คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : ความคลุมเครือ 100%
ธนดลมองอาหารว่างบนโต๊ะแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างทึ่ง ๆ เพราะเธอมักจะทำของแปลก ๆ มาให้เขารับประทานแทบไม่เคยซ้ำ เจ้านิลดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนเขาจึงปล่อยให้มันวิ่งเล่นอยู่บนพื้นแล้วหันกลับมาพิจารณาอาหารตรงหน้าอีกรอบ
“อะไรครับเนี่ย
หน้าตาเหมือนกะหรี่ปั๊บเลย” ชายหนุ่มมองเจ้าอาหารหน้าตาคล้ายกะหรี่ปั๊ปแต่แป้งดูใส
ๆ นุ่ม ๆ หลากหลายสี เหมือนผ่านการนึ่งมา โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวแล้วมีผักกาดหอมกับผักชีจัดวางไว้ข้าง
ๆ พร้อมกับพริกขี้หนูอ่อนสีเขียวเหมือนกับเครื่องแนมสาคูไส้หมู
“อ้อ ปั้นขลิบไส้ไก่ค่ะ แต่เบญลองทำหลายสีดู
สีส้มผสมน้ำแครอท สีแดงจากหัวบีตรูต สีเขียวจากใบเตย ส่วนสีน้ำเงินนี่จากดอกอัญชัญหลังบ้านนี่ละค่ะ
คุณดลลองชิมสิคะ” หญิงสาวดันจานอาหารไปใกล้เขาอีกนิด
“ผมไม่กล้ากินเลยครับ” นายแพทย์หนุ่มมองจานอาหารตาปริบ
ๆ หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าของเธอเจื่อนลง
“เอ่อ เบญรับรองว่าเป็นสีจากธรรมชาติค่ะ
ไม่อันตรายแน่นอน” ชายหนุ่มมองหน้าเจื่อน ๆ ของเธอพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เมื่อรู้ว่าอาการของเขาทำให้เธอเข้าใจผิดไปไกล
“ผมไม่ได้กลัวว่ามันจะอันตรายครับคุณเบญ
แต่มันสวยจนผมไม่กล้ากิน กลัวทำมันเละเทะหมด” เขามองการจัดจานอย่างประดิดประดอยแล้วรู้สึกเสียดายขึ้นมา
เพราะคิดว่าคนทำคงตั้งอกตั้งใจอย่างมากกว่าจะทำออกมาสวยเช่นนี้
แล้วเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการทำลาย มันน่าเสียดายน้อยเสียเมื่อไหร่
“โธ่ ก็เบญทำมาให้คุณดลทานไงคะ
ถ้าไม่ทานเบญคงเสียดายยิ่งกว่า” เธอว่าอย่างนั้น เขาจึงตัดใจใช้ส้อมจิ้มสีขาวมาชิมก่อนหนึ่งชิ้น
“อร่อยมากครับ”
เงยหน้ามาบอกแล้วจิ้มชิ้นต่อ ๆ ไปกินต่อ กินไปพลางเงยหน้ามาคุยไปพลางจนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้ายังไม่ได้ตักไปกินเลยสักชิ้น
“คุณเบญกินด้วยกันสิครับ”
หญิงสาวส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ เบญทำมาให้คุณดล
เบญเก็บส่วนของเบญไว้แล้วค่ะ” คำตอบของเธอทำให้คนที่กำลังเอร็ดอร่อยวางส้อมลงทันที
“ทำไมต้องแยกกันกินด้วยละครับ
ม๊าเป็นแฟนป๊าแล้วก็ต้องกินด้วยกันสิ”
เขาต้องทบทวนความทรงจำของเธออีกครั้งว่าตอนนี้เธอเป็นแฟนไม่ใช่คนงานที่บ้านเขาอย่างเมื่อก่อนนี้ที่จะต้องทำของว่างมาให้เขานั่งกินคนเดียว
“ค่ะ” เธอรับคำ
ชายหนุ่มมองไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่มีจานแบ่งหรือช้อนส้อมเตรียมมาวางไว้อย่างที่เขามีอยู่ มีเพียงน้ำเปล่าแก้วเดียวเท่านั้น
