คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : เหลือทางเดินไว้ให้ผมบ้าง 100%
เบญจากวาดตามองซุ้มน่ารักสีขาวที่ด้านหน้าเป็นโต๊ะเตี้ย ๆ แบบโต๊ะญี่ปุ่นสีขาวแต่มีความยาวมากกว่า เพื่อวางอาหารได้จำนวนมาก ด้านหลังโต๊ะเป็นเก้าอี้ผ้าใบชายหาดสีขาวสองตัววางคู่กัน เป็นครั้งแรกที่เธออยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้กับชายหนุ่ม แม้จะประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ข่มความรู้สึกนั้นไว้
เอาน่ายายเบญ...ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งของชีวิตก็แล้วกัน
หญิงสาวปรามความรู้สึกเคอะเขินเมื่อดวงตาระยิบระยับของฝ่ายตรงข้ามหันมามองแล้วกล่าวเชิญ
“นั่งก่อนนะครับคุณเบญ เดี๋ยวผมจัดการกับเจ้านิลก่อน ได้กลิ่นปลาเผาแล้วดิ้นใหญ่เชียว” หญิงสาวมองตัวยุ่งที่ดิ้นยุกยิกอยู่ในอ้อมแขนของเขา ชายหนุ่มหยิบจานมาแล้วตักปลาเผาตัวโตเลาะเอาแต่เนื้อใส่จนเต็มจาน แล้ววางให้มันห่างโต๊ะไปนิดหน่อย เจ้านิลไม่สนใจอะไรอีก มุ่งหน้าไปขย้ำเป้าหมายทันที
“เขาคงไม่สนใจเราแล้วละครับ” ธนดลหันมายิ้มให้แล้วนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะเริ่มลงมือตักอาหารใส่จานแบ่งให้
“ลองทานข้าวผัดซีฟู้ดก่อนนะครับ ไม่รู้ว่าจะสู้ฝีมือคุณเบญได้ไหม” เขาตักข้าวผัดเสร็จก็เอาไปวางไว้ข้างหน้าเธอ ก่อนจะหันไปยังหม้อไฟที่อาหารเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งอยู่ในนั้น
“ต้มยำโป๊ะแตกของที่นี่อร่อยมากนะครับ” เขาวางถ้วยต้มยำไว้ข้างเธออย่างเอาใจ ก่อนจะเริ่มลงมือตักให้ตัวเองบ้าง
“อร่อยไหมครับ” หันไปถามคนที่นั่งกินอยู่เงียบ ๆ วันนี้เธอพูดน้อยกว่าปกติตั้งแต่เขาขับรถออกมาจากบ้าน ซึ่งเขาก็เข้าใจเหตุผลนั้นดี ว่าไม่ได้เกิดจากความไม่เต็มใจหรือไม่พอใจมาด้วย เพียงแต่เธอยังคงรู้สึกแปลก ๆ และประดักประเดิดกับการที่เขาชวนกันออกมาข้างนอกด้วยกันเช่นนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมาเที่ยวกันตามลำพังสองต่อสอง ไม่ใช่การออกไปเลือกซื้อข้าวของเข้าบ้านอย่างคราวก่อน ๆ
“อร่อยค่ะ รสชาติดีมากทีเดียว” เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ก่อนจะก้มลงรับประทานอาหารต่อ
“กุ้งเผาครับ” เขาแกะกุ้งเผาใส่จานให้อย่างเอาใจ แม้เธอจะทำตัวเฉย ๆ ไม่ได้ชวนคุยโน่นคุยนี่แต่เขาก็มีความสุข ที่ได้พาเธอมาอยู่ด้วยกัน มาเปิดหูเปิดตาไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน
“ผมอยากได้ปลานึ่งมะนาวจังครับ” เขาเอ่ยยิ้ม ๆ แม้จะอยู่ห่างแต่ถ้าจะตักเองก็พอจะเอื้อมถึง แต่เขาก็อยากให้เธอได้มีปฏิกิริยาอะไรบ้างนอกจากนั่งรับประทานอาหารเงียบ ๆ เธอหันมามองก่อนจะเอื้อมไปตักเนื้อปลาบนเตารูปตัวปลาที่กำลังเดือดปุด ๆ ใส่ถ้วยเล็ก ๆ ส่งให้เขา
“ขอโทษนะคะ ที่เบญไม่ได้ดูแลคุณเลย” เธอเอ่ยเสียงเบา
“ผมไม่ได้มาให้คุณเบญดูแลสักหน่อย ผมแค่อยากดูแลเอาใจใส่คุณเบญตอบแทนที่ดูแลผมมาเกือบสองเดือนแล้วต่างหากครับ”
“ก็คุณดลให้ค่าจ้างตอบแทนเบญแล้วนี่คะ”
“ไม่เหมือนกันหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณเบญดูแลผมด้วยใจไม่ใช่แค่เรื่องค่าจ้างอย่างเดียว ผมก็อยากตอบแทนคุณเบญด้วยใจเหมือนกัน อยากทำให้คนที่ทำให้ผมมีความสุขได้มีความสุขบ้าง” ตอบเสียงนุ่ม ๆ อุ่น ๆ พลางเอียงหน้ามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่ามกลางแสงไฟแรงเทียนต่ำที่ทำให้บรรยากาศรอบข้างราวกับถักทอด้วยเส้นใยบางอย่างที่ทำให้อารมณ์อ่อนละมุน
“ขอบคุณค่ะ เบญก็ยอมรับว่าไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหน ตอนนี้เห็นอะไรก็ดูแปลกหูแปลกตาไปหมด ตอนเรียนก็เรียนอย่างเดียว นาน ๆ คุณพ่อจะมีเวลาพาไปเที่ยวไกล ๆ สักที” เธอเริ่มคุยเรื่องของตัวเอง
“คุณพ่อคุณเบญทำงานอะไรหรือครับ”
“คุณพ่อเบญเป็นทหารค่ะ ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน บางทีก็ไปนานหลายวันกว่าจะกลับมา พอกลับมาถึงบ้านท่านก็ไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่กับครอบครัวมากกว่า บางทีถ้าจะออกนอกบ้านก็พาไปทานข้าวร้านอาหารในกรุงเทพฯ นั่นละค่ะ น้อยครั้งที่ได้ออกต่างจังหวัด เพราะท่านมีเวลาน้อย ทำให้เบญเป็นคนติดบ้านไปโดยปริยาย” เธอเล่าให้เขาฟัง
“ผิดกับบ้านผมเลยครับ พ่อแม่ผมทำธุรกิจ ตอนเด็ก ๆ ผมแทบไม่ได้ทานข้าวเย็นกับพ่อแม่ เพราะท่านทำงานหนักมากกลับบ้านดึก ๆ ทุกวัน แต่โชคดีมีเวลาช่วงเช้าที่ได้นั่งทานข้าวด้วยกัน มีเวลาได้คุยโน่นคุยนี่กันบ้าง ผมเลยสนิทกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องมากกว่า เพราะตอนนั้นเขาเรียนแพทย์ ผมก็เลยให้เขาเป็นที่ปรึกษาหลังจากที่ผมเสียเวลาไปหนึ่งปีเพราะเลือกเรียนผิดคณะ” เขาเล่าแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ขำอดีตของตัวเอง
“ทำไมถึงเลือกเรียนผิดคะ” เบญจาถามก่อนจะตักอาหารขึ้นมารับประทาน
“ตอนจบ ม.6 ผมยอมรับว่าไม่ได้อยากเรียนแพทย์เลยเลือกส่งเดชไปไม่ได้ศีกษาให้ดีขอแค่ว่ามันเป็นสายวิทย์ก็พอเพราะผมถนัดวิทยาศาสตร์แต่ไม่อยากเป็นหมอรักษาคน พออาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าสัตวแพทย์กับสัตวบาลคืออันเดียวกันตอนเอนทรานซ์ผมเลยเลือกสัตว์บาลเป็นอันดับแรก แต่พอผมไปเรียนแล้วมันไม่ใช่ อ.แนะแนวบอกผิด” เขาตอบแล้วหัวเราะในลำคอ
