คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ดิฉันอินทิราค่ะ
ตอนที่ 3 ดิฉันอินทิราค่ะ
ที่เรือนพระยาพินิจเสนาพุดกรองกำลังเข้ามาตามบุตรสาวที่กำลังแต่งตัวไปสอนหนังสือที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ อินทิราเรียนจบโรงเรียนฝึกหัดครูมาจากพระนคร และเพิ่งมาเป็นครูที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศมาได้เพียงปีเดียว
“แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก เจ้าคุณพ่อมารอที่โต๊ะอาหารแล้ว” หล่อนเคาะประตูแล้วตะโกนถามไป
“เสร็จแล้วค่ะ คุณแม่” เสียงหวานตะโกนตอบมาพร้อมกับเปิดประตู
หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีใบหน้าสวยงามมีสง่าราศี ผิวพรรณขาวผุดผ่อง ก้าวเท้าออกมาจากห้องนอน ในชุดเสื้อสีชมพูอ่อนคลุมถึงสะโพกไม่มีแขนแต่มีระบายลูกไม้คลุมที่ช่วงไหล่นุ่งซิ่นมีเชิงสีชมพูยาวแค่เข่าตามสมัยนิยมผมตัดสั้นและดัดหยิกเล็กน้อยคาดผมด้วยที่คาดผมทำด้วยมุกดูงามตา ในมือถือตำราสำหรับสอนนักเรียน
“รีบไปเถิด อย่าให้เจ้าคุณพ่อท่านรอนาน” ผู้เป็นแม่เอ่ยชวน
“ค่ะ คุณแม่”
ชายสูงวัยรูปร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารเงยหน้ามามองบุตรสาวที่เดินมายังโต๊ะรับประทานอาหาร ที่โต๊ะนั้นยังมีหญิงวัยกลางคนหน้าตาผุดผ่องอีกหนึ่งคน กับนายตำรวจยศร้อยตำรวจตรีอีกหนึ่งคนที่กำลังนั่งรอรับประทานอาหาร
“ขอโทษค่ะ เจ้าคุณพ่อลูกลงมาช้า” หญิงสาวรีบเอ่ยปากขอโทษผู้เป็นบิดา
“นั่งเถิด แม่อิน วันนี้จะไปพร้อมพ่อหรือไม่เล่า”
“ไปเจ้าค่ะ แต่ลูกจะไปลงที่โรงเรียนช่างถมนะเจ้าคะ ลูกจะไปแวะเอาตำราช่างถมที่ขอครูใหญ่ไว้วันก่อน” หญิงสาวตอบผู้เป็นบิดาแล้วนั่งลงอย่างสำรวม
“แม่อิ่ม ตักข้าวเถิด” พุดกรองหันไปบอกกับแม่อิ่มบ่าวรับใช้ซึ่งอยู่ในชุดโจงกระเบนเสื้อแขนกระบอก
“แล้วเจ้าล่ะเดชา จะไปพร้อมพ่อหรือไม่” ถามพลางเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้แม่อิ่มตักข้าวใส่จาน
“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ
“วันนี้จะมีผู้หมวดคนใหม่มาประจำการ พ่อเห็นทีต้องไปต้อนรับสักหน่อย ลูกคงจะเคยรู้จักชื่ออยู่บ้าง เห็นข่าวจากในกรมบอกว่าฝีมือดีทีเดียว ทางพระนครเขาส่งมาช่วยปราบปรามพวกโจรผู้ร้ายในเมืองเราตอนนี้มันชุกชุมเหลือเกิน” นายตำรวจชั้นพลตำรวจตรีซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพินิจเสนาเอ่ยขึ้น
“ใครหรือขอรับ” ผู้เป็นบุตรชายเอ่ยถาม
“หมวดราชันย์หลานชายพระยาพิชัยราเชน เคยเรียนที่โรงเรียนสุขุมบาลวิทยาเช่นเดียวกันกับเจ้า แต่เขาเป็นรุ่นพี่เจ้าอยู่สามสี่ปีทีเดียว”
“ออ ลูกจำได้ขอรับ แต่ตอนนั้นยังเด็กนัก ลูกเคยพบอีกครั้งตอนงานศพขุนราชิตเดชา พูดคุยกันถูกคอดี” ผู้เป็นบุตรพูดพลางเอี้ยวตัวมาทางแม่อิ่มที่กำลังจะตักข้าวใส่จาน
“ขออีกทัพพี แม่อิ่ม วันนี้มีแกงเผ็ดไก่เห็นทีจะเจริญอาหาร” เดชาบอกกับแม่อิ่ม แม่อิ่มยิ้มแก้มปริก่อนจะตักข้าวอีกทัพพีใหญ่ใส่จานให้
“กินเยอะระวังหนักท้องจนไล่จับผู้ร้ายไม่ทันนะคะพี่เดชา” อินทิราเย้าพี่ชาย เดชาเป็นลูกชายของแม่สร้อยซึ่งเป็นเมียรองของพระยาพินิจเสนาผู้เป็นบิดาของเธอ
“โธ่ น้องอิน กินน้อยพี่ก็ไม่มีแรงวิ่งสิคะ” เดชาโอดครวญ ผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาหัวเราะคิก
“อร่อยจังเลยครับแม่ใหญ่” หันมาทางแม่พุดกรองทันทีที่อาหารคำแรกถูกกลืนลงไปในท้อง
“ฝีมือแม่สร้อยเขาจ้า ของแม่ใหญ่ฉู่ฉี่ปลาทู ลองชิมสิจ๊ะ” พุดกรองบอกยิ้มๆ แล้วหันไปมองแม่สร้อยซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้าม
