ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรือนดาหลา ภาค 2

    ลำดับตอนที่ #6 : แรกพบ

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 57


    ตอนที่ 6 แรกพบ

                    ที่ร้านผ้าของกาซิมลูกค้าในร้านค่อยๆ บางตาลง หญิงสาวรูปร่างไล่เลี่ยกันสองนางเดินเข้ามาในร้าน ทั้งสองคนแต่งกายสวยงาม นุ่งซิ่นในแบบที่กำลังนิยมในพระนคร นางหนึ่งใบหน้าหวานผิวพรรณงามผุดผ่องวางท่าทีดั่งนางหงส์ส่วนอีกนางหนึ่งผิวคล้ำกว่าแต่ใบหน้าคมขำเดินวางท่าเข้ามาทำท่าทีไม่ต่างจากนางแรก นะดารีบเดินเข้าไปรับลูกค้าสาวทั้งสองคน

                    “เมื่อสองสามวันก่อนฉันสั่งผ้าไว้กับพ่อของหล่อน” หญิงสาวใบหน้าหวานเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีถือตัว

                    “ถ้าอย่างนั้น รอสักครู่เถอะนะคะ คุณปรุงจิต ดิฉันจะไปตามพ่อก่อน ท่านไม่ได้สั่งไว้ว่าเป็นผ้าผืนไหน” นะดาตอบกลับไป ก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อไปตามอาลี แต่เห็นกาซิมเดินออกมาพอดี

                    “อ้อ จะมารับผ้าที่สั่งไว้หรือขอรับคุณหนูปรุงจิต” กาซิมเอ่ยอย่างนอบน้อม

                    “ใช่จ้า ฉันสั่งลุงอาลีไว้เมื่อวานนี้ ว่าเอาผ้าผืนที่ดีและแพงที่สุดของที่นี่” เธอเชิดหน้าแล้วเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ กาซิมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าออกมาผืนหนึ่ง

                    “ผืนนี้ขอรับ คุณหนูปรุงจิต ตอนนี้ผ้าพับนี้เป็นผืนที่แพงและงามที่สุดที่เราเพิ่งสั่งเข้ามาขายในร้าน สีเหลืองทองใช้ตัดเสื้อได้งามนักกำลังเป็นที่นิยมในพระนคร รับรองว่าในเมืองนี้ยังไม่มีใครมีผ้าผืนนี้ไปตัดเสื้อแน่ คุณหนูจะนำสมัยกว่าใคร เหมาะกับผิวพรรณของคุณหนูทีเดียว” กาซิมเอ่ยเนิบพร้อมอธิบายอย่างอ่อนโยน ปรุงจิตยิ้มหน้าบานให้กับคำแนะนำและกิริยาอ่อนน้อมของพ่อค้าที่ทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนกำลังได้รับการยกย่องเชิดชู

                    “แล้วกี่บาทกันเล่า” นางเอ่ยถามราคา

                    “ผ้าพับนี้สามสิบบาทเท่านั้นขอรับ” ปรุงจิตสะดุ้งเล็กน้อยกับราคาสามสิบบาทซึ่งดูจะมากโขอยู่ แต่ก็เอาเงินในถุงผ้าใบเล็กที่พกมาออกมายื่นให้อย่างเต็มใจ กาซิมหยิบผ้าใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลยื่นให้หล่อน

                    ขณะที่นะดากำลังให้ความสนใจกับการซื้อขายผ้าที่อยู่ตรงหน้าระหว่างพ่อกาซิมของหล่อนกับปรุงจิตรบุตรสาวของหมื่นจอมทัพ แม้ว่าหมื่นจอมทัพจะออกจากราชการตั้งแต่ยังหนุ่มแต่คนทั่วไปก็ยังเรียกกันอย่างติดปากว่าหมื่นจอมทัพ ซึ่งก็ทำให้คนที่เป็นเจ้าของชื่อยังรู้สึกหยิ่งผยองกับเชื้อสายขุนนางของตน เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง

                    “นะดา” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก

                    “พี่ฟาติน อ้าวฟาติมะก็มาด้วยรึ” นะดาเรียกทั้งสองคนอย่างตื่นเต้นยินดีที่ฟาติมะเพื่อนสนิทกับพี่ชายของหล่อนแวะมาหาถึงที่ร้าน

