「Dialogue in the dark」 สิ่งที่เห็นในห้องมืด - 「Dialogue in the dark」 สิ่งที่เห็นในห้องมืด นิยาย 「Dialogue in the dark」 สิ่งที่เห็นในห้องมืด : Dek-D.com - Writer

    「Dialogue in the dark」 สิ่งที่เห็นในห้องมืด

    โดย i_ow

    เรื่องเล่า... ตามประสาคนคิดมาก กับ Dialogue in the dark ประสบการณ์ประเภท "ครั้งหนึ่งในชีวิต"

    ผู้เข้าชมรวม

    483

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    483

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 พ.ย. 55 / 23:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    สวัสดีค่ะ

    ยินดีต้อนรับสู่อีกหน้าหนึ่งของบันทึกประจำวันของเรา ซึ่งเราคิดว่าอาจจะพอมีค่าสำหรับผู้อ่านบ้าง สมควรนำมาแบ่งปัน

    ของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง เราได้ยินมันบ่อยมากจนรู้สึกเหมือนว่า "รู้" ดีอยู่แล้ว เสมือนหนึ่งมันเป็นข้อมูลพื้นฐานสามัญที่สุดในโลก แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้

    แต่เอาเข้าจริงแล้ว เราไม่มีวัน "เข้าใจมัน" หรอกค่ะ ตราบไดที่ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสด้วยคนเอง

    Dialogue in the dark เป็นโอกาสหนึ่งสำหรับคนที่อยากเรียนรู้แง่มุมของชีวิต และเป็นโอกาสที่เราคว้าไว้ได้โดยบังเอิญ

    ตั้งใจจะไปขำๆ แต่ดูเหมือนจะเจอของดีเข้าซะแล้ว ;)


    ----------------------------------------------------------------------------------------------

    ประชาสัมพันธ์นะคะ

    นิทรรศการ Dialogue in the dark ชั้น 5 จามจุรีสแควร์
    รายละเดียดในเว็บนี้เลยคะ >> http://www.nsm.or.th/nsm2009/WebDID/exhibit.html
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      สวยหรือไม่สวย....

       

      เรื่องนี้เกิดขึ้นสักเดือนที่แล้วได้ค่ะ แต่เพิ่งจะคิดอะไรได้ บางทีของบางอย่างคงจำเป็นต้องใช้เวลา

       

      ช่วงหลังสอบเสร็จ ฉันมีเวลาว่างพักผ่อนหนึ่งวันก่อนจะต้องกลับไปเรียนอีกครั้ง ซึ่งที่จริงแล้วฉันอยากจะนอนพักอยู่บ้านให้สมกับที่อ่านหนังสือสอบเหนื่อยมาหลายวันมากกว่า แต่เพราะเผลอรับปากเพื่อนไปแล้วว่าจะไปเที่ยวด้วย สุดท้ายก็ต้องรักษาสัญญาจนได้ และก็เพราะสัญญาอันนี้เองที่ทำให้โลกของฉันกว้างขึ้นอีกนิด

       

      เราสัญญากันว่าจะไปชมนิทรรศการ Dialogue in the dark เป็นนิทรรศการที่เปิดโอกาสผู้เที่ยวชมสัมผัสประสบการณ์ของผู้พิการทางสายตาค่ะ ตัวนิทรรศการจัดในห้องมืดสนิทที่ไม่มีแสงเลยแม้แต่นิดเดียว หลับตากับลืมตาไม่มีความแตกต่าง มีทางเดินวกวน และมีมุมจำลองสถานที่ต่างๆ ในเมืองให้เราเรียนรู้ว่าปกติแล้วผู้พิการทางสายตา"เห็น"สถานที่เหล่านี้เป็นอย่างไร ใช้วิธีสังเกตอะไรจึงสามารถอยู่ในสถานที่เหล่านั้นได้โดยไม่มีอันตราย

       

      นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักความมืดของแท้ และก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ได้รับรู้สิ่งรอบตัว โดยไม่มีประสาทสัมผัสทางตาเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ไม่มี "รูปลักษณ์ภายนอก" เข้ามาเกี่ยวข้อง

       

