คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ฟิคสั้น: Little Killer (คิลxโร)
ท่ามกลางหมู่ดาวที่รายล้อม ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ชานเมืองเวนอลที่ควรจะมืดสนิทกลับกำลังสว่างไปด้วยกองไฟกองใหญ่ที่ถูกก่อขึ้น ทุ่งหญ้าที่ควรจะเงียบสนิทเหมือนดังเช่นทุกคืนกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงตะโกนโหวกเหวกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เพราะบัดนี้สถานที่แห่งนี้ได้ถูกประชาชนชาวป้อมอัศวินปีสองยึดเป็นที่มั่นสำหรับพักแรมจากภารกิจตามล่าหาตัวธิดาแห่งความมืดผู้ขโมยป้ายพระราชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ธิดาแห่งความมืด…ที่ตอนนี้กำลังตั้งตัวเป็นหัวโจกนั่งโม้อยู่ข้างๆกองไฟกับเหล่าพวกลิงๆทั้งหลายที่ทำตัวเหมือนกับว่ากำลังมาเข้าค่ายตั้งแคมป์ก่อกองไฟมากกว่าจะมาปฏิบัติภารกิจอัญเชิญป้ายกลับโรงเรียนดังที่ได้รับมอบหมายมา
“นี่ๆ ฉันว่าเรามาหาอะไรเล่นกันดีมั๊ย?” เสียงของเจ้าตัวยุ่งที่เป็นสาเหตุให้คนทั้งป้อมต้องวุ่นวายยกโขยงมาตามหามันจนต้องลำบากลำบนมานอนกลางดินกินกลางทรายอยู่อย่างนี้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้รู้สึกผิดถึงเรื่องนั้นซักเท่าไหร่ถึงได้ยังทำตัวกระดี้กระด๊าให้เพื่อนๆได้ปวดหัวเล่นอยู่เป็นปกติสุข
“คราวนี้คิดจะเล่นแผลงๆอะไรอีกล่ะเฟริน?” คำถามดักคอถูกส่งมาจากขอทานกิตติมศักดิ์ที่กำลังเอาไม้เขี่ยๆกองไฟเล่นอยู่ คนถูกดักคอยิ้มกว้างก่อนที่จะยืดอกตอบด้วยความภาคภูมิ
“อะไรแผลงๆที่เรียกว่าเกมความจริงความกล้าไง” ว่าจบก็ดีดนิ้วเปาะอย่างถูกอกถูกใจในความคิดของตัวเอง
“เกมความจริงความกล้า? ชื่อเกมคุ้นๆนะ เคยได้ยินบ่อยเหมือนกันแต่ฉันก็ไม่เคยเล่นซักที” ความเห็นจากแม่มดสาวแห่งวิชบ่งบอกว่าเธอเองก็สนใจไอ้เกมนี่อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“นั่นแน่ สนใจล่ะสิแองจี้” เสียงยั่วจากสาวน้อยคนต้นคิดเกมทำให้สาวน้อยอีกคนยักไหล่นิดๆก่อนเอ่ยตอบ
“ก็นะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มันก็คงจะดีกว่าไม่มีอะไรให้ทำละมั้ง ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้เกมของนายมันจะสนุกซักแค่ไหนกันเชียว”
“สนุกสิ รับรองว่าเกมนี้สนุกแน่ ฉันรับประกันเลยแหละ ฮ่าๆๆๆ” เสียงตอบกลับไม่ได้มาจากธิดาแห่งความมืดหากแต่เป็นครี๊ด ธันเดอร์ผู้ร่วมอุดมการณ์ป่วนต่างหาก
“ก็น่าสนใจดีนะ ว่าแต่มันเล่นไงล่ะ?” นักฆ่าตาม่วงที่เงียบฟังอยู่นานถามขึ้นเป็นครั้งแรกในขณะที่เจ้าชายคาโลเริ่มรู้สึกว่าอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป เพราะไม่รู้ว่าเกมของแม่ตัวยุ่งจะสร้างเรื่องปวดหัวอะไรให้เขาอีก
เฟรินยิ้มกว้างก่อนที่จะหยิบขวดเหล้าขึ้นมา ดวงคู่ตาโตฉายประกายระยับอย่างที่ทำให้เพื่อนหลายๆคนเริ่มจะเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
“แค่มีไอ้นี่ก็เล่นได้แล้วแหละ หึหึหึหึ”
“เอ่อ…ฉันว่าฉันไปนอนก่อนดีกว่า อยู่ๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมาน่ะ” เสียงออกตัวจากขอทานหน้าหวานทำให้เฟรินถึงกับหุบยิ้มฉับ ก่อนเริ่มต้นโวยวาย
“อะไรกันโร? เกมออกจะสนุกทำไมแกถึงไม่อยากเล่นล่ะ?”