                    “ฉันจะมาชวนเธอไปเที่ยวสักหน่อย ตรงท้ายตลาดฝั่งขะโน้นจะมีงาน เขาว่าคืนนี้จะมีหนังตะลุง และมีมโนราห์ของขุนภิเภกนรากรมาเล่นด้วย แต่ฉันกับพี่ฟาตินคงไม่ได้อยู่ดูหรอก เพราะกว่าจะกลับไปถึงนาเคียนคงดึก แค่อยากมาชวนเธอไปดูของที่เขาเอามาขายในงาน” ฟาติมะเอ่ยขึ้น

    ฟาตินและฟาติมะอาศัยอยู่ที่ตำบลนาเคียนซึ่งอยู่ติดกับตำบลโพธิ์เสด็จที่เป็นที่ตั้งร้านขายผ้าของนะดา แต่เส้นทางที่เข้าไปในตำบลนาเคียนนั้นค่อนข้างลำบากเนื่องจากยังไม่มีถนนหนทางตัดผ่าน ต้องเดินผ่านคันนาและทางเกวียน

    เนื่องจากตำบลนาเคียนนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวมุสลิมจำนวนมากที่ถูกกวาดต้อนตอนตกเป็นเชลยศึกจากเมืองปัตตานีตั้งแต่สมัยโบราณตอนที่เมืองปัตตานีแพ้สงครามให้กับกรุงสยาม เชลยศึกทั้งหมดถูกนำมาอยู่อาศัยรวมกันอยู่ที่นั่น ซึ่งเต็มไปด้วยต้นตะเคียนเต็มท้องทุ่ง ชาวบ้านจึงเรียกที่นั่นว่าบ้านนาเคียน

    ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ประกาศเลิกทาสและได้จัดสรรที่ดินทำกินให้กับชาวมุสลิมที่ตำบลนาเคียนได้มีที่ทำกิน และได้อยู่อาศัยร่วมกับชาวไทยพุทธอย่างรักใคร่ปรองดองกัน ไม่ได้มีการแบ่งแยกทางด้านศาสนาแต่อย่างใด ทั้งที่ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยมุสลิมมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และมีชาวไทยพุทธอยู่อาศัยไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์

    “ฉันต้องขอพ่อก่อน” นะดาหันไปมองพ่อกาซิมของหล่อน ไหนจะพ่ออาลีที่แสนจะเจ้าระเบียบนั่นอีกเล่า หญิงสาวทำหน้าหนักใจ

    “ไปเถอะนะดา นานๆ เจ้าจะได้ออกไปเที่ยวสักที ฟาตินก็ไปด้วยคงดูแลเจ้าได้อยู่ดอก พ่อจะบอกพ่อของเจ้าให้” กาซิมหันมาบอกกับบุตรสาวของเพื่อนรัก พร้อมกับหันไปมองฟาตินที่ยืนก้มหน้าอย่างสงบนิ่ง

    “งั้น นะดาจะรีบกลับนะจ๊ะพ่อกาซิม” เธอหันไปบอกกาซิมแล้วก้าวเท้าออกไปไปจากร้านพร้อมกับเพื่อนทั้งสองคน ปล่อยให้พ่อกาซิมของหล่อนสาละวนอยู่กับการหยิบผ้าผืนอื่นๆ ไปขายให้กับปรุงจิตต่อไป

    ฟาตินนั้นอยู่ในชุดอิสลามเสื้อคอตั้งตัวยาวสีดำปักลวดลายที่สาบเสื้อและตัวเสื้ออย่างสวยงามด้วยเส้นไหมสีเทาเข้ม กางเกงขายาว สวมหมวกซอเกาะก์สีดำ รูปร่างของฟาตินสูงสง่าหน้าตาคมเข้มแบบชาวมุสลิม

    ส่วนฟาติมะอยู่ในชุดอิสลามสีเทาคลุมด้วยฮิญาบสีดำฟาติมะผิวคล้ำกว่านะดาเล็กน้อยใบหน้าคมหวานตาโตเช่นหญิงสาวอิสลามทั่วไป ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามของนะดา และบิดาของทั้งสองคนก็สนิทสนมกับอาลีพ่อของนะดาเป็นอย่างดี เพราะเจอกันที่โรงเรียนสอนศาสนาแทบทุกครั้งที่อาลีไปส่งนะดาที่โรงเรียน
                    การจัดงานเล็กๆ ในหมู่บ้านเป็นการรับหนังตะลุงและมโนราห์มาเล่นให้ชาวบ้านได้ชมกัน อยู่ห่างจากตลาดที่ตั้งร้านขายผ้าไม่มากนัก มีข้าวของมาวางขายในช่วงบ่าย ทั้งอาหารการกิน เครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ หลังจากเดินชมข้าวของจนเป็นที่พอใจ ฟาตินก็ชวนกลับเนื่องจากเห็นว่าเย็นมากแล้ว ทั้งสามคนเดินคุยกันพลางดูโน่นดูนี่ริมทางไปพลาง