“แล้วมันต่างกันยังไงคะ” เธอทำหน้าสนใจ
“สัตวแพทย์เป็นผู้รักษาโรคสัตว์ทุกชนิดต้องเรียนหกปี แต่สัตวบาลเป็นผู้ผลิตสัตว์ ดูแล จัดการ วิจัยซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องสัตว์เศรษฐกิจ เรียนสี่ปีจบ เฮียณุเลยบอกว่าถ้าผมไม่ชอบสัตวบาลก็ไม่ต้องเสียดายเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อทนเรียนต่อ เพราะไม่อย่างนั้นผมต้องทนทำงานที่ผมไม่ได้รักไปตลอดชีวิต ผมก็เลยเอนทรานซ์ใหม่เข้าเรียนสัตวแพทย์ในปีต่อมา ก็เลยได้จบมาเป็นสัตวแพทย์ แล้วทำงานในโรงพยาบาลสัตว์หาประสบการณ์มาห้าปีถึงได้มาเปิดโรงพยาบาลสัตว์เป็นของตัวเองนี่ละครับ”
“แล้วจะให้เบญเรียกคุณดลหรือคุณหมอดีคะ” หญิงสาวเย้ายิ้ม ๆ เธอเองก็เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นสัตวแพทย์ รู้แต่ว่าเขาทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์ตอนแรกคิดว่าเขาอาจจะเป็นผู้บริหารหรืออะไรสักอย่างที่นั่น เพิ่งได้รู้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับตัวเขาก็วันนี้เอง
“เรียกอะไรก็ได้ครับ แต่อย่าเรียกว่าหมอหมาก็พอ เพราะผมรักษาสัตว์อย่างอื่นด้วย” เขาบอกแล้วหัวเราะเบา ๆ พลอยทำให้คนข้าง ๆ หัวเราะได้ไปด้วย แค่เห็นเธอยิ้มสดใส มีชีวิตชีวา คนที่พามาก็มีความสุขแล้ว
การพูดคุยและเล่าเรื่องส่วนตัวให้กันและกันฟังก็ทำให้ความรู้สึกต่าง ๆ ค่อย ๆ ผ่อนคลาย การพูดคุยเลยลื่นไหลมากกว่าเดิมจนกระทั่งมื้ออาหารจบลง ชายหนุ่มเรียกพนักงานที่ยืนรออยู่ห่าง ๆ ให้มาเก็บโต๊ะ
พนักงานเก็บทำความสะอาดโต๊ะ แล้วนำเครื่องดื่มค็อกเทลสีฟ้าสดใสสองแก้ววางไว้แทนที่
“นั่งดื่มค็อกเทลดูดาวแล้วฟังเสียงคลื่นต่อสักพักนะครับ นาน ๆ จะได้มาพักผ่อนสักที” เขาหยิบแก้วเครื่องดื่มยื่นให้เธอแก้วหนึ่ง และหยิบของเขาเองอีกแก้วหนึ่งมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเอนกายลงนอนบนเก้าอี้ผ้าใบในท่าทางสบาย ๆ เธอก็ทำเช่นเดียวกัน นอนดูดาวที่พริบพราวอยู่บนท้องฟ้าเวิ้งว้าง ฟังเสียงคลื่นที่ซัดสาดอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากเรือเดินทะเลที่อยู่ลิบ ๆ และไฟสนามจากบ้านพักริมทะเลซึ่งมองเห็นอยู่ไกล ๆ ปล่อยความคิดและความรู้สึกให้ดื่มด่ำกับค่ำคืนที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ค่ำคืนที่มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง คอยหาเรื่องราวสนุก ๆ มาเล่าให้ฟัง คอยเอาอกเอาใจราวกับเธอเป็นเจ้าหญิง ความรู้สึกอ่อนหวานในหัวใจที่ไม่เคยคิดอีกแล้วว่าเธอจะมีโอกาส เขากลับทำให้เธอสัมผัสได้ในห้วงเวลานี้ ไม่ว่าเหตุผลอะไรที่เขาเอาใจใส่เธอเช่นนี้ เธอก็ยินดีจะรับมันไว้ด้วยความเต็มใจโดยไม่คิดจะค้นหาคำตอบอีกแล้ว
