขวางกั้นให้เขารับรู้ถึงอารมณ์ของคนพูดไม่ได้ “แต่จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นสิ่งที่ร้ายกาจมากที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาก็ได้


    “พูดอย่างกับว่านายเคยมีความรักอย่างนั้นแหละ” คำดักคอที่ทำให้โรถึงกับต้องอมยิ้ม


    “แล้วอะไรทำให้นายคิดว่าฉันไม่เคยมีล่ะ?”


    “ก็
    ไม่รู้สิ แต่ถ้านายมีความรักฉันก็คงต้องยินดีด้วย” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาติดจะแผ่วเบานิดๆอย่างที่ทำให้คนฟังถึงกับต้องกลั้นยิ้มแต่มันก็ทำได้ยากยิ่งนัก ใบหน้าสวยของขอทานในตอนนี้จึงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างที่เจ้าตัวนึกขอบคุณความมืดยิ่งนักที่ช่วยทำหน้าที่ปิดบังไม่ให้ใครอีกคนได้เห็นมันแบบนี้


    “ฉันมันขี้ขลาดเกินกว่าที่จะกล้าทำความรู้จักกับคำว่ารัก



    “เพราะมันเป็นคำที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์มากเกินไป
    ….อันตรายเกินไปอันตรายจนน่ากลัว”


    “ไม่น่าเชื่อว่าขอทานผู้ยิ่งใหญ่แห่งทริสทรอจะหวาดกลัวความรักแบบนี้ได้”


    “ฉันไม่ได้กลัวความรัก”


    “แล้ว?” คำถามลอยๆจากนักฆ่าอย่างที่หวังจะขอคำอธิบายแต่คนที่ควรจะต่อประโยคกลับเปลี่ยนเรื่องพูดไปซะอย่างนั้น


    “ว่าแต่นายเถอะ สรุปว่าอะไรกันที่ทำให้นักฆ่าเกิดอยากจะทำความรู้จักกับความรักขึ้นมา?” การเปลี่ยนเรื่องพูดที่ทำให้คิลถึงกับต้องหัวเราะขำๆก่อนจะยอมเอ่ยตอบดีๆอย่างที่ไม่อยากจะชวนคนตัวเล็กทะเลาะ


    “ก็มันมีเรื่องให้ต้องสงสัยนิดหน่อยน่ะ”


    “หืม?”


    “ก็
    นักฆ่าอาจจะกำลังตกหลุมรักอยู่ไง” น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยตอบทำให้คนฟังเดาไม่ออกว่าไอ้นักฆ่างี่เง่าคนพูดมันพูดจริงหรือว่าแค่ยั่วเขาเล่นๆเหมือนที่มันชอบทำกันแน่


    “ถ้านายยังใช้คำว่า
    อาจจะอยู่ก็อย่าพูดมันออกมาเลยคิล ฟิลมัส” ดวงตาสีเขียวคู่สวยของคนพูดได้แต่เหม่อมองความมืดตรงหน้า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนี้ตัวเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหนกันแน่? “ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม นายก็ไม่ควรจะไปรังแกเขาด้วยคำคำนั้น”


    ….


    “แปลกนะคิล
    แค่คำคำเดียวแท้ๆ ทั้งๆที่มันเป็นคำพูดแค่คำเดียว แต่มันกลับทำให้คนฟังมีความสุขได้มากมายพอๆกับเสียใจได้เท่าๆกัน”


    “เรื่องนั้นมันไม่แปลกหรอกก็มันเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ไม่ใช่หรือไง? แต่ที่แปลกก็คือคนต่างหาก ทั้งๆที่รู้อย่างนั้นแต่มนุษย์ทุกคนก็ยังคงโหยหาคำว่ารักอยู่ดี”


    “มนุษย์ทุกคน
    รวมถึงนักฆ่าบางคนด้วยสินะ”


    “แล้วก็คงจะไม่ยกเว้นขอทานบางคนด้วย”


    “หึหึ”


    “หรือว่านายจะปฏิเสธล่ะ?”


    “แม้แต่คนที่ถูกเรียกว่าเป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องยังต้องจบชีวิตลงเพราะคำว่า
    รักแล้วฉันที่เป็นแค่ขอทานตัวจ้อยจะเอาอะไรไปต่อกรกับความรักได้?”


    ….


    “ฮ่าๆ พูดไปนักฆ่าอย่างนายก็คงจะไม่เข้าใจหรอก” ประโยคที่ทำให้คนเป็นนักฆ่าถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาหัว


    เฮ้อ ไอ้ประโยคนี้อีกแล้ว
    ทำไมขอทานของเขาถึงได้ชอบพูดประโยคนี้นักนะ?