      คร่าวๆ แล้ว ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีอันหนึ่งค่ะ ได้ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตผู้พิการทางสายตาซึ่งมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่บางทีเราก็ไม่เคยสังเกตหรือเอะใจสงสัย และยังได้ได้ทดสอบประสาทสัมผัสอื่นๆ ของตัวเองว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน คือ มือคลำๆ เอาซะเป็นส่วนใหญ่ หูบ้าง จมูกบ้าง ว่ากันไป อย่างฉันตอนแรกก็พบว่าตัวเองกะระยะห่างจากเสียงไม่ถูกค่ะ พอพี่ไกด์ให้สัญญาณเสียงบอกตำแหน่ง ฉันก็มักจะเดินเลยไปชนเค้าทุกที นอกจากนั้นก็เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างจะนึกไม่ถึงค่ะ ความมืดไม่ได้ทำให้อึดอัดอย่างที่คิดตอนแรก แล้วกิจกรรมด้านในก็หลากหลายด้วย ไม่มีอะไรเหมือนที่จินตนาการไว้เลย

       

      ส่วนที่น่าสนใจที่สุดอยู่ตรงจุดสุดท้ายของนิทรรศการ คือ "บาร์ในความมืด" ซึ่งเป็นที่ที่ให้เราซื้อน้ำขนมกินกัน(ทั้งที่มองไม่เห็น) และที่สำคัญก็คือได้มีโอกาสจับเข่าคุยกับพี่ไกด์ค่ะ

       

      พี่ไกด์ที่คอยช่วยพาเราเดินมาตลอดทาง คอยแนะนำการใช้ไม้ บอกเล่าเรื่องต่างๆ ให้เราฟัง รวมทั้งนำทางอย่างคล่องแคล่ว ที่จริงแล้วก็เป็นผู้พิการทางสายตาค่ะ

       

      ฉันกับเพื่อนๆ และพี่ๆ ที่เข้าชมนิทรรศการเที่ยวเดียวกันถามพี่ไกด์หลายอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องธรรมดาอยาง "รู้ได้ยังไงว่าแบงค์ไหนเป็นแบงค์ไหน" ไปจนถึงคำถามส่วนตัวอย่าง "พี่ตาบอดตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะอะไร" และคำถามแปลกๆ อย่าง "พี่จำเรื่องเกี่ยวกับสีได้ไหม" ซึ่งพี่ไกด์ก็ตอบทุกคำถามอย่างดีค่ะ ไม่มีท่าทางลำบากใจหรือไม่พอใจเลย เพียงแต่ตอบตามธรรมดาเท่านั้น (สงสัยโดนถามบ่อย ชินแล้ว) แต่พวกเราก็ถือว่าเรามาเรียนรู้เพื่อเข้าใจ ไม่ให้ถามตอนนี้แล้วจะไปถามตอนไหน มัวเกรงใจอยู่คงอดรู้ไปชั่วชีวิตแน่ๆ

       

      คุยกับพี่ไกด์สนุกมาก มีพี่คนหนึ่งในกลุ่มเราถึงกับแหย่พี่ไกด์ว่า "งี้พี่ก็เห็นหนูสวยมากเลยสิคะ"

       

      พี่ไกด์หัวเราะเลยค่ะ แล้วก็ตอบกลั้วหัวเราะว่า "ใช่ สวยทุกคนเลย"

       

      เราในตอนนั้นก็ตลกโปกฮาตาม หยอกล้อเพื่อนผู้ชายในกลุ่มกันไป ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ แต่นาทีนั้นฉันจึงเพิ่งนึกได้ หลังจากเดินตามพี่ไกด์มาชั่วโมงเต็มฉันยังไม่รู้เลยว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร พอมีคนเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาฉันก็เริ่มสงสัย ทีแรกฉันก็นึกเสียดายว่าคงไม่ได้เห็นแล้ว เพราะในนิทรรศการมืดมาก แต่เนื่องจากพี่ไกด์เดินมาส่งเราถึงปากทางออกที่มีแสงสลัว ฉันเลยพอมองเห็นเขาแวบๆ

       

      พี่ไกด์ก็เป็นคุณอาธรรมดาคนหนึ่ง เตี้ยๆ ค่อนข้างจะอ้วน และมีใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มกับดวงตาปิดสนิทคู่หนึ่ง

       

      ฉันบอกไม่ได้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือนกับที่คิดไว้ค่ะ เพราะก่อนหน้านี้มองเห็นไม่ได้ฉันก็ไม่ได้สนใจจะคิดจินตนาการว่าเขาเป็นอย่างไร พอเห็นก็เลยแค่เห็น ไม่ได้คิดอะไรต่อ

       