“มิน่าล่ะ ผมว่ารสมือคุ้นๆ ฝีมือคุณแม่นี่เอง” พูดพลางยิ้มแหยๆ แล้วหันมามองผู้เป็นแม่
“กินมาตั้งยี่สิบกว่าปี ยังจำรสมือแม่ไม่ได้อีกหรือพ่อเดชา” แม่สร้อยทำท่าน้อยใจบุตรชาย
“โธ่ แม่สร้อยจ๊ะ พี่เดชาเขาลิ้นจระเข้ค่ะ กินของใครก็อร่อยไปหมด ต้องหนูอินสิคะแม่สร้อย แค่เห็นก็จำได้แล้วว่าจานไหนฝีมือใคร” อินทิราหันมาออเซาะเอาใจแม่สร้อยนางถึงมีรอยยิ้มขึ้นมาได้
“รีบกินเถอะ เวลากินห้ามคุย สอนไม่รู้จักจำ มัวแต่คุยประเดี๋ยวก็ไปทำงานสายกันพอดี” ผู้เป็นพ่อปราม ทั้งสี่คนหันมองหน้ากันแล้วอมยิ้มก่อนจะนั่งกินกันต่อเงียบๆ
แม่พุดกรองกับแม่สร้อยยืนส่งลูกสาวและลูกชายอยู่ที่หน้าเรือนใหญ่ ทั้งสองคนขึ้นรถยนต์ของผู้เป็นบิดาไปทำงาน เดชาทำหน้าที่ขับรถให้กับบิดาซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าคู่กันกับเขา ส่วนอินทิรานั่งอยู่ด้านหลัง รถยนต์ที่มีอยู่เพียงไม่กี่คันในเมืองนี้ค่อยๆ ขับออกไปจากบ้านหลังใหญ่
“เข้าบ้านกันเถอะแม่สร้อย ฉันว่าจะให้แม่สร้อยเขียนลายดอกไม้ให้ฉันสักหน่อย อยากจะปักผ้าปูโต๊ะ เห็นแม่สร้อยวาดดอกไม้สวยนัก แม่ว่างหรือไม่เล่า” พุดกรองชวนแม่สร้อยซึ่งเป็นเมียรองเข้าบ้าน
“ได้สิจ๊ะคุณพี่ อิฉันก็ไม่มีอะไรจะทำหรอกค่ะ” แม่สร้อยรับคำ ก่อนจะเดินตามหลังพุดกรองเข้าบ้าน ทั้งสองคนเป็นเมียน้อยเมียหลวงที่ต่างจากเมียน้อยเมียหลวงทั่วไปที่รักใคร่สามัคคีกันดี ที่เป็นเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะตัวพุดกรองซึ่งเป็นเมียเอกเองที่ไม่ได้มีจิตเสน่หาให้กับผู้เป็นสามี นางเห็นว่าแม่สร้อยอ่อนน้อมถ่อมตนกว่าเมียเล็กเมียน้อยคนอื่นๆ ของสามีจึงให้ความสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษ ส่วนกับเมียคนอื่นๆ ของสามีนางก็ไม่ได้เข้าไปข้องแวะเพราะนางเหล่านั้นล้วนแต่นำมาซึ่งความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับหล่อนเสมอมาตั้งแต่แต่งงานอยู่กินกับสามี พอแม่สร้อยคลอดลูกชายนางจึงให้สามีรับแม่สร้อยมาอยู่ด้วยกันบนเรือน การที่มีแม่สร้อยเป็นเมียรองทำให้หล่อนไม่ต้องลำบากใจในการปรนนิบัติสามีมากนักถือเป็นเรื่องน่ายินดีของหล่อนด้วยซ้ำ
หลังจากที่รถของราชันย์ขับออกไปเพียงไม่นาน รถอีกคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่เดียวกัน หญิงสาวลงจากรถแล้วโน้มตัวลงไปบอกผู้ที่อยู่ในรถ
“รอลูกสักครู่นะคะเจ้าคุณพ่อ ลูกจะรีบไปรีบมาเจ้าค่ะ” หญิงสาวปิดประตูรถแล้วรีบเข้าไปในโรงเรียนทันที ความสวยงามของหล่อนทำให้มีสายตาของนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนจับจ้องเป็นตาเดียว
“สวยจังเลยครับครู ใครน่ะกระผมไม่เคยเห็น” นักเรียนชายผู้หนึ่งถามครูปราชญ์ที่กำลังยืนคุยกันอยู่เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน
ชายหนุ่มหันไปมองถึงกับตาค้างอยู่เป็นนานราวกับรอบตัวของนางมีแสงสว่างเจิดจ้าเรืองรองอยู่รอบตัว ความงามที่เขาเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในงานชักพระเมื่อเมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา วันนั้นเธอมาพร้อมกับพระยาพินิจเสนา ความสูงศักดิ์ของนางทำให้เขาทำได้แค่แอบมองอย่างไร้ความหวัง ความงามนั้นยังตรึงตาตรึงใจเขาจนถึงวันนี้ เขามองตามหล่อนที่ค่อยๆ ก้าวผ่านหน้าเขาไป
ทันใดลมพัดแรงจนมีฝุ่นเข้าตา หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเพื่อเช็ดฝุ่นที่เข้าตา แต่ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นดันถูกลมที่กำลังพัดแรงพัดหลุดไปจากมือของหล่อน ปราชญ์คว้าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นด้วยสัญชาติญาณไว้ได้พอดี
