คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เห็นทีจะต้องรอนานนัก
ชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ใต้ต้นก้ามปูที่แผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โต บรรยากาศโดยรอบแวดล้อมไปด้วยทุ่งนากว้างไกลซึ่งกำลังตั้งท้องเขียวขจีอยู่เต็มทุ่ง มีหุ่นไล่กาหลายตัวปักอยู่ห่างๆ แสงสุรีย์ในยามเช้าสาดส่องรับอรุณผ่านม่านหมอกสีจางๆ ที่อ้อยอิ่งอยู่เหนือยอดเขา ชายหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ในชุดนายร้อยตำรวจโท ส่วนชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งอยู่ในชุดข้าราชการครู เขาทั้งสองคนมีรูปร่างสูงสง่า กำลังโค้งคำนับอย่างต่ำสุดให้กับอะไรบางอย่างใต้ต้นก้ามปูนั้น ก่อนที่ชายหนุ่มที่สวมชุดนายร้อยตำรวจโทจะยกหมวกทรงหม้อตาลที่ถืออยู่ในมือสวมบนศีรษะของตัวเอง
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ลูกกลับมารับราชการที่โรงตำรวจภูธรที่เมืองนครฯ ของเราแล้วนะขอรับ กระผมจากที่นี่ไปนานเหลือเกิน กลับมาทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังอยู่เหมือนเดิม พี่ปราชญ์เขาดูแลทุกอย่างไว้ให้กับลูกเป็นอย่างดี จนลูกสุดจะหาคำใดมาบอกให้เขารับรู้ถึงความซาบซึ้งใจของลูกได้ ลูกคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่และเรือนของเราเหลือเกิน คุณพ่อคุณแม่คงได้นั่งคุยกันอยู่ที่นี่ทุกค่ำคืนใช่ไหมขอรับ” ชายหนุ่มร่างกำยำสูงสง่าผิวพรรณขาวผุดผ่องใบหน้าหล่อเหลาคมสันพูดเสียงแผ่วเบากับต้นไม้ตรงหน้าราวกับมีใครสักคนที่รอฟังอยู่ตรงนั้น เขากำลังระลึกถึงเมื่อสิบปีก่อนที่เขาและปราชญ์เอากระดูกของท่านทั้งสองมาฝังไว้ที่นี่
“คุณท่าน คุณแม่ลำเจียก กระผมกับคุณราชันย์มาหาแล้วนะขอรับ คุณราชันย์เรียนจบและทำงานอยู่ที่พระนครนานหลายปีเหลือเกิน วันนี้เขากลับมาอยู่กับท่านแล้วขอรับ” ชายหนุ่มผิวสองสี หน้าตาคมสันรูปร่างสูงสง่าในชุดข้าราชการครูเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปมองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย ชายที่อายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่วัน ชายที่ดื่มน้ำนมร่วมเต้าเดียวกับเขา วันนี้เขาเติบใหญ่อายุร่วมสามสิบสองเช่นเดียวกัน มีหน้าที่ราชการสูงในระดับหนึ่ง ส่วนเขาก็เป็นครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
“ไปกันเถิดขอครับ คุณราชันย์ ประเดี๋ยวจะไปทำงานสาย” ปราชญ์หันมาชวน
“ครับ พี่ปราชญ์ ผมจะไปส่งที่โรงเรียนนะครับ อยากลองเจ้ารถออสตินของผมสักหน่อย ว่าเอามาขับที่เมืองเรามันจะวิ่งเร็วกว่าขี่ม้าหรือไม่” ราชันย์หันมาพูดคุยกับปราชญ์ซึ่งเขาเคารพรักเช่นพี่ชายของตน
“คุณราชันย์เอารถยนต์มาขับที่นี่ เห็นทีคนจะเห็นเป็นของแปลก เด็กเล็กคงได้วิ่งตามดูกันเป็นพรวน” ปราชญ์พูดพลางหัวเราะในลำคออย่างเห็นขัน
