ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมฟิคสั้น Avengers, Thor, Sherlock, Maze Runner [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #14 : Shot Fic Spock x Kirk : You are important to me.

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.85K
      9
      14 ก.ค. 57




    One Shot Fiction : You are important to me.

    Couple : Spock x Kirk, Spirk

    Rate : PG

     

     


    สป็อคกำลังยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ในห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในโรงพยาบาลของสตาร์ฟลีท ดวงตาสีดำไม่สื่ออารมณ์ใดๆ กำลังทอดมองไปยังคนป่วยที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา คนป่วยที่กำลังใช้น้ำเสียงและสีหน้างุนงงคุยกับคนเป็นหมออยู่


    คนป่วยที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย


    “ถ่ายเลือดทำให้ร่างกายอ่อนเพลียน่ะ คุณหมดสติไปสองอาทิตย์” คำบอกกล่าวของหมอทำให้คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงต้องขมวดคิ้วมุ่น


    “ถ่ายเลือดเหรอ?”


    “เซลล์คุณโดนรังสีรุนแรง เราไม่มีทางเลือก”


    “ข่านเหรอ?...


    “พอจับเขาได้ ผมก็สังเคราะห์เซรั่มจากเลือดสุดเจ๋งของเขา ถามหน่อย รู้สึกอยากฆ่าคนบ้างมั๊ย? บ้าอำนาจ? เผด็จการ?”


    “ไม่มากกว่าของเดิมจับเขาได้มั๊ย?” คนเป็นหมอยกยิ้มให้กับคำถามนั้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ


    “ผมเปล่า” ตอบออกไปแค่นั้น แล้วเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของเตียงเพื่อตรวจดูค่าบางอย่างจากหน้าจอของเครื่องมือแพทย์


    สป็อคที่ยืนอยู่ห่างๆ ค่อยๆ ก้าวตรงไปยังเตียงของคนป่วยที่กำลังมองมาที่เขา


    ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกำลังสบมองเขาอยู่ ริมฝีปากซีดเซียวยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่น้ำเสียงอ่อนแรงจะเอ่ยคำพูดเปิดบทสนทนา


    “คุณช่วยชีวิตผมไว้


    ”อูฮาร่ากับผมก็มีส่วนด้วยนะ” แต่คำตอบกลับเป็นเสียงจากบุคคลที่สามที่ยังคงก้มๆ เงยๆ อยู่กับหน้าจอของเครื่องมือแพทย์ข้างเตียง ฟังดูไม่ถูกกาลเทศะซักเท่าไหร่ แต่สป็อคก็คิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเลือกที่จะไม่ใส่ใจในคำพูดที่จงใจไร้มารยาทนั้น


    “คุณเคยช่วยชีวิตผม กัปตัน และชีวิตของลูกเรือ


    “สป็อค แค่ขอบคุณ”


    มันเป็นคำพูดประโยคสั้นๆ


    คำพูดที่พูดขัดไม่ให้เขาได้พูดจนจบประโยค แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงและแววตานั้น มันกลับทำให้สป็อคต้องชะงักไป


    อะไรบางอย่างที่มันทำให้เขารู้สึก?


    “ด้วยความยินดีจิม”


    คำตอบแรกที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ด้วยเหตุผล


    ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงได้รู้สึก?...


    ทำไมถึงได้รู้สึกทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าคนคนนี้?


    ความเงียบค่อยๆ โรยตัวเชื่องช้า ในขณะที่ดวงตาของคนสองคนก็ยังคงสบมองกันอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มบางเบาระบายอยู่บนใบหน้าอ่อนล้าของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง แม้ว่าใบหน้าของชาววัลแคนจะยังคงเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มใดๆ ตอบกลับมาก็ตาม


    “อะแฮ่ม!


    แล้วเสียงกระแอมไอจากบุคคลที่สามที่ยังคงอยู่ในห้องก็ทำลายความเงียบลงราวกับจงใจ เสียงกระแอมไอที่เรียกให้จิม เคิร์ก ต้องเลิกคิ้วขึ้นนิดก่อนจะหันไปมองคุณหมอต้นเหตุอย่างติดจะงงๆ


    “ผมรู้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่บทของผม และโอเค ผมควรจะออกไปข้างนอกใช่มั๊ย?”


