ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้นของชาวบารามอส ^^ [Fic Baramos (yaoi)]

    ลำดับตอนที่ #7 : ฟิคสั้น : โร เซวาเรส [คิลxโร]

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 57





    ฟิคสั้น : โร เซวาเรส


    คู่ : คิลxโร

    เรท : PG คร้าบบบบ

     




    เสียงพ่อค้าแม่ขายตามสองข้างทางที่กำลังร้องโฆษณาขายสินค้าของตัวเอง บ่งบอกถึงความคึกคักของตลาดในเมืองหลวงเวนอลได้เป็นอย่างดี ทั้งผลหมากรากไม้ ผ้าแพรชั้นดี งานฝีมือชั้นเลิศ ไปจนถึงผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความอุดมสมบูรณ์ของเวนอลราวกับที่นี่ไม่เคยเผชิญกับยุคข้าวยากหมากแพงมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น


    ความคิดที่ทำให้รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าดูดีจนติดจะสวยของชายหนุ่ม ดวงตาสีเขียวทอดมองภาพรอบๆ ตัวด้วยแววราบเรียบราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมากนัก แต่ถ้าหากมีใครหยุดสังเกตเพียงนิด ก็อาจจะเห็นถึงความอาวรณ์ที่มันเจืออยู่ในนั้นบางเบา


    เบาซะจนไม่อาจที่จะอ่านความหมายของมันได้


    ร่างโปร่งของชายหนุ่มเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนนเส้นหลักที่ตนคุ้นเคย ฝนทองเมื่อห้าปีก่อนคงจะนำพาความอุดมสมบูรณ์มาสู่ที่นี่จนทำให้เกิดความมั่งคั่งทางทรัพยากรมากกว่าเมื่อก่อนที่เขาเคยอยู่ แล้วก็ดูเหมือนว่าตอนนี้องค์จักรพรรดินีจะรู้จักใช้ประโยชน์จากการทำเหมืองแร่โลหะแล้ว ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของเวนอลล่ะนะ


    ถึงแม้ว่าอะไรหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไปมาก แต่แปลกที่ความคุ้นเคยที่อยู่ในใจเขากลับไม่ได้ลดน้อยหายไปเลยซักนิด


    ความคิดที่ทำให้ดวงตาสีเขียวได้แต่ทอดมองไปยังเบื้องหน้า ขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะชะงักเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง


    อะไรบางอย่างที่เรียกรอยยิ้มให้กระตุกขึ้นบนมุมปากสวย


    เขายังคงเดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินทอดน่องด้วยท่าทางสบายๆ มาจนถึงตรอกแคบๆ แห่งหนึ่ง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในตรอกขมุกขมัวนั้นโดยไม่หยุดคิดเลยซักนิด ขาเรียวพาเจ้าของเดินมาจนหยุดลงในที่โล่งแห่งหนึ่งที่เชื่อมระหว่างตรอกเมื่อครู่กับทางแยกอีกสองเส้นที่แยกไปเป็นตรอกอีกสองตรอก คล้ายกับทางสามแพร่งที่ไม่ค่อยมีใครได้ใช้สัญจรสักเท่าไหร่นัก


    “รู้ไหมว่ามีแต่เด็กเท่านั้นแหละ ที่ชอบเล่นซ่อนหา”


    น้ำเสียงเรียบๆ ไม่ส่ออารมณ์ถูกส่งออกไปในความเงียบ คนพูดยังคงหยุดยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายๆ หากแต่ดวงตาสีมรกตคู่นั้นกลับกำลังพราวระริกราวกับกำลังสนุกอยู่


    “ยอมรับว่าสองสามวันมานี้นายทำให้ฉันสนุกมาก แต่ตามอย่างเดียวโดยที่ไม่ลงมือทำอะไรแบบนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ”



    “แล้วตอนนี้ฉันก็เริ่มเบื่อแล้วด้วย”



    “ฉันว่าออกมา คุยกันให้มันจบๆ ไปเลยดีกว่ามั้ง”


    อีกครั้งที่ความเงียบดังมาเป็นคำตอบ ให้คนถามต้องแสร้งถอนหายใจน้อยๆ ราวกับเอือมระอา


    และก่อนที่ใครจะได้ตั้งตัว ดาบคมก็ถูกเรียกเข้ามาในมือก่อนจะตวัดส่งไปด้านหลัง ปลายดาบตวัดวูบเฉียดร่างของคนที่ยืนอยู่ในความมืด แต่กลับไม่โดนแม้แต่ปลายเส้นผม การรับรู้ที่ทำให้ชายหนุ่มต้องกระตุกยิ้มแล้วส่งดาบไปอีกวูบ ให้คนอีกคนต้องกระโดดหลบอีกครั้ง หากแต่คราวนี้ไม่เพียงแค่หลบเหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อดาบในมือศัตรูถูกส่งเข้ามาปะทะ เสียงโลหะปะทะโลหะดังลั่นสะท้อนไปตามทางเดินแคบๆ ของตรอกที่มืดมัวจนมองไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าของคู่ต่อสู้ เพลงดาบผลัดกันรุกผลัดกันรับราวกับรู้ทางของกันและกัน ให้คนที่ถูกระรานต้องขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างเริ่มใช้ความคิด


    คนคนนี้รับมือเขาได้ดีเกินไป อ่านทางดาบเขาออกมากเกินไป และที่แปลกก็คือแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรับมือคู่ต่อสู้ได้อย่างสบายๆ ทั้งๆ ที่ถูกอ่านออก


    ราวกับว่าเคยประมือกันมาก่อน


    ราวกับทางดาบของคนคนนี้เป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี


    ความคิดที่ทำให้คำตอบบางอย่างวิ่งเข้ามาในหัว จนต้องสบถดังลั่นก่อนจะตวัดดาบเป็นครั้งสุดท้ายแล้วส่งปลายดาบเข้าไปจ่อคอหอยไอ้บ้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโกรธจัด


    “เล่นบ้าอะไรของนาย คิลมัส ฟิลมัส!