“ฮ่าๆ ฉันไม่ค่อยถนัดเล่นเกมอะไรแบบนี้หรอก พวกนายเล่นกันไปเถอะ ฉันขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแต่ก่อนที่จะได้เดินออกมาจากวงก็ต้องชะงักเพราะคำพูดกวนๆที่ถูกส่งมาจากใครบางคน
“ปอด” คำพูดกวนๆที่ทำให้ถึงกับต้องหันไปมองคนพูดตาขวาง
“นายว่าไงนะคิล ฟิลมัส?”
“เปล่า ก็แค่บอกว่าคนบางคนปอด กับอีแค่เกมง่ายๆก็ยังไม่กล้าเล่น หึหึหึ”
“นายว่าใคร?”
“ก็ถ้าไม่โง่ก็คงรู้แหละนะว่าว่าใครน่ะ”
“คิลมัส!!”
“เฮ้ย พอๆๆๆ นี่ถ้าพวกแกสองคนจะกัดกันก็ไปกัดกันไกลๆไป คนอื่นเค้าจะเล่นเกมกันเว้ย” เสียงห้ามทัพจากครี๊ดทำให้นักฆ่ากับขอทานมีอันต้องเงียบ ขอทานหน้าหวานยักไหล่นิดๆก่อนที่จะตัดสินใจนั่งลงที่เดิม
“อ้าวไหนนายบอกว่าจะไปนอนไง?” เฟรินส่งคำถามให้พร้อมๆกับยิ้มกว้างก่อนที่จะหันไปยักคิ้วให้กับนักฆ่าเพื่อนรักนิดๆ
“ไม่ไปแล้ว ว่าแต่นายจะเล่นอะไรก็รีบๆเล่นเถอะ”
“โอเค งั้นอธิบายกติกานะ” คำพูดที่ทำให้เพื่อนๆเริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆแล้วตั้งใจฟังกันตาแป๋ว “เกมนี้เล่นง่ายมาก แค่ให้ใครซักคนเป็นหมุนขวดเหล้านี่ ถ้าปากขวดไปหยุดอยู่ที่ใครคนคนนั้นก็ต้องทำตามคำสั่งของคนหมุนขวด โดยจะต้องเลือกระหว่างความจริงกับความกล้า”
“หมายความว่า ถ้าเลือกความจริงก็คือต้องตอบคำถามตามความจริงสินะครับแล้วถ้าเลือกความกล้าก็ต้องทำอะไรก็ได้ตามที่คนสั่งบอกให้ทำอะไรประมาณนั้นใช่มั๊ยครับ?”
“ถูกต้อง ฉลาดมากซีบิล แล้วคนที่ถูกลงโทษก็จะเป็นคนที่ได้หมุนขวดคนต่อไปด้วยนะ”
“แล้วใครจะเป็นคนเริ่มหมุนขวดคนแรกล่ะ?” มาทิลด้าที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้น
“ฉันเป็นคนคิดเกม ก็ต้องได้รับสิทธินั้นสิ ฮ่าๆๆๆ” คำพูดที่เพื่อนๆแทบจะกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมั่นไส้ไอ้ตัวยุ่ง แล้วเฟรินก็ไม่รอความเห็นใดๆทั้งสิ้นจัดการหมุนขวดเหล้าทันที
ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ขวดเหล้าใบน้อยที่หมุนติ้วอยู่บนพื้น ลุ้นจนแทบจะกลั้นหายใจมอง ก่อนที่ขวดจะหมุนช้าลงๆ จนในที่สุดปากขวดก็มาหยุดอยู่ที่ยอดนักรบตาเดียวนามครี๊ด ธันเดอร์
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้ครี๊ดแกตายแน่ เลือกมาจะเอาความจริงหรือความกล้า?” คนถูกลงโทษหัวเราะเสียงดังอย่างที่บอกว่าไม่กลัวก่อนจะเลือกอย่างไม่ลังเล
“ความจริง”
“ดี งั้นตอบมา แกเคยใส่กางเกงในซ้ำกันมากที่สุดกี่วัน?” คำถามที่เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นจากเหล่าลิงทโมน แต่คนที่ต้องตอบนั้นก็หาได้เขินอายไม่ กำลังจะอ้าปากตอบออกไปก็โดนเจ้าคนหัวโจกขัดขึ้นซะก่อน
“เดี๋ยว!! อย่าพึ่งตอบ ก่อนตอบต้องดื่มก่อนเพียวๆอึกนึง”
“อะไรกันเฟริน นี่ต้องดื่มเหล้าด้วยหรอ?”
