คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ผู้การเรียก
ตอนที่ 1 ผู้การเรียก
ธันวาคม พ.ศ. 2474
เสียงการต่อสู้ของชายหนุ่มสองคนซึ่งกำลังฝึกการต่อสู้กันอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ที่จัดไว้สำหรับการประลองและฝึกปรือฝีมือของนายตำรวจทุกระดับดังขึ้นเป็นระยะ การต่อสู้ที่เห็นดูปราดเปรียวมีพละกำลังและฉับไว ดูออกว่าได้รับการฝึกซ้อมมาอย่างหนักหน่วงและชำนาญการเป็นอย่างดี ระหว่างการต่อสู้ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ดาบตำรวจนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาแล้วตะโกนเรียกนายตำรวจหนึ่งในสองคนนั้น
“ผู้หมวดครับ ผู้การเรียก” นายดาบผู้นั้นวิ่งมาเรียกชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาที่อยู่ระหว่างการซ้อมการต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับคู่ต่อสู้ที่ใช้อาวุธ เขาบิดข้อมือคู่ต่อสู้จนมีดหลุดจากมือก่อนจะตอบกลับนายดาบผู้นั้น
“ขอบใจ ดาบแสง”
ดาบแสงเดินออกไป ชายหนุ่มหันมาโค้งคำนับให้คู่ต่อสู้ก่อนจะเดินออกจากพื้นที่ซ้อมด้วยท่าทีองอาจผ่าเผย เพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอย่างรวดเร็วแล้วเดินไปยังห้องของผู้การ
ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจเต็มยศเสื้อสีน้ำตาลกางเกงขายาวพันสนับแข้งสีดำ ใส่รองเท้าหุ้มส้น สวมหมวกทรงหม้อตาล มีกระบังสีดำ มีแถบผ้าสักหลาดสีดำพันรอบขอบหมวก สายรัดคางหนังสีดำ มีตราประทุมอุณาโลมติดที่หน้าหมวก ติดจักรสองจักรที่อินธนูบนบ่า เขาเคาะประตูห้องก่อนจะเปิดเข้าไปยืนต่อหน้านายตำรวจระดับผู้ใหญ่ซึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ตำรวจผู้น้อยผู้นั้นทำความเคารพโดยการวันทยหัตถ์ด้วยท่าทีเข็มแข็งก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ท่านเรียกกระผมหรือขอรับ”
“ใช่ หมวดราชันย์ ตามที่หมวดได้ขอย้ายไปอยู่โรงตำรวจภูธร มณฑลนครศรีธรรมราช เรื่องอนุมัติลงมาแล้ว หมวดจะได้ไปประจำการที่นั่นก่อนปีใหม่ประมาณ 3 เดือน ในตำแหน่งหัวหน้ากองตรวจ ประจำการกองบังคับการตำรวจภูธรมลฑลนครศรีธรรมราช หัวเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนวันที่แน่นอนจะแจ้งอีกที” ท่านลุกขึ้นยืน แล้วบอกกับชายหนุ่มตรงหน้า ถึงจะอายุมากแล้วแต่ท่าทีของท่านสง่าผ่าเผยและพูดจาด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็ง แววตาของท่านคมกริบและมีพลัง
“ปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ถ้าอย่างนั้นก่อนปีใหม่สามเดือน คือราวเดือนมกราคมอย่างนั้นรึขอรับท่าน” ผู้การพยักหน้าน้อยๆ ให้กับคำถามนั้น ในขณะนั้นวันปีใหม่ไทยคือ 1 เมษายนของทุกปี ก่อนที่จะเปลี่ยนวันปีใหม่ไทยให้ตรงกับนานาชาติคือวันที่ 1 มกราคม ในปี พ.ศ.2483
