ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันปลายดอย

    ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อครั้ง...อยู่กับยาย....(คำนำจากผู้เขียน)ข้ามได้ค่ะ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 311
      0
      2 ส.ค. 53


    บางที
    ในการมองไปข้างหน้ามันก็ช่างเหนื่อยล้าเหลือเกิน
    การที่เราต้องมานั่งนึกว่าวันพรุ่งนี้จะต้องก้าวไปอย่างไร
    เมื่อใดที่เราเหนื่อยล้า
    คนหลายคนก็มองหาที่พักใจ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้ลืมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าลงไปบ้าง

    ฉันไม่รู้ว่าที่ฉันทำอยู่นั้นมันไม่แปลกสำหรับวัยรุ่นคนหนึ่ง หรือว่าฉันกำลังหลอกตัวเองว่าฉันนั้นไม่ผิด

    บางทีการมองไปหยุดอยู่กับที่แล้วมองย้อนไปถึงสิ่งต่างๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้อุ่นใจบ้าง

    บ้านของฉันอยู่ติดถนนในใหญ่แถบชานเมืองจังหวัดเชียงราย
    ถนนสายหลักของไทย มีรถผ่านตลอด24 ชั่วโมง ใครจะรู้ว่าการพักผ่อนจะเกินขึ้นได้ที่หน้าบ้านของฉันเอง
    ลมเย็นๆพักผ่านใบหน้าเข้ามา เรื่องราวสับสนมากมายวนเวียนอยู่ในหัว เฝ้าแต่คิดว่าเมื่อไหร่ฉันจะผ่านมันไปได้สักที
    พ่อกับแม่ฉันไม่เคยคาดหวังให้ฉันเป็นอัจฉริยะหรือเป็นที่นับหน้าถือตา แต่พวกเขาคาดหวังให้ฉันเป็นเด็กดี
    ซึ่งมาตรฐานของพวกเขามันช่างสูงเหลือเกิน
    นี่ฉันกำลังโดนดุเพราะว่าฉันเข้าบ้านดึก(ทุ่มครึ่ง)
    ฉันเฝ้าแต่คิดว่าเมื่อไหร่หนอฉันถึงจะอยู่ในสถานะที่เขาเรียกว่าโตเสียที

    ฉันหลับตาลงบนม้านอนหน้าบ้านขณะที่ทุกคนนั่งอยู่ในบ้าน
    ฉันคิดว่ามันคงดีกว่าการนั่งอยู่ในบ้านอับๆนั่นเสียกระไร
    ลมเย็นๆทำให้ฉันรู้สึกสบายขึ้น
    โดยปราศจากเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ

    การนอนนิ่งๆหลับตาทั้งๆที่ไม่รู้ว่าฉันควรจะนึกถึงอะไรที่พอจะทำให้ฉันอุ่นใจได้บ้าง น้ำตาที่อยากให้มันไหลออกมามันก็ไม่ไหลออกมาดั่งใจหวัง
    ทำให้เกิดความอึดอัดขึ้นในอกอย่างหนัก

    สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาปะทะใบหน้าโดยมีกลิ่นอุ่นๆหอมๆที่ไม่ใช่น้ำหอมหรือดอกไม้แต่หากเป็นกลิ่นที่แสนคุ้นเคยอย่างไม่สามารถอธิบายได้มาก่อน
    ฉันนอนขดตัวเองลงไปอีกนิด
    เหมือนมีสัมผัสอุ่นๆอยู่ตรงหน้าผาก
    อะไรหนอ??มันจะรู้สึกชัดเจนเกินไปหรือเปล่า หรือฉันคิดมากไปเอง ผี??วิญญาณ หรือฉันกำลังไม่สบาย???

    ใจปวดๆหยุดนิ่งสักพัก
    ความทรงจำเมื่ออดีตยามเด็กๆไหลเข้ามาในหัว...