“นิดๆหน่อยๆน่าแองจี้ แค่นี้เอง ดื่มย้อมใจไง คิดดูสิถ้าเกิดมีคนสั่งให้เธอลุกขึ้นมาเต้นระบำฮาวายเธอจะกล้าหรอ มันต้องมีอะไรมากระตุ้นหน่อยสิ จริงมั๊ย?” พูดจบก็ยักคิ้วส่งให้แม่มดคนสวยที่หน้างอไปแล้วเรียบร้อยแต่ก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่อย่างนั้นเพราะขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าตัวยุ่งมัน
“มีดื่มแบบนี้ก็ดีสิ ฮ่าๆๆ” ครี๊ด ธันเดอร์ผู้ยิ่งยงหัวเราะร่าก่อนที่จะยกขวดเหล้าขึ้นกระดก แล้วตอบคำถามอย่างมั่นใจตามแบบฉบับนักรบว่า
“ห้าวัน” คำตอบที่เรียกเสียง ‘อี๋’ จากเพื่อนๆได้อย่างดีเยี่ยม
“ฉันว่าแค่สามวันก็สกปรกแล้วนะ ห้าวันนี่เข้าขั้นซกมกเลยแหละ” คำประณามถูกส่งมาจากนางฟ้าป้อมอัศวิน แต่ยอดชายนายครี๊ดก็ยักไหล่ไม่แคร์ก่อนที่จะคว้าขวดเหล้าแล้วหมุนหาเหยื่อรายต่อไป
เกมดำเนินต่อไปเรื่อยๆอย่างที่เรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน บางคนถูกสั่งให้ตะโกนบอกรักเพื่อน บางคนก็ถูกเล่นงานด้วยคำถามประหลาดๆซะจนแทบไม่ยากจะตอบ ยิ่งเล่นก็ยิ่งทำให้ใครหลายคนอยากเลิกแต่ก็มีหลายคนที่อยากแก้แค้นคืนเช่นกัน
จนในที่สุดก็ถึงตาที่นักฆ่าได้เป็นคนหมุนขวดหลังจากที่พึ่งถูกซีบิลสั่งให้ปั่นจิ้งหรีดยี่สิบรอบซะจนหัวหมุน
คิลยิ้มมุมปากนิดๆก่อนที่จะจับขวดเหล้าแล้วหมุนแรงๆ ขวดหมุนอยู่หลายรอบก่อนที่ปากขวดจะค่อยๆหมุนมาหยุดลงตรงหน้าของขอทานคู่กรณี ผลของเกมที่ทำให้นักฆ่าถึงกับยิ้มกว้างก่อนที่จะหัวเราะหึหึ อย่างถูกใจเป็นที่สุด
“ว่าไงจะเอาความจริงหรือความกล้าดีล่ะ โร เซวาเรส” โรแย้มรอยยิ้มละไมก่อนที่จะเอ่ยคำตอบออกไปแบบสบายๆ
“ความกล้า” พูดจบก็ยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอย่างรู้หน้าที่ แล้วจ้องตาสีม่วงๆของนักฆ่าคู่ปรับนิ่ง “นายจะให้ฉันทำอะไรก็บอกมา”
“นั่นสิ จะให้ท่านขอทานผู้ยิ่งใหญ่ทำอะไรดีนะ?” พูดยิ้มๆก่อนที่จะทำท่าครุ่นคิด “อืมม เอาเป็นร้องเพลงน่ารักๆให้ฉันฟังซักเพลงแล้วกันนะโร อ้อ! อย่าลืมเต้นด้วยล่ะ”
คำสั่งที่ทำให้คนถูกสั่งหุบยิ้มฉับ ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าสวยอีกครั้งอย่างที่ทำให้คิลต้องมุ่นหัวคิ้วมอง
โร เซวาเรสเดินออกไปกลางวง ก่อนที่จะกระแอมนิดๆแล้วเริ่มอ้าปากร้องเพลงพร้อมๆกับโยกตัวตามอย่างน่ารักจนทำให้คนมองหลายๆคนถึงกับอมยิ้มตาม
คนมองหลายคน…ยกเว้นคิล ฟิลมัส ที่คงจะพอใจมากถ้าเพลงที่ขอทานตัวเล็กนั่นร้องจะไม่ใช่เพลงที่เขาเกลียดแสนจะเกลียดเป็นที่สุด
"One little two little three little killers..