      หลังจากนั้นมาอีกหลายวัน... หลายวันมากๆ ฉันก็เห็นฉากหนึ่งในละครที่เกี่ยวกับพระเอกตาบอดทำให้คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และฉันก็คิดว่าจะว่าไป เมื่อเราไม่เห็นภายลักษณ์ภายนอก มันก็ดีเหมือนกัน

       

      ไม่ได้หมายความว่าตามองไม่เห็นแล้วจะดีนะคะ แต่พอมองไม่เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรูปลักษณ์ก็หายไป

       

      และเมื่อเราไม่เห็น ไม่รับรู้มันก็ไม่สำคัญ กลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนักก็ได้

       

      พอคิดอย่างนี้ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วตกลงรูปลักษณ์มันสำคัญจริงหรือเปล่า เห็นกับไม่เห็นมันต่างกับตรงไหน? และสมมติว่ามันไม่สำคัญนัก เป็นไปได้ไหมที่เราจะมองข้ามมันไปซะ แม้ว่าจะมองเห็นอยู่ก็ตาม?

       

      ถึงตรงนี้เราก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันค่ะ เห็นดารา เห็นพระเอกการ์ตูนทีไรก็ยังรู้สึกว่า "หล่อว่ะ" ทุกที (555+)

       

      อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพอเห็นแล้วเราจะยังอดให้ความสำคัญกับมันไม่ได้ ฉันก็ยังมองว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่ใช่สิ่งที่เราควรให้ความสนใจมากจนเกินไป หนึ่งชั่วโมงในห้องมืดสอนฉันว่าแค่ได้ยินเสียง ได้คุยด้วยเฉยๆ ฉันก็ยังเกิดความรู้สึกชื่นชมและประทับใจในตัวพี่ไกด์ได้ ตัวตนของพี่ไกด์ในห้องมืดมีอะไรที่มากกว่า "คุณอาธรรมดาคนหนึ่ง" และจากข้อเท็จจริงอันนี้ จึงสรุปได้ว่าหน้าตาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ และเพราะอย่างนั้น แม้ตัดมันทิ้งไปเลยไม่ได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะพิจารณามันเป็นลำดับท้ายๆ ให้ความสำคัญกับมันน้อยๆ

       

      เราอาจค้นพบสิ่งล้ำค่าที่มองข้ามมาตลอด หรืออาจพบว่าสิ่งที่เราเคยนึกว่าดีนักหนาแท้จริงแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษควรค่าแก่การทุ่มเทสักนิด อาจจะพบว่าหลายครั้งเราก็ให้ความสำคัญกับอะไรผิดไป สุดท้ายพอลองตัดมันทิ้งไปแล้วก็ไม่เห็นจะดิ้นตายตรงไหน

       

      ทุกวันนี้เพราะเราเห็นและใส่ใจกับสิ่งที่เราเห็นมากเกินไป เผลอตันสิน เผลอคาดหวัง สุดท้ายจึงเสียใจ เมื่อสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

       

      ถึงจุดนี้ฉันก็คงต้องขอบคุณพี่ไกด์ ขอบคุณนิทรรศการ Dialogue in the dark เละขอบคุณสัญญาที่ฉันให้กับเพื่อนไว้อย่างชุ่ยๆ จนได้มีโอกาสมาพบมาเรียนรู้อีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต

       

      ประสบการณ์ครั้งนี้มีค่า แม้ฉันซึ่งตามองเห็นดีและให้ชีวิตอย่างคนสายตาปกติมาตลอดสิบกว่าปีจะไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเข้าใจชีวิตในโลกมืดอย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ค้นพบว่า หากสักวันหนึ่งเราพบว่าโลกใบนี้มันช่างหลอกลวงและโหดร้าย เพื่อจะทำความรู้จักมันอีกครั้งจากมุมที่ต่างออกไปแล้ว จงลอง "หลับตา" ดู แล้วเราอาจจะได้ "เห็น" โลกใบใหม่ที่ต่างไปจากเดิม

      -------------------------------------------------------------------

      เนื่องจากเราประทับใจมาก ขอไซโคอีกรอบ

      นิทรรศการ Dialogue in the dark ชั้น 5 จามจุรีสแควร์
      รายละเดียดในเว็บนี้เลยคะ >> http://www.nsm.or.th/nsm2009/WebDID/exhibit.html

      ใครมีความคิดเห็นอะไรเข้ามาแช์กันได้นะคะ ทั้งคนที่เคยไปมาแล้ว และคนที่ไม่เคย

      สงสัยอะไรก็ถามได้เช่นกันค่ะ :)

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×