“งั้นป๊าป้อนนะ เอาสีส้มละกัน” คนตัวใหญ่ว่าแล้วใช้ส้อมจิ้มปั้นขลิบยื่นไปตรงหน้า
“เอ่อ เบญทานเองได้ค่ะ”
หญิงสาวว่าตะกุกตะกัก ไม่ชินกับสายตาระยิบระยับของเขาสักที
“ไม่ได้ครับ ป๊าอยากป้อน” บอกกันตรง ๆ
จนคนตรงหน้าแก้มร้อนวูบ
“อ้ำ”
คะยั้นคะยอให้กิน จนหญิงสาวปฏิเสธไม่ออก จึงกัดกินไปครึ่งหนึ่ง เพราะถ้าจะกินหมดทั้งอันก็คำใหญ่เกินไป
ชายหนุ่มจึงเอาครึ่งที่เหลือใส่ปากตัวเองโดยไม่คิดรังเกียจ เคี้ยวตุ้ย ๆ
แล้วมองหน้าหญิงสาวที่กำลังแก้มเรื่อได้อย่างน่ารัก
“กินแบบนี้อร่อยกว่ากินคนเดียวเยอะเลย เอาอีกนะ”
ว่าแล้วก็จิ้มให้เธออีกครั้ง แล้วเอาที่เหลือเข้าปากตัวเองอย่างเคย ดูเขามีความสุขและเอร็ดอร่อยจริงอย่างที่ว่าด้วยสิกับการได้กินปั้นขลิบที่เธอกินก่อนแล้วครึ่งหนึ่ง
แต่ความสุขของเขาอยู่ด้วยไม่ได้นานนักเมื่อเสียงสมาร์ตโฟนดังขึ้น
ชายหนุ่มก้มมองหน้าจอก่อนจะเงยมองคนตรงหน้า เขาไม่อยากรับสายสักนิด
แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อเป็นสายจากบิดาผู้ชี้เป็นชี้ตายกับชีวิตของเขาอยู่ในตอนนี้
“ครับป๊า มีอะไรหรือเปล่าครับ” ธนดลเอ่ยทักบิดากลับอย่างแปลกใจ
เพราะปกติท่านจะไม่โทรหาเขาในวันหยุดหากไม่มีธุระจำเป็นจริง ๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก
แค่ไม่เห็นลื้อกลับบ้านมาเกือบเดือนแล้วเลยโทรมาถามดูว่ายังอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า”
“อ้อ ครับ ก็สบายดีครับ” เขาตอบกลับอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าบิดาจะโทรมาแค่สอบถามว่าเขาสบายดีหรือเปล่าเป็นแน่
“แล้วหนูสาลี่เป็นไงมั่ง
คบกันไปถึงไหนแล้ว” นั่นไง เขาคิดไว้ไม่มีผิด คำถามของบิดาทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องชำเลืองมองไปยังคนตรงหน้านิดหนึ่งก่อนจะตอบกลับเบา
ๆ อยากจะลุกออกไปคุยที่อื่นแต่ก็เกรงเธอจะคิดว่าเขาไม่ไว้ใจ
จะคุยต่อหน้าก็ยิ่งเกร็ง กลัวว่าจะพูดอะไรให้เธอเข้าใจผิดกันไปใหญ่
แล้วเสียงของบิดาก็ใช่ว่าจะเบา เขากลัวว่ามันจะลอดออกมาให้เธอได้ยิน
“ก็ เอ่อ คุย ๆ กันอยู่ครับ” เขาอ้อมแอ้มตอบ ภาวนาให้บิดาเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเสียที
“งั้นวันนี้โทรไปชวนหนูสาลี่ไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกันหน่อยสิ
ม๊าเขาอยากเจอ
วันนี้วันหยุดทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าจะได้พามาแนะนำให้รู้จักกันเสียที” เสียงต้นสายว่ามา
“วันนี้เลยหรือครับ”
เขาเผลอขึ้นเสียงสูงเมื่อสิ่งที่กำลังกลัวเข้ามาหาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ก็เออสิ
ว่างวันนี้จะให้มาวันไหนล่ะ” บิดาย้ำมา ชายหนุ่มถอนใจยาวเขาพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้โดยพยายามไม่ติดต่อกับที่บ้าน
เพราะแม้อยากพาเบญจาไปรู้จักกับทุกคน แต่เขาก็ดันบอกที่บ้านไปแล้วว่ากำลังคบกับสาลี่
แล้วจู่ ๆ จะพาเบญจาเดินลิ่ว ๆ เข้าไปกราบพ่อแม่แล้วบอกว่าเป็นคนรักของเขา
โดยที่คนทางบ้านยังคิดว่าเขาคบกับสาลี่อยู่ก็คงโดนทัณฑ์สถานหนักจากบิดาเป็นแน่ แล้วเธอก็จะถูกคนในครอบครัวของเขามองในแง่ลบ ซึ่งเขายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
ฝ่ายสาลี่ก็ยังไม่มีรายงานผลมาเลยว่าใกล้ถึงฝั่งหรือยัง
เขาจะทำให้สาลี่และครอบครัวเสียหน้าก็ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องให้สาลี่ปฏิเสธมาเสียก่อน แต่สาวน้อยก็เงียบกริบไปตั้งแต่วันนั้นที่โทรมาขอเคล็ดลับจีบหนุ่มจากเขา
“โอเคครับ
ผมจะลองโทรไปชวนดู” เขาบอกบิดาด้วยความรู้สึกหนักใจ แต่อย่างน้อยพาสาลี่ไปรู้จักที่บ้านคราวนี้ก็ถือว่าได้ยืดเวลาออกไปอีกสักพัก
ส่วนเขาก็ต้องหาวิธีให้สาลี่พิชิตใจรุ่นพี่ให้เร็วที่สุด
เพื่อให้เธอเป็นฝ่ายยกเลิกการคบหากับเขาเสียก่อน
ชายหนุ่มวางสายจากบิดาแล้วเงยขึ้นมองคนตรงหน้า
“เอ่อ
คุณดลคงอิ่มแล้วใช่ไหมคะ เบญจะได้เก็บ” เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานแม้จะรู้สึกแปลก
ๆ ในหัวใจอยู่บ้าง แต่เสียงที่แว่วมาไม่ได้ชัดนักเธออาจจะฟังผิดไป จะให้ตีโพยตีพายว่าเขาปิดบังอะไรเธอก็ไม่ใช่นิสัย จึงหาทางปลีกตัวออกจากโต๊ะเพื่อเขาจะได้โทรไปชวนใครสักคนที่บอกบิดาไปเมื่อสักครู่นี้
ชายหนุ่มมองปั้นขลิบที่ยังเหลืออยู่อีกหลายตัว
“ยะ...ยังครับ
ผมยังไม่อิ่ม” เขาดึงมือบางที่กำลังจะยกจานไปเก็บมากุมไว้
“นั่งก่อนนะครับ
ผมยังกินไม่หมดเลย” เขาดันให้เธอนั่งลงที่เดิมก่อนจะขยับเก้าอี้ไปนั่งติดกับเก้าอี้ของเธอราวกลัวว่าหญิงสาวจะอันตรธานไปเสียต่อหน้า ก่อนจะว่าเสียงออด ๆ
“ม๊าอย่าเพิ่งไปไหนนะ
ให้ป๊ากินหมดก่อน” ว่าแล้วก็จิ้มปั้นขลิบที่เหลือใส่ปากอีกสองสามตัว ก่อนจะเอียงหน้าไปมองหญิงสาวที่นั่งนิ่งอยู่ข้าง
ๆ เขาไม่ใช่คนโกหกเก่ง
โดยเฉพาะการสับรางเรื่องผู้หญิงนี่ยิ่งไม่มีประสบการณ์เลยสักครั้ง เห็นเธอนั่งนิ่ง
ๆ ไม่ชวนพูดคุยเหมือนเดิม เขาก็ตื่นเต้นจนมือไม้เย็นเฉียบ
“ม๊ากินอีกคำนะ
อ้ำ” เขาจิ้มปั้นขลิบสีน้ำเงินไปจ่อที่ปากของเธอ หญิงสาวกัดเบา ๆ อย่างเคย
เขาก็กินส่วนที่เหลือต่อช้า ๆ ในสมองครุ่นคิดไปสารพัด
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อกี้นี้เธอได้ยินอะไรไปบ้าง
“เอ่อ...วันนี้...ป๊าคงไม่ได้กินข้าวเย็นกับม๊านะ
ต้องกลับไปกินกับที่บ้าน” เขาบอกไปไม่เต็มเสียงนัก ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นในใจอย่างประหลาด
“ค่ะ
เบญทราบค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง
“กินข้าวเสร็จป๊าจะรีบกลับนะ”
