ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หากจะรัก (นิยายชุดเพียงแสงส่องใจ)

    ลำดับตอนที่ #1 : แรกเจอ 50% (รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.12K
      45
      30 มิ.ย. 59

    แรกเจอ

     

    “การบินไทย...รักคุณเท่าฟ้า” เสียงทุ้มอบอุ่นจากโฆษณาสายการบินชื่อดังบนมอนิเตอร์จอยักษ์ ซึ่งแสดงภาพเคลื่อนไหวอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ขณะที่หญิงสาวร่างระหงกำลังเดินเข็นกระเป๋าใบใหญ่เดินผ่านมา เธอเงยหน้ามองแวบหนึ่งแล้วเดินจากไป

    จะมีใครรักเธอเท่าฟ้าอย่างสายการบินนี้อีกไหม?

    รอยยิ้มบนมุมปากเรียวหวานขยับยกอย่างนึกขัน เมื่อนึกถึงอายุอานามที่ปาเข้าไปสามสิบเก้าปีแล้วแต่ก็ยังไร้คู่ครอง ด้วยภาระหน้าที่มากมายซึ่งหล่อหลอมให้เธอต้องรับผิดชอบจนทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

    จนกระทั่งวันนี้เมื่อหลานสาวตัวน้อยเติบใหญ่จนมีคู่ครอง ทำให้เธอได้ใช้ชีวิตลำพังอีกครั้ง จากการที่มีใครคนหนึ่งให้รับผิดชอบในชีวิตรวมทั้งความกังวลในหลาย ๆ เรื่อง ทำให้เธอลืมนึกถึงการมีคู่ชีวิตไปเสียแล้ว แต่คำบอกรักในโฆษณาเมื่อสักครู่นี้กลับทำให้ย้อนคิดถึงมันอีกครั้ง

    เฮ้อ...อายุขนาดนี้แล้วจะคิดไปทำไมกัน!

    หญิงสาวสลัดความคิดวุ่นวนในสมอง เมื่อเดินมาถึงทางออกเพื่อขึ้นรถแท็กซี่ในจุดที่ทางสนามบินจัดไว้รอรับผู้โดยสาร คนขับรถกุลีกุจอมาช่วยยกกระเป๋าไปใส่รถให้

    เธอเปิดสมาร์ตโฟนแล้วหย่อนลงในกระเป๋าถือ ก่อนเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง แล้วเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันที เบญจาหยิบมารับสาย แทบไม่ต้องดูเธอก็รู้ว่าคนต้นสายเป็นใคร เพราะในชีวิตของเธอมีเพียงแพรไหมหลานสาวคนเดียวเท่านั้น ที่โทร. เข้ามาสอบถามความเป็นอยู่แทบทุกวัน

    “น้ามาถึงกรุงเทพฯ แล้วค่ะน้องแพร กำลังจะกลับบ้าน” เธอกรอกเสียงไปก่อนที่หลานสาวจะถาม แม้แพรไหมจะแต่งงานและใช้ชีวิตกับสามีที่ลำปางมาหลายเดือนแล้วแต่ก็ยังโทร. เข้ามาสอบถามข่าวคราวของเธอได้ไม่เว้นแต่ละวัน

    “ก่อนน้าเบญจะกลับ แม่ถามถึง...แพรบ้างไหมคะ” แพรไหมถามถึงมารดาของเธอซึ่งไปแต่งงานและมีครอบครัวใหม่อยู่ที่อเมริกา

    “แม่คิดถึงน้องแพรมากค่ะ  อยากให้น้องแพรไปเยี่ยมบ้าง น้าให้เขาดูรูปวันแต่งงานของน้องแพรแล้ว แม่เขาดีใจมากที่น้องแพรได้แต่งงานกับคนดี ๆ อย่างคุณธาวิน” เบญจาตอบหลานสาวเสียงนุ่มนวล

    แพรไหมคือหลานสาวคนเดียวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เธอจึงยอมใช้ทั้งชีวิตเพื่อดูแลหลานสาวแสนอาภัพคนนี้และไม่เคยคิดจะเอาใครเข้ามาร่วมชีวิตด้วย เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เข้าใจถึงภาระของเธอ รวมถึงเหตุผลน่าเศร้าใจอีกหลายอย่างซึ่งเธอไม่อยากคิดถึงมัน ที่ทำให้ต้องอยู่เป็นโสดมาจนป่านนี้

    “แล้ว...น้อง..ล่ะคะ” แพรไหมอดถามถึงน้องสาวต่างบิดาไม่ได้ น้องสาวที่เธอเคยรู้สึกอิจฉาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่ตลอดเวลา

    “แพทริเซียโตขึ้นมาก ตอนนี้เป็นสาวแล้ว และสวยมากด้วย น้าถ่ายรูปมาเยอะเลย เดี๋ยวจะส่งอีเมล์ไปให้ดู” เบญจาตอบ เพราะระหว่างที่อยู่อเมริกาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์เธอแทบไม่ได้ติดต่อกับแพรไหม เนื่องจากพี่สาวของเธอพาไปเที่ยวจนแทบไม่ได้หยุดพัก หลังจากไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี

    ส่วนแพรไหมก็ดูเหมือนไม่อยากพูดคุยกับแม่นัก ซึ่งเธอก็เข้าใจถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของหลานสาวดี จึงไม่อยากเร่งรัดให้หลานสาวยอมรับแม่ของตัวเองที่ทอดทิ้งไปตั้งแต่ยังเล็ก

    การเดินทางไปเยี่ยมพี่สาวครั้งนี้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากที่พี่สาวของเธอติดต่อกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อได้รับอีเมลที่เธอส่งไปเพื่อแจ้งว่าแพรไหมจะแต่งงาน

    แต่เพียงขวัญผู้เป็นพี่สาวก็ไม่สามารถเดินทางมางานแต่งงานของลูกสาวได้ เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปหาด้วยตัวเองหลังจากได้รับเงินก้อนใหญ่เป็นค่าเดินทางท่องเที่ยวที่หลานสาวมอบให้หลังแต่งงาน เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เธอเคยส่งเสียเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบาก

    เพราะหลังจากแต่งงานกับธาวินซึ่งได้รับทรัพย์สมบัติจำนวนมากจากบิดา ทำให้ชีวิตของแพรไหมไม่ลำบากนัก แต่ก็ยังช่วยงานธุรกิจของสามีอยู่ที่ลำปางอย่างเต็มกำลัง และคอยสอบถามข่าวคราวของเธอไม่ได้ขาด

    เบญจาคุยกับหลานสาวไม่นานนักก็วางสายลง แล้วปล่อยให้รถแท็กซี่พากลับบ้านย่านพระโขนงซึ่งเป็นที่พำนักของเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวมากมายจนทำให้เธอที่มีฐานะร่ำรวย มีทั้งทรัพย์สินและเกียรติยศกลายมาเป็นคนหาเช้ากินค่ำอย่างทุกวันนี้

     

    หน้าอาคารสี่ชั้นซึ่งเป็นโรงพยาบาลสัตว์อารีวรกิจ สัตวแพทย์หนุ่มหล่อผิวขาวจัด แต่ใบหน้ากลับดูคมเข้มน่ามองทั้งที่มีเชื้อสายจีน อายุของเขากำลังจะย่างเข้าสามสิบในอีกไม่นานนี้นามว่า ธนดล อารีวรกิจ กำลังปิดประตูรถด้วยอารมณ์หงุดหงิดหลังจากวางสายจากบิดาที่โทรมาย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้เขาเข้าไปดูบ้านมรดกที่อากงยกให้

    หลังจากที่มาอาศัยนอนอยู่ที่ชั้นบนของโรงพยาบาลสัตว์มาหลายวันเพราะไม่อยากกลับบ้านแล้วโดนเซ้าซี้เรื่องนี้ แต่สุดท้ายท่านก็โทร. มารบเร้าเขาอีกจนได้ พร้อมกับยื่นเงื่อนไขที่ทำให้ชายหนุ่มต้องจำยอม

    เมื่อเข้าไปนั่งในรถเขาก็คว้าสมาร์ตโฟนขึ้นมาโทร. ออกไปเพื่อระบายความอึดอัดใจให้กับญาติสนิทลูกพี่ลูกน้องที่นับถือราวกับเป็นพี่ชายแท้ ๆ ทันที เพราะมีแต่ศัลยแพทย์หนุ่มคนนี้ที่มีจิตใจเมตตารับฟังเขาทุกเรื่องมาตั้งแต่เด็ก

    “เฮียคิดดูสิ สมบัติอื่นของตระกูลเรามีเยอะแยะ ทำไมอากงถึงต้องยกบ้านผีสิงนั่นให้ผมด้วย รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบ แล้วป๊าก็ดันบ้าจี้จะให้ผมไปอยู่ที่นั่นให้ได้” เขามุ่งเข้าประเด็นทันทีเมื่ออีกฝ่ายรับสาย แต่เสียงนุ่มนวลที่ตอบมาทำให้เขาต้องนิ่งฟัง

    “ดล นายโตแล้วนะ เลิกกลัวบ้านหลังนั้นได้แล้ว ตอนอากงซื้อมาใหม่ ๆ เฮียเข้าไปตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นจะน่ากลัวอย่างที่ว่าสักหน่อย หลังก็ใหญ่โตราคามหาศาลเชียวนะนั่น ใจเย็น ๆ แล้วไปดูก่อนละกัน แค่นี้ก่อนนะ เฮียมีคนไข้ต้องตรวจต่อ เดี๋ยวออกเวรค่อยโทร. หา” พี่ชายลูกพี่ลูกน้องซึ่งทำงานในโรงพยาบาลต่างจังหวัดทางภาคเหนือวางหูไปแล้ว แต่อารมณ์ของธนดลในตอนนี้ยังคุกรุ่น เมื่อคิดถึงบ้านหลังใหญ่ที่มีทายาทของอากงหลายคนอยากได้