    เสียงตะคอกปนหอบจากผู้ชนะที่ไม่ได้รู้สึกว่าตนชนะเลยซักนิด ตรงกันข้าม ตอนนี้เขากลับกำลังหงุดหงิดถึงขีดสุดเมื่อรู้ว่าไอ้คนที่สะกดรอยตามเขามาตลอดสามวันที่ผ่านมา ที่แท้ก็คือไอ้นักฆ่างี่เง่านี่!


    ให้ตายเหอะ!!


    “ฮ่าๆ ความแตกซะแล้วแฮะ”


    น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ทำให้ดวงตาสีเขียวต้องตวัดมองคนพูดอย่างคาดโทษ ทั้งๆ ที่แสงขมุกขมัวก็ยังส่องให้เห็นแค่เสี้ยวหน้าลางๆ ของมัน


    “บ้านนายตกอับถึงขนาดต้องรับจ้างลอบฆ่าขอทานแล้วรึไง?”


    “ถามอะไรโง่ๆ วะ ถ้าตั้งใจจะฆ่าฉันจะปล่อยนายให้รอดมาทำไมตั้งสองสามวัน”


    “เรื่องนั้นฉันก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันนะคิล”


    “ไม่คิดว่าฉันแค่อยากมาเดินเล่นกินลมชมเวนอลบ้างรึไง?” คำถามที่ไม่ได้เข้ากับการกระทำเลยซักนิด ให้คนถูกถามต้องชักสีหน้าหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก ในขณะที่คนถามกลับหัวเราะน้อยๆ แล้วต่อประโยค “แล้วเมื่อไหร่นายจะเอาไอ้ดาบนี่ออกจากคอฉันซักทีเนี่ย โร เซวาเรส”


    โร เซวาเรสกระตุกยิ้มอย่างคนที่ยังอารมณ์ไม่คงที่ กดน้ำหนักลงที่คมดาบจนมันเริ่มจะจมลงไปในผิวเนื้อของคนตรงหน้า ให้นักฆ่าผู้ถูกประทุษร้ายต้องเอ่ยคำประท้วง


    “เฮ้ๆ นี่นายจะฆ่าฉันจริงดิ?”


    ปลายดาบกดลงไปลึกอีกนิดจนเลือดสีเข้มค่อยๆ ซึมออกมาช้าๆ


    “โร”


    คราวนี้เป็นเสียงจากนักฆ่าที่ถูกกดให้ต่ำลงอย่างที่บอกว่าไม่เล่น


    เพราะถ้าคมดาบกดลงมามากไปกว่านี้ เขาก็คงต้องเอาจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้


    ความเงียบยังคงโรยตัวอยู่รอบๆ บรรยากาศ ผสมปนเปไปกับความอึดอัดและความกดดันบางเบา ดวงตาสองคู่ยังคงสบมองกันภายใต้ความมืดมิดของตรอกแคบๆ ไม่มีใครขยับตัว ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดใดๆ ให้กัน ก่อนที่คนคุมเกมส์จะถอนหายใจเบาแล้วเป็นฝ่ายผละห่างออกมา


    “ออกไปคุยกันข้างนอก”


    และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่จบเหตุการณ์น่าอึดอัดทั้งหมดลง


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที ร้านรวงต่างๆ ก็เริ่มทยอยเก็บข้าวของกลับบ้านเมื่อความมืดใกล้เข้ามาเยือน หากแต่คนตรงหน้าเขากลับยังคงสาวเท้าก้าวฉับๆ ราวไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องอย่างไรอย่างนั้น


    โอเค ถึงจะไม่มีบ้านช่องให้กลับ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเดินไปยังทิศที่จะกลับโรงแรมก็ยังดี


    แล้วอีกอย่าง


    เดินมาจะเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ไอ้คนที่บอกให้เขาออกมาคุยกันข้างนอกกลับไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรกับเขาเลยซักคำ


    หรือว่านี่มันยังนอกไม่พออีกวะ?


    ความคิดที่ทำให้ คิล ฟิลมัส ต้องกลั้นขำ รอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่บนใบหน้าหล่อๆ ในขณะที่หันไปมองคนข้างตัวที่ยังคงไม่คิดจะหันมามองหน้ากันซักนิด ใบหน้าติดจะสวยมองตรงไปข้างหน้า เส้นผมสีชาปลิวตามลมน้อยๆ ในขณะที่ดวงตาสีเขียวก็ฉายแววราบเรียบอย่างที่เขาไม่เคยอ่านมันออกเลยซักครั้ง


    ดวงตาสีเขียวมรกตที่มันตรึงเขาเอาไว้ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา


    ดวงตาคู่ที่มันทำให้เขาตัดสินใจมายืนอยู่ที่นี่ในวันนี้


    “ไหนนายบอกว่าให้ออกมาคุยกันข้างนอกไง?”