    เมื่อครั้ง4ขวบ
     "ฮือ...ฮึก..."เด็กผู้หญิงโง่ๆกำลังนั่งร้องไห้งอแงอย่างไม่มีสาเหตุ ทำไมตัวฉันในตอนนั้นงี่เง่าเสียกะไร
    "อีหล้า...ไห้ยะหยัง อยากกิ๋นเข้ากะลูก?"
    ((อีหล้า)คำเรียกลูกหลานสาวสุดท้อง...ร้องไห้ทำไม หิวข้าวหรอลูก)
    คุณยายที่เดินวกวนไปมาหันมาถามฉันที่นั่งทำตัวงี่เง่าตรงประตู เท่าที่ฉันจำได้ คุณยายทำงานนิดๆหน่อยๆไม่ปลูกผัก
    ถางหญ้า กวาดบ้าง
    ดองมะม่วงและผลไม้ต่างๆในสวนเป็นประจำ และตอนนั้นในมือของแกก็กำลังนวดแป้งอย่างขะมักเขม้น
    "อึ๊...ฮือๆๆ"(ไม่...ร้องไห้งี่เง่าต่อไป)
    คุณยายไม่ฟังเสียงใดๆ มือเหี่ยวย่นละจากแป้งขนมตรงหน้า พรุ่งนี้วันพระแกคงนวดขนมไปแบ่งคนอื่นกินที่วัดอีกเป็แนน่
    "เด๋วแม่อุ้ยทอดไข่หื้อกิ๋นเนาะ "
    (เดี๋ยวยายเจียวไข่ให้กินเนาะ)
    ไม่ฟังเสียงใดๆ
    แกไปเจียวไข่อันเหลืองหอมมาวางตรงหน้า นังเด็กโง่ๆนั่นหุบปากทันทีที่กลิ่นไข่เจียวลอยเตะจมูก
    ปากที่พึ่งแหกร้องไห้สักครูอ้าปากเอาไข่เจียวที่วางบนข้าวเหนียวที่ยายลุกขึ้นมานึ่งแต่เช้าทุกวัน
    พ่อกับแม่ไปทำไร่(สมัยนั้น) ฉันอยู่บ้านกับยายและตาประจำ

    ได้กินไข่เจียวของยายเหมือนมีความสุขไหลลงท้องอย่างไรอย่างงั้น
    คุณยายมองอย่างยิ้มคล้ายกับนึกในใจ ว่า
    "กูว่าแล้ว..."
    นังเด็กโง่ๆที่ไม่เคยรู้อะไรเลยแม้แต่ว่าตัวเองหิวข้าว ก็นั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยๆอย่างมีความสุข

    เมื่อข้าวร้อนๆผ่านไปอย่างหนัก(ท้อง)
    ยายก็พาฉันมานอนใต้ถุนบ้านที่มีลมพัดมาตลอดวัน
    แขนเหี่ยวๆของยายยังวางไว้ให้ฉันหนุนนอน
    ฉันคิดในใจว่า คุณยายนี่ผอมจิงๆ มีแต่กระดูกเจ็บเสียไม่มี แต่ถึงกระนั้นฉันก็เลือกที่จะหนุนตรงนั้นอย่างไม่เต็มใจ แทนที่จะหนุนหมอนนุ่มๆ

    นิทานปรัมปราเรื่องของลูกชายที่ถูกพาไปทิ้งกับน้องสาว
    และน้องสาวก็ถูกเสือคาบไปกิน สุดท้ายได้แต่งงานกับธิดาท้าวเจ้าเมือง  ถูกเล่าผ่านสมองน้อยๆที่กำลังรับรู้ อย่างตั้งใจ มันเป็นเรื่องเล่าที่แสนซ้ำซาก

    แต่มันตื่นเต้นเหมือนได้ผจญไปทุกครั้งที่ได้ฟัง
    ฉันหลับไปอย่างเงียบงัน
    กลิ่นคนแก่ของคุณยายคลุกอยู่จมูกจะว่าหอมก็ไม่ใช่เหม็นก็ไม่ใช่

    แต่ที่ตรงนี้แม้จะในฤดูร้อนฉันก็รู้สึกว่ามันอบอุ่นมากกว่าจะร้อนหรือแม้แต่หนาว
    กลิ่นคุ้นจมูกทำให้ฉันหลับไปอย่างไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
    ขณะที่คุณตานั่งผิวปากกล่อมไปด้วยพลางเหลาไม้หวายเพื่อสานตระกร้าไปพลาง คุณยายที่คงเหนื่อยกับงานในสวนก็นอนหลับไปกับฉัน