    “ทำไมนายขยันดูถูกสติปัญญาฉันจัง? ถึงฉันจะไม่ใช่ห้องสมุดเดินได้เหมือนใครบางคนแถวนี้แต่ก็ไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากขนาดนั้นน่า”


    “ฮ่าๆ” คนเป็นห้องสมุดเดินได้หัวเราะขำๆกับคำประชดของเพื่อน “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”


    “แล้วนายหมายความว่าไง?”
    คำถามที่คนฟังไม่คิดจะตอบ โรเพียงแต่ยิ้มน้อยๆแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงขาเรียวพาเจ้าของก้าวเดินแต่ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านใครบางคนไปยังประตูห้องนั้นข้อมือเล็กก็ถูกมือใหญ่ๆจับเอาไว้ซะก่อน


    “โร”


    “ฉันจะกลับห้องแล้ว”




    “ถ้านายไม่ได้กลัวคำว่ารัก
    แล้วนายเกลียดมันรึเปล่า?...” คำถามจากนักฆ่าเรียกได้แต่เพียงแค่ความเงียบ ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งไปคนถามยังคงยืดข้อมือเล็กของคนอีกคนไว้อย่างนั้นทั้งๆที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมรอคอยคำตอบจากคนที่ถูกถาม


    คนถูกถามที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
    นัยน์ตาสีเขียวค่อยๆปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า


    นั่นสินะ
    เขาเกลียดคำว่า รักรึเปล่า? แม้แต่ตัวเขาเองยังตอบตัวเองไม่ได้แล้วโร เซวาเรสจะไปเอาคำตอบที่ไหนให้กับคิล ฟิลมัสได้กัน?


    เพราะคำว่ารักของคนสองคน
    ….ถึงได้ทำให้โร เซวาเรสขอทานแห่งทริสทรอมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แทนที่เจ้าชายชาเบรียลแห่งเวนอล?...


    และเพราะคำคำนี้ด้วยใช่มั๊ย?
    ...ที่ทำให้ที่พักพิงที่เดียวและที่สุดท้ายในชีวิตของเขาต้องจากเขาไปตลอดกาล


    เพราะคำคำนี้แค่คำเดียว
    ที่สร้างบาดแผลมากมายให้กับเขา


    บาดแผล
    ที่ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับมันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธมันได้เช่นกัน


    แต่คำว่ารักคำนั้นมันคือคำว่ารักของคนอื่น
    แล้วถ้าหากว่ามันเป็นคำว่ารักของเขาล่ะ?...


    ถ้าหากว่า
    มันเป็นคำพูดที่ใครซักคนมอบให้เขาแค่เพียงคนเดียวเขาจะรู้สึกยังไงนะ?...


    คำว่ารักคำเดียวกัน
    แต่เป็นคำที่เขาเป็นเจ้าของแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น


    ความคิดที่ทำให้โรค่อยๆลืมตาขึ้น นัยน์ตาคู่สวยทอดมองอย่างอ่อนโยนไปยังข้อมือที่ถูกเกาะกุมอยู่ แม้ว่าในคืนเดือนมืดแบบนี้จะทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดนักแต่ความอบอุ่นจากมือใหญ่ๆที่กุมอยู่นั้นก็ยังคงสัมผัสได้ แล้วริมฝีปากสวยก็ระบายออกเป็นรอยยิ้มบางๆก่อนตัดสินใจเอ่ยเสียงตอบคำถามแผ่วเบา


    “บางทีนะ
    บางทีฉันอาจจะแพ้คำว่ารักก็ได้” คำตอบที่เรียกรอยยิ้มอ่อนโยนให้ค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของคนรอ


    “ยิ้มอะไรน่ะคิลมัส?”


    “รู้ได้ไงว่าฉันกำลังยิ้มอยู่?” คำถามที่เรียกสีเรื่อบนใบหน้าสวยของคนฟังก่อนที่จะเอ่ยเสียงต่อคำเบาหวิว


    “ก็
    เดาเอา”


    “ฮ่าๆ คำตอบไม่สมกับเป็นขอทานผู้รอบรู้เลยนะ”


    “คงงั้นมั้ง” โรยิ้มรับคำก่อนที่จะแกล้งตีเสียงเข้ม “คำตอบก็ได้แล้ว แล้วเมื่อไหร่นายจะปล่อยมือฉันซักทีล่ะ?”


    “เอ่อ โทษทีๆ” แล้วมือใหญ่ของคนเป็นนักฆ่าก็ปล่อยข้อมือเล็กของขอทานให้เป็นอิสระ โรยิ้มนิดๆแล้วเดินไปยังประตูห้องนั่งเล่นแต่ก่อนที่จะได้เปิดออกไปก็ต้องชะงักกับคำเรียกอีกครั้ง


    “โร”


    “หืม?”


    ….


    ….


    “เปล่า ไม่มีอะไร นายไปนอนเถอะ”


    “อืม”


    “โร



    “แล้วอย่านอนฝันร้ายล่ะ” รอยยิ้มละไมค่อยๆระบายบนใบหน้าสวยของคนฟังก่อนที่จะเอ่ยเสียงตอบขำๆ


    “ขอบใจ”


    แล้วคนตัวเล็กก็เดินออกจากห้องไป เมื่อเสียงประตูปิดลงคนเป็นนักฆ่าก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเนือยๆ ปิดเปลือกตาลงทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงยิ้มน้อยๆอยู่อย่างนั้น


    “แพ้คำว่ารักงั้นหรอ?
    ...แล้วแบบนี้ใครที่ไหนมันจะไปกล้าบอกว่า รัก นายได้กันล่ะ?...


    อย่ารังแกคนที่ไม่มีใคร ด้วยคำว่ารักเลยจะกี่ครั้งก็ลงเอย แพ้คำพูดว่ารัก
    ได้ไหมคนดี ถ้าคิดจะบอกรักกัน ….ช่วยบอกกันด้วยหัวใจที่มี
    แค่นี้ที่อยากขอเธอ…..


     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×