    ส่งคำพูดกึ่งเย้ากึ่งยั่วให้คนฟังต้องตวัดสายตามาสบนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหน้าอีกครั้งและเดินต่อภาพที่ทำให้คิลต้องเลิกคิ้วมองขำๆ แต่ก็ยังคงสาวเท้าเดินตามไปอย่างไม่คิดที่จะหยุดเช่นกัน


    โรพาเขามาหยุดลงที่ลานโล่งๆ ที่คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ให้คิ้วสีเข้มต้องขมวดมุ่นอย่างเริ่มต้นใช้ความคิด ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อจำได้ว่ามันเป็นลานที่พวกเขาชาวป้อมอัศวินเคยมาตั้งแคมป์พักตอนออกมาปฏิบัติภารกิจตามหาตัวเจ้าหญิงปากหมาเมื่อห้าปีก่อน


     “นายมาทำอะไรที่นี่?” คำถามแรกจากปากของขอทานกิตติมศักดิ์เล่นเอาคิลถึงกับต้องเลิกคิ้วมอง ก่อนจะส่งคำตอบกวนๆ


    “แล้วฉันจะรู้มั๊ย ก็นายเป็นคนพาฉันมาเนี่ย”


    “คิล ฟิลมัส”


    “ฮ่าๆ โอเค... โอเค” ยกมือขึ้นสองข้างอย่างที่บอกว่ายอมแพ้ ทั้งๆ ที่รอยยิ้มก็ยังคงไม่หายไปจากใบหน้า “นายนี่ความอดทนต่ำลงไปเยอะเลยนะโร”


    “โดนไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ตามสะกดรอยอยู่ตั้งสามวัน แล้วพอจะจัดการกับไอ้บ้านั่น ก็ดันมารู้ความจริงว่ามันเป็นคนที่รู้จักกันมาเจ็ดปี! เป็นนาย นายจะยังใจเย็นอยู่มั๊ยล่ะ?!


    “ก็คงไม่”


    คำตอบที่ทำให้เส้นเลือดข้างขมับของคนฟังเริ่มจะเต้นตุบๆ พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ ห้ามไม่ให้ตัวเองเผลอสาปมันให้กลายเป็นโคมุสไปซะตรงนี้


    “เฮ้ อย่าทำหน้าเหมือนอยากจะสาปกันแบบนั้นสิ”


    แล้วคนที่กำลังนับหนึ่งถึงสิบในใจก็ต้องสบถพรืด ก่อนจะถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวันนับตั้งแต่เจอมัน สุดท้ายก็ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่นบนพื้นหญ้าอย่างขี้เกียจจะไปเค้นเอาความจริงกับมันต่อ


    คิลระบายยิ้มน้อยๆ กับภาพของเพื่อนที่ลงไปนั่งอ่อนอกอ่อนใจอยู่บนพื้น ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งข้างๆ กัน ยอมรับว่าเขาตั้งใจกวนประสาทขอทานนี่จริงๆ นั่นแหละ และเพราะว่าไม่ได้ประฝีปากกันมาหลายเดือนมันก็เลยคิดถึงจนต้องกวนโมโหเยอะกว่าปกตินิดหน่อย


    เพราะว่าไม่ได้เจอกันนาน มันถึงได้คิดถึง


     “ตั้งแต่เรียนจบมา นี่เป็นครั้งแรกเลยเนอะที่เราได้เจอกัน”


    “และมันก็คงจะดีกว่านี้ ถ้านายไม่ทำตัวเป็นนักฆ่าโรคจิตตามสะกดรอยชาวบ้านน่ะนะ”


    “ฮ่าๆ”


    เสียงหัวเราะรับจากนักฆ่าโรคจิตที่ทำให้คนที่เริ่มจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างต้องระบายยิ้มตาม


    แล้วความเงียบก็เข้ามาคั่นระหว่างบทสนทนาอีกครั้ง


    สายลมอ่อนๆ พัดต้องใบหน้าให้ความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก คนสองคนยังคงนั่งเคียงกันอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ความมืดก็ค่อยๆ โรยตัวเชื่องช้า


    “ดาวที่นี่ก็ยังสวยเหมือนเดิมแฮะ” คนพูดพูดทั้งๆ ที่ยังคงไม่ละสายตาออกจากดวงหน้าของคนข้างตัวเลยด้วยซ้ำ


    “ดาวบ้านนายชื่อโร เซวาเรสเหรอ?”


    “คงงั้นมั้ง” ประโยคสนทนาที่แสนคุ้นเคยเรียกให้รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนฟัง ก่อนที่ดวงตาสีเขียวจะเบือนไปมองดาวนับร้อยนับพันดวงที่อยู่บนท้องฟ้า


    “ฉันมาทำงานน่ะ” ประโยคราบเรียบที่โรทำแค่เพียงพยักหน้ารับรู้


    “คงไม่ใช่งานลอบฆ่าขอทานหรอกนะ?”


    “ฮ่าๆ ไม่ ไม่ใช่หรอก”


    “งั้นก็โล่งอก” คำตอบที่ทำให้คนฟังยิ้มน้อยๆ ในขณะที่ดวงตาคู่สีม่วงก็ยังคงจับจ้องใบหน้าติดจะสวยอยู่อย่างนั้น


    “ฉันรับงานมาฆ่าเจ้าชายน่ะ”



    “เจ้าชายชาเบรียล แห่ง เวนอล”


    คำพูดช้าชัดจากนักฆ่าเรียกให้ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจ


    แต่ก็เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น เมื่อคนเป็นขอทานเลือกที่จะฉาบยิ้มแล้วหันมาสบตากับคนพูด ดวงตาสองคู่สบประสานกันอยู่อย่างนั้น ฝ่ายหนึ่งสงบอ่านอยาก ในขณะที่อีกฝ่ายกลับมีเพียงแววเฉยชาราวกับเรื่องที่ได้ยินนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับตน


    “งั้นทำไมไม่ไปฆ่าซะล่ะ?”


