คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : รายงานตัว
ตอนที่ 4 รายงานตัว
ร.ต.ท.ราชันย์ จอดรถที่หน้าโรงตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช เปิดประตูรถแล้วก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะปิดประตูรถลงแล้วเดินไปยังทางขึ้นโรงตำรวจภูธรนครศรีธรรมราชอย่างสง่าผ่าเผยเพื่อมารายงานตัวในการทำงานวันแรก แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก ก็มีชายผู้หนึ่งรูปร่างผอมบางวิ่งสวนลงมาอย่างรีบเร่ง จากนั้นตำรวจที่อยู่ข้างบนสามสี่คนก็วิ่งตามลงมาเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามตำรวจนายหนึ่งที่วิ่งตามลงมา
“ผู้ร้ายหนีครับ” ร้อยตำรวจโทราชันย์รีบวิ่งตามทันทีด้วยสัญชาตญาณตำรวจ การวิ่งหนีที่ชุลมุนวุ่นวาย ตำรวจสามสี่นายวิ่งกรูตามไปติดๆ แต่คนร้ายวิ่งเร็วกว่าที่คิดมาก นายตำรวจหนุ่มที่กำลังจะเข้าประจำการวันนี้ได้โอกาสปฏิบัติหน้าที่ก่อนที่จะได้เข้ารายงานตัว เขาวิ่งตามอย่างกระชั้นชิดแซงหน้านายตำรวจสามสี่คนที่วิ่งมาก่อนเข้าไปยังป่ารกข้างทางที่คนร้ายวิ่งหลบหนีไป แล้วพุ่งเข้าตะครุบตัวคนร้ายไว้ได้
“หยุด ไม่ต้องดิ้น” รวบมือมันไพล่หลังแล้วล็อกกุญแจมือ ก่อนจะหันไปหาตำรวจสามสี่นายที่วิ่งตามมา
“ข้อหาอะไร” เขาหันไปถามดาบตำรวจนายหนึ่ง
“ขโมยเงินไปสูบฝิ่นครับหมวด” นายดาบคนนั้นตอบพร้อมมองอินทนูบนบ่า หมวดราชันย์พยักหน้าก่อนจะทั้งลากทั้งจูงผู้ร้ายที่ตัวผอมกะหร่องนั่นกลับไปยังโรงตำรวจภูธร
“จับได้แค่ข้อหาขโมยเงิน ส่วนสูบฝิ่น...ยังไม่รู้เมื่อไหร่จะมีกฎหมายออกมาบังคับสักที” นายตำรวจหนุ่มถอนใจยาว เมื่อคิดถึงจำนวนคนสูบฝิ่นที่เพิ่มขึ้นและเป็นอันตรายต่อประชาชนส่วนรวมที่มากมายเหลือเกิน แต่กฏหมายก็ยังไม่ได้ออกมาบังคับห้ามไม่ให้คนสูบฝิ่น โรงฝิ่นจึงผุดขึ้นมามากมาย เนื่องจากการอนุญาตให้คนจีนค้าขายฝิ่นได้โดยถูกกฎหมายโดยมีการเรียกเก็บภาษีฝิ่นซึ่งภาษีฝิ่นนั้นทำรายได้ให้ประเทศจำนวนมากมายทีเดียว
“กระผมไม่เคยเห็นหน้าหมวด มาจากที่ไหนหรือครับ” นายดาบตำรวจร่างอวบพุงพลุ้ยอายุอานามน่าจะไม่ต่ำกว่าสี่สิบถามขึ้น
“ผมกำลังจะมาประจำการที่นี่วันนี้ เรียกผมว่าหมวดราชันย์ก็ได้ครับดาบ” เขาบอกกับนายดาบตำรวจซึ่งถึงยศจะต่ำกว่าแต่อายุมากกว่าหลายขุม พร้อมช่วยกันลากตัวคนร้ายที่เพิ่งจับได้กลับไปยังโรงตำรวจ
“ครับหมวดราชันย์ กระผมดาบแช่มครับ”
“ครับ ดาบแช่ม” นายตำรวจหนุ่มทวนคำไปพลางช่วยดาบแช่มลากจูงผู้ร้ายไปพลาง
ทันทีที่มาถึงโรงตำรวจหมวดราชันย์ก็เห็นรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาจอดเทียบกับรถของตัวเองที่จอดอยู่ มีนายตำรวจสองคนลงมาจากรถคันนั้น