หญิงสาวหันมามองผ้าเช็ดหน้าของหล่อนที่ปลิวหลุดจากมือตัวเองไปอยู่ในมือของชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าหน้าตาคมสันที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ครู่หนึ่งถึงได้เดินเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาคืนให้
“เอ้อ... ผ้าเช็ดหน้าคุณใช่มั้ยครับ” เขายื่นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นให้กับหล่อน
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพึมพำขอบคุณแล้วรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาแล้วซับที่ดวงตาที่มีฝุ่นเข้าตาจนน้ำตาไหล
“จะมาหาใครหรือครับ” เขาถาม
“มาหาครูใหญ่ค่ะ ขอตำราช่างถมกับท่านเอาไว้ ดิฉันจะเอาไปสอนเด็กที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศค่ะ” ตอบไปพลางมือก็เอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาไป
“อ้อ ครับ กระผมก็กำลังจะไปที่นั่นพอดี คุณเป็นครูหรือครับ”
“ค่ะ ดิฉันเป็นครูค่ะ สอนวิชาการเรือน วิชาช่างถมดิฉันจะเอาไปสอนเสริมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นเชิญขึ้นไปด้วยกันเถิดครับ”
“ตาของคุณเจ็บมากมั้ยครับ” ถามต่อเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตาอยู่
“อ้อ ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” หล่อนพับเก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วหันมาตอบ
ปราชญ์พาหญิงสาวมายังห้องของครูใหญ่ซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับที่เขาก็นั่งทำงานที่นั่นด้วย ชายหนุ่มวางตำราของตนไว้บนโต๊ะของตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ในห้อง ซึ่งมีเพียงแค่เขากับหล่อนเพียงสองคนเท่านั้น
“ครูใหญ่ยังมาไม่ถึง ครูรีบกลับหรือไม่” ชายหนุ่มถามหญิงสาวที่ยืนเก้ๆ กังๆ มองนั่นมองนี่อยู่รอบห้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อ้อ ดิฉันให้คุณพ่อรออยู่ในรถ เห็นทีคงต้องมาเอาใหม่วันหลัง”
“ถ้าอย่างนั้น ครูเอาของกระผมไปแทนก่อนก็ได้ครับ ประเดี๋ยวกระผมจะเอาเล่มที่ครูใหญ่ท่านจะเอามาให้ครู ใช้ไปก่อน” ชายหนุ่มยื่นตำราช่างถมให้กับหล่อน
“ขอบคุณค่ะ ครู... ปราชญ์” หญิงสาวรับตำราเล่มนั้นแล้วกล่าวขอบคุณพร้อมกับหันไปมองป้ายชื่อที่ติดไว้บนโต๊ะ
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มอมยิ้มที่คุยมาเสียตั้งนานแต่ไม่ได้แนะนำชื่อให้รู้จัก
“กระผมแย่เสียจริง คุยกันตั้งนานยังไม่ได้แนะนำตัว” ครูปราชญ์ยิ้มให้อย่างเก้อเขิน
“ดิฉัน อินทิราค่ะ บอกครูใหญ่ด้วยนะคะ ว่าดิฉันอินทิราแวะเข้ามาพบท่าน” หล่อนยิ้มให้เช่นเดียวกัน ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามหลังตาค้างอยู่อย่างนั้นเป็นนาน ก่อนจะสะบัดหน้าสองสามทีหวังให้ภาพความงามและรอยยิ้มกับแววตาที่เป็นประกายระยิบระยับของหล่อนจางหายไป แต่แทนที่มันจะหายไป มันกลับตราตรึงและสลักลึกลงในความทรงจำ ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างไม่เข้าใจตัวเองก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วตั้งสติอยู่พักหนึ่งถึงจะเริ่มต้นกับงานตรงหน้าได้
---------------------------------------------------------------------------------------------
เอามาแปะให้อ่านกันอีกตอน ขอให้เพื่อนๆ ที่แวะมาอ่าน สนุกกับการอ่านนะคะ ชอบหรือไม่ชอบยังไงก็บอกกันได้ค่ะ ต่อไปจะเริ่มเขียนเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้วค่ะ... 28/07/2013
ความคิดเห็น