“ผมอยากได้รถ CADILLAC COUPE' ปี1928 อีกสักคันเอาไว้ให้พี่ปราชญ์ขับไปสอนหนังสือเด็กที่โรงเรียน สาวๆ ได้มองเหลียวหลังกันบ้างล่ะคราวนี้ วันก่อนดูประกาศในหนังสือรถยนต์ เดอ ออโต้ งามน่าขับเหลือเกิน” ราชันย์เย้าพี่ชาย
“คุณราชันย์อยากได้เองก็บอกเถิด อย่าอ้างกระผมเลย เห็นบ่นอยู่นี่ขอรับว่ารถเก่าเต็มที อยากได้คันใหม่ หากสาวๆ จะเหลียวมอง คงเหลียวมองคุณราชันย์นั่นแหละขอรับ สง่าราศีของกระผมหาสู้คุณราชันย์ได้ไม่”
“เลิกพูดจานอบน้อมแบบนี้กับผมสักทีเถอะพี่ปราชญ์ เราเป็นพี่น้องกันใช่คนอื่นเสียที่ไหน” ราชันย์เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ปราชญ์พูดกับตนอย่างนอบน้อม ถึงแม้นขุนราชิตเดชาจะรับปราชญ์เป็นบุตรบุญธรรม แต่ปราชญ์ก็ไม่เคยตีเสมอราชันย์ เขาวางตัวเป็นพี่ชายผู้ต่ำศักดิ์อยู่เสมอ แม้ว่าราชันย์จะขอร้องยังไงให้ปราชญ์พูดจากับเขาเหมือนพี่น้องทั่วไป แต่ปราชญ์ไม่เคยยอมสักที
“กระผมชินเสียแล้วขอรับ พ่อกับแม่สอนให้พูดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก จะให้เปลี่ยนไปพูดผมพูดครับอย่างที่พูดกับคนอื่นไม่เห็นทีจะไม่สมควร ถึงท่านจะรับกระผมเป็นลูก แต่กระผมก็รู้อยู่ว่ากระผมไม่ได้มีเชื้อสายขุนนางแท้อย่างคุณราชันย์” ราชันย์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ
“พี่ปราชญ์เอาแต่ถ่อมตนอย่างนี้นี่เล่า ป่านนี้ถึงยังหาพี่สะใภ้ให้น้องไม่ได้” ราชันย์เย้า เป็นผลให้ปราชญ์สีหน้าสลดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังเผยรอยยิ้มน้อยๆ ให้กับคำเย้าแหย่นั้น
“กระผมก็รอยลโฉมน้องสะใภ้เช่นเดียวกันขอรับ” ปราชญ์เผยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะพูด
“เห็นทีจะต้องรอนานนัก” ราชันย์ถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเป็นคนอารมณ์ดีไม่น้อยแต่พอพูดเรื่องนี้ทีไรก็อดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ ความรักที่เคยทำร้ายพ่อของเขาจนตายทั้งเป็นมาแล้ว ทำให้เขาเข็ดขยาดกับความรักทั้งที่ไม่เคยมีมัน
“พี่ปราชญ์ไปรอผมที่เรือนก่อนเถอะครับ ผมขอดูอะไรที่นี่สักหน่อย” ราชันย์บอกกับปราชญ์สายตาก็จับจ้องที่ต้นชมพู่ซึ่งอยู่ห่างจากเรือนดาหลาไม่มากนัก ปราชญ์เดินห่างออกไป เขาเอื้อมไปเด็ดลูกชมพู่สีเขียวที่กำลังอวบน่ากินซึ่งห้อยเป็นช่ออยู่สามสี่ลูกลงมา แล้วก้มมองลงใต้โคนต้นชมพู่นั่น เขามองเห็นภาพในอดีตที่มันไม่เคยเลือนหายไป ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านต้นชมพู่ต้นนี้เขาจะมองเห็นภาพๆ หนึ่งอยู่ในความทรงจำเสมอ
ภาพเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุราวหกเจ็ดขวบในชุดแบบอิสลามที่ทุกอย่างในร่างกายถูกปกปิดมิดชิดในชุดสีดำพันฮิญาปสีขาว มีเพียงใบหน้าและฝ่ามือที่โผล่พ้นออกมาจากการปกปิดนั้น ในมือถือเปลือกหอยกาบนั่งขุดดินอยู่ใต้ต้นชมพู่ต้นนี้ เขาเดินมาเห็นหนูน้อยขณะที่กำลังใช้เปลือกหอยขุดดินจนเป็นหลุมกว้างจึงเข้ามาถามด้วยความสงสัย ที่เห็นเด็กตัวเล็กนั่งขุดดินอยู่คนเดียวได้เป็นนานสองนานโดยไม่ออกไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ
“ทำอะไรอยู่จ๊ะหนู” เสียงทักทำให้หนูน้อยสะดุ้งนิดๆ แล้วหน้าหันมามอง ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วนั่นน่ารักนัก
“แม่บอกให้นั่งขุดดินรออยู่ตรงนี้” ท่าทางที่ตอบนั่นไม่ได้มีท่าทีหวั่นเกรงใดๆ กับคนแปลกหน้า
“แม่ของหนูเป็นใครเหรอจ๊ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
ตอนนั้นราชันย์อายุเพิ่งจะย่างยี่สิบ เขาถูกส่งไปเรียนที่พระนครตั้งแต่อายุ 12 ปี นานๆ ถึงจะได้กลับมาบ้านสักครั้งหนึ่ง และครั้งนี้เขากลับมาเพราะพระยาพิชัยราเชนผู้เป็นปู่ส่งข่าวไปบอกว่าขุนราชิตเดชาบิดาของเขาป่วยหนัก เขาได้กลับมาดูใจแค่ไม่กี่วันท่านก็สิ้นใจ และวันนี้ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดงานศพ คนใกล้ชิดต่างมาช่วยกันคนละไม้คนละมือในการจัดทำอาหารการกินเลี้ยงแขก
“แม่ของน้องนะดาชื่อแม่นวล แม่นวลมาช่วยทำกับข้าว แม่บอกให้นั่งรอตรงนี้ ห้ามซน” หนูน้อยเงยหน้ามามองจ้องก่อนตอบ ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วน่ารักน่าเอ็นดูนั่นเขาจำได้ไม่เคยลืม
“ชื่อนะดาหรือครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม
“ไม่ใช่ค่ะ ชื่อน้องนะดาค่ะ” เด็กน้อยทวน
“ครับชื่อน้องนะดาก็น้องนะดา”
ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างขำขันกับคำพูดซื่อๆ ของเด็ก หนูน้อยคงไม่รู้หรอกว่าน้องคือสรรพนาม เห็นคนอื่นเรียกตัวเองว่าน้องนะดาเลยคิดว่าคำว่าน้องเป็นชื่อของตัวเองไปด้วย
แม่นวลที่เด็กน้อยพูดก็คือน้านวลเพื่อนรักที่สุดของแม่ลำเจียกซึ่งเป็นมารดาของเขาเอง เขาคิดถึงภาพน้านวลผู้หญิงร่างบาง อ่อนโยน แต่นัยน์ตามีแววเฉลียวฉลาด น้านวลเคยเล่าให้เขาฟังว่าเคยเรียนหนังสือมาด้วยกันกับแม่ของเขา น้านวลจะคอยแวะมาดูแลเขาบ่อยครั้งตั้งแต่เขายังเด็กก่อนที่จะไปเรียนต่อที่พระนคร นางคอยทำขนมและอาหารอร่อยๆ มาให้ที่เรือนดาหลา รวมทั้งคอยอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนพ่อ ทุกครั้งที่พ่อคุยกับน้านวลพ่อจะมีรอยยิ้มที่ฉายแววแห่งความสุขอย่างที่เขาไม่เคยเห็นพ่อคุยกับใครแล้วมีความสุขเช่นนั้น เรื่องส่วนใหญ่ที่ชายหนุ่มได้ยินพ่อคุยกับน้านวลก็คือคุยถึงเรื่องในวันวานของแม่ลำเจียกที่พ่อรักไม่เคยลืมเลือน
“แล้วพี่ชายเป็นใครเล่าคะ” หนูน้อยถามประสาซื่อ
“พี่ชื่อ พี่ราชันย์” ชายหนุ่มบอกชื่อตัวเอง