    “ก็เพราะว่าไม่รู้น่ะสิ ว่าหมอนั่นอยู่ที่ไหน”



    “จริงๆ แล้ว ฉันไม่รู้ว่าหมอนั่นมีตัวตนอยู่จริงๆ รึเปล่าด้วยซ้ำ”


    ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่ดวงตาที่สบมองมากลับสงบอย่างไม่ควรจะเป็น ให้โรต้องแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด ก่อนจะยื่นข้อเสนอ


    “งั้นฉันบอกให้เอาไหม?”


    ข้อเสนอที่ทำให้นักฆ่าต้องเบิกตากว้าง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังปากเก่งต่อปากต่อคำราวกับเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่า


    ข้อเสนอที่มันสร้างความตกใจให้กับคนฟังจนทำให้คนพูดต้องยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก


    “เจ้าชายชาเบรียลน่ะ จริงๆ แล้ว


    “ไม่!


    “หือ?”


    “ฉันไม่ต้องการ”



    “ฉันไม่ต้องการมันเข้าใจไหม โร เซวาเรส”


    คำพูดจริงจังที่ถูกส่งมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังยิ่งกว่า เรียกให้รอยยิ้มขำระบายบนใบหน้าติดจะสวยของคนเป็นขอทาน ในขณะที่นักฆ่ากลับเป็นฝ่ายที่ต้องปิดเปลือกตาลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างบ่งบอกถึงการจบบทสนทนา


    “กลับโรงแรมกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว”


    “โรงแรม?”


    “ก็โรงแรมที่นายพักอยู่ไง”


    “หมายความว่าไง?”


    “ก็หมายความว่าฉันจะพักอยู่กับนายจนกว่าจะหาตัวไอ้เจ้าชายงี่เง่านั่นเจอยังไงล่ะโร”


    “ถามความเห็นกันบ้างก็ดีนะ”


    แต่ถึงจะตอบออกไปอย่างนั้น โรก็ยังคงยิ้มบางๆ ในขณะที่ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน


    รอยยิ้มที่มันทำให้คนมองต้องยิ้มตาม


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    ขบวนเสด็จของจักรพรรดินี


    ขบวนรถสีทองพ่วงม้านับสิบตัวกำลังเคลื่อนตัวไปตามถนนเส้นหลักของตัวเมืองเวนอล เสียงแตรเป่านำขบวนดังก้องสะท้อนไปทั้งเมือง ในขณะที่ประชานชนสองข้างทางที่มารอรับเสด็จก็กำลังเปล่งเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญแด่องค์จักรพรรดินีผู้เป็นดั่งหัวใจของประเทศ จักรพรรดินีผู้ที่อยู่ๆ ก็ออกเสด็จเยี่ยมราษฎรแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย จนคนที่ไม่ใช่ราษฎรของประเทศต้องถอนหายใจอย่างติดจะหงุดหงิดนิดๆ


    การถอนหายใจที่ทำให้นักฆ่าตาม่วงที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมามองยิ้มๆ


    “ถอนหายใจเฮ้อๆ แบบนี้ ระวังเถอะ คนไม่รู้เค้าจะคิดว่านายไม่อยากเจอจักรพรรดินีประเทศเค้า”


    “เห็นแค่ขบวนรถม้าแบบนี้คงไม่เรียกว่าเจอหรอกมั้ง”


    “ที่แท้นายก็อยากเจอหน้าเลยนี่เอง” คนพูดพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทางกวนๆ ก่อนจะต่อประโยคด้วยน้ำเสียงที่กวนยิ่งกว่า จนโรนึกอยากจะยกเท้ากระทืบมันทิ้งซะตรงนี้ “งั้นฉันหาวิธีให้เอามั๊ย?”


    “ก็น่าสนใจอยู่นะคิล แต่ติดตรงที่ฉันยังไม่อยากตายเพราะแผนห่วยๆ ของนายนี่สิ”


    “ฮ่าๆ ยังไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงว่าห่วยหรือไม่ห่วย”


    “ก็เท่าที่ฉันรู้จักนายมาเจ็ดปีน่ะนะ”


    “ฮ่าๆ”


     

     

     


    ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดินีผ่านไปพร้อมกับความสงบที่กลับมาสู่เมืองหลวงในเวลาบ่ายแก่ๆ คิลกำลังนั่งอยู่ในร้านข้าวข้างทางที่ขอทานคนข้างๆ มันโฆษณานักหนาว่าอร่อยและถูกที่สุดในเวนอล มือก็ตักข้าวเข้าปากไป ตาก็มองคนข้างตัวไปอย่างไม่คิดจะเกรงอกเกรงใจคนถูกมองเลยซักนิด


    “พิศวาสฉันมากนักรึไง คิล ฟิลมัส?” คำถามจากคนที่กำลังก้มจิบชาในถ้วยของตัวเองโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคนถูกถามเลยด้วยซ้ำ ให้คิลต้องเลิกคิ้วรับขำๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ


    “แล้วถ้าบอกว่าใช่ นายจะรับรักฉันรึเปล่าล่ะ?”