“คุณดลไม่ค้างที่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่หรือคะ”
“เอ่อ
ป๊าอยากกลับมานอนที่นี่มากกว่า ป๊าเป็นห่วงม๊า”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ
คุณดลจะได้ไม่ต้องขับรถกลับดึก ๆ อันตราย ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวด้วยไงคะ นาน ๆ
จะได้กลับไปสักที” เธอว่าอย่างนั้น
“เอ่อ...ไว้วันหลังป๊าจะพาม๊าไปด้วยนะ”
เธอยิ้มให้กับคนที่พูดจบแล้วทำหน้าเจื่อน ๆ
“ค่ะ
งั้นเบญเก็บจานเลยนะคะ” เธอก้มมองจานเปล่าที่วางอยู่
แม้จะไม่อยากให้เธอห่างตัว
แต่เขาก็ต้องยอมพยักหน้าให้เก็บจานไปอย่างที่ต้องการ
ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาโทรออกไปหาสาลี่
พูดคุยกันเพียงสองสามประโยคก็เป็นเสร็จธุระเมื่อรู้ว่าเธอว่างที่จะไปรับประทานมื้อเย็นกับที่บ้านของเขา
และเขาต้องเป็นสารถีขับรถไปรับเธอ
เบญจามองรถที่เคลื่อนออกไปจากบ้านด้วยความรู้สึกแปลก
ๆ ในหัวใจ
เธอไม่ใช่หญิงสาวอ่อนต่อโลกที่จะไม่รู้ว่าเขายังมีอะไรบางอย่างปิดบังอยู่
ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีแขกของเขาเข้ามาเยี่ยมเยียนที่บ้านเลยสักครั้ง
ซึ่งดูจะผิดวิสัย
ราวกับว่าเขาอยากเก็บที่นี่ไว้เป็นความลับไม่ให้ใครเข้ามาเยี่ยมเยียนเสียอย่างนั้น
หรือเพราะมีเธออยู่ที่นี่และยังไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้จัก
เถอะน่าเบญจา...เธอต้องการแค่บ้านหลังนี้ไม่ใช่หรือ
หญิงสาวปัดความหวาดหวั่นบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจออกไป
เธอกำลังจะเปลี่ยนจุดยืนเดิมหรืออย่างไร ถึงได้หวั่นไหวไปกับอารมณ์อ่อนแอของตัวเอง
สิ่งที่เธอต้องการก็คือบ้านหลังนี้ที่บรรพบุรุษของเธอสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
แล้วเธอเป็นคนที่รักษามันไว้ไม่ได้
ตอนนี้เธอจะต้องได้มันกลับคืนมาไม่ว่าด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง
การที่เขาหลงรักเธอและจะแต่งงานกับเธอก็คือวิธีหนึ่งที่จะได้มันมา
ถ้ามันเป็นการได้มาด้วยความรักของคนสองคนจริง ๆ ก็เป็นการได้มาอย่างถูกต้องชอบธรรม
แต่เธอยังไม่แน่ใจเลยว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่
มันเป็นความรักหรือแค่ความผูกพันที่อยู่ใกล้ชิด เธอไม่ปฏิเสธเลยว่าเขาเป็นคนน่ารัก
แต่ยังมีหลายอย่างที่เธอยังรู้สึกค้างคาใจ เหมือนเขายังมีบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผย
และนั่นคือ...สิ่งที่ทำให้เธอยังไม่กล้าเปิดใจรับเขาเข้ามาได้อย่างเต็มร้อย
-------------------------------------------
มาเอาใจช่วยพี่ดลกันเนาะ ชอบหรือไม่ชอบบอกกันได้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ...ทิพย์ทิวา 5/4/2016 22.18
ปล.ฝากอีบุ๊คพี่ดลด้วยนะคะ
ความคิดเห็น