“แล้วพ่อหนูเล่าจ๊ะ มาด้วยหรือไม่” เขาเองก็ไม่รู้ข่าวคราวน้านวลอีกเลยตั้งแต่ไปเรียนต่อ มาเจออีกครั้งหล่อนก็แต่งงานมีลูกจนโตเสียแล้ว
“พ่อไปแต่งงาน”
“หือ...” ชายหนุ่มอึ้งกับคำตอบ
“พ่อบอกพ่อไปแต่งงานเพื่อน”
“อ้อ ไปงานแต่งงาน” ชายหนุ่มทวนคำ
“งานแต่งงานเป็นยังไงคะ” เด็กน้อยถามทำตาแป๋วอย่างสงสัย
“ก็... ก็ เอ่อ เวลาผู้หญิงกับผู้ชายจะอยู่ด้วยกัน เขาต้องแต่งงานกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ไงคะ” ชายหนุ่มพยายามหาคำอธิบายให้หนูน้อยฟังอย่างยากเย็น
“ตอนนี้น้องนะดาอยู่กับพี่ราชันย์ น้องนะดาก็แต่งงานกับพี่ราชันย์เหรอจ๊ะ” เด็กน้อยถามด้วยแววตาใสซื่อ แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ากลับได้แต่อมยิ้มแล้วเกาหัวยิกเพราะไม่รู้จะหาคำตอบให้หล่อนเข้าใจได้ยังไงจึงทำได้แค่เปลี่ยนเรื่องคุย
“น้องนะดา กินชมพู่มั้ยครับ เห็นช่อนั่นมั้ยเดี๋ยวพี่อุ้มให้เก็บ” ชายหนุ่มอุ้มหนูน้อยชูขึ้นไปให้หล่อนดึงช่อชมพู่นั่นลงมา เด็กหญิงดึงมันลงมาพร้อมกับรอยยิ้มอย่างร่าเริง
“พี่ราชันย์ใจดี น้องนะดาจะมาแต่งงานกับพี่ราชันย์อีกค่ะ” หนูน้อยพูดพลางกัดชมพู่ไปพลาง ชายหนุ่มได้แต่นั่งหัวเราะกับคำพูดไม่ประสีประสานั่น
ป่านนี้เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นคงจะเติบโตเป็นสาวไปแล้วและหล่อนก็คงจะจำคำพูดนั้นไม่ได้แล้วเช่นกัน แต่น่าแปลกที่เขากลับจำมันได้ไม่เคยลืมเลือน
ราชันย์ยืนอมยิ้มอยู่ใต้ต้นชมพู่ต้นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินกลับไปที่เรือน เห็นปราชญ์ยืนรออยู่ที่รถชายหนุ่มเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถ ปราชญ์ขึ้นมานั่งข้างหน้าติดกับราชันย์ แล้วรถก็ค่อยๆ เคลื่อนออกไปบนถนนลูกรัง และเป็นอย่างที่ปราชญ์พูดไว้ เด็กๆ เห็นเป็นของแปลกวิ่งตามมาดูกันเป็นพรวน เรียกรอยยิ้มให้กับสองหนุ่มที่หันมามองหน้ากันแล้วอดหัวเราะให้กันไม่ได้ที่เห็นเด็กๆ วิ่งตามรถเหมือนเห็นของประหลาด
รถขับมาจอดหน้าโรงเรียนปฐมบริบูรณ์ที่เปิดสอนวิชาช่างถม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ปราชญ์มาสอนหนังสือ ปราชญ์ก้าวเท้าลงจากรถแล้วหันไปหาราชันย์
“ขอบคุณครับ ขอให้คุณราชันย์สนุกกับการทำงานวันแรกนะขอรับ” ราชันย์ยิ้มรับ
“เช่นกันครับพี่ปราชญ์” ปราชญ์เดินเข้าไปยังประตูทางเข้าโรงเรียนแต่ยังหันกลับมามอง ราชันย์โบกมือให้พร้อมรอยยิ้มแล้วค่อยๆ เคลื่อนรถออกไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------
บทนี้เคยเอามาลงแล้วครั้งนึงเอากลับไปแก้ไขเพิ่มเติม แต่อ่านแล้วก็ไม่ได้ต่างจากเดิมซักเท่าไหร่เลย เอาน่า เอาแค่นี้ก็ได้ คิดมาหลายวันแล้วคงจะไม่ได้ดีขึ้นกว่านี้แล้วล่ะ เลยตัดสินใจเอาให้อ่านกัน ส่วนตอนต่อไปพรุ่งนี้จะมาอัพให้อ่านกันนะคะ กำลังเขียนอยู่ค่ะ... 27/07/2013
ความคิดเห็น