    เมื่อฉันตื่นขึ้นมาก็พบคุณตากำลังนอนกรนกอดฉันอยู่ข้างๆ
    และคุณยายก็ไปนั่งเหลาไม้หวายแทน


    ฉันลุกไปนอนตักคุณยาย ตะวันลับของฟ้าแล้ว
    กระดูกที่ขาของยายแหลมซะยิ่งกว่าแขนเสียอีก 
    ยายพาฉันไปอาบน้ำที่ตาตากแดดไว้แต่เช้า
    ไม่ต้องผ่านเครื่องทำน้ำอุ่นใดๆ 
    มือเหี่ยวๆ ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันดึงหนังมือขึ้นมันจะค้างอยู่อย่างงั้นเหมือนหลังกิ้งก่า
    ยายขัดขี้ไคลให้ฉันโดยไม่ต้องพึ่งสครัปใดๆ มีหนังมือเหี่ยวๆนั่นก็เเสบยิ่งกว่าสครัปขั้นเทพ

        แม่กับพ่อกลับมาจากทำไร่
     พวกเรานั่งกินแกงหน่อไม้
    ฉันอายุยังน้อยแต่ก็ชอบกินแกงเผ็ดๆของแม่เสียกะไร
    ตากับแม่ทำกับข้าวอร่อยมาก

    แต่ยายทำขนมอร่อย แต่ทำกับข้าวไม่อร่อยเลย
    สู้แม่กับตาก็ไม่ได้ แต่ยายมักชมว่า
    ฉันตำน้ำพริกอร่อยเหมือนแม่
    ตำใส่แกงทีไรไม่ตอ้งปรุงเพิ่มทุกที ก็แหม นั่งภูมิใจเสียกะไร
    ไม่นึกเลยว่ากำลังถูกหลอกใช้ให้ตำน้ำพริกใส่แกงทุกวันต่างหาก
    คุณตามักสอนให้ฉันติดไฟโดยไม่พึ่งไม่เกี๊ยะ
    แต่ใช้ไม้ฟืนที่คุณพ่อถางให้เป็นแผ่นๆแทน จนถึงบัดนี้ ฉันก็ยังติดไฟไม่เก่งเท่าตากับยายสักที

           ฉันกินข้าวเย็นเสร็จไปแล้ว
    ข้าวเหนียวที่เหลือจะถูกเก็บไว้อุ่นกินในเช้าวันต่อไป
    โดยฝีมือคุณยายอีกนั่นแหละ คุณยายพาฉันไปแช่ข้าวเหนียวทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อรุ่งเช้ามันจะได้พร้อมแก่การนึ่งให้หอมนุ่ม

    ฉันเทน้ำข้าวของคืนก่อนที่ยายตักไว้ลงไปผสมในกะละมังแช่ข้าวด้วย
    ยายบอกว่ามันเป็นหัวเชื้อจะทำให้ข้าวไหต่อไปนึ่งได้นุ่มและไม่แฉะ ยายหยิบข้าวสารที่ฉันแช่เคี้ยวๆสักสองเม็ดแล้วโยนลงไปตามเดิม ไม่รู้สูตรนี้มาจากไหน แต่ยายบอกว่ามันจะทำให้ผีกะ(ผีที่แอบกินของชาวบ้าน)ไม่มากินข้าว
    ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เกินความรู้สึกรังเกียจใดๆ
    เพราะยังเด็กมาก ฉันกลับเข้าไปในบ้านพลางนั่งตักคุณตา
    แหม ตักตาเหมือนตักยายที่ไหน ออกจะนุ่ม ไม่มีแต่กระดูกเหมือนยาย

    ตาเป็นคนตัวสูง ใหญ่ ขาว ยายบอกว่ายายตอนสาวๆเหมือนจินตรา สุขภัทร์(ชื่อถูกไม๊) แต่ฉันนึกภาพหนังของยายตึงไม่ออกเลย
    คุณตาของฉันสูงขาวหล่อตี๋ เกาหลีใช้ได้555+ สังเกตุจากรูปที่แกเป็นผู้ใหญ่บ้านใหม่ๆหล่อดีจิงๆ แกเป็นคนขาวนี่เนาะ แต่ยายนี่สิ
    คล้ำๆกว่าตาอีก แต่ก็คงจะสวยแหละมั้งแต่ก่อน