    พลันสายตาของนะดาหันไปเห็นชายคนหนึ่งยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างทาง หล่อนชะลอความเร็วในการเดินลง พลางมองไปยังหญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้าไปเที่ยวในงานเดินผ่านมา ชายร่างผอมคนนั้นกระชากถุงเงินที่เหน็บเอวของหญิงวัยกลางคนแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

    หญิงคนนั้นร้องตะโกนให้ช่วยพร้อมกับวิ่งไล่ตาม นะดาตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า เธอจึงรีบวิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพื่อจับชายคนนั้นอย่างลืมตัวทั้งที่อยู่ในชุดอิสลามที่ยาวรุ่มร่ามแต่เธอก็วิ่งตามชายร่างผอมคนนั้นจนทัน ในขณะที่ฟาตินที่เพิ่งหายจากตกตะลึงรีบวิ่งตามมา

    นะดาผลักชายคนนั้นล้มลงก่อนจะลงมือทุบตีผู้ชายคนนั้นพัลวัลอย่างไม่กลัวเกรง ผู้ชายคนนั้นตกใจด้วยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวคว้าข้อมือข้างที่กุมถุงเงินไว้แล้วบิดสุดแรงจนถุงเงินนั้นร่วงลงจากมือ คนร้ายรู้ตัวว่าจวนตัวจึงรีบวิ่งออกไป

    หมวดราชันย์ที่ขับรถยนต์ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจอดรถเสร็จก็รีบวิ่งลงไปช่วยจับคนร้ายไว้ได้ ป้าเจ้าของถุงเงินกับฟาตินก็วิ่งตามมาถึงพอดี

    “ป้าจ๊ะ นี่ถุงเงินป้าจ้า” นะดายื่นถุงเงินให้กับหญิงร่างท้วมที่วิ่งหอบแฮ่กตามมา เธอขอบอกขอบใจยกใหญ่แล้วหันไปหาหมวดราชันย์ที่กำลังใช้กุญแจมือล็อกข้อมือคนร้ายพร้อมกับทั้งลากทั้งจูงคนร้ายเดินกลับมา

    “โอ้ยขอบคุณมากเจ้าค่ะ คุณตำรวจ... แหม ไอ้ปาน มึงอีกแล้วเรอะ มึงมาแอบดักวิ่งราวถุงเงินกูอีกแล้ว กูจะตบมึงให้ตาย หน๋อย ทำเอากูวิ่งตามเหนื่อยเกือบตาย มึงจะเอาตังค์ไปสูบฝิ่นอีกใช่มั้ย นี่แน่ะ” พูดจบเสียงเผี๊ยะก็ดังออกมาพร้อมกับฝ่ามือที่ฟาดลงไปที่ใบหน้าชายร่างผอม ทำเอาราชันย์ต้องชุลมุนในการห้ามเจ้าทุกข์ไม่ให้ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาอยู่พักใหญ่

    “โอ๊ย ป้าจันทร์ พอก่อนฉันเจ็บ โอ๊ยๆ” เสียงคนร้ายคร่ำครวญไปตามเสียงเผี๊ยะที่ตบตีลงมา

    “พอก่อนครับป้า พอก่อน เดี๋ยวผมต้องพาคนร้ายไปโรงตำรวจก่อนครับ” ป้าจันทร์ถึงได้หยุดทำร้ายผู้ต้องหา หมวดราชันย์หันมาหาหญิงสาวในชุดอิสลามอย่างรู้สึกทึ่งในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของหล่อน

    “ขอบคุณ คุณผู้หญิงมากนะครับที่ เอ่อ ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่จับผู้ร้าย” เขาเอ่ยขึ้นพลางมองใบหน้างามของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเพ่งพิศเพราะรู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตา ดวงตาคมโตคู่หวานนั้นเหมือนเขาเคยเห็นที่ไหน เธอหลบสายตาคมปราบคู่นั้นของเขาด้วยความร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าอย่างประหลาด