four little five little six little killers..
seven litter eight little nine little killers..
ten little killer boys"
คนถูกลงโทษยังคงร้องไปเต้นไปเรื่อยๆ ยิ้มกว้างส่งให้คนสั่งอย่างที่บอกว่ากำลังสนุก จนในที่สุดคิลก็ทนไม่ไหวสั่งให้พอซะอย่างนั้น
“อ้าว พอแล้วหรอคิล? นี่ฉันกำลังอินกับเพลงอยู่เลยนะเนี่ย กะว่าจะร้องให้นายฟังอีกซักรอบสองรอบ” พูดพร้อมกับแย้มรอยยิ้มสวยส่งให้
รอยยิ้มสวยที่ทำเอาคนได้รับถึงกับชะงักไปนิดก่อนที่จะเริ่มรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่แปลกไป ในขณะที่คนต้นเหตุตอนนี้เดินกลับเข้ามานั่งที่เดิมแล้วเริ่มต้นหมุนขวดเหล้า เพื่อนๆหันไปให้ความสนใจกับเกมอีกครั้งแต่คิล ฟิลมัสกลับยังคงได้แต่มองขอทานเจ้าเล่ห์นิ่งก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วส่ายหัวแรงๆอย่างที่ไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง ภาพที่ทำให้คนแอบมองอีกคนต้องหัวเราะหึหึ
คิลเอ๊ย งานนี้แกตายแน่ เฟรินได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องในใจอย่างที่รู้สึกภูมิอกภูมิใจกับการที่ตัวเองจับผิดเพื่อนรักได้
เกมถูกเล่นไปเรื่อยๆอีกครั้ง จนตอนนี้ลิงบางตัวที่ถูกลงโทษหลายรอบเริ่มจะมีอาการเมาคอพับคออ่อนไปตามๆกัน บางคนก็ยังคงฝืนถ่างตาเล่นต่อเพื่อรอคอยการแก้แค้นในขณะที่บางคนก็แทบจะสลบอยู่กลางวง จนในที่สุดเกมก็วนมาที่คนเริ่มที่ยังคงตาใสปิ๊งอยู่อีกครั้ง
“คราวนี้รอบสุดท้ายแล้วนะ”
“อะไรวะเฟริน? นี่ฉันยังไม่ได้แก้แค้นครบทุกคนเลยนะเว้ย อย่าพึ่งเลิกสิ” ครี๊ด ธันเดอร์ผู้ถูกกระทำมาหลายรอบโวยวายอย่างไม่พอใจ ทั้งมรสุมคำถามแปลกๆ ทั้งรายการวิดพื้น ร้องเพลง เต้นระบำชาวเกาะ ไปจนถึงการถูกสั่งให้จีบเจ้าชายคาโลด้วยบทบาทกระเทย ยอดชายนายครี๊ดก็ทำมาแล้ว แต่คนที่ถูกครี๊ดลงโทษกลับเป็นพวกผู้หญิงเกือบทุกรอบ ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจึงทำให้ยอดนักรบแกล้งอะไรใครไม่ได้มากจนต้องมานั่งฮึดฮัดอยู่แบบนี้
“ถ้าชอบเอาไว้วันหลังค่อยเล่นกันอีกก็ได้ วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ดูสภาพเพื่อนแต่ละคนก็แทบจะไม่ไหวกันอยู่แล้ว” คำประกาศิตยาวๆที่หาฟังได้ยากยิ่งจากเจ้าชายคาโล ทำให้ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างที่กลัวว่าจะเกิดพายุหิมะให้หนาวๆร้อนๆเล่น
แล้วเฟรินก็ยิ้มนิดๆก่อนที่จะเริ่มหมุนขวดอีกครั้ง ใช้เทคนิคของหัวขโมยนิดหน่อยอย่างที่ไม่มีวันที่ใครจะจับได้ แล้วปากขวดก็หมุนคว้างมาหยุดลงที่ทายาทนักฆ่าตระกูลดัง
“ว่าไงคิล ความจริงหรือความกล้าเลือกมา” พูดพร้อมกับยกยิ้มมุมปากนัยน์ตาพราวระยับอย่างที่ทำให้คิลต้องรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ
ไอ้เฟรินมันจะทำอะไรของมัน?
ความคิดที่ทำให้คนต้องเลือกขมวดคิ้วมุ่นก่อนตัดสินใจเลือก
“ความกล้า” พูดจบก็ยกขวดเหล้าขึ้นกระดกอึกใหญ่ แล้วจ้องหน้าคนคุมเกมนิ่ง “ว่าไง จะให้ฉันทำอะไร?”
เฟรินยกกุญแจมือที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอามาจากไหนขึ้นโชว์ให้เพื่อนๆดู แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะออกคำสั่ง คำสั่งที่ทำให้เพื่อนๆถึงกับเบิกตากว้าง
“แกต้องคล้องกุญแจมือนี่กับโร เซวาเรสจนกว่าจะถึงสิบโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ถึงจะมีสิทธิมาขอกุญแจจากฉันไปปลดล็อค”
“ว่าไงนะ?!!” สองเสียงแทบจะประสานเป็นเสียงเดียวกัน ให้คนถูกถามต้องหัวเราะร่า
“เอาน่าก็แค่เกม”
“ไม่มีทางเด็ดขาด” คำปฏิเสธจากนักฆ่าผู้ต้องถูกลงโทษ
“อะไรคิล อย่าบอกนะว่าแกปอดน่ะ เกมนี้ชื่อมันก็บอกอยู่ทนโท่ว่าเกมความจริงความกล้า ในเมื่อแกเลือกความกล้าก็ต้องกล้าทำตามคำสั่งสิวะมันถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายน่ะ” คำยั่วที่เล่นเอาคนฟังถึงกับกัดฟันกรอดอย่างเถียงอะไรมันไม่ได้อีก จนในที่สุดก็ได้แต่ฮึดฮัด ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นมือให้ไอ้ตัวดีมันคล้องกุญแจ
“ก็แค่นั้นแหละ” เฟรินยิ้มกว้างด้วยความพอใจแต่ก่อนที่จะเอากุญแจไปคล้องข้อมือของขอทานอีกคน ขอทานเจ้าของมือก็ชักมือหลบซะก่อน
“ฉันไม่ใช่คนที่ถูกลงโทษ ไม่จำเป็นต้องทำตามที่นายสั่ง”
“แต่แกเป็นทริสทรอนะโร ลืมไปแล้วหรอ? หรือแกจะปฏิเสธคำสั่งจากธิดาแห่งความมืดกันล่ะ?” คำตอบกลับที่ทำให้ขอทานหน้าสวยต้องชะงักกึก ในที่สุดก็ต้องยื่นมือให้ไอ้คนเจ้าแผนการมันคล้องกุญแจอย่างจำใจเป็นที่สุด
เป็นครั้งแรกที่โร เซวาเรสต้องตกหลุมพรางของคนอื่นแบบนี้…ให้ตายสิ
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากจบเกมพิลึกแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันหาที่นอน จะมีก็แต่หัวขโมยตัวแสบที่ยังคงมัวแต่แอบสังเกตพฤติกรรมของสองเพื่อนรักที่พึ่งถูกลงโทษไปหยกๆ
“คิดจะทำอะไรกันแน่เฟริน?” เสียงคำถามดังมาจากเจ้าชายน้ำแข็งที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ทำให้คนที่กำลังแอบมองชาวบ้านอยู่สะดุ้งโหยงก่อนที่จะหันมาส่งยิ้มแห้งๆให้
“ก็แค่เกมน่าคาโล อย่าคิดมากสิ” ส่งยิ้มหวานให้อีกครั้งแต่สิ่งที่เจ้าตัวยุ่งได้รับกลับมากลับเป็นแค่แววตาดุๆจากคนตัวสูงตรงหน้า
“เออๆ ก็ได้ๆ ฉันก็แค่คิดว่าไอ้สองตัวนั่นมันมีอะไรแปลกๆน่ะ เลยอยากจะพิสูจน์อะไรนิดๆหน่อยๆเอง”
“พิสูจน์อะไร?”
“นายไม่คิดหรอว่ามันมีอะไรแปลกๆน่ะ ดูเหมือนว่าสองตัวนี่มันจะเป็นคู่ปรับกันก็จริงอยู่หรอกนะ แต่ฉันเคยสังเกตสายตาเวลาไอ้คิลมันมองโรนะ ฉันว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆเลยล่ะคาโล หึหึหึหึ”
“จะมีไม่มีมันก็เรื่องของเค้า นายไม่ควรจะไปยุ่ง”
“วะ ไม่ยุ่งแล้วมันจะคืบหน้ากันซักทีหรอ? คนนึงก็ซื่อบื้อจะตาย ส่วนอีกคนก็ฉลาดซะเปล่าแต่ดันเป็นพวกชอบปิดกั้นตัวเอง แบบนี้ถ้าไม่มีพ่อสื่ออย่างฉันกว่ามันจะลงเอยกันได้คงได้แก่งั่กกันก่อนพอดี” คนที่ยกตัวเองเป็น ‘พ่อสื่อ’ ส่ายหัวราวกับว่าเอือมกับพฤติกรรมของเพื่อนยิ่งนัก ภาพที่ทำให้เจ้าชายคาโลแทบอยากจะยกมือกุมขมับ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเลือกที่จะเดินออกมาอย่างขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับสาวน้อยอีก
“อ้าว แล้วนั่นนายจะไปไหนน่ะ?”
“หาที่นอน”
“เดี๋ยวสิ คิลกับโรยังไม่นอนกันเลยนะ ให้ฉันสังเกตการณ์ก่อนแปบนึงสิ”
“นายจะสังเกตก็อยู่ไปสิ ฉันง่วงจะไปนอนแล้ว”
“ไม่เอาก็ฉันจะนอนกับนายนี่นา”
“เฟริน!”
.
.
.
.
.
.
.
.
“จะนอนรึยัง?”
“นายง่วงก็นอนไปสิ” คำตอบที่ทำให้คิลถึงกับต้องเหลือบตามองคนพูดอย่างเอือมๆ
“นายลืมไปแล้วหรอว่าข้อมือฉันกับนายมันติดกันอยู่เนี่ย?”
“…” คำถามที่ได้รับเพียงความเงียบเป็นคำตอบ ดวงตาคู่สวยของขอทานกิตติมศักดิ์ได้แต่เหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ากว้างไม่คิดที่จะตอบคำถามใดๆของคนที่นั่งอยู่ข้างๆซักนิด
ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววเศร้าอย่างประหลาด…พร้อมๆกับที่สายลมแผ่วเบาที่พัดคลอเคลียบนใบหน้าสวยให้ผมสีชาปลิวน้อยๆ
ภาพของคนตัวเล็กที่ทำให้คนมองไม่อาจที่จะละสายตาได้…
คิลรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังนั่งมองภาพวาดของจิตกรซักคนอยู่ เพียงแต่ภาพวาดนี้ถึงแม้ว่าจะงดงามซักแค่ไหนแต่กลับทำให้เขาถึงสัมผัสถึงความเศร้าที่โรยตัวอยู่บางเบารอบๆ ได้อย่างน่าประหลาด
“ไม่ยักรู้ว่านายชอบดูดาว” ในที่สุดคิลก็ตัดสินใจทำลายความเงียบลง คนถูกแขวะหันมามองคนพูดนิดๆก่อนที่จะหันกลับไปมองดาวต่อ
“ก็ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ”
“ไม่ได้ชอบ แต่ก็เห็นนั่งจ้องมันอยู่ได้ตั้งนานสองนาน”
“ดาวที่เวนอลไม่เหมือนดาวที่อื่น”
“หือ?” คำพูดที่ทำให้คนฟังเลิกคิ้วมองคนพูดอย่างงงๆ โรหันมาส่งยิ้มละไมให้คนข้างๆตัวก่อนเอ่ยคำพูดกึ่งเย้ากึ่งยั่ว
“นักฆ่าอย่างนายคงไม่เข้าใจหรอก”
“ก็ถ้านายไม่ยอมพูด แล้วใครเค้าจะเข้าใจนายซักทีล่ะ?” คำถามที่ทำให้คนหน้าหวานกลับไปเหม่ออีกครั้ง ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานก่อนที่คำพูดแผ่วเบาจะออกมาจากปากของคนตัวเล็ก
“บนยอดเขาน่ะมันหนาวมากเลยรู้มั๊ยคิล? มันทั้งสูงและก็หนาว จนบางทีก็รู้สึกเหงาจนอยากจะกระโดดลงมาจากบนนั้นให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ” คำพูดแผ่วเบาที่แม้แต่เจ้าตัวคนพูดเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้พูดมันออกมา
อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง อาจจะเพราะที่นี่คือเวนอล อาจจะเพราะเหล้าที่กินเข้าไปเมื่อตอนเล่นเกมประหลาดนั่น
หรือไม่อีกที…ก็อาจจะเป็นเพราะคนข้างๆตัว…
“ถ้ามันเหงานักก็หาใครซักคนขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนซะสิ” คำตอบที่ทำให้คนฟังแย้มรอยยิ้มละไมรับ
“ติดที่บนนั้นมันมีที่ให้ยืนสำหรับคนแค่คนเดียวน่ะสิคิล”
“มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่นายคิดก็ได้”
“ก็บอกแล้วว่านักฆ่าอย่างนายไม่เข้าใจหรอก”
“ฉันอาจจะไม่เข้าใจอย่างที่นายว่าจริงๆนั่นแหละ” คิลเว้นวรรคประโยคนิดหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปสบดวงตาสีเขียวของคนข้างๆนิ่ง“แต่ถ้าคนที่อยู่บนยอดเขานั่นคือนาย ถ้านายคือคนที่ต้องทนเหงาอยู่บนนั้นคนเดียว ถ้าหากว่ามันจำเป็นที่จะต้องอยู่บนนั้นนักละก็ ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนปีนขึ้นไปอยู่บนนั้นเป็นเพื่อนนายเอง” ส่งรอยยิ้มกว้างให้กับคนเป็นขอทานแล้วหันหน้าไปมองดาวที่เกลื่อนอยู่บนฟ้าบ้างแต่ปากก็ยังคงพูดสิ่งที่คิดอยู่ต่อไป
“ถ้าหากว่าบนนั้นมันหนาวนักฉันนี่แหละจะก่อไฟให้มันอุ่นขึ้นเอง ถ้ามันเหงานักฉันก็จะเป็นคนร้องเพลงให้บรรยากาศมันสนุกขึ้นเอง นายว่าดีมั๊ย?” คนถูกถามยิ้มละไมก่อนที่จะเอ่ยคำแซว
“ร้องเพลง? อย่างนายเนี่ยนะ?”
“เฮ้ อย่าดูถูกกันนะ เห็นอย่างนี้เสียงฉันก็ดีใช้ได้นะ”
“แล้วนายจะไปร้องเพลงอะไรบนยอดเขากันล่ะคิล” คำถามที่ทำให้คิลหยุดคิดนิดๆ ก่อนที่จะยิ้มกว้าง
“ก็เพลงนี้ไง” พูดจบคนเป็นนักฆ่าก็เริ่มอ้าปากร้องเพลงให้ขอทานตัวเล็กคนข้างๆฟังทันที
"One little two little three little killers..
four little five little six little killers..
seven litter eight little nine little killers..
ten little killer boys"
เพลงที่ทำให้คนฟังต้องหลุดหัวเราะพรืดจนตัวงอ เสียงหัวเราะใสๆที่ทำให้คนอีกคนอดที่จะหัวเราะตามไม่ได้
“บอกแล้วว่าร้องเพลงนี้แล้วนายจะหายเหงาแน่ๆ”
“ฮ่าๆ ก็สมควรอยู่หรอก จะให้ดีกว่านี้นายควรจะลุกขึ้นเต้นให้ฉันดูด้วยนะ”
“เหมือนที่นายเต้นไปเมื่อตอนหัวค่ำน่ะหรอ?”
“ก็นายสั่งให้ฉันทำเองนี่” นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเล่นเกมแล้วก็ยิ่งทำให้ขอทานหน้าหวานต้องหัวเราะเข้าไปใหญ่ นึกถึงหน้าของไอ้นักฆ่าคนข้างๆในตอนนั้นแล้วมันก็อดขำไม่ได้
“ก็น่ารักดีออก” คำชมที่ทำให้คนขำหยุดหัวเราะกึก ก่อนที่ใบหน้าหวานจะขึ้นสีระเรื่องอย่างหน้ามองนักในความรู้สึกของคนอีกคน โรขยับตัวนิดๆอย่างพยายามตั้งสติก่อนที่จะแย้มรอยยิ้มแล้วเอ่ยคำถามกวนๆส่งให้
“ตามบทแล้วเราควรจะเป็นคู่อริกันไม่ใช่หรอคิล?”