    เกิดไม่ทันตอนแกสาวนี่นา ยายเล่าว่า เมื่อคืน ยายนอนแล้วแมลงสาปกัดตูดยายเลยกระทืบมันเสีย ฉันหัวเราะ
    และเล่าให้ทุกคนฟังว่าวันนี้ฉันช่วยตั๊กแตนน้อยๆที่ตกน้ำด้วย ตาบอกว่า ดีแล้วฉันเป็นเด็กดี
    ฉันนั่งยิ้มหน้าบานแล้วบอกว่า ตั๊กแตนจะให้ฉันขี่หลังไปเที่ยวทะเลเพราะฉันช่วยมัน
    แต่ยายจะโดนพวกพ้องแมลงสาปกัดตูดอีกคืนนี้เพราะยายไปฆ่าเพื่อนมัน
    ยายหัวเราะกับความคิดสัปดน
    แต่ฉันไม่นึกว่ามันขำเพราะกำลังนึกภาพทะเลที่สวยงาม(เด็กเหนือเห็นแต่ดอย)
          เช้าวันต่อมาสดใสเสียกะไร
     ยายยังคงคนข้าวเหนียวร้อนๆให้แตกออกจากกัน
    หลังจากเทออกจากไหนึ่งไม้
    ฉันเดินเข้าไปหายายให้ฉันใช้ไม้พายคนข้าวเหนียว
    ยายบอกว่า เอาน้ำชุบมันจะได้ไม่ติดไม้

    ฉํนทำตามว่าอย่างเมามันส์(?)
    แล้วอาหารมือเช้าวันนี้ก็ผ่านไปอีกวัน
    พลางนึกว่าวันนี้ต้องเล่นกับยายอีกแล้ว
    ไม่อยากเล่นเลย ยายแก่แล้ว ดีหน่อยที่ตามักจะทำของเล่นใหม่ๆให้เสมอ เช่นเอาถุงพลาสติกมัดติดปลายไม้ให้ไปไล่จับผีเสื้อและแมลงปอในสวน
    แต่ตาบอกว่า อย่าทำมันเจ็บและถ้าจับได้แล้วให้ปล่อยมันไป
    เพราะมันคิดถึงพ่อกับแม่ของมัน

    ฉันสาบานได้เลยว่าฉันไม่อยากให้มันจากพ่อกับแม่หรอก ขนาดฉันพ่อกับแม่ไปไร่ ฉํนยังห่วงว่าพ่อกับแม่จะโดนเสือกัดเลย(ไม่มี)
    ตากับยายบอกว่าถ้าพ่อกับแม่ไปทำไร่
    อย่าร้องไห้และวิ่งตาม เพราะจำให้เสือกัดพ่อกับแม่
    ด้วยความกลัวฉันจึงไม่เคยวิ่งตามพ่อกับแม่ไปเลย แหม....โง่เสียจิงๆ

            ฉันจำได้ว่าฉันเคยโดนยายตะคอกใส่ครั้งหนึ่ง
    แต่จำไม่ได้ว่าเนื่องด้วยอะไร
    ฉันร้องไห้เหมือนโดนแหกปอด
    ยายต้องขอโทษและกอดตั้งนานสองนานกว่าจะหยุดร้องไห้

    นึกแล้วก็เจ็บใจ โถ..อีเด็กบ้า ทำให้ยายเหนื่อยมากมาย
    ตอนนั้นไม่ตระหนักสักนิดว่ายายรักฉันมากแค่ไหน แต่ให้ทายได้เลย
    แม้แต่ไม้แค่เล่มเดียวก็ไม่เคยแตะโดนก้นฉันเลย ตอนนั้นไม่รำลึกหรอกว่ายายรักฉันมากแค่ไหน พอมาถึงตอนนี้นึกย้อนไป ความอบอุ่นนั้นยังตราตรึงไม่หาย..
        