“ดื่มให้กับการเริ่มต้นที่ดีของเราครับ” เขายื่นแก้วมาตรงหน้า หญิงสาวยิ้มให้ก่อนจะยื่นแก้วไปกระทบเบา ๆ แล้วยกขึ้นจดริมฝีปาก ดื่มมันลงไปเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงแอลกอฮอล์บาง ๆ ที่ผสมมาในแก้ว
“อร่อยไหมครับ” คนที่นอนมองดาวอยู่ข้าง ๆ พลิกกายนอนตะแคงบนเก้าอี้ผ้าใบหันหน้ามาทางเธอซึ่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ใกล้กัน ระยะการวางเก้าอี้ห่างกันประมาณหนึ่งฟุตทำให้มองเห็นประกายตาวิบวับนั้นได้ชัดเจน
“ค่ะ รสชาติแปลกดี” เธอว่าอย่างนั้น ก่อนจะยกขึ้นจดริมฝีปากอีกครั้ง เพราะรสชาติหวานปะแล่ม ๆ นุ่ม ๆ ซ่า ๆ ตรงปลายลิ้นเรียกร้องให้เธอดื่มต่อได้อีก มองริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นแล้วคนมองก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า
“ดาวที่นี่สวยจังนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาจ้องมองเธอนานไปแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้ละสายตาจากดวงหน้างามที่เขาตั้งใจจ้องมองให้เธอรู้ตัว
“ครับ ผมกำลังดูอยู่” เขาตอบยิ้ม ๆ ทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าไปมองมันสักนิด
หญิงสาวหันมาสบตา
“อย่าบอกนะคะ ว่าคุณดลเห็นดาวอยู่ในดวงตาของเบญเหมือนในหนังสือนิยาย” เธอเย้าเขากลับบ้าง จนคนที่จะใช้มุกนี้หน้าม้านพลิกตัวนอนหงายทันที
“โธ่ คุณเบญ...เหลือทางให้ผมเดินหน่อยก็ไม่ได้” หญิงสาวหัวเราะคิก
“เบญไม่ใช่สาวน้อยที่คุณดลพามานั่งดูดาวบ่อย ๆ นะคะ” ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นไปนั่งตรง
“โอ๊ย คุณเบญ สาบานได้ด้วยเกียรติของตระกูลอารีวรกิจว่าผมยังไม่เคยพาสาวน้อยที่ไหนมานั่งดูดาวที่นี่เลยสักคน”
“ก็เมื่อกี้ที่คุณกับคุณแบมพูดถึง...” เธอหลุดปากพูดออกมาทั้งที่ไม่ได้คิดอยากจะให้เขารู้สึกนิดว่าแอบติดใจเรื่องนั้นอยู่ คนที่ฟังอยู่นิ่งคิดแล้วอมยิ้มก่อนอธิบาย
“โธ่ นั่นยายเม่ยน้องสาวผมครับ ชอบพาเพื่อน ๆ มาพักที่นี่บ่อย ๆ คุณแบมเธอสนิทกับยายเม่ยก็เลยทักขึ้นแค่นั้นเองครับ สาบานได้ว่าผมยังไม่มีสาว ๆ ที่ไหนแน่นอน” ชายหนุ่มยกสามนิ้วให้สัตย์สาบานแบบลูกเสือสามัญ