“แล้วใครเป็นคนเขียนบทล่ะ?” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าทำให้คนที่ถูกคล้องกุญแจมือด้วยต้องล้มลงตาม
“อะไรของนายเนี่ย? จะนอนก็บอกกันก่อนสิวะ”
“ฮ่าๆ โทษที ลืมไปน่ะ”
“ชิ”
“เอาน่าเปลี่ยนจากนั่งดูดาวเป็นนอนดูดาวแบบนี้ก็ดีออก ไม่ต้องแหงนหน้าจนปวดคอด้วย” พูดจบก็พลิกตัวตะแคงข้างนอนจ้องหน้าคนตัวเล็กนิ่ง การกระทำที่เรียกสีระเรื่อบนใบหน้าสวย เนิ่นนานที่นักฆ่างี่เง่านี่ก็ยังไม่ยอมเลิกจ้องซักทีจนในที่สุดคนถูกจ้องก็ทนไม่ไหว
“ไหนบอกว่าจะดูดาวไง?”
“อืม ก็ดูดาวไง” คำตอบที่คนฟังแทบอยากจะสาปไอ้คนตอบให้กลายเป็นโคมุสไปซะให้เข็ด
“ดาวบ้านนายชื่อโร เซวาเรสหรอไง?” คำประชดที่นอกจากคนถูกประชดจะไม่รู้สึกอะไรแล้วยังยิ้มกว้างรับอย่างถูกใจ
“อาจจะอย่างนั้นนะ”
“คิลมัส ฟิลมัส!!”
“ฮ่าๆ หน้านายแดงใหญ่แล้วรู้ตัวมั๊ย? ตลกดี” คนหน้าแดงได้แต่ค้อนให้คนพูดนิดๆอย่างที่ไม่อยากจะต่อปากต่อคำด้วย โดยเฉพาะในเวลาที่ยิ่งเถียงกันเค้าก็ยิ่งเป็นฝ่ายจนมุมอยู่แบบนี้ ทำมันวันนี้ดูเขาจะแพ้ทางไอ้นักฆ่าคนนี้จังนะ? ให้ตายสิ
“ดูๆไปนายก็น่ารักดีนะ” ประโยคสุดท้ายที่ออกมาจากปากของนักฆ่าก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจหลับตาลง ประโยคที่คนฟังแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าฟังผิดไปรึเปล่า?
“นายว่าไงนะ” ไร้คำตอบจากคนข้างๆที่นอนหลับตาอยู่ จนทำให้คนตัวเล็กต้องเขย่าไอ้คนที่กำลังจะหลับหนีเขาแรงๆ
“คิล..นี่ตื่นขึ้นมาคุยกันก่อนสิ ฉันถามว่าเมื่อกี้นายพูดว่าอะไร?” คนถูกกวนลืมตาขึ้นนิดอย่างเอือมๆก่อนจะตอบปัดๆ
“ฉันบอกว่าอากาศมันน่านอนดีนะ”
“ใช่หรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ หรือนายคิดว่าฉันพูดอะไรล่ะ?” ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถามกลับอย่างที่ทำให้ขอทานตัวเล็กต้องหน้าแดงเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“กะ…ก็เปล่า” ท่าทางน่ารักที่คนมองต้องอมยิ้มในใจก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่อง
“นอนเถอะ ฉันง่วงแล้ว”
“อืม” แล้วขอทานก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลงก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราไป…
คิลยกมือขึ้นโบกๆตรงหน้าคนตัวเล็กเพื่อเช็คว่าขอทานของเขาได้หลับไปแล้วจริงๆ
“เออแฮะ คนอะไรบทจะหลับก็หลับง่ายจัง สงสัยว่าคงจะเมาเพราะฤทธิ์เหล้าของเฟรินมันแน่ๆ” พูดจบก็นอนตะแคงมองหน้าคนหลับยิ้มๆ
“ถ้าพรุ่งนี้เฟรินมันทำลูกกุญแจมือหายก็คงจะดีเนอะ นายว่ามั๊ยโร?” ไม่มีคำตอบจากคนที่หลับไปแล้ว จะมีก็แต่เพียงแค่คนถามที่ได้แต่อมยิ้มอยู่อย่างนั้นคนเดียว....
ความคิดเห็น