ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ❤__{'11 It's true story
11
It’s true story
น่ารำคาญที่สุดเลยไอ้บ้าพวกนี้! จะปล่อยให้ฉันได้มีชีวิตแบบปกติสุขสักวันก็ไม่ได้ -_-^ ฉันชักจะฟิวส์ขาดแล้วนะ โมโหสุดๆเลยตอนนี้ ไม่ได้โมโหที่พวกนี้ทำลายดินเนอร์ของฉันหรอก แต่ฉันกำลังโมโหหิว!
“โกรธหรอดัฟฟ (._.)”
เฮคเทอร์เอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบในบ้าน ฉันนั่งเงียบตลอดทางตั้งแต่ย่านไชน่าทาวน์จนมาถึงที่บ้าน ฌอนที่เหมือนจะไม่ใส่ใจอะไรก็กลับทำหน้าสำนึกผิด คริสกับวาร์เล็ทก็เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ตอนนี้ทุกคนนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นตรงหน้าฉัน ยกเว้นฌอนที่นั่งอยู๋โซฟาเดี่ยวด้านข้าง รู้สึกเหมือนฉันเป็นราชินีที่กำลังจะลงโทษพวกทาสอะไรแบบนี้ ถ้ามีแส้อยู่ในมือคงจะใช่เลยอ่ะ =___=
“พวกนายหาฉันเจอได้ไง”
“ก็แบบว่า
แอบตามมาตั้งแต่เธอออกจากบริษัทแล้วล่ะ โอ้ยดัฟ T^T”
ฉันจัดการถีบส่งคนตอบไปซะแรงเลยล่ะ -_-^ บอกแล้วไงว่าพวกนี้น่ะไร้มารยาท แล้วแอบตามมาแบบนี้ก็เท่ากับว่าพวกนี้มันไม่ฟังฉันเลยด้วยซ้ำ กะว่าจะไม่โกรธแล้วเชียว
“พวกเราเป็นห่วงเธอนี่นา แล้วไอ้บ้านั่นมันพึ่งรู้จึกเธอได้แค่วันกว่าๆเองนะ (._.)”
“แล้วไง -_-^^”
“ดัฟฟ อย่าโกรธพวกเราเลยนะ T_T”
เฮคเทอร์ค่อยๆกระดึ๊บเข้ามาเกาะขาฉันแล้วก็เอาหน้าถูๆ =_= ไอ้บ้านี่ทำเหมือนตัวเองเป็นลูกแมวอย่างงั้นแหละ แต่ก็นะ..น่ารัก ฉันพึ่งค้นพบว่าตอนนี้ฉันคนเดิมเปลี่ยนไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนใจอ่อนแบบนี้หรอกนะ ปกติน่ะฉันใจแข็งจะตาย นี่คงจะเป็นอีกข้อที่ฉันพัฒนาลงเรื่อยๆตั้งแต่มาอยู่กับพวกนี้ล่ะ อืมจะว่าไป ฉันก็อยู่กับพวกเขามาได้เกือบสองเดือนแล้วนี่นา
“-__-^ หึ”
รอยยิ้มเยือกเย็นของฉันทำให้ทุกคนก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตาแม้กระทั่งฌอน ฉันลุกขึ้นยืนเตรียมจะก้าวขาออกไป แต่ไอ้บ้าเฮคเทอร์ดันเกาะไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ดะ
ดัฟฟ ฉันไม่ให้เธอไปนะ T[]T”
นายคิดว่าฉันจะหนีไปรึไง ฉันแค่จะไปอุ่นอาหารในครัวเองนะยะ
“แต่ฉันจะไป ปล่อยฉันนะเฮคเทอร์ -_-” หิวจะแย่อยู่แล้ว ไอ้บ้าเอ้ย ปล่อยสิ
“เธอจะไปจริงๆหรอดัฟเน (._.)”
“ใช่แล้ววาร์เล็ท ฉันจะไปอุ่นอาหารให้พวกนายกินไง ปล่อยได้รึยังเนี่ย”
“อะ
อ้าว =O=” ทุกคนทำหน้าอึ้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มร่า แล้วเฮคเทอร์ก็ยอมปล่อยขาฉัน ดูสิขาฉันเป็นรอยมือนายหมดแล้ว ฉันมองไล่พวกเขาทีละคนไปเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มนี้ถูกระบายบนใบหน้าของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่เป็นยิ้มแรกที่ฉันมอบให้พวกเขา ไม่ใช่ยิ้มอย่างนางมารแบบที่ผ่านๆมา
หลังจากทุกๆคนเขมือบอาหารมื้อดึกกันเสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกลับห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้ฉันจะให้พวกเข้าคัดเลือกเพลงที่จะใส่ลงในเฟิร์สอัลบั้ม จากนั้นก็ซ้อม ซ้อม ซ้อมๆ เอาให้คอระเบิดกันไปเลย ตอนนี้มีแค่ฉันที่กำลังนั่งเช็คเรทติ้งของวงอยู่ในครัว ตอนนี้ The Thief เริ่มเป็นที่รู้จักของคนในประเทศแล้วและกำลังแผ่ขