ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ม.ปลายปีสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #5 : [diary] วันสอบข้อเขียน

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 56


    วันสอบ

    สถานที่สอบจัดที่คณะวิศวะ จุฬาฯ เหมือนว่าทางมหาลัยจะมีที่จอดให้ไม่มากนัก ฉันกับแม่จึงกระโดดลงจากรถแค่สองคน ส่วนรถให้ไปจอดที่ห้างแถวนั้นแทน เหลือเวลาก่อนสอบภาคเช้าอีกเกือบครึ่งชั่วโมง กรรมการยังไม่เรียกขึ้นตึก ทันทีที่ไปถึงฉันจึงเห็นเด็กนักเรียนนับสิบคนเดินเล่น นั่งเล่นรอเวลาอยู่ตรงลานกว้างแถวตึกนั่นเอง
     

    เข็มพระเกี้ยว เข็มน้ำเงินลอยเต็มไปหมด แผ่ออร่าน่ากลัวมาก พอคิดว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้เกรดมากกว่า 3.80 ทั้งนั้น หรือไม่ก็ต้องเป็นเทพภาษาญี่ปุ่น ฉันก็สยองพิลึก
     

    เพื่อนที่โรงเรียนหลายคนไม่ได้มาสอบ เพราะเวลาช่วงนั้นตรงกับการสอบกลางภาค รู้สึกว่าจะสอบอาทิตย์ก่อนสอบพอดีเลยด้วย ถ้ามาก็จะได้สอบมาราธอนติดกันหลายวัน

    เจอเพื่อนจากโรงเรียนเก่าด้วยเหมือนกัน มีแต่คนสมัครหมอ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ เรียนหมอเมืองไทยก็ดีจะแย่แล้ว จะกระเสือกกระสนไปเรียนตั้งไกลทำไมให้มันเหนื่อยเปล่า กลับมาก็ทำงานเหมือนกัน ใช่ว่าเป็นคณะทางศิลป์ที่การแข่งขันสูง ต้องอาศัยชื่อเสียงมหาลัยมาช่วยหางานเสียเมื่อไหร่ แต่เขายืนยันอย่างนั้นฉันก็ไม่เถียงอะไร

    ใครอยากเป็นหมอก็เป็นไป แต่ฉันไม่เอาด้วยหรอก
     

    ส่วนเพื่อนสนิทของฉันสมัครวิศวะ... มันตลก มันว่าถ้าเรียนเมืองไทยก็คงจะเรียนหมอ แต่ว่าพอสอบทุนกลับขอสมัครวิศวะดีกว่า ฉันสงสัยว่าบางทีมันอาจจะอยากเป็นวิศวะก็ได้ แต่ด้วยความเป็นเด็กดี ผู้ใหญ่พูดอะไรก็เชื่อฟัง หมอก็หมอ ไม่หือไม่อือ ฉันเสียดาย อยากยุส่งให้มันลองดื้อดูบ้าง แต่อย่างว่า ชีวิตใครชีวิตมัน เกิดผิดพลาดขึ้นมา เรียนวิศวะแล้วจบมาลำบาก ไม่มีงานทำ ฉันก็คงรับผิดชอบไม่ไหว ดังนั้นมันจะตัดสินใจอะไรก็คงต้องปล่อยมัน
     

    สิบนาทีสุดท้าย ฉันพยายามจะยัดสูตรเลขใส่หัว แต่ไม่เข้าสักนิดเดียว
     

    ฉันในตอนนั้นไม่รู้ตัว ทีแรกตั้งใจแต่เพียงว่าจะมาสอบเล่นๆ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันชอบประเทศญี่ปุ่น ...หรืออย่างน้อยก็คิดว่าตัวเองรู้สึกอย่างนั้น จึงเผลอคาดหวังไปเต็มๆ
     

    ...อยากได้ทุน อยากลองใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นสักหลายปีดูบ้าง
     

    หวังมากก็กดดันมาก ตอนนี้ฉันมองย้อนกลับไปถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเครียดจนน่ากลัวด้วยซ้ำ
     

    หากมองในแง่ร้าย ความเครียดทำให้เราเกร็ง กังวล คิดทำอะไรไม่ได้อย่างใจนึก แต่ถ้ามองในแง่ดี ความเครียดบีบให้เราทุ่มเทมากขึ้น ใส่ใจเรื่องนั้นๆ มากขึ้นเหมือนกัน
     

    ถึงเวลากรรมการเรียกขึ้นตึก ฉันก็เดินตามเขาไป เด็กนักเรียนเดินเรียงเป็นสาย ขึ้นบันไดไปสู่ห้องสอบ ฉันบอกลาเพื่อนที่สอบชั้นอื่น และทักทายคนรู้จักไปตลอดทาง
     

    ข้างในห้องสอบมีแอร์เย็นสบาย โต๊ะตัวยาวหลายตัวเรียงเป็นแถว ที่มุมโต๊ะมีครึ่งหนึ่งของ admission form แปะไว้ บอกที่นั่งของผู้สอบแต่ละคน ส่วนที่ตัวผู้สอบก็มี admission form อีกครึ่งหนึ่งซึ่งฉันเอามันวางไว้ข้างกัน สำหรับกรรมการคุมสอบเดินเข้ามาตรวจ
     