    “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันทำตามที่เห็นสมควร เอ่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะคะคุณตำรวจ” เธอตอบกลับมาเสียงเนิบช้า พร้อมเผยรอยยิ้มบางๆ ให้กับชายหนุ่มที่อยู่ในชุดตำรวจ รอยยิ้มที่ทำให้เขาใจสั่นแปลกๆ ก่อนที่เธอจะหันไปมองเพื่อนทั้งสองคนที่มาด้วย

    “กลับบ้านกันเถอะ นะดา” ฟาตินเอ่ยชวน หญิงสาวเดินตามคนทั้งคู่กลับไป ทิ้งให้หมวดราชันย์มองตามร่างบางในชุดอิสลามสีเขียวเข้มปักลวดลายสวยงามและคลุมฮิญาบสีเดียวกันที่ดูสง่างามนั้นไปจนลับตา

    “นะดา...” เขาพึมพำเบาๆ นะดา... น้องนะดา ใช่คนเดียวกันรึเปล่านะ แล้วความคิดของเขาก็ต้องสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงของป้าจันทร์

    “เอามันให้ติดตะรางไปเลยเจ้าค่ะ คุณตำรวจ ไอ้นี่มือมันไวเหลือเกิน เผลอไม่ได้มันขโมยเงินไปเข้าโรงฝิ่นหมด ฝิ่นหลอดนึงตั้ง 8 บาท มันขโมยเงินอีฉันอยู่เรื่อยเจ้าค่ะ ไอ้หลานไม่รักดี” นางเอ่ยขึ้น

    “อ้าว เป็นญาติกันหรอกหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างอึ้งตะลึง

    “ใช่เจ้าค่ะ คุณตำรวจ อิฉันเลี้ยงมันมากับมือ เอามันไปนอนตะรางสักทีเถิด ฉันล่ะเหนื่อยใจเหลือเกิน” นางตอบรับด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย

    “เอ่อ งั้นไปโรงตำรวจพร้อมกันแล้วกันนะครับ ขึ้นรถเถอะครับป้า เดี๋ยวป้าไปตกลงกันที่โรงตำรวจแล้วกันนะครับ” ชายหนุ่มพาสองป้าหลานขึ้นรถ แล้วพาไปยังโรงตำรวจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการไปตามขั้นตอนทางกฎหมายก่อนจะขับรถกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับความคิดที่อยู่ในหัว
                 นะดา... เธอใช่คนเดียวกันกับน้องนะดารึเปล่านะ

    ชายหนุ่มมองหาร้านผ้าที่เขาเคยมาในวัยเด็ก เวลาที่ผ่านมานานทำให้หลายอย่างดูเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนมาก แต่ช่วงเวลาที่ใกล้ค่ำ ร้านรวงต่างๆ ทยอยกันปิดร้านกันไปหมด เขาขับมาจอดยังหน้าร้านขายผ้าที่จำได้ว่าพ่อเคยพามาตั้งแต่เด็ก แล้วเดินลงมาดู เห็นแต่ป้ายชื่อ ร้านนครภูษาติดอยู่เหนือประตู

    ใช่ เขามาถูกที่แล้ว แต่ผิดเวลาไปเสียสักหน่อย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ความมืดเริ่มจะโรยตัวลงมาปกคลุม มองไปโดยรอบก็เห็นตัวเองยืนอยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากผู้คนกลับเข้าบ้านเรือน บ้างก็ไปอยู่ดูหนังตะลุงกับมโนราห์ที่เล่นอยู่ตรงท้ายตลาดซึ่งเขาเพิ่งจะขับรถผ่านมาเมื่อสักครู่นี้ ห้างร้านรีบปิดก่อนพลบค่ำด้วยกลัวอันตรายจากโจรผู้ร้าย

    เห็นทีคงต้องมาใหม่วันหลัง...ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะเดินกลับไปยังรถที่จอดอยู่แล้วขับรถออกไป

    นะดายืนมองรถที่เคลื่อนออกไปจากหน้าร้านผ่านหน้าต่างห้องนอนของเธอที่อยู่ชั้นบน ใบหน้านั้นมีแววครุ่นคิด หล่อนไม่รู้ว่านายตำรวจคนนั้นรู้จักบ้านของหล่อนได้อย่างไร เขาคงอยากจะให้หล่อนไปเป็นพยานเสียกระมัง ถึงได้มาตามถึงที่นี่