    “ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องออกไปข้างนอกคุณแมคคอย”


    “ไม่ สป็อค มันมีเหตุผลมากๆ เลยแหละ เพราะผมไม่อยากถูกใครหาว่าเป็น กขค. ถึงแม้ว่าความจริงแล้วผมอยากจะเป็นมากๆ ก็ตาม”


    พูดจบก็มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที ก่อนหมอแมคคอยจะกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตรงไปที่ประตูห้อง เปิดมันและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลงอีกครั้ง


    การกระทำที่ทำให้สป็อคที่มองตามต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันมาส่งคำถามให้กับคนป่วยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


    “อะไรคือ กขค?”


    “เอ่อช่างเถอะๆ คุณอย่ารู้เลย” คำตอบปัดๆ ที่ฟังดูไม่ค่อยสมเหตุผลซักเท่าไหร่นัก แต่สป็อคก็เลือกที่จะไม่คาดคั้นเอาคำตอบจากคนตรงหน้า เมื่อสิ่งที่เขาสนใจมากกว่ากลับเป็นเรื่องอื่น


    “คุณหายกลัวรึยัง?”


    คำถามที่ทำให้จิม เคิร์ก ต้องเลิกคิ้วขึ้นนิด ดวงตาสีฟ้าสบมองคนถามด้วยความแปลกใจ เพราะมันเป็นคำถามที่เขาไม่คิดว่าจะถูกถาม


    โดยเฉพาะจากชาววัลแคนคนตรงหน้านี่


    ภาพเหตุการณ์และความรู้สึกใกล้ตายกลับเข้ามาฉายในหัวอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มันกลับทำร้ายเขาไม่ได้มากเท่ากับตอนนั้น


    ความตาย... หนักเหมือนขุนเขา แต่ก็เบาราวกับปุยนุ่น


    แม้แต่เขาเองก็ยังไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแบบนี้


    ไม่เคยคิด ไม่มีแม้แต่โอกาสให้ได้คิดด้วยซ้ำ


    คงต้องขอบคุณคนตรงหน้าที่มอบโอกาสนั้นให้กับเขาอีกครั้ง


    ความคิดที่ทำให้จิมต้องขยับยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ดวงตาสีฟ้ายังคงสบมองกับดวงตาคู่เข้มของชาววัลแคนที่ยังคงไม่สื่ออารมณ์ใดๆ ให้เขาเห็น แต่อะไรบางอย่างมันกลับทำให้จิมคิดว่า เขารู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ไร้ความรู้สึกอย่างที่ใครๆ บอก


    “ไม่ไม่มากเท่ากับตอนนั้น”


    คำตอบที่สร้างความเงียบให้เกิดขึ้นอีกครั้ง


    สป็อคได้แต่มองหน้าคนพูดอยู่อย่างนั้น พยายามที่จะคิดหาคำพูดที่ฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาเป็นบทสนทนา แต่สิ่งที่เด่นชัดอยู่ในหัวก็กลับมีเพียงแค่ภาพของคนตรงหน้าที่ค่อยๆ หลุดลอยจากเขาไปในวันนั้น


    เสียงของลมหายใจอ่อนล้าที่แผ่วลงช้าๆ


    ภาพของมือข้างนั้นที่ค่อยๆ เลื่อนหลุดลงไปจากบานกระจก


    รวมถึงแววหวาดกลัวในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น


    ภาพที่มันทำให้เขารู้สึกกลัว กลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


    กลัวแม้แต่ในตอนนี้


    “แต่ผมกำลังรู้สึก กลัว”


    คำพูดแผ่วเบาจากชาววัลแคนผู้ไม่เคยมีความรู้สึก คำพูดเบาแสนเบาที่ไม่เคยมีจากคนคนนี้


    คำพูดที่มันทำให้คนฟังต้องเบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง!


    “คุณว่าไงนะ?!