“อ้าว เกิดอะไรขึ้นดาบแช่ม” พระยาพินิจเสนาเดินลงจากรถแล้วเข้ามาถาม หมวดราชันย์และดาบแช่มทำความเคารพโดยวันทยหัตถ์พร้อมกัน
“ผู้ร้ายหนีขอรับ หมวดราชันย์ช่วยวิ่งไปตามจับมาได้ขอรับท่าน” พระยาพินิจเสนายิ้มนิดๆ พร้อมปรายสายตาคมกริบของท่านมองผู้หมวดคนใหม่อย่างสำรวจตรวจตรา
“ดาบแช่ม เอาไปจัดการตามขั้นตอน” ท่านสั่งดาบแช่มแล้วหันมาหาหมวดราชันย์อีกครั้ง
“ยังไม่ทันได้รายงานตัวก็ทำผลงานเลยนะหมวดราชันย์” ท่านเย้าพร้อมรอยอมยิ้ม ร้อยตำรวจโทราชันย์อมยิ้มให้กับพระยาพินิจเสนาเขาจำได้ดีเพราะเคยเห็นท่านตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก พร้อมกับทำความเคารพ แล้วหันไปมองยังนายตำรวจหนุ่มคุ้นตาที่ยืนอยู่ด้านหลังเยื้องมาทางขวาของท่าน
“อ้อ คงรู้จักกันแล้วสินะ” ท่านเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสายตาที่มองไปของหมวดราชันย์
“ขอรับท่าน” หมวดราชันย์ตอบรับพร้อมหันไปยิ้มให้กับร้อยตำรวจตรีเดชาซึ่งเป็นรุ่นน้อง ร้อยตำรวจตรีเดชาวันทยหัตถ์ให้พร้อมยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ขึ้นไปข้างบนเถอะหมวด จะได้กล่าวคำรายงานตัวตามระเบียบ” หมวดราชันย์เดินตามท่านขึ้นไปบนโรงตำรวจภูธร แล้วเดินตามไปยังห้องทำงานของท่านเพื่อกล่าวคำรายงานตัวและรับคำสั่งเกี่ยวกับหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยตามขั้นตอน ท่านถึงได้พาไปแนะนำตัวกับนายตำรวจคนอื่นๆ ซึ่งต้องทำงานร่วมกัน
ภาพโรงตำรวจภูธร นครศรีธรรมราช พ.ศ.2432 (ปัจจุบันคือสถานีตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช) ภาพนี้ถ่ายไว้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่มา : http://www.gotonakhon.com/?p=11160
เสียงเครื่องดนตรีของมโนราห์ ซึ่ง ประกอบด้วย ทับ กลองทัด ปี่ โหม่ง ฉิ่งและกรับ ดังแว่วมาแต่ไกล หลวงบริบาลเดชาเดินไปยังเสียงที่แว่วมานั้น วัยกว่าแปดสิบปีของท่านทำให้การเดินเหินไม่ได้คล่องแคล่วเหมือนที่ผ่านมา ไม้เท้าที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสลักหัวไม้เท้าด้วยลวดลายสวยงามสีน้ำตาลเข้มมันปลาบนั้นทำหน้าที่ในการช่วยพยุงให้ท่านเดินเหินได้สะดวกยิ่งขึ้น
“เอ้า อ่อนๆ หน่อย นิ้วมือดัดให้มันอ่อนเข้าไว้ อ้อ แข้งขาก็ให้มันอ่อนอย่าให้มันแข็งทื่อนักสิแม่ปรุง ดูอย่างแม่จันทร์แรมเขาสิ มือไม้เขาอ่อนช้อย เจ้านี่ไม่ได้เชื้อตาเชื้อแม่มาบ้างหรืออย่างไรกันแม่ปรุง ตาเคี่ยวเข็ญมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยยังรำได้ไม่งามเท่าแม่จันทร์แรมที่ไม่มีเชื้อมีสายมโนราห์ เอ้า รำให้ตาดูใหม่อีกที” เสียงของขุนพิเภกนรากรซึ่งเป็นครูสอนรำมโนราห์ดังแว่วมา ท่านเป็นผู้สืบทอดการรำมโนราห์มาแต่ดั้งเดิมจนทางการได้แต่งตั้งตำแหน่งขุนให้กับท่าน เป็นการยกย่องที่ท่านได้สืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามของบ้านเมือง