    “เดียวนี้หน้าด้านขึ้นเยอะนะ ไปติดเชื้อจากเฟรินมันมารึไง?” คนหน้าด้านหัวเราะรับคำอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่คนถามก็หันมาส่ายหัวยิ้มๆ ให้ ก่อนจะเอ่ยต่อประโยค “พูดถึงเฟริน ตั้งแต่จบมานี่ นายได้เจอหมอนั่นบ้างรึเปล่า?”


    “ก็บ่อยกว่าเจอนาย”


    “แปลว่ายังมีคนอยากให้เจ้าหญิงนั่นตายอยู่หลายคนเลยสินะ”


    “หมายถึงเจอแบบเพื่อนฝูงเจอกัน ไม่ใช่เจอแบบที่ฉันไปดักตัดหัวมันเว้ย”


    “อ้าวเหรอ ฉันก็นึกว่าเจอแบบที่นายมาเจอฉันที่นี่ซะอีก ฮ่าๆ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะกับการหยอกแกมกัดที่ทำให้คิลต้องชะงักไปนิด รอยยิ้มบางๆ ยังคงแต้มอยู่ที่มุมปาก ก่อนจะส่งคำถามให้อีกฝ่ายต้องชะงักบ้าง


    “ว่าแต่นายเถอะ จะกลับไปพิสูจน์ตัวเองที่ทริสทอร์เมื่อไหร่กันล่ะโร?”


    คนถูกถามชะงักไปนิด แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นเมื่อรอยยิ้มกว้างยังคงฉาบอยู่บนหน้า ก่อนที่ดวงตาสีเขียวจะหันกลับมาสบกับคนถามนิ่ง


    “นั่นสิ พรุ่งนี้เลยดีมั๊ย?”


    “พรุ่งนี้คงไม่ได้”


    “หือ?”


    “เพราะฉันยังหาตัวเจ้าชายอะไรนั่นไม่เจอ”



    “งานฉันยังไม่เสร็จ นายก็ไปไหนไม่ได้หรอกนะ โร เซวาเรส”


    .

    .

    .

    .

    .

     

    .

    .


    “นายคิดยังไงถึงได้พาฉันมาที่นี่เนี่ย?!


    คิลตะโกนแข่งกับเสียงดังตึงตังของดนตรีและเสียงพูดคุยของคนที่กำลังเบียดเสียดกันอยู่ในบาร์เล็กๆ แถบชานเมืองเวนอล กว่าสองวันแล้วที่เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับขอทานเจ้าปัญหาที่นอกจากจะพาเขาตะลอนๆ เที่ยวทั่วเวนอลแล้ว มันยังจะใจดีพาเขามาเปิดหูเปิดตาถึงนี่อีก


    “ก็คิดว่าควรจะพานักฆ่าอ่อนต่อโลก ให้ออกมารู้จักโลกภาพนอกบ้างไง” คำตอบกลั้วหัวเราะจากไอ้คนขี้แกล้งที่ทำให้คิลต้องหัวเราะตาม


    “อยู่กับเฟรินมันมาตั้งเจ็ดปี นายคงไม่คิดว่าฉันจะไม่เคยมาที่แบบนี้จริงๆ หรอกใช่มั๊ย?” คนถูกถามหันมาเลิกคิ้วมองคนพูดยิ้มๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ อย่างที่บอกว่ายอมเชื่อ


    “ถ้าเคยก็ดี”


    แล้วแก้วเหล้าก็ถูกยื่นมาตรงหน้าให้คิลต้องยกยิ้มนิดๆ ก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นชนตอบ


    เครื่องดื่มสีอำพันแก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกขึ้นดื่มราวกับน้ำเปล่า เสียงเพลงในจังหวะสนุกๆ ก็ฉุดให้อารมณ์ของคนฟังรู้สึกสนุกตามไปด้วย บวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เข้มๆ แล้ว สุดท้ายสองสิงห์แห่งป้อมอัศวินก็พาตัวเองมายืนอยู่กลางฟลอร์เต้นรำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้


    รู้ตัวอีกทีร่างกายก็ขยับไปตามจังหวะที่ลุงคนข้างๆ สอนให้ไปแล้ว


    การเต้นรำในแบบของชาวเวนอล


    กลุ่มคนนับสิบกำลังคล้องแขนต่อๆ กันไปเรื่อยๆ ขยับเท้าเต้นไปรอบๆ เป็นวงกลม เสียงกลอง แตร และเครื่องดนตรีอื่นๆ ขยับจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ทำให้คนที่อยู่ในวงเต้นยิ่งต้องเร่งฝีเท้าให้ขยับเร็วตาม วงกลมมนุษย์หมุนเหวี่ยง ซ้ายขวา อย่างที่เรียกทั้งเสียงหัวเราะและเสียงเฮจากคนที่อยู่ในนั้น


    เสียงเฮฮาและเสียงหัวเราะที่มันกำลังบอกถึงความสุข


    เวลาแห่งความสุขที่ค่อยๆ หมุนไป


    โดยเฉพาะเวลาของคนสองคนที่นับวันก็ยิ่งลดน้อยลงเต็มที


     

     

     


    ร่างสองร่างทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสีขาวด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ทั้งคู่ ฤทธิ์เหล้ายังทำให้มึนไปทั้งหัว ใบหน้าก็ยังคงแดงก่ำ ในขณะที่โลกก็ยังคงหมุนติ้วอย่างที่คิลเองก็ยังสงสัยว่าพวกเขาพาตัวเองกลับมาจนถึงโรงแรมนี่ได้ยังไง


    แต่จะกลับมาได้ยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าคืนนี้เขาสนุกมากก็แล้วกัน


    “สนุกเป็นบ้าเลยว่ะ” คำพูดที่ทำให้คนที่นอนแผ่อยู่ข้างๆ ต้องหันมามองยิ้มๆ


    “สนุกเท่ากับตอนที่ไปกับเฟรินมั๊ย?”