      เมื่อห้าปีที่แล้ว
    คุณยายจากไปด้วยโรคมะเร็งปอดหลังจากทรมานกับมากว่าปีกว่าๆ
    คุณตาเสียใจมากและได้ขายบ้านไม้ที่บ้านสวน หลังที่พวกเราเคยอยู่ด้วยกัน เพราะตอนนี้ตาก็ยายมาอยู่ในเมืองกับฉันและครอบครัว

    ตาทำใจไม่ได้ที่จะต้องเห็นเสื้อผ้าของยาย แม่จึงเก็บมันพับใส่กล่องไว้ วันดีคืนดีนึกสนุกฉันก็ไปเอาผ้าไหมสวยๆของยายมาใส่เล่นงามเสียประไรนี่ ตาบอกว่า ขายบ้านแต่ไม่ได้ขายที่ดิน ขายแต่ไม้เท่านั้น

    ไม้สักพวกนั้นตาขายไปแค่สองแสน(บ้านหลังเบ้อเร่อ)เพราะเป็นไม้เก่าๆที่ตาค่อยๆเก็บไว้วันละแผ่น
    ตาไม่ได้ซื้อ ที่ดินผืนนั้นตาไปถางหญ้าแล้วปลูกบ้านกับยาย
    แต่ก่อนตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทำให้มีคนนับถือจนถึงตอนนี้
    งานศพของยายถูกจัดขึ้นที่สถานปฎิบัติธรรมพร้อมด้วยน้ำตาของคนมากมาย
    ญาติพี่น้องในหมู่บ้านพากันมางานศพ ทั้งที่อยู่ไกลจากบ้านมากต่างอำเภอเลยทีเดียว แถมทางเข้าไปก็บุกป่าฝ่าดง

     เรียกว่ากว่าจะมาถึงคงหลงไม่น้อย ตาบอกว่าไม่อยากให้งานศพของยายมีแต่การฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงแขก

    อยากให้ยายจากไปแบบไม่มีบาป
    ทำให้ตอนนั้นลูกหลานที่คัดค้านก็ไม่พอใจที่ไม่พาศพยายกลับบ้าน

    แต่สุดท้ายก็ต้องตามใจตา เพราะแม่บอกว่า เราต้องรักษาตาไว้
    ไม่อยากให้ตาจากไปอีกคน
    เพราะแกป่วยด้วยโรคหัวใจขึ้นมาหลังจากที่ยายป่วย
           
    ตาเล่าว่าตอนที่พายายไปรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดที่โคราช ยายเหงามาก ไม่ยอมกินอะไรเลย แกบอกว่าเจ็บปอด
    กินได้แค่เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ลวกแล้วคลุกกับน้ำมะขามเปียก
    เป็นวิธีที่น่าแหวะ แต่ตามความสบายใจของท่านทั้งสอง
    เพราะเรารู้ดีกว่าตารักและห่วงยายมาก

    วิธีนั้นทำให้ยายไม่สามารถอยู่ใกล้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ เพระเชื่อว่าส่งผลทำให้โรคมะเร็งมีอาการหนักขึ้น แต่พวกเราก็โทรศัพท์ไปหายายระยะๆ
    จำได้ว่าก่อนยายจะเสียแกบอกฉันว่า ทุกครั้งที่แกไม่อยากกินข้าว ทุกคร้งแกจะนึกถึงเสียงของฉันที่ผ่านโทรศัพท์ไป

    คุณตาจะเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ห่างๆคุณยาย 
    ฉันจะพร่ำถามเสมอว่ายายกินข้าวหรือยัง ยายต้องกินข้าวเยอะๆนะ จะได้หายไวๆ ยายบอกว่า ต่อให้
    ยายเจ็บจะตาย
    ยายก็ต้องกินให้ได้ เพราะยายอยากกลับมาหาฉันเร็วๆ ยายมีแหวนทองและกำไลทอง สร้อยทองมากมาย

    ยายเก็บเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงเสมอเมื่อกลับจากโคราช
    ยายห่อมันไว้ในถุงแล้วบอกว่ายายยกให้ฉันนะ ฉันบอกว่าแบ่งให้ลูกพี่ลูกน้องฉันด้วยเพราะพวกเขาก็รักยายเหมือนกัน