“โธ่ คุณตา ทำไมต้องเอาปรุงไปเปรียบเทียบกับลูกบ่าวด้วยล่ะเจ้าคะ” ปรุงจิตซึ่งเป็นบุตรของหมื่นจอมทัพกับนางปราณีซึ่งเป็นบุตรสาวของขุนพิเภกนรากรเอ่ยขึ้น พร้อมทำสีหน้ากระเง้ากระงอดบึ้งตึงใส่ผู้เป็นตา
“ลูกบ่าวก็พ่อเดียวกับเจ้านั่นแหละแม่ปรุง ใครสั่งใครสอนให้เจ้าเป็นคนดูถูกคนเยี่ยงนี้” ขุนพิเภกนรากรกล่าวเตือน แต่ดูเหมือนจะยิ่งกลายเป็นการสร้างความขัดเคืองใจให้กับหญิงสาวใบหน้างามงดที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่น้อย ในขณะที่หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งแต่ใบหน้าหวานคมคายดวงตาหวานซึ้งซึ่งยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังได้แต่ก้มหน้างุดด้วยรู้ดีว่ากำลังกลายเป็นที่ไม่พึงพอใจของผู้เป็นน้องสาวซึ่งอายุห่างกันเพียงปีเดียว
“อย่างนั้นวันนี้ปรุงไม่เรียนแล้วนะคะคุณตา ปรุงจะไปเอาผ้าที่ร้านขายผ้าในตลาด” พูดจบหล่อนก็ชายตามายังหญิงสาวที่ยืนเยื้องจากหล่อนไปเล็กน้อยก่อนจะกระทืบเท้าปึงปังเดินออกไป
ขุนพิเภกนรากรได้แต่ยืนส่ายหน้าไปมา พร้อมมองไปยังจันทร์แรมซึ่งเป็นลูกสาวของนางทาสจวนกับหมื่นจอมทัพ แม้จะเลิกทาสไปแล้วแต่แม่จวนก็ไม่ได้ออกไปจากเรือนด้วยไม่มีที่ไปจึงได้ทำงานที่เรือนหลวงบริบาลเดชาต่ออีกหลายปี จนกระทั่งนางตั้งครรภ์
หลวงบริบาลเดชาซึ่งสงสัยในตัวบุตรชายอยู่ก่อนแล้วได้คาดคั้นถามความ พอรู้ว่าหล่อนตั้งท้องกับบุตรชายของตนจึงให้นางอยู่ที่เรือนต่อในฐานะเมียของหมื่นจอมทัพ แต่หลังจากที่หมื่นจอมทัพไปดูมโนราห์และได้พบกับนางรำที่ชื่อปราณีจึงได้ตกหลุมรัก และให้แม่เจียมซึ่งเป็นมารดาไปสู่ขอให้มาเมียเอก ซึ่งแม่เจียมก็เห็นดีเห็นงามด้วย เนื่องจากแม่ปราณีเป็นบุตรสาวของขุนพิเภกนรากร ซึ่งดูจะเป็นหน้าเป็นตากว่าการได้เมียเป็นอดีตนางทาสในเรือน
หลวงบริบาลเดชาที่ยืนมองภาพนั้นอยู่นานค่อยๆ เดินเข้ามาหาขุนพิเภกนรากร
“ว่าอย่างไรเล่า ท่านขุน หลานสาวทำพิษเอาอีกหรืออย่างไร”
“อ้าว คุณหลวง มาอย่างไรไม่ให้สุ้มให้เสียง จะเอาอะไรกับแม่ปรุงเขา ถูกตามใจจนเสียคน กระผมก็ลืมตัวอดเอาเขาไปเปรียบกับแม่จันทร์แรมไม่ได้ เด็กคนนี้เก่งเหลือเกิน สอนง่ายกว่าใครๆ ที่เคยสอน” ท่านทักทายกลับแล้วอดบ่นถึงหลานสาวไม่ได้ หลวงบริบาลเดชาหันไปมองยังหลานสาวคนโปรดที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่กับที่