    แต่ช่างเถิด...มืดค่ำแล้วเป็นหญิงจะออกไปข้างนอกดูจะขัดทำเนียม ถึงหล่อนจะรู้สึกคุ้นหน้านายตำรวจหนุ่มผู้นี้และมีบางอย่างที่ทำให้หล่อนเชื่อว่าเขาจะไม่เป็นอันตรายสำหรับหล่อน แต่การลงไปพบปะกับบุรุษสองต่อสองมันผิดหลักอิสลามที่ดี

    หญิงสาวละสายตาจากรถที่ขับไปจนลับตาแล้วเดินมานั่งที่เตียงนอน มือลูบไล้ลงบนผ้าปูเตียงเนื้อดีสีม่วงอ่อน ฟูกของเธอไม่ได้หนานิ่มมากนัก เพราะพ่อของเธอบอกว่าการนอนที่นอนหนานิ่มนั้นจะทำให้เจ้าเป็นคนขี้เกียจ เธออมยิ้มน้อยๆ เมื่อคิดถึงพ่ออาลีของเธอที่เคร่งครัดกับหลักศาสนาอิสลามแทบทุกวินาทีของการใช้ชีวิต

    นะดาเอื้อมมือไปดึงผ้าที่รัดม่านเสาเตียงให้คลุมลงมากลายเป็นมุ้งที่ใช้กันยุงและแมลงต่างๆ ขณะนอนหลับ หญิงสาวล้มตัวลงนอนแล้วหลับตาลง แต่ดวงตาคมปราบที่แฝงแววบางอย่างไว้ภายในยามที่จ้องมองหล่อนอย่างพิจารณาจากนายตำรวจผู้นั้นกลับลอยเข้ามาในความคิด

    หล่อนเคยเห็นท่าทางและดวงตาคู่นี้จากไหน มันช่างคุ้นตาจนอดเก็บเอามาสงสัยไม่ได้ แถมนายตำรวจหนุ่มผู้นี้ยังดูมีสง่าราศีกว่านายตำรวจทุกคนที่หล่อนเคยพบเจอ...หรือเขาจะเป็นนายตำรวจมาใหม่ที่หล่อนได้ยินลูกค้าที่มาซื้อผ้าหลายคนพูดถึง

    เมืองนี้ไม่ได้มีผู้คนมากมายนัก อะไรมาใหม่มักจะได้รับการพูดถึงปากต่อปากไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่ว นายตำรวจเชื้อสายขุนนางเก่าหลานพระยาพิชัยราเชน แม่ของหล่อนเคยเล่าว่ารู้จักและเป็นเพื่อนกับขุนราชิตเดชาบุตรชายของท่าน

    อ้อ!... หน้าตาคุ้นตาและท่าทางแบบนี้ คงเพราะหล่อนเคยเห็นจากพระยาพิชัยราเชนนั่นเอง ถึงตอนนี้ท่านจะชราลงมาก อายุร่วมแปดสิบแต่ยังเดินเหินคล่องแคล่วและมาซื้อข้าวของที่ตลาดเป็นประจำ หญิงสาวหาคำตอบให้กับตัวเองได้ถึงได้นอนหลับลงอย่างสนิท


    --------------------------------------------------------------------------------
    ห่างหายไปนาน จนยกเลิกแฟนพันธุ์แท้ไปแล้วก็หลายคน คงคิดว่าไรท์เตอร์ไม่อัพต่อแล้วแน่ๆ เลย อัพต่อค่ะ เรื่องนี้อัพต่อแน่นอน เพราะเขียนพล็อตเรื่องไว้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว เพียงแต่ไปสนุกอยู่กับ อินทร หนูแข พี่ล้ง และหนูหม่อนอยู่พักใหญ่ในเอื้องร้อยรัก และมัวยุ่งๆ อยู่กับภาระกิจร้อยแปดประการเลยต้องหยุดเขียนไปพักนึง ทั้งๆ ที่ใจอยากจะเขียนต่อแทบจะขาด วันนี้อัพให้แล้วนะคะ ส่วนเรื่องเอื้องร้อยรักถ้าเขียนทันไรท์เตอร์จะลงให้อ่านกันต่อวันนี้นะคะ ตอนนี้ขอพักแป้บ ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามอ่านนะคะ ขอโทษที่ให้รอกันนานเป็นเดือนนะคะ หวังว่าจะเป็นกำลังใจกันต่อไปค่ะ...24/1/2014

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×