คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เปรต : เปรตงูเหลือม
เปรต : เปรตงูเหลือม
กาลเมื่อพระบรมสุคตเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงเปรตงูเหลือมให้เป็นเหตุ แล้วทรงตรัสเล่าที่มาแห่งเปรตนั้น ให้แก่ภิกษุและมหาชนทั้งหลายได้สดับความว่า
สมัยเมื่อพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ออกจากที่พักพร้อมพระลักขณเถระ ในเวลาเช้าเพื่อเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ระหว่างทางพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ได้แลด้วยทิพจักษุเห็นเปรตมีกายเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นมนุษย์ผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้จากหัวจนถึงหาง จากหางลุกไหม้ขึ้นไปจนถึงหัว บางขณะก็ลุกไหม้หัวและหางมาจดกลางลำตัว จากกลางลำตัวไปถึงหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ อัตภาพของเปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส
พระมหาโมคคัลลานเถระ เห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อยๆ ด้วยคิดว่าสัตว์ผู้มีร่างกายเช่นนี้เรามิได้เคยเห็นมาก่อน
ฝ่ายพระลักขณเถระ เดินมากับพระโมคคัลลานเถระ เห็นพระเถระยิ้มน้อยๆ ก็อดที่จะสงสัยเสียมิได้ ด้วยคิดว่าการที่พระอรหันต์ผู้ใหญ่จะยิ้มคงต้องมีเหตุ จึงเอ่ยปากถามว่า ข้าแต่พระมหาเถระผู้ใหญ่ ท่านมีเหตุอันใดทำไมถึงได้เดินยิ้ม
พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงกล่าวแก่พระลักขณเถระว่า เวลานี้มิใช่เป็นเวลาที่จะตอบปัญหา เอาไว้ถามเราต่อหน้าพระบรมสุคตเจ้า ขณะเข้าไปเฝ้าก็แล้วกัน
กล่าวดังนั้นแล้ว ท่านก็เดินนำพระลักขณะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ หลังจากกลับบิณฑบาตฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว พระมหาโมคคัลลานเถระจึงได้ชวนพระลักขณะเข้าไปเฝ้าพระบรมสุคตเจ้า
พระลักขณเถระจึงได้เอ่ยปากถามปัญหาที่ค้างไว้ตอนเช้าว่า พระมหาโมคคัลลานะยิ้มด้วยเหตุอะไร
พระมหาโมคคัลลานะจึงตอบปัญหานั้น ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมสุคตเจ้าว่า เมื่อเช้าหลังจากเดินทางออกจากที่พักมาระหว่างทาง ข้าพเจ้าเห็นเปรตตนหนึ่งมีตัวเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นคนผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้ตั้งแต่หัวมาจดหาง ไหม้ตั้งแต่หางมาจดหัว บางขณะก็ไหม้ตั้งแต่กลางลำตัวไปหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ เปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอันแรงกล้า ข้าพเจ้ามิเคยเห็นเปรตชนิดนี้มาก่อนจึงยิ้ม
พระบรมสุคตเจ้า ทรงได้สดับคำของพระมหาโมคคัลลานเถระดังนั้นจึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า เราตถาคตก็เคยเห็นเปรตชนิดนั้นมาแล้ว ขณะที่เราพำนักอยู่บริเวณต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ แต่เรามิได้แจ้งแก่ใคร เหตุเพราะจะมิมีผู้ใดเชื่อ ผู้คนพวกนั้นจะพลอยได้รับโทษ แต่มาบัดนี้โมคคัลลานะสามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ พอจะเป็นพยานยืนยันให้เราได้ เราจึงกล่าวว่าเคยเห็นเปรตตนนั้นมาก่อนแล้ว
ภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมกันในขณะนั้น จึงทูลถามถึงบุพกรรมของเปรตนั้นว่ามีที่มาอย่างไร
องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงทรงตรัสเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น
มีเศรษฐีคนหนึ่งมีนามว่า สุมังคลเศรษฐี เป็นผู้มีทรัพย์มาก มียศมาก มีบริวารมาก มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระบรมศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นยิ่งนัก ได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์สร้างวิหารถวายพระบรมศาสดาให้เป็นที่ประทับพร้อมหมู่สงฆ์ พื้นที่โดยรอบวิหารปูลาดด้วยแผ่นอิฐทองคำ กว้างคูณยาว วัดได้ 100 วา เสร็จแล้วก็จัดให้มีพิธีฉลองวิหารนั้น ด้วยกำลังทรัพย์อีกมหาศาล
ในเวลาเช้าของวันหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีออกเดินทางจากที่พัก เพื่อไปเข้าเฝ้าพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างทางมีศาลาพักร้อนปลูกอยู่ข้างทางหลังหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีและบริวาร คิดจะเข้าไปนั่งพักให้หายเมื่อย แต่กลับพบบุรุษผู้หนึ่ง นอนคุดคู้มีผ้าคลุมหัวอยู่กลางศาลา ที่เท้านั้นก็เปื้อนโคลน
สุมังคลเศรษฐี จึงกล่าวแก่บริวารว่า “ชะรอยคนผู้นี้คงจะเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืนแล้วมาหลบนอนกลางวัน เราไม่ควรจะพักรวมชายคาเดียวกันกับคนเช่นนี้” กล่าวเช่นนี้แล้วก็ออกเดินทางต่อไป
บุรุษผู้ที่กำลังนอนอยู่นั้น ครั้นพอได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอยู่ภายในศาลาจึงเลิกผ้า ผงกหัวขึ้นมาดูหน้าเศรษฐีผู้พูด แล้วผูกใจเจ็บอาฆาต คิดว่าดีหล่ะ ตาเศรษฐีเฒ่ามาดูแคลนเรา เราจะหาวิธีแก้แค้นเสียให้สาสม แล้วก็ลงนอนต่อไป
เวลาผ่านไปถึงยามบ่ายแก่ บุรุษผู้ที่นอนในศาลานั้นตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ออกไปสืบถามถิ่นที่อยู่ของเศรษฐี จนรู้แน่ชัดแล้ว ตกราตรีบุรุษนั้นก็แอบไปจุดไฟเผานาข้าวของเศรษฐี จนข้าวที่สุกได้ที่แล้วพร้อมจะเก็บเกี่ยวถูกไฟเผาไหม้จนเสียหาย
เท่านั้นยังไม่พอ บุรุษนั้นยังแอบเข้าไปเผายุ้งข้าวของสุมังคลเศรษฐีด้วย เขาได้เพียรพยายามจองล้างจองผลาญเผานาข้าวและยุ้งข้าวของเศรษฐีอยู่ถึง ๗ ครั้ง ก็หาได้ลดความคั่งแค้นลงไปได้ไม่ ต่อมาก็ย่องเข้าไปจุดไฟเผาเรือนของเศรษฐีอีก ๗ ครั้ง ซ้ำยังแอบเข้าไปในคอกปศุสัตว์ของเศรษฐี ทำการทารุณกรรมต่อฝูงวัวอยู่ถึง ๗ ครั้ง จนบรรดาวัวเหล่านั้นพิการเดินไม่ได้ในที่สุด
บุรุษผู้จมปรักอยู่ในโลกแห่งความแค้น แม้จะจองเวรทำลายทรัพย์สินของเศรษฐีสักกี่ครั้งก็ยังไม่สาสมใจ จึงแสร้งเข้าไปตีสนิทกับหญิงรับใช้ของเศรษฐี แล้วหลอกถามว่า สุมังคลเศรษฐีนี้มีสิ่งใดเป็นที่รักใคร่