“ว่าอย่างไรล่า แม่จันทร์แรม วันนี้คงไม่ต้องเรียนต่อแล้วสินะ ไปเถิด ไปช่วยแม่เจ้าทำกับข้าวกับปลานี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว กับข้าวกับปลาเสร็จช้า ประเดี๋ยวย่ากับพ่อของเจ้าจะได้บ่นให้อีกดอก ปู่จะนั่งคุยกับท่านขุนสักประเดี๋ยวนึง” ชายชรากล่าวเนิบช้า
“เจ้าค่ะ คุณปู่ ครู” จันทร์แรมยกมือไหว้ทั้งสองท่านแล้วก้มเดินผ่านหน้าทั้งสองท่านไปอย่างนอบน้อม ท่ามกลางสายตาชายชราทั้งสองคู่ที่มองตามหลัง
จันทร์แรมเข้าไปช่วยแม่จวนในเรือนครัว มารดาของหล่อนเข้าสู่วัยกลางคนเข้าไปแล้วแต่ยังทำงานหนัก มือไม้ของนางหยาบกร้านด้วยเคยทำแต่งานทาสมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวจนอายุห้าสิบกว่าเข้าไปแล้วนางก็ยังต้องทำงานอย่างตรากตรำ จันทร์แรมมองมือคู่นั้นที่กำลังกุมลูกมะพร้าวขูดกับกระต่ายขูดมะพร้าวของผู้เป็นแม่แล้วอดสะท้อนใจไม่ได้
“แม่เอามาเถอะ ฉันขูดให้เอง” จันทร์แรมเข้าไปคว้ามะพร้าวซีกนั้นจากมือผู้เป็นแม่ นางจวนวางมือจากมะพร้าวแล้วลุกขึ้นจากกระต่ายขูดมะพร้าวปล่อยให้ผู้เป็นบุตรสาวทำหน้าที่ต่อไป ส่วนนางก็มาหยิบปลากระเบนที่ย่างไว้บนเตาลงมาวางไว้บนเขียงแล้วเอาสากทุบเบาๆ ให้เนื้อปลาแตกออกแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ
“แม่จะแกงปลากระเบนย่างกับใบยี่หร่าเหรอจ๊ะ” จันทร์แรมเอ่ยขึ้น
“จ้า พ่อเขาชอบกิน วันนี้แม่ไปตลาดเห็นแล้วอดซื้อมาไม่ได้” แม้หมื่นจอมทัพจะไม่ได้เอ็นดูนางนัก แต่เขาก็เป็นสามีจึงอดไม่ได้ที่จะอยากเอาอกเอาใจ จันทร์แรมส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อคิดถึงผู้เป็นแม่ที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อสักนิด แต่หล่อนก็ยังคงเอาอกเอาใจ โดนดุด่าว่ากล่าวรุนแรงเพียงใดนางก็ไม่เคยปริปากบ่น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาตอนที่ 4 มาลงให้แล้วค่ะ ส่วนตอนที่ 5 ขอเวลาอีกนิดนะคะ นิยายเรื่องนี้เขียนค่อนข้างยากค่ะ ต้องหาข้อมูลเยอะจะช้าหน่อยนะคะ อาจจะไม่ได้อัพทุกวันเหมือนภาคแรกแต่ก็จะพยายามอัพให้บ่อยค่ะ คิดถึงเพื่อนๆ ทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ ตั้งแต่หนูแสงจบไป ไรท์เตอร์รู้สึกเหมือนตัวเองหมดไฟไปพักนึง แต่ตอนนี้ไฟเริ่มกลับมาแล้วค่ะ จะลุยต่อแล้ว ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับการอ่านนะคะ...19 พ.ย. 2556
ปล.ใครที่อ่านตอนที่ 1-3 ไปแล้วไรท์เตอร์อยากขอให้กลับไปทวนใหม่นิดนึงนะคะ เพราะไรท์เตอร์ได้แก้ไขเนื้อหาบางจุดไปเล็กน้อย แต่มันก็เป็นเนื้อหาที่สำคัญทีเดียวค่ะ เช่น รถยนต์ของพระเอก เดือนที่พระเอกกลับมายังเมืองนครศรีธรรมราชอะไรแบบนี้ค่ะ
ความคิดเห็น