    ยายกอดฉันไว้และลูบหัว ยายร้องไห้ และฉันก็รอ้งไห้ ถึงแม้จะอายุแค่12 ฉันก็รุดีกว่ายายเจ็บมากๆ

    ยายลูบหัวฉันและบอกว่ายายไม่ได้เป็นไรสักหน่อย 

    ยายบอกว่าถ้ายายหาย ยายจะกินแกงคั่วไก่ที่ฉันตำน้ำพริกอีก

    ยายบอกว่ามันอร่อยมาก

    ถ้ายายมีแกงคั่วไก่ของฉัน
    ต่อให้ใครมาซื้อถุงละร้อยยายก็ไม่ยอมขายหรอก ฉันตระหนักดีกว่า ยายจะไม่หาย ทำให้ฉันร้องไห้หนักไปอีก

    ยายเคยถามหมอขณะที่นอนอยู่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ว่า
    ยายตัดปอดออกได้ไม๊ หมอหัวเราะและบอกว่าแล้วยายจะเอาอะไรหายใจล่ะ

    ยายบอกว่า ยายอยากหายจะได้กลับบ้านไปอยู่กับหลานๆ
    หมอบอกว่ายายเป็นเนื้องอก เพราะถ้าบอกความจิงว่าแกเป็นมะเร็งแกอาจทำใจไม่ได้จนทรุดหนัก 

        
        สุดท้ายแกก็จากไปอย่างสงบฉันร้องไห้พลางนั่งรถ ไป
    เราจอดอยู่ทางเข้าสถานปฎิบัติธรรม
    รถอีกคันที่ขนศพยายก็ผ่านไป หีบสีทองผ่านตรงหน้า
     พ่อฉันยกมือไหว้
    โลงศพที่ผ่านไป พ่อบอกว่าพ่อรักยายมาก แม้จะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ยายก็เป็นคนหนึ่งที่ดีกับพ่อมากๆ
    พ่อรักยายเหมือนรักแม่ของพ่อแท้ๆฉันนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าศพยาย ฉันเอาหัวของฉันวางไว้ที่เท้าของศพยาย ยายหลับตานิ่งสงบ
    เหมือนแกกำลังหลับ แค่ไม่มีลมหายใจ และอ้อมกอดที่เคยกอดฉันแค่นั้นเอง

            ที่หน้าบ้านของฉันตอนนี้ ลมพัดเย็นไม่เหมือนตอนกลางวันที่ร้อนจนเตาเรียกพี่ ฉันนอนหลับตาพริ้มพลางสัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ 

    ลมเย็นๆนี่ไม่เคยรู้สึกได้เลยในตัวเมือง เสียงรถที่แล่นผ่านหน้าบ้านทำให้ตระหนักได้ว่าตอนนี้มันค่อนข้างดึกแล้วรถถึงน้อยลง สายลมพัดเย็นๆ กลิ่นหอมอันคุ้นเคยนั้นยังคอยู่ที่ปลายจมูก สัมผัสอุ่นๆที่อยู่บนหัว เหมือนทำให้ฉันอุ่นใจ เหมือนใครสักคนกำลังจ้องมองมาด้วยความรัก เหมือนใครสักคนกำลังลูบหัวฉันเบาๆ

    และพร่ำบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่ารักฉันมากแค่ไหน เหมือนอ้อมกอดอุ่นๆนั้นโอบอยู่รอบๆ และปลอบใจว่าฉันจะไม่เป็นไร...ความทุกข์ใจที่อัดอั้นนั้นไหลออกมาเป็นน้ำตา เหมือนได้อยู่ในที่ที่อบอุ่น ที่ที่เป็นที่พักใจ
    เหมือนมีใครสักคนกำลังบอกว่ารักฉันมากมาย....ไม่ว่าเมื่อไหร่ไม่ว่ายายจะยังอยู่หรือไม่...ฉันก็รู้ว่า

    ฉันนั้นไม่ได้ไร้ค่า..กลิ่นหอมนี้..
    ไม่รู้ว่าเพราะกลิ่นอุ่นๆของยายยังคงติดอยู่ในใต้สำนึก...หรือว่ายายกำลังกอดฉันอยู่กันแน่....

       -----------------------------------------------------------------------------------  

                                               เรื่องนี้ หนู ขออุทิศให้ยายค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×