นายตำรวจผู้น้อยทำความเคารพให้กับนายตำรวจระดับผู้กำกับการที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้งเป็นการรับทราบ ในหัวใจเต็มตื้นและเปี่ยมไปด้วยความสุขที่จะได้มีโอกาสกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองสักที เขาจากผู้เป็นบิดามาตั้งแต่อายุ 12 เพื่อศึกษาต่อในพระนครจนกระทั่งอายุยี่สิบถึงได้เข้าเรียนต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม เมื่อปี 2464 จนถึงปี 2470 เป็นเวลาราว 5 ปี จนกระทั่งเรียนจบ แล้วมาประจำการที่พระนครจนกระทั่งตอนนี้อายุย่างเข้าสามสิบสองปี เขาได้กลับไปบ้านเดิมเพียงไม่กี่ครั้ง ทั้งที่ระลึกถึงที่นั่นทุกลมหายใจเข้าออก
ต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2474
ที่ร้านขายผ้าของกาซิมกับอาลีในตลาดเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นตัวอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้กว้างขวาง แม่นวลหญิงที่กำลังจะก้าวสู่วัยกลางคนกำลังส่ายหน้าน้อยๆ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างขำขันมากกว่าจะตกใจ เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของอาลีผู้เป็นสามีของเธอดังลอดมาจากหลังร้าน
“กาซิม เจ้าเอาผ้าผืนนี้ไปตัดชุดให้ลูกอีกแล้วหรือ เจ้าท่าจะบ้าไปแล้ว ข้าสั่งผ้าแพงๆ มาขายในร้าน เจ้าก็เอาไปตัดชุดให้ลูกเสียหมด” เสียงอาลีโวยวายอย่างสุดกลั้นกับผู้เป็นเพื่อน
“เจ้าจะเป็นคนขี้หวงไปถึงไหนกันอาลี นะดาเป็นลูกของเจ้าแท้ๆ” กาซิมหันมาต่อว่าเพื่อน มือก็ยุ่งอยู่กับการปูผ้าบนโต๊ะขนาดใหญ่แล้วเอากระดาษเขียนแบบมาทาบ
“เป็นความผิดของแม่นวลจริงๆ นางไม่น่าสอนให้เจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นเลย ตั้งแต่เจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็น ผ้าในร้านเจ้าก็เอามาตัดเล่นเสียหมด” อาลีบ่นอย่างหัวเสีย
“ข้าตัดเล่นที่ไหนกันเล่า เจ้าไม่เห็นรึ ลูกสาวของเราใส่เสื้อผ้าสวยงามกว่าใครในเมืองนี้ ไม่ใช่เพราะฝีมือข้าหรอกรึ... ถอยไป เจ้ายืนเกะกะอยู่ตรงนี้ข้าตัดผ้าไม่ถนัด กรรไกรมันคม หากตัดพลาดไปประเดี๋ยวข้าก็ไปเอาผ้าผืนใหม่มาตัดอีกดอก” ดวงตาคมกริบของกาซิมมีประกายแจ่มใส ใบหน้าที่เคยหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยสง่าราศีแม้นอายุจะย่างเข้าห้าสิบสองแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง เขาพูดไปพลางตัดผ้าไปพลางอย่างไม่ใส่ใจคำบ่นว่าของเพื่อนแม้แต่น้อย
“เจ้ารู้หรือไม่ ผ้าผืนนี้ข้าบอกขายให้คุณปรุงจิตลูกสาวหมื่นจอมทัพ เธอบอกอีกสองสามวันจะเข้ามาเอา”
“คุณปรุงจิตเธอเคยเห็นผ้าผืนนี้แล้วรึ” ถามทั้งที่ก้มหน้าก้มตาขีดเส้นวุ่นวายอยู่บนผ้าผืนเดิม
“ไม่เคยเห็นหรอก แต่เราเจอกันที่ตลาดเมื่อวานนี้ และบอกไปแล้วว่าที่ร้านมีผ้าพับผืนที่สวยงามที่สุดที่เพิ่งสั่งเข้ามาใหม่ เธอบอกจะเข้ามาเอาวันนี้” กาซิมหันมามองหน้าเพื่อนทันทีที่อาลีพูดจบ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะห่วงไปไยเล่า เจ้าก็เอาผืนอื่นให้เธอไป ผ้าสวยที่สุดต้องเป็นของลูกเราเท่านั้น เจ้าจะบ้าหรืออย่างไรกันอาลี จะเอาของดีที่สุดไปให้ลูกคนอื่น” อาลีอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติโวยวายต่อไปอีกรอบ