    แต่พินัยกรรมกลับระบุไว้เป็นชื่อของเขาเท่านั้นในฐานะหลานชายคนโปรด ห้ามเปลี่ยนมือไปให้ใครนอกจากผู้เป็นบุตรธิดา ซึ่งเขายังไม่มีแม้กระทั่งคนที่จะมาเป็นแม่ของลูก แล้วจะไปหาบุตรธิดาที่ไหนมารับเคราะห์แทนได้

    แถมผู้เป็นบิดาก็ยังขับไล่ไสส่งเหลือเกินให้เขาออกมาดูแลบ้านมรดกหลังนั้น จนถึงขั้นยื่นคำขาดว่าจะตัดความช่วยเหลือเรื่องโรงพยาบาลสัตว์ซึ่งเขาเพิ่งจะทุ่มเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตสร้างขึ้นมาและสถานะทางบัญชียังติดลบ หากไม่ไปอยู่และปรับปรุงบ้านหลังนั้นให้ดีขึ้น

    ภาพหลอนในวัยเด็กตอนที่เขามาพักกับอากงก่อนจะถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศทำให้เขาเข็ดขยาดกับบ้านหลังนั้นมาจนบัดนี้ ยิ่งเห็นภาพนายทหารใหญ่ที่ตั้งสูงเท่าเสาบ้านเขาก็ยิ่งหวั่นเกรง

    อากงของเขาบอกว่าเป็นรูปเจ้าของบ้านเดิม ซึ่งเป็นนายทหารยศสูงที่มีบุญคุณกับประเทศอย่างใหญ่หลวง ท่านบอกว่าลูกสาวเจ้าของบ้านเดิมฝากเอาไว้และจะมาเอารูปนั้นไปไว้บ้านหลังใหม่เมื่อสร้างเสร็จแล้ว

    พอตกกลางคืน เขาฝันว่าคนในรูปบานใหญ่นั้นมาชวนเขาออกไปเดินเล่น พอตื่นขึ้นมากลายเป็นว่าเขานอนละเมอแล้วเดินมายืนอยู่หน้ารูปพอดี แค่นั้นก็ทำให้เขาขวัญกระเจิงและไม่คิดจะกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเลย

    เขายอมรับกับตัวเองอย่างไม่อายว่าปอดแหกกับเรื่องจิตวิญญาณ ถึงได้ผ่าเหล่าไปเรียนสัตวแพทย์แทนแพทย์ศาสตร์แขนงอื่น ๆ ที่คนในตระกูลแทบทุกคนร่ำเรียนมา

    ตระกูลของเขาเป็นแพทย์ฝีมือดีกันมาตั้งแต่รุ่นอากง มีแต่เขาที่ไม่อยากเรียนแพทย์ แต่เมื่อขัดไม่ได้ที่จะต้องเลือกเรียนแพทย์ เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเสียหน้าพี่น้องคนอื่น ที่แต่ละคนก็มีลูกชายหญิงเรียนแพทย์จนได้ดิบได้ดีกันทุกคน

    เขาจึงเลือกเรียนสัตวแพทย์แทนแพทย์ที่ต้องรักษาคนไข้เพราะกลัวอาจารย์ใหญ่ ห้องดับจิต ลิฟต์ในโรงพยาบาล และอะไรต่ออะไรอีกมากมายที่จะทำให้เขาจินตนาการจนเกิดภาพหลอน จะให้บอกกันตามตรงก็ได้ว่าชีวิตของเขาไม่เคยกลัวอะไรเลยนอกจากผีก็ว่าได้ แล้วจะให้เขาไปรับมรดกซึ่งเป็นบ้านโบราณที่สืบทอดกันมาไม่รู้กี่ชั่วคนนั้นโดยหน้าชื่นตาบานได้อย่างไร

    บ้านหลังนั้นอยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลสัตว์ของเขามากนัก แค่ขับรถไปอีกเพียงไม่กี่ซอยก็ถึงแล้ว ซึ่งดูเหมือนกับว่าอากงของเขาวางแผนให้หลานรักคนนี้เสร็จสรรพ โดยมอบที่ดินแปลงที่ใช้สร้างโรงพยาบาลสัตว์ให้กับเขาและมอบบ้านผีสิงนั่นซึ่งอยู่ละแวกเดียวกันให้เขาด้วย

    แน่นอนเขายอมรับว่าขอบคุณอากงมากที่รักและเป็นห่วง มอบที่ดินผืนใหญ่ราคาแพงลิ่วซึ่งอยู่ในทำเลดีนั่นให้เขา ที่จริงมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว จะยกบ้านนั่นให้เขาอีกทำไมกัน เขาอยากปลุกท่านขึ้นมาถามนัก


    ----------------------------------------------------------

    เอามาเรียกน้ำย่อยกันก่อนนะคะ ไม่ได้ลงนิยายใหม่มาหลายเดือนทีเดียว แอบหวั่นใจว่าคราวนี้จะไม่มีคนตามอ่าน ยังไงก็ฝากแอดแฟนพันธุ์แท้ไว้เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะคะ ชอบหรือไม่ชอบยังไงก็ติชมกันได้อย่างเคยค่ะ...ทิพย์ทิวา 14/2/2016 16.23

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×