    “มากกว่าเยอะเลยแหละ ฮ่าๆ”


    “ฮ่าๆ”


    แล้วเสียงหัวเราะสองเสียงก็ดังอยู่อย่างนั้นซักพัก ก่อนจะค่อยๆ เงียบไป


    เนิ่นนานที่นอนมองฝ้าเพดานกันอยู่อย่างนั้น ไม่ได้หลับ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาเหมือนกัน และในที่สุดคิลก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะหันไปมองหน้าของขอทานที่ยังคงนอนแผ่อยู่บนเตียง


    “โร


    “หือ?”


    ใบหน้าของนักฆ่าค่อยๆ โน้มเข้าไปใกล้ใบหน้าติดจะสวยของคนเป็นขอทาน ก่อนที่ท่านั่งจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการคร่อมอยู่บนตัวของคนที่ยังคงนอนอยู่เฉยๆ ดวงตาสองคู่สบประสานกันนิ่ง หากแต่ดวงตาของนักฆ่ากลับฉายประกายบางอย่างที่ทำให้คนมองต้องระบายยิ้มบางเบา


    “คิดจะฆ่าฉันแทนเจ้าชายนั่นรึไง คิล ฟิลมัส”


    คนถูกถามเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของคนพูดแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ไล้นิ้วโป้งลงบนริมฝีปากสวยๆ นั้น


    “จำไว้นะ โร เซวาเรส



    “จำไว้ว่ามีแต่ฉันเท่านั้นที่ฆ่านายได้”




     “ไม่หลงตัวเองไปหน่อยรึไง”


    “ให้ฉันเป็นคนฆ่า ก็ยังดีกว่าให้คนอื่นฆ่า” คำพูดแผ่วเบาที่ทำให้คนฟังแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด โรเอียงคอมองคนพูดด้วยแววตาติดจะเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำให้การควบคุมตัวเองของคนเป็นนักฆ่าต้องสิ้นสุดลง


    “แล้วทำไมถึงไม่ฆ่าซักทีล่ะ


    ประโยคคำถามที่จบลงพร้อมกับริมฝีปากร้อนที่ประกบลงมา ปิดกั้นไม่ให้คำพูดใดๆ ได้หลุดออกมาอีก


    ริมฝีปากร้อนที่ฉกชิงเอาลมหายใจกับสัมผัสที่ราวกับจะฆ่ากันให้ตายได้จริงๆ


    “สำหรับฉันนายเป็นแค่โร เซวาเรส”



    “แค่โร เซวาเรส...


    ถ้อยกระซิบที่ราวกับคำอ้อนวอน


    คำอ้อนวอนที่มันกำลังสะท้อนไปทั้งความรู้สึกของคนฟัง


    คำอ้อนวอนที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอยากให้มันเป็นจริง


    แค่ โร เซวาเรส


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    คิล ฟิลมัสตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่าในตอนเช้า คนที่เคยนอนอยู่ข้างๆ กันเมื่อคืน ตอนนี้ไม่อยู่ในห้องแล้ว แม้แต่เสื้อผ้าข้าวของต่างๆ ก็หายไปพร้อมกับเจ้าตัวราวกับตั้งใจจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น


    ราวกับจงใจจะหนีเขาไป


    การรับรู้ที่ทำให้คิลต้องปิดเปลือกตาลงช้าๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วสาวเท้าฉับๆ ตรงไปที่ประตูห้อง กระชากมันเปิดออก ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะเริ่มต้นออกวิ่งตามหาคนที่เพิ่งจะทิ้งเขาไป


    วิ่งทั้งๆ ที่หัวใจก็ยังคงเต้นแรงด้วยความรู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


    “แม้แต่คำลาก็ไม่คิดจะมีให้กันเลยรึไง?”


    นายนี่มันโคตรใจร้ายเลย โร เซวาเรส


     

     

     

     

     


    ตูม!!!


    เสียงระเบิดดังลั่นที่ทำให้คิล ฟิลมัสต้องตัวแข็งทื่อราวกับโดนสาป


    ร่างของคนที่เขากำลังตามหาอยู่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากแขนข้างซ้ายที่บาดเจ็บจากแรงระเบิด อย่างที่ถ้ากระโดดหลบไม่ทันมันก็คงขาดออกจากร่างไปแล้วมันเป็นภาพที่ทำให้หัวใจของคนมองหล่นวูบ หากแต่คนบาดเจ็บก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่รับรู้ถึงการมาถึงของเขา เมื่อตอนนี้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นกำลังจับจ้องอยู่ที่บุคคลอีกคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่บนฟ้า


    คนอีคนที่ยืนอยู่กลางอากาศและกำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมจะส่งระเบิดลงมาอีกลูก


    ไอ้คนที่ทำให้คิลต้องสบถพรืด ก่อนจะตะคอกดังลั่น!


    “ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย?!!


    พี่?!


    เสียงตะคอกที่ทำให้โร เซวาเรส ต้องหันขวับมามองคนพูด ก่อนจะตวัดตากลับไปมองคู่ต่อสู้อีกคนที่ลอยอยู่บนฟ้า ดวงตาสีม่วงของคนที่ถูกเรียกว่า พี่ฉายประกายระยับอย่างที่บอกว่ากำลังสนุก ให้ความเข้าใจวิ่งเข้ามาในหัวจนโรต้องยกยิ้มเย็น


    “นี่ถึงกับต้องขนกันมาทั้งบ้านเลยเหรอคิล?”


    ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจ


    ดวงตาสีเขียวมรกตยังคงไม่หันกลับมามองหน้าของคนถูกถาม แต่มันกลับสบนิ่งอยู่กับคนอีกคนที่อยู่นอกวงสนทนา ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งอยู่อย่างนั้น ให้ความเครียดและความอึดอัดบางเบาโรยตัวอยู่รอบๆ


    “อันนั้นฉันก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน”


    คำตอบที่มาพร้อมกับน้ำเสียงเอาเรื่องที่ส่งไปยังคนต้นเหตุ ให้ชายหนุ่มผู้เริ่มรู้สึกว่าตนจะถูกรุมต้องยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างที่บอกว่ายอมแพ้ ทั้งๆ ที่บนหน้าก็ยังฉาบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ดูยังไงก็ไม่น่าไว้ใจเลยซักนิด


    “เฮ้ พี่ไม่ได้คิดจะก้าวก่ายงานของนายน่า”



    “อย่ามองกันแบบนั้นสิวะ ฉันก็ยกมือยอมแพ้แล้วเนี่ย ไม่เห็นรึไง?” คำพูดที่ทำให้คนเป็นน้องสบถพรืด ในขณะที่โร เซวาเรสเลือกที่จะฟังอยู่เงียบๆ


    “เอาน่า ถ้าคิดจะฆ่าจริงๆ ฉันไม่เอาตัวเองออกมาเป็นจุดเด่นให้เปลืองเวลาหรอกน่า มันไม่ใช่สไตล์การฆ่าของตระกูลเรา นายก็รู้”


    “แล้วพี่มาที่นี่ทำไม?” คนเป็นพี่ยิ้มรับกวนๆ แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับมากลับเย็นเยียบเสียจนคนฟังสัมผัสได้


    “ก็แค่แวะมาดู ว่าทำไมนายถึงได้ทำงานเสร็จช้านัก


    คำตอบกับรอยยิ้มเย็นเยียบที่มาพร้อมกับการจ้องตา ราวกับกำลังอ่านทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ความเงียบที่น่าอึดอัดเข้ามาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ก่อนที่คนอายุมากที่สุดจะเปลี่ยนมายิ้มกว้างอารมณ์ดี ราวกับเป็นคนละคน


    “อีกอย่างก็คือ พี่จะมาบอกว่างานฝั่งโน้นเรียบร้อยดีแล้ว งานฝั่งนายก็ถือว่าเป็นอันยกเลิกไป” ยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีกนิด ก่อนจะละสายตาจากน้องชายแล้วหันไปมองใบหน้าติดจะหวานของคนอีกคนที่ยืนเงียบอยู่


    “ก็ไม่ต้องตามล่าหาตัวเจ้าชงเจ้าชายอะไรนั่นแล้วล่ะนะ




    “ว่าแต่คนอื่น ตัวเองก็ทำงานช้าพอกันแหละวะ”


    “ฮ่าๆ” คนเป็นพี่หัวเราะเสียงดังลั่น ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับอย่างที่บอกถึงการจบบทสนทนา “รีบๆ กลับบ้านหน่อยแล้วกัน เดาว่าป่านนี้พ่อคงโมโหใหญ่แล้ว และแน่นอนว่าพี่จะไม่รับหน้าให้นายเด็ดขาด”


    จบคำพูด สายลมแรงก็พัดวูบพร้อมๆ กับร่างของคนพูดที่หายวับไปกับตา


    ทิ้งปัญหาก้อนโตเอาไว้ให้คนสองคนข้างหลังที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม


    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    คิลกัดฟันกรอดเมื่อนับแผลที่อยู่บนร่างกายของคนตรงหน้าได้เป็นแผลที่เกือบร้อย มือก็พยายามพันผ้าแผลให้เบามือที่สุด ในขณะที่ในใจก็ยังคงสาปส่งไอ้พี่บ้าไม่ยอมหยุด


    ทำบ้าอะไรของมันวะ?!


    “นี่สินะเหตุผลที่ยื้อเวลาน่ะ?” คำถามที่ทำให้คิลต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูดเล็กน้อย ก่อนจะติดพลาสเตอร์เป็นครั้งสุดท้ายแล้วเริ่มต้นเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่ และเปลี่ยนเรื่องคุยราวกับไม่คิดจะตอบคำถามนั้น


    “นายจะกลับทริสทอร์เมื่อไหร่?”


    “วันนี้”


    “อืม”


    รับคำแค่นั้น ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาทำหน้าที่ของมัน


    ตอนนี้พวกเขาสองคนกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งเพื่อทำแผลให้กับโร ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่แผลจากแรงระเบิดที่แขนก็ถือว่าหนักเอาเรื่องอยู่ จนคิลไม่อยากจะคิดว่าถ้าโรกระโดดหลบไม่ทันมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง


    “จริงๆ แล้ว นายไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ”


    “ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนี่”


    คำพูดที่ทำให้โรต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจ พยายามไม่ให้ตัวเองระเบิดอารมณ์แล้วฆ่าไอ้นักฆ่างี่เง่านี่ให้มันตายๆ ไปซะ และพอลุกขึ้นจะเดินหนีก็ดันถูกมือใหญ่ๆ นั่นคว้าข้อมือเอาไว้ซะก่อน


    การกระทำที่ทำให้โรต้องถอนหายใจบางเบา แต่ก็ยอมหยุดแต่โดยดี


    “การยื้อเวลามันไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะคิล



    “คราวนี้วิธีนี้มันอาจจะใช้ได้ผล แต่นายก็ทำแบบนี้ไม่ได้ทุกครั้งที่ครอบครัวนายรับงานฆ่าฉันหรือฆ่าเจ้าชายคนไหนหรอกนะ”


    “เรื่องนั้นฉันรู้



    “แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น แค่ครั้งนี้ที่ฉันอยากจะทำตัวงี่เง่าบ้างไม่ได้รึไง?”