“แล้วเจ้าเปิดร้านขายผ้าเพียงเพื่อที่จะซื้อผ้าผืนที่งามที่สุดในร้านให้ลูกสาวตัวเองหรอกรึ ข้าไม่ยักรู้ ต่อไปข้าจะได้สั่งแต่ผ้าถูกๆ มาขาย สั่งผ้าดีๆ มาขายทีไร เจ้าก็เอาไปตัดชุดให้ลูกเสียหมด” อาลีส่ายหน้าให้เพื่อนแล้วเดินออกไป กาซิมมองท่าทางโวยวายของเพื่อนแล้วอมยิ้มอย่างใจเย็นพร้อมส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับผ้าผืนงามต่อไป
ส่วนอาลีเดินไปหน้าร้าน เห็นภรรยาซึ่งอยู่ในชุดผ้าซิ่นสีน้ำเงินและเสื้อแขนกระบอกสีขาวคาดเข็มขัดเงิน ผมของนางตัดสั้นและดัดหยิกเล็กน้อย ใบหน้าขาวผ่องมีรอยยิ้มละไมอยู่เป็นนิจ ในมือถือตำราเรียนเตรียมตัวจะออกไปสอนหนังสือให้เด็กนักเรียน ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศเช่นที่เคยปฏิบัติทุกเช้า
“ความผิดของน้องจริงๆ แม่นวล ถ้าน้องไม่สอนมันตัดผ้า ป่านนี้พี่คงขายผ้าผืนนั้นให้แม่ปรุงจิต ร้านเราคงได้กำไรโขอยู่” อดหันมาโทษผู้เป็นภรรยาไม่ได้
“มาโทษน้องอีกแล้วนะ หากพี่ไม่อนุญาต น้องจะสอนพี่กาซิมเขาได้รึ” หล่อนหันมาต่อว่าสามียิ้มๆ
“ในที่สุดก็กลายเป็นความผิดพี่อีกจนได้ พี่ไม่เคยชนะเจ้าเลยจริงๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา” อาลีเสียงอ่อนลงเอื้อมมือไปดึงมือของภรรยามากุมไว้อย่างซาบซึ้งใจเมื่อระลึกถึงความรักแต่หนหลัง
“น้องต้องไปทำงานแล้ว ลูกสาวของพี่เล่าอยู่ที่ไหนกัน วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่รึ จะได้มาเฝ้าหน้าร้านแทนน้อง” นางหมายถึงโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่ผู้เป็นพ่อจะต้องไปส่งลูกสาวไปโรงเรียนทุกวัน ถามพลางสอดส่ายสายตามองไปยังประตูหลังร้าน ที่ลูกสาวของนางจะต้องเดินลงมาจากห้องนอนชั้นบนออกมาทางประตูนั้น
“คงยุ่งอยู่กับการหัดพันฮิญาปวิธีใหม่อยู่กระมัง พอละหมาดเสร็จก็เห็นบอกว่าจะไปพันฮิญาปใหม่ ตั้งแต่โตเป็นสาวมาลูกสาวเราก็รักสวยรักงามมากขึ้น แต่งตัวนานขึ้น” อาลีตอบพร้อมกับรอยยิ้มแววตานั้นเป็นประกาย
“มาแล้วจ้า แม่จ๋า พ่อจ๋า แม่ดูให้ลูกทีซิ ลูกพันฮิญาปได้เรียบร้อยหรือไม่ เมื่อวานพ่อกาซิมสอนวิธีใหม่ให้ลูก บอกว่าพันแบบนี้สวยกว่า แม่ว่าสวยกว่าเดิมมั้ยจ๊ะ” สาวน้อยวัยย่างสิบแปดใบหน้าผิวพรรณกระจ่างใสด้วยวัยแรกแย้มเดินมาในชุดแบบอิสลามดูเรียบร้อยมีเพียงใบหน้าและฝ่ามือที่โผล่พ้นมาจากอาภรณ์ที่สวมใส่ ยืนหมุนไปหมุนมาให้ผู้เป็นแม่ดู พร้อมจับผ้าคลุมศีรษะหรือฮิญาปที่หล่อนเพิ่งหัดพันเสร็จอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“นะดา ลูกรู้หรือไม่ว่าพ่อกาซิมของลูกกำลังจะสอนให้ลูกทำผิดหลักศาสนาด้านการแต่งกาย การแต่งกายของเรานั้นไม่ควรจะสะดุดตาจนเกินไป เพื่อให้เจ้าได้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายเจ้าจึงควรแต่งกายให้เรียบร้อยตามหลักศาสนาของเรา” อาลีลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วลูบหัวลูกสาวอย่างเบามือ