“คุณดลพูดสาบานเป็นครั้งที่สองแล้วนะคะ”
“ก็ผมกลัวคุณเบญไม่เชื่อนี่ครับ ได้โปรดเชื่อผมเถอะ อย่าให้ต้องสาบานเป็นครั้งที่สามเลยนะครับ” คนร้อนตัวโอดครวญ
“โอเคค่ะ เบญเชื่อแล้วก็ได้” เธอหัวเราะขำ ก่อนจะดื่มน้ำสีฟ้าจนหมดแก้วแล้ววางลงที่โต๊ะ
“คุณเบญง่วงหรือยังครับ”
“ก็นิดหน่อยค่ะ” เธอหันมาตอบก่อนจะเอนกายลงที่เดิม
“ถ้าแค่นิดหน่อย งั้น ดื่มอีกคนละแก้วแล้วค่อยเข้านอนนะครับ” ชายหนุ่มว่าแล้วก็เรียกพนักงานแล้วบอกให้เอาเครื่องดื่มแบบเดิมมาเสิร์ฟอีกคนละแก้ว พนักงานสาวสองคนเขาคุ้นเคยดีเพราะมาบริการเขาทุกครั้งที่มาพักที่นี่ ทั้งสองคนมารับออเดอร์แล้วเดินคุยกันไป
“แกว่าป่ะ แฟนคุณดลสวยมากเลย” เสียงคนฝั่งซ้ายมือหันมาพูดกับเพื่อน
“อือ ท่าทางจะรักมากเนอะ ปกติไม่เคยเห็นพาใครมาสักที แกเห็นป่ะ นั่งมองหน้าแฟนตาหวานฉ่ำ เห็นแล้วอิจฉา”
“อือ คุณดลทั้งหล่อทั้งรวยเขาก็ต้องมีแฟนสวยเป็นธรรมดา เห็นคุณแบมว่าคุณดลนอกจากหล่อแล้วยังรวยมากกกก” เธอคนนั้นเน้นคำว่า ‘มาก’ ยาวประมาณสามวิ
“ไม่ต้องให้คุณแบมบอกหรอก ฉันบอกเองก็ได้ เพราะมีปัญญามาซื้อบ้านในโครงการนี้ได้ฐานะคงไม่ธรรมดานักหรอก”
เสียงที่แว่วมาเข้าหูทำให้เบญจาต้องหันไปมองคนที่ถูกกล่าวถึงซึ่งตั้งท่าเงี่ยหูฟังอยู่เหมือนกัน
“เผาขนกันเลย...” สัตวแพทย์หนุ่มพึมพำพลางหันมายิ้มเจื่อน
“ค่ะ” เธอหัวเราะขำ
“ผมคงต้องไปหาคุณแบมหน่อยแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น หญิงสาวหันมองหน้าตื่น
“คุณดลจะร้องเรียนหรือคะ” เธอคิดว่าเขาไม่พอใจที่ถูกพนักงานเอาไปนินทา จึงกลัวว่าสองคนนั้นจะเดือดร้อนไปด้วย
“เปล่า ผมจะไปให้รางวัล ที่เขาพูดถูกใจผมหมดทุกอย่าง ยกเว้นที่บอกว่าผมรวยมาก” หันมาตอบด้วยแววตากรุ้มกริ่ม คนที่กำลังหน้าตื่นกลายเป็นหน้าแดงแทนทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสองคนนั้นพูดอะไรไปบ้าง
เพียงไม่นานค็อกเทลอีกสองแก้วก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เขานั่งดื่มไปเรื่อย ๆ ชำเลืองมองคนที่นอนดูดาวไปพลาง ปล่อยให้เธอดื่มด่ำกับบรรยากาศตามแต่ใจต้องการ นาน ๆ ถึงจะชวนคุยสักที ส่วนเจ้านิลกินอิ่มก็มาปีนขึ้นมานอนบนอกเขา
แล้วเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อยการที่สองคนนั้นชมว่าเขามีแฟนสวยก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าเธอไม่ได้ดูว่าอายุมากกว่าเขาเลยสักนิดเดียว เธอสวยและอ่อนกว่าวัยจริง ๆ ไม่ใช่เขาคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว
ความคิดเห็น