    โรชะงักกับคำตอบนั้น ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ อย่างอ่อนใจแล้วหันกลับมามองหน้าของคนที่ยังคงยึดข้อมือเขาเอาไว้ รอยยิ้มเอ็นดูค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าติดจะสวย ก่อนที่โรจะขยับเข้าไปใกล้แล้วสบตากับคนตรงหน้านิ่ง


    “ขอบคุณ”


    คำขอบคุณที่ทำให้คนได้รับต้องยิ้มรับอ่อนโยน แต่ก็ยังไม่คิดจะปล่อยข้อมือที่ตนยึดเอาไว้เช่นกัน ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับไม่มีความอึดอัดเจืออยู่ในนั้นอีกแล้ว


    “นายจะกลับทริสทอร์วันนี้สินะ”


    “อืม”


    “แล้วฉันจะได้พบกับโร เซวาเรส อีกไหม?”


    “ไม่”


    “เป็นคำตอบที่ใจร้ายจังนะ”


    “ฉันจำไม่ได้ว่าเคยใจดีกับนายเมื่อไหร่”


    “นั่นสิ”


    คนสองคนยังคงมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ โร เซวาเรส จะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปใกล้อีกนิด มือเรียวยกขึ้นจับใบหน้าของคนเป็นนักฆ่าตรงหน้า นิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะตัดสินโน้มใบหน้านั้นลงมาประทับริมฝีปากแผ่วเบา


    สัมผัสแผ่วเบาที่ทำให้คนได้รับต้องหลับตาลงช้าๆ


    สัมผัสอ่อนโยนที่มันกำลังบอกชัดเจนถึงคำกล่าวลา


     

     

     

    ลาก่อน

     

     

     

    End.


    ****************************************************************************************

     



    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!

    ฟิคคู่ คิลxโร เรื่องแรกในรอบหลายปีของไอวิชชชชชชช!!!!

     

    กรี๊ดดดดด กรี๊ดดดดดดดดดดดด กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!! TT^TT

    (จะกรี๊ดอะไรนักหนาฟะ?!!)

     

    เป็นฟิคที่เขียนขึ้นมาเพราะความคิดถึงคู่นี้ล้วนๆ เลยค่ะ

    พอคิดถึงคู่นี้ แล้วมันก็คิดถึงการจากลา และความรักที่ไม่สมหวังโฮรววววว TT^TT

    อยากเห็นฉากที่เค้าพบกันครั้งสุดท้ายในฐานะ ของคิลและโร อ่ะค่ะ

    เพราะอยากเห็นโมเม้นท์ครั้งสุดท้ายที่โรจะอยู่ในฐานะของ โร เซวาเรส ขอทาน แห่ง ทริสทอร์

    สุดท้ายมันก็เลยออกมาเป็นฟิคเรื่องนี้แล….

     

    นิสัยของคิลและโรในเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถอดออกมาจากในหนังสือเป๊ะๆ เหมือนกับฟิค คิลxโร เรื่องอื่นที่ไอวิชเคยเขียนนะคะ

    เพราะเป็นการเขียนที่จินตนาการถึงคิลและโรในตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

    เมื่อรวมๆ กับสถานการณ์และสภาวะอารมณ์ในฟิคแล้ว มันก็เลยส่งผลให้คำพูด และการกระทำบางอย่างแตกต่างไปจากคิลและโรที่ยังเป็นแค่นักเรียนในป้อมอัศวิน

     

    ไอวิชคิดว่าคิลกับโรในอีกหลายปีข้างหน้าก็คงจะมีอารมณ์คล้ายๆ แบบนี้ล่ะค่ะ

    เป็นคิลกับโรที่ยังมีนิสัยในแบบคิลและโร แต่คำพูดและการกระทำบางอย่างก็เปลี่ยนไปตามเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป

     

    เอาไว้พบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ

    ไอวิชรักคนอ่านน้า >3<

     

    ปล.ช่วงนี้เริ่มมีคนกลับมาพูดถึงบารามอสอีกครั้ง โดยเฉพาะแท็ค #BaramosWorld ในทวิตเตอร์เนี่ย ช่วยให้หายคิดถึงบารามอสได้ดีนักแล (หรือยิ่งทำให้คิดถึงมากขึ้นไปอีกรึเปล่าก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆ) ใครที่เล่นทวิตเตอร์อยู่ ก็ลองเข้าไปอ่านแท็คนี้ดูได้นะคะ แล้วจะรู้ว่ายังมีคนที่รักบารามอสเหมือนเราอยู่อีกเยอะเลยล่ะ ^0^

     

    ปปล.ใครที่ยังไม่เคยอ่านฟิค คิลxโร เรื่องอื่นๆ ของไอวิช ก็ลองกดไปที่หน้าหลักของบทความนี้เลยนะคะ มีให้อ่านอยู่อีก 2-3 ตอน มีคู่ อาเธอร์xโรเวน ด้วยนะ แฮ่~








     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×