    วิชาแรกคือเลข

    แนวข้อสอบเหมือนกับปีก่อนๆ ไม่มีผิด โชคดีที่ข้อสอบออกแต่เรื่องที่ฉันถนัด แม้แต่ตรีโกณที่ฉันไม่ชอบก็ยังออกง่ายจนทำได้สบาย ข้อสุดท้ายคือแคลคูลัส ออกเรื่องอินทีเกรต ถึกกว่าข้ออื่นอยู่สักหน่อย แต่สำหรับฉันแล้วไม่มีปัญหาโดยเฉพาะเมื่อมีเวลาให้คิดและกระดาษให้ทดอย่างเพียงพอ
     

    ทำข้อสอบเสร็จแล้ว มีเวลาเหลือพอให้ตรวจทานได้อีกรอบ ฉันค่อนข่างมั่นใจว่าที่ทำไปเป็นข้อสอบคะแนนเต็ม ...ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
     

    หมดเวลา กรรมการคุมสอบเดินมาเก็บข้อสอบ
     

    ระหว่างวิชาแรกกับวิชาที่สองมีช่วงพักสั้นๆ ไม่กี่นาที กรรมการอนุญาตให้ออกไปเข้าห้องน้ำได้ แต่ฉันเลือกนอนพักให้เต็มที่ จะว่าเตรียมตัวรับวิชาถัดไปก็ได้ หรือจะว่าฉันแค่ง่วงบวกขี้เกียจเฉยๆ ก็น่าจะได้เหมือนกัน
     

    วิชาที่สองคืออังกฤษ
     

    ฉันทำเต็มที่ ตอนแรกเปิดลุยทำตั้งแต่พาร์ทหนึ่งไล่ไปเรื่อยๆ โจทย์ค่อนข้างสั้น ตัวเลือกเป็นแค่คำหรือวลี เลยทำได้เร็ว แต่พอถึงส่วน error แม้ว่าจะเห็นข้อสอบมาแล้ว พอมาเห็นอีกทีในห้องสอบมันก็บังช็อกเบาๆ อยู่ดี
     

    ในเมื่อมันเป็นส่วนที่ยาก ไม่น่าลุ้น และเวลาก็มีจำกัด ฉันจึงตัดสินใจข้ามไปทำการอ่านก่อน ตอนนี้ฉันจำได้ไม่ชัดเจนนักว่ามีกี่บทความ คิดว่าน่าจะสามหรือสี่ บทความแรกเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการศึกษาของอินเดีย อ่านแล้วมึนหัว ส่วนอันที่ง่ายที่สุดคือบทความสุดท้าย เป็นเหมือนบันทึกประจำวันธรรมดา ศัพท์อยู่ในระดับปกติ เนื้อหาตลกอีกต่างหาก ฉันนั่งอ่านไปหัวเราะคิดคักไป
     

    คนสอบคนข้างๆ คงคิดว่าไอ้นี่มันบ้า

    เสร็จการอ่าน ทวนจนครบแล้ว ก็กลับไปปั่น error ที่เว้นไว้ต่อ บอกได้คำเดียวว่าไม่มั่นใจเลย แต่ก็ทำเท่าที่ทำได้ เหลือเวลาอีกหน่อย ทันทวนข้อต้นๆ ได้บางข้อ เสียดายที่ทวนหมดไม่ทัน
     

    ตอนเดินออกมาจากห้องสอบ ได้ยินแต่เสียงบ่นระงม ทำไม่ทันบ้าง บ่นเลขข้อสุดท้ายทำไม่ได้บ้าง ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่คิดอยู่ในใจว่าเลขข้อสุดท้ายมันหลายคะแนนอยู่นะ ทำไม่ได้ก็ไม่น่ารอด ยกเว้นจะได้คะแนนอังกฤษเข้าขั้นประเสริฐ ซึ่งก็ไม่ง่าย ตัวข้อสอบเองมันโหดอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือคนสอบแต่ละคนก็ท่าทางจะโหดพอกัน

    สายศิลป์สอบสองวิชา รวมกันแค่ครึ่งวัน ส่วนสายวิทย์การสอบช่วงเช้ายังไม่จบ ต้องสอบอีกวิชา จำได้ว่าตารางสอบโหดใช้ได้ กว่าจะให้พักกลางวันก็เลยเที่ยงไปนานแล้ว
     

    ฉันเดินโต๋เต๋อยู่แถวสยามอีกพักหนึ่ง ยังไม่หมดวัน มีเวลาให้ทำเที่ยวเล่นอีกบ้าง แต่ว่าฉันมีการสอบกลางภาครออยู่ จะเที่ยวมากไม่ได้ สอบเสร็จแล้วจึงต้องจำใจกลับบ้านอ่านหนังสือต่อ
     

    ฉันทำมันไปแล้ว นาทีนั้นรู้สึกราวกับว่าชีวิตทั้งชีวิตฝากไว้กับเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่เพิ่งผ่านไปในห้องสอบ
     

    ทำไปแล้ว และก็อยากรู้เหมือนกันว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเปลี่ยนชีวิตฉันไปในรูปแบบไหน
     

    ...หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ ฉันเปิดเน็ตเช็คผลสอบ ชื่อฉันอยู่ตรงนั้น ...ในลิสต์ผู้มีสิทธ์สอบสัมภาษณ์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×