นางหญิงรับใช้พอเห็นมีชายหนุ่มมาแสดงกิริยาเกี้ยวพาราสีทอดสะพาน นางจึงมอบไมตรีตอบด้วยความไว้วางใจ ไม่ว่าชายหนุ่มปรารถนาจะรู้สิ่งใด นางก็เล่าแจ้งแถลงจนหมดว่า ท่านสุมังคลเศรษฐีผู้เป็นนายของข้าพเจ้า เป็นผู้ดีมีน้ำใจงาม ไม่มีสิ่งใดที่นายท่านจะหวงแหนรักใคร่เทิดทูลเท่ากับวิหารและพระคันธกุฏี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์พระบรมศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น ครั้นได้ฟังจึงคิดว่า ดีหละ ถ้าวิหารและพระคันธกุฎีเป็นที่โปรดปานรักใคร่ของไอ้เศรษฐีเฒ่า เราก็จะต้องหาทางไปเผาทำลายเพื่อระบายความแค้นเสียให้สมใจ
ครั้นพอถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ องค์สมเด็จพระจอมไตรพร้อมบรรดาภิกษุสงฆ์สาวก เสด็จออกไปบิณฑบาตตามแถวบ้าน
บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น เมื่อรอดูรู้ว่าปลอดผู้คนในอาวาส จึงตรงเข้าไปทุบทำลายโอ่งน้ำ และภาชนะใส่น้ำเสียจนสิ้น แล้วจุดไฟเผาวิหารและพระคันธกุฎีเสียจนวอดมอดไหม้ ไม่มีเหลือแม้แต่เสากุฎี
ข้างฝ่ายเศรษฐีสุมังคละ พอรู้ข่าวว่าไฟได้ไหม้วิหารและพระคันธกุฎีที่ตนสร้างถวายพระบรมศาสดา ก็รีบมาดู
พอเห็นกองเถ้าถ่าน กระจายอยู่เกลื่อนกล่นแทนที่ที่ตนสร้างวิหารและพระคันธกุฎี เศรษฐีก็มิได้มีอาการปริวิตกหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับแสดงอาการดีใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาประชาชนคนที่มามุงดู พอได้เห็นอาการของสุมังคลเศรษฐีเช่นนั้น จึงพากันไต่ถามว่า “ท่านเศรษฐีบริจาคทุนทรัพย์จัดสร้างพระวิหารและพระคันธกุฎีไปตั้งมากหลาย เมื่อสิ่งที่ท่านจงใจสร้างโดนไฟเผาทำลายเสียจนสิ้น ทำไมท่านจึงแสดงอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีอกดีใจ ท่านไม่รู้สึกเสียดายทรัพย์สินที่โดนเผาทำลายไปบ้างหรือ”
สุมังคลเศรษฐีจึงกล่าวตอบแก่ผู้คนชนที่มามุงดูว่า “นาข้าวและยุ้งฉาง รวมทั้งเรือนของเราโดนไฟไหม้อย่างละเจ็ดครั้ง ถือได้ว่านั่นคือความสูญเสีย แต่พระวิหารและพระคันธกุฎี ที่เราสร้างถวายแด่พระบรมศาสดาและสงฆ์พุทธสาวก ด้วยเงินและทองเป็นอันมาก ถึงจะโดนไฟเผาไหม้มอดหมดไป เงินและทองนั้นก็มิได้หายไปไหนยังจะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ”
“เหตุที่เราดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็เพราะเราจักได้มีโอกาสละเงินและทอง จัดสร้างพระคันธกุฎีถวายแด่พระบรมศาสดาและพระสงฆ์ จึงถือว่าเราจะสะสมอริยทรัพย์ให้เพิ่มพูนปรากฏในภพชาติต่อไป เช่นนี้จักมิให้เราดีใจได้กระไร”
เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว สุมังคลเศรษฐีจึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลอาราธนาให้เสด็จพร้อมหมู่สงฆ์สาวก ไปประทับในที่อันควร ส่วนข้างหนึ่งของบริเวณอาวาสที่ตนสั่งให้บริวารจัดไว้ พร้อมทั้งทูลขอพุทธานุญาตจัดสร้างพระวิหารพร้อมพระคันธกุฎีถวายให้เป็นที่ประทับ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 กันยายน 2545 14:07 น.
ความคิดเห็น