    “ผมบอกว่าผมกำลังรู้สึกกลัว กัปตัน”


    คำย้ำที่ทำให้คนเป็นกัปตันแทบจะตาถลนออกจากเบ้า หากแต่คนพูดกลับยังคงยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เรียบสนิทอย่างที่ไม่เข้ากับประโยคที่เพิ่งจะพูดออกมาเลยซักนิด


    “เอ่อเอ้อคุณกลัวอยู่ โอเค ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แปลว่าคุณเรียนรู้ที่จะมีความรู้สึกในแบบมนุษย์บ้างแล้ว”



    “ว่าแต่คุณกลัวอะไรวะ?” ส่งคำถามอย่างติดจะงงๆ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าทึ่งสุดๆ หากแต่วัลแคนก็เพียงแค่ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้เตียงอีกนิด


    “ที่จริงมันฟังดูไม่สมเหตุผลนัก แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมกำลังกลัวอยู่จริงๆ กัปตัน”


    “อ่าฮะ ความรู้สึกมันก็ต้องอยู่เหนือเหตุผลอยู่แล้ว คุณพูดไม่ผิดหรอก”



    “แล้ว?...


    “มันเป็นความกลัวแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน


    “ที่จริงคุณก็ไม่เคยรู้สึกอะไรอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ”


    “กัปตัน”


    “โอเคโอเค พูดต่อเถอะ ผมจะไม่ขัดคุณแล้ว”



    “ผมไม่ขัดแล้วจริงๆ น่า พูดต่อสิ เร็วเข้า นี่ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่นะ” คำเร่งที่ทำให้สป็อคได้แต่จ้องหน้าคนพูดอย่างที่บอกชัดว่าไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดต่อ


    “มันเป็นความกลัวที่ไม่เหมือนกับตอนที่ผมเสียแม่หรือเสียดาววัลแคน มันไม่ใช่ความหวาดกลัวแบบในตอนนั้น แต่มันกลับเป็นความกลัวที่ต่างออกไป


    คนพูดยังคงสบมองดวงตาสีฟ้าของคนฟังอยู่อย่างนั้น


    ชาววัลแคนไม่ถนัดที่จะแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้เห็น ไม่เก่งที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจถึงความรู้สึกของตน แต่สิ่งที่เขาพยายามพูดอยู่ในตอนนี้ ก็คือสิ่งที่เขาอยากให้คนตรงหน้าได้รับรู้


    “และผมก็ได้พยายามหาเหตุผลเพื่ออธิบายถึงความแตกต่างนั้น


    “ก็บอกแล้วไง ว่าความรู้สึกมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลสนับสนุนน่ะ”



    “โอเค ผมบอกว่าจะไม่ขัดสินะ พูดต่อเลยๆ”




    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่เมื่อคนที่ถูกสั่งให้พูดต่อ กลับหยุดพูดไปเสียอย่างนั้น แต่คนสั่งก็ไม่ได้เอ่ยเร่งรัดอะไรอีก ทำได้แค่นอนรอเงียบๆ อยู่อย่างนั้น



    “ผมพยายามที่จะหาเหตุผลเพื่ออธิบายถึงความแตกต่างระหว่างความกลัวทั้งสองแบบ และผมก็พบว่าความกลัวที่เกิดขึ้นในวันที่ผมเสียดาวและแม่ไป มันคือความหวาดกลัว”



    “แต่ในตอนที่ผมมองคุณค่อยๆ หมดลมหายใจมันกลับเป็นแค่ความกลัว”



    แค่คำว่ากลัว”



    คำอธิบายที่ทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นนิดอย่างติดจะไม่เข้าใจ แต่อะไรบางอย่างในแววตาคู่นั้นมันกลับตรึงให้จิมได้แต่นิ่งฟัง เพียงแค่ฟังและรับรู้ถึงความรู้สึกบางเบาที่มันมาพร้อมกับคำพูดเหล่านั้น



    “ผมกลัวว่าจะสูญเสียคุณไป



    “และแม้แต่ในตอนนี้ความกลัวนั้นก็ยังคงมีอยู่ ทั้งๆ ที่ตามหลักแล้ว มันควรจะหายไปตั้งแต่ที่ผมพบว่าคุณฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง”



    จิมได้แต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น


    อันที่จริง ต้องบอกว่าเขากำลังอึ้งอยู่ถึงจะถูก


    ดวงตาสีฟ้าได้แต่กระพริบปริบๆ มองใบหน้าเรียบเฉยของชาววัลแคนตรงหน้า ริมฝีปากอ้าค้างเล็กน้อย อาการช็อคเล็กๆ จู่โจมที่สมองอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่ความร้อนบนใบหน้าจะพุ่งปรี๊ดอย่างควบคุมไม่ได้


    “คุณไข้ขึ้น?”


    คำถามงี่เง่า จากวัลแคนงี่เง่าที่ทำให้ จิม เคิร์ก รู้สึกว่าอยากจะลุกขึ้นต่อยมันซักหมัดสองหมัด ถ้ามีแรงมากกว่านี้อีกซักนิดล่ะก็นะ!


    “ผมควรจะเรียกหมอแมคคอยให้เข้ามาดูอาการคุณ”


    “ไม่ไม่ต้อง ผมไม่ได้ไข้ขึ้น”


    “แต่คุณหน้าแดงมาก”


    “เออ ช่างมันเถอะน่า!” บอกปัดๆ อย่างเริ่มจะปลงตกกับความตายด้านของพวกวัลแคน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจน้อยๆ ก่อนความรู้สึกขำขันจะวิ่งเข้ามาในหัวจนต้องหลุดหัวเราะเบาๆ


    “สรุปว่าคุณกลัวว่าผมจะตายว่างั้น?”


    “จากการวิเคราะห์ของผม คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”


    “ฮ่าๆ นี่ถ้าไม่รู้ว่าคุณกำลังคบกับอูฮาร่าอยู่ ผมคงต้องคิดว่าคุณกำลังบอกรักผมอยู่แน่ๆ สป็อค” คำพูดกลั้วหัวเราะที่ทำให้สป็อคต้องเลิกคิ้วขึ้นนิด ก่อนจะเอ่ยคำปฏิเสธ


    “ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูสมเหตุผลที่จะคิดแบบนั้นได้ แต่ผมคงต้องขอชี้แจงให้ทราบว่า ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะสื่ออย่างนั้น กัปตัน”


    “ผมก็ว่างั้น ฮ่าๆ”


    “แต่สิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกก็คือคุณสำคัญ”


    “หือ?”




    “คุณมีความสำคัญสำหรับผม จิม”



    จิมยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น



    เขายังคงสบมองดวงตาอ่านยากคู่นั้นอย่างไม่คิดที่จะหลบ ก่อนจะพยักหน้าเนิบๆ เพื่อบอกว่ารับรู้ แล้วส่งคำถามกวนๆ กลับไปให้คนพูด



    “สำคัญมาก?”


    “คิดว่ามาก”


    “ชาววัลแคนไม่โกหกใช่มั๊ย?”


    “ยืนยัน”



    รอยยิ้มกว้างระบายอยู่บนใบหน้าของกัปตันแห่งยานเอนเตอร์ไพรส์ รอยยิ้มสดใสที่ยิ่งแย้มกว้างมากขึ้นไปอีก เมื่อเจ้าตัวพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน


    แม้จะเป็นแค่รอยยิ้มบางๆ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากคนคนนี้มาก่อน


    จิมเคยคิดว่าชาววัลแคนเป็นพวกตายด้าน ไร้ความรู้สึก ไม่มีหัวใจ


    แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาคิดผิด


    ชาววัลแคนมีความรู้สึก เพียงแค่พวกเขาแสดงออกมาไม่เก่งนักก็เท่านั้น และเมื่อต้องแสดงมันออกมา มันก็กลับเป็นความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ


    เป็นความซื่อตรงกับความรู้สึกของตนเอง ในแบบที่มนุษย์น้อยคนนักจะทำได้แบบนี้


    บางทีมันอาจจะเป็นผลมาจากไอ้นิสัยขวานผ่าซากตามแบบฉบับชาววัลแคนก็ได้



    “เวลายิ้มคุณดูดีมากเลยนะ รู้ตัวมั๊ย?”


