ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ม.ปลายปีสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #1 : [diary]วันแรกของปีสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 55


    ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน เวลาที่สายลมฤดูหนาวยังไม่พัดมาและเพิ่งฝนเพิ่งจะเริ่มโปรยปราย

    ฉันเปิดเทอมวันแรก

    โรงเรียนของฉันค่อนข้างจะมีชื่อเสียง เป็นที่รวมของคนมีความสามารถและมักจะถูกประเมินไว้สูง ทั้งด้านการเรียน ทั้งด้านกิจกรรม และโดยเฉพาะด้านการสอบเข้ามหาวิทยาลัย คนมักมองว่าเราจะต้องเอนท์ติดกัน 99% (และต้องคิดคณะที่อยากได้) ส่วน 1% ที่เหลือน่ะเหรอ? ถ้าไม่ต่อนอกก็ได้ทุน

    ทุกๆ ปี ระดับชั้นม.6 จะมีการจัดห้องคิงควีนกัน โดยทั้งห้องคิงและห้องควีนมีอย่างละหลายห้องตามจำนวนนักเรียนที่มากกว่าโรงเรียนอื่นๆ

    บังเอิญว่าฉันได้ห้องคิง แต่ห้องคิงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นที่หนึ่ง เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือฟ้าขึ้นไปอีกยังมีพระจันทร์ ถัดจากพระจันทร์ยังมีดวงดาว ...และเหนือห้องคิงก็มีห้องกิฟท์ สรุปก็คือ มันก็เป็นแค่ห้องรวมเด็กเนิร์ดธรรมดานั่นเอง

    สมาชิกในห้องก็แผ่ออร่าคงแก่เรียนกันทุกคน แต่ละคนใส่แว่น ท่าทางจืดชืด ฉันซึ่งมีความจำชื่อกับหน้าสั้นมากแทบจะแยกใครไม่ออกเลย ไม่ต้องพูดถึงการจับคู่สองอย่างให้ถูกต้อง ยกเว้นแต่เพื่อนเก่าที่รู้จักกันอยู่ก่อนเท่านั้นเอง

    ไม่มีใครพูดจาตลกๆ ไม่มีไอ้บ้าที่ไหนตะโกนมาจากหลังห้อง ไม่มีติสต์คนไหนตบกีตาร์ร้องเพลง ทุกคนก็แค่อยู่อย่างเงียบๆ ทำสิ่งที่ตัวเองควรทำ



    General Fact ที่ 1 : ฉันชอบห้องเรียนที่มีแต่เสียงเอะอะบ้าบอมากกว่าสงบสุขเหมาะแก่การอ่านหนังสือ



    'เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็อยู่ที่นี่ชั่วคราวแค่ปีเดียว ปีหน้าก็คงกระจายไม่เหลืออะไร' นี่คือความคิดแรกเริ่มของฉันที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเสียทีเดียว

    มีการสอบถามกันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างอาจารย์และในหมู่นักเรียนด้วยกันว่ามีใครอยาจะเข้าคณะอะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็อ้อมแอ้มๆ ตอบกันว่า 'หมอ/หมอฟัน'

    ส่วนใหญ่ที่ว่าหมายถึงคนจำนวนกว่า 80% ของทั้งห้อง หรือถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ จำนวนคนที่จะไม่เข้าหมอสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว

    ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดเดียว เด๊๋ยวนี้ 'หมอ' คงเป็นอะไรคล้ายๆ 'กะเพราไข่ดาว' ละมั้ง

    อาจเป็นอคติส่วนตัวของฉันเองก็ได้ หรืออาจเป็นเพราะฉันอยู่ใกล้กับหมอและคนที่เรียนหมอมากจนมีข้อมูลเกินพอว่าหมอลำบากอย่างไร และการเลือกเรียนหมอโดยไม่มีใจรักลำบากอย่างไร ฉันจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่เรียนหมอ จริงๆ แล้วนั่นอาจเป็นแค่การวิ่งหนีแรงกดดันอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ช่างมันเถอะ ถ้าไม่มีแรงผลักดันจากภายในเพราะว่าต้องการจากใจ ฉันก็ไม่รู้จะทนแรงกดดันไปทำไมเหมือนกัน

    พักเรื่องของฉันไว้ก่อน

    ตอนนี้ฉันค่อนข้างจะสงสัยว่าในความเป็นจริง ประเทศไทยมีนักเรียนที่
     1.อยากเรียนหมอ
     2.อยากเป็นหมอ
     3.มีความสามารถมากพอจะเป็นหมอ
    อยู่สักกี่คน

    มากหรือน้อยกว่าคนที่ทำลังพูดว่า 'หนู/ผมอยากเป็นหมอ'

    คาดว่าน้อยกว่า

    แล้วจริงๆ ประเทศไทยมีนักเรียนที่
     1.มีความสามารถในด้านอื่นที่ไม่ใช่หมอ
     2.ไม่ได้อยากเป็นหมอ
     3.เรียนหมอ
    อยู่สักกี่คน

    และจำนวนคนเหล่านี้เป็นความสูญเสียด้านบุคคลากรสำหรับสาขาวิชีพอื่นหรือเปล่านะ? หากสามารถดึงคนเหล่านี้กลับมายังทางที่เขาถนัดมากกว่า(ซึ่งไม่ใช่หมอ) จะเป็นประโยชน์มากกว่าหรือเปล่านะ?

    เพื่อนไม่มีคำตอบให้ฉัน รุ่นพี่ไม่มี พ่อแม่ไม่มี และฉันไม่มี

    แต่ไม่เป็นไร ในฐานะที่ฉันเปลียนแปลงอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ฉันไม่แคร์แล้วกัน


    General Fact ที่ 2 : ถึงฉันจะไม่เข้าหมอ แต่ก็ตอบได้ไม่เต็มปากเหมือนกันว่าจะเข้าคณะอะไรดี


    ตอนนั้นก็อ้อมแอ้มไปว่า 'เภสัชค่ะ' อย่างน้อยฉันก็หวังว่าตัวเองจะไม่ต้องทำงานในโรงพยายาบาล หรือคุยกับคนป่วยๆ ทั้งวัน ก็นะ... ฉันก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร ฉันอาจจะทนเห็นใครตายไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรี่เข้าไปช่วยทุกคนที่เดือดร้อนอย่างไม่มีข้อแม้เหมือนกัน


    สรุปว่าฉันจะเข้าเภสัช

    สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าอาจเป็นอนาคตที่ฉันต้องการหรือเป็นนรกก็ได้ ฉันไม่รู้ หาข้อมูลเท่าไรก็ไม่พอ

    ...แต่ไม่เป็นไร ลองดูกันสักตั้ง...

    จบวันที่หนึ่ง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×