“แต่แบบนี้ก็งามดีนะจ๊ะ พี่อาลี น้องว่างาม” แม่นวลมองลูกสาวอย่างชื่นชม ลูกสาวของนางสวยงามดูมีสง่าราศีมากกว่าใครแม้จะซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์ที่ปกปิดมิดชิด
“เจ้าก็ให้ท้ายลูก พี่รู้ว่าศาสนาพุทธของเจ้าไม่ห้ามเรื่องเช่นนี้ เจ้าจึงเห็นว่ามันไม่แปลก ที่ลูกเราจะสวยงามตามวัยของเขา แต่เจ้ารู้หรือไม่เล่าว่า บุรุษและสตรีมีความไวต่อสิ่งเร้าต่างกัน การปกปิดร่างกาย การแต่งกายไม่ให้มีสีสันสะดุดตาเกินไปจะทำให้ลูกเราปลอดภัยจากสายตาคุกคามของบุรุษทั้งหลาย” อาลีพยายามอธิบายสิ่งที่เขาอธิบายแล้วอธิบายอีกมาเป็นร้อยรอบให้กับภรรยาและบุตรสาวฟัง นางรับฟังแต่เขาไม่รู้ว่ามันจะซึมซาบเข้าไปในหัวใจหล่อนหรือไม่
ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน เขาพยายามจะให้นางมาเข้าอิสลามกับเขา แต่นางเป็นพุทธมามะกะที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า จึงไม่ยอมที่จะเข้าอิสลาม แต่ด้วยหัวใจรักเขาทั้งคู่จึงยอมถอยคนละก้าวเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน นางยอมที่จะเลิกกระทำบางอย่างที่ขัดต่อศาสนาอิสลามยกเว้นเรื่องนับถือศาสนาพุทธ ส่วนเขาก็ใช้ชีวิตเป็นอิสลามตามปกติโดยไม่เรียกร้องให้นางต้องเปลี่ยนศาสนา โชคดีที่เขาไม่มีญาติพี่น้องในเมืองนี้จึงไม่ได้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงอย่างที่เกิดขึ้นกับบางครอบครัว และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแม้ในใจเขาจะรู้สึกผิดบาปตลอดมาที่กระทำผิดหลักคำสอนของศาสนาอิสลามโดยการไปแต่งงานกับหญิงสาวนอกศาสนาก็ตาม
เมื่อนะดาเกิดขึ้นมาแม่นวลยินยอมที่จะให้ลูกสาวเข้าพีธีเป็นอิสลามตามผู้เป็นบิดา แม้ใจของนางจะอดหวั่นไหวไม่ได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นหากนะดาไปรับใคร่ชอบพอกับชายต่างศาสนาอย่างที่นางเคยประสพพบเจอ
“ลูกสวยแล้วไม่ดีหรือจ๊ะพ่อ ลูกไปหาพ่อกาซิมดีกว่า ให้พ่อกาซิมดูว่าลูกพันถูกต้องหรือไม่” ว่าแล้วหล่อนก็เดินเข้าไปหลังร้าน
“พ่อกาซิม นะดาหัดพันฮิญาปแบบที่พ่อบอก สวยหรือไม่เล่าจ๊ะ” ไปถึงก็ยืนตรงเอียงศีรษะไปให้ผู้เป็นพ่ออีกคนของเธอดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“งามเหลือเกินลูกพ่อ” กาซิมหันมาจ้องมองผู้เป็นบุตรสาวของเพื่อนรัก ที่เขารักประดุจลูกของตัวเอง ซึ่งยืนทำหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางมือจากผ้าผืนงามแล้วเดินเข้ามาหา
“เห็นหรือไม่เล่า พ่อบอกเจ้าแล้ว คลุมผ้าด้านในสีนึง แล้วเอาสีต่างกันมาพันด้านนอก ให้ขอบผ้าด้านในโผล่พ้นด้านนอกมาข้างนึง พันเฉียงเช่นนี้ ดูงามตา เจ้าพันได้เรียบร้อยดีแล้ว” กาซิมมองผ้าคลุมผมที่ด้านในคลุมเก็บเส้นผมไว้มิดชิดด้วยผ้าสีกลีบบัวแล้วคลุมทับด้วยผ้าฮิญาปสีม่วงอมเทาสวยงาม แล้วหญิงสาวก็หันไปมองผ้าที่กองอยู่บนโต๊ะ
“นั่นพ่อทำอะไรอยู่หรือจ๊ะ”
“ก็กำลังตัดชุดใหม่ให้เจ้าอยู่อย่างไรเล่า ชุดนี้ผ้างามนัก พ่อจะตัดให้งามกว่าที่เคยตัดให้เจ้าเลยทีเดียว” ตอบอย่างภาคภูมิใจ
“พ่อกาซิมของลูกหัวสมัย ไม่เหมือนพ่ออาลีชอบห้ามโน่นห้ามนี่ลูกอยู่ร่ำไป” นางพูดพลางเดินวนดูรอบๆ โต๊ะ
“พ่อของเจ้าเขาเคร่งครัดในหลักศาสนาอิสลาม แต่พ่อกาซิมของเจ้านับถือศาสนาพุทธอาจมีความคิดเห็นแตกต่างกันบ้าง แต่เราก็อยู่ร่วมกันได้เพราะรักและเข้าใจกัน” แล้วนางก็เหมือนคิดอะไรออก
“แล้วทำไมพ่อกาซิมถึงไม่นับถืออิสลามเหมือนพ่ออาลีเล่าคะ”
“พ่อกาซิมของเจ้าเป็นเพียงแขกขายผ้าที่บรรพบุรุษถอยร่นมาจากเมืองอินเดีย เมืองที่เป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ ส่วนพ่อของเจ้าเป็นชาวปัตตานีที่มีเชื้อสายสุลต่านนับถืออิสลาม พ่อเร่ขายผ้าไปทั่วจนไปถึงมณฑลปัตตานีได้รู้จักกับพ่อเจ้าที่นั่น คบหาเป็นเพื่อนยากกันมานานจนพ่อพอตั้งตัวได้ ถึงได้ชวนกันออกมาแสวงโชคยังบ้านเมืองอื่น พ่อเจ้านึกสนุกจึงได้ติดตามพ่อมาด้วยกัน ถึงได้มาพบรักกับแม่ของเจ้าแล้วไม่ยอมกลับไปมณฑลปัตตานีอีกเลยมาร่วมสามสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่เขากลับไปครั้งสุดท้ายตอนที่แม่เขาตาย ตอนนี้เขาก็แทบไม่เหลือญาติสนิทอยู่ที่นั่นอีก” หญิงสาวยืนฟังตำนานของพ่อแม่อย่างตั้งใจ
“แล้วพ่อกาซิมเล่าจ๊ะ ทำไมถึงไม่หลงรักใครเช่นพ่ออาลีของลูกบ้างเล่า” หญิงสาวถามอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่คำถามนั้นทำให้ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มอยู่เป็นนิจสลดวูบ หัวใจของเขากระตุกอย่างไม่อาจห้ามได้ทุกครั้งที่คิดถึงความรักที่ไม่สมหวังในอดีต
“พ่อมีคนที่พ่อรัก และรักมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราก็รักกัน หากเจ้ารู้จักความรักเจ้าจะเข้าใจที่พ่อพูด...ไปดูหน้าร้านเถิด ประเดี๋ยวเจ้าก็จะโดนพ่อเจ้าบ่นว่าเอาได้อีก เจ้าไม่หนวกหูบ้างรึ ที่พ่อเจ้าคอยบ่นโน่นบ่นนี่ให้เจ้าได้ทั้งวัน” กาซิมบอกให้สาวน้อยตรงหน้าออกไปพร้อมกับคำกระเซ้าเรื่องพ่อของหล่อน... แม้ในใจคนพูดไม่ได้เหลือความขำแม้แต่น้อย
การแต่งกายตำรวจสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475
วิธีการพันฮิญาปแบบต่างๆ ค่ะ เอาไว้ดูเผื่อจินตนาการกันไม่ออก
--------------------------------------------------------------------------------------------
เอามาลงให้อ่านกันก่อนค่ะ แล้วจะค่อยๆ ทยอยเอามาลงให้อ่านกันเรื่อยๆ นะคะ เรื่องนี้เขียนยากหน่อย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำรวจซึ่งไม่ค่อยมีความรู้เอาซะเลย ผิดตรงไหนช่วยแนะนำกันนะคะ พวกยศตำแหน่งก็พยายามเทียบเอากับนายตำรวจเก่าๆ ในยุคนั้นเอาค่ะ กันความผิดพลาด แต่ก็คิดว่ายังน่าจะมีผิดพลาดอยู่บ้าง ส่วนเรื่องศาสนาก็คงต้องหาข้อมูลกันอีกหลายอย่าง เพื่อจะให้เขียนออกมาเป็นกลางและไม่มีความขัดแย้งกันมากเกินไปค่ะ ทุกอย่างคือนิยายนะคะ ถึงจะอิงประวัติศาสตร์บ้างแต่ก็เขียนเพื่อความบันเทิง หากผิดพลาดยังไงก็อภัยให้คนเขียนด้วยนะคะ... 26/07/2013
ความคิดเห็น