    คำถามที่ทำให้คนไม่เคยยิ้มต้องหุบยิ้มฉับ จนคนพูดต้องโวยวายลั่น


    “เฮ้ หุบยิ้มทำไมเนี่ย? ยิ้มอีกสิ ผมชอบดู”


    “ผมไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น”


    “จำเป็นสิ ก็ผมอยากเห็นไง”



    “ไม่เอาน่าสป็อค แค่ยิ้มเอง ผมป่วยอยู่นะ แล้วเมื่อกี้คุณเพิ่งจะบอกรัก เอ่อหมายถึง บอกว่าผมเป็นคนสำคัญอยู่หยกๆ ขอแค่นี้ทำให้กันหน่อยไม่ได้รึไง”


    “ถึงเวลาที่ผมคงต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว”


    “สป็อค


    น้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่ได้ทำให้สีหน้าของคนถูกอ้อนเปลี่ยนไปเลยซักนิด สป็อคกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินตรงไปยังประตูห้อง




    ร่างสูงๆ ยังคงหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู นานจนคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงต้องขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังไม่ทันที่จิมจะได้ส่งคำถามออกไป ใบหน้าเรียบเฉยของชาววัลแคนก็ค่อยๆ หันกลับมามองที่เขาอีกครั้ง ก่อนที่ความเรียบเฉยนั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง


     

    รอยยิ้มที่อ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

     


    “ที่ผมยิ้มก็เพราะคุณบอกว่าอยากเห็น”



    “และยานเอนเตอร์ไพรส์ก็ยังต้องการกัปตัน เพราะฉะนั้น หวังว่าคุณคงจะหายดีในเร็ววัน”


     

    และนั่งก็เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่ร่างสูงๆ ของชาววัลแคนจะเดินออกจากห้องไป

     


    ในขณะที่คนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องก็ได้แต่อ้าปากค้าง เบิกตากว้าง พร้อมๆ กับการรับรู้ถึงความร้อนที่พุ่งปรี๊ดบนใบหน้า และจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังระรัวราวกับว่ามันพยายามจะกระโดดออกมานอกอกให้ได้

     



    เป็นครั้งแรกที่ จิม ไทบีเรียส เคิร์ก กัปตันแห่งยานเอนเตอร์ไพรส์ ได้เรียนรู้ว่า


    อย่าออกคำสั่งให้วัลแคนยิ้มเด็ดขาด


    ถ้าไม่อยากหัวใจวายตายก่อนวัยอันควร!

     

     

     




    End.

     

    **********************************************************************************


    ฟิค สป็อคxเคิร์ก เรื่องแรกที่เขียนจบแบบมึนๆ งงๆ ก่งก๊ง (?) มาก ฮ่าๆ

     

    ออกจะไม่ค่อยมั่นใจกับบทสนทนาในแบบวัลแคนสไตล์เท่าไหร่นัก

    ถ้าผิดพลาดอะไรยังไง ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ *โค้ง

     

    ส่วนตัวแล้วอยากจะเขียนฟิคเรื่องนี้ให้ออกมาเป็นแนว bromance มากกว่าจะเป็นความรักแบบคนรักค่ะ

    เพราะคิดว่าช่วงจังหวะเวลามันยังเร็วเกินไปที่สองคนนี้จะได้รู้สึกว่ารักกัน

    สป็อคเพิ่งจะเรียนรู้ที่จะมีความรู้สึกในแบบมนุษย์ ในขณะที่จิมเองก็ยังมีแค่ความรักในแบบเพื่อนให้กับสป็อค

     

    ไอวิชก็เลยคิดว่า ตอนนี้มันคงจะเป็นช่วงรอยต่อที่ต่างคนต่างก็เพิ่งจะเปิดใจ ยอมให้คนอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น มากกว่าที่จะมีความรู้สึกรักใคร่แบบรุนแรงหรืออะไรทำนองนั้นค่ะ :)

     

    ถ้ามีพล็อตแว๊บเข้ามาในหัวอีก ก็คงจะได้พบกันใหม่อีกครั้งกับฟิคของคู่นี้

    แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ

    ไอวิชรักคนอ่านน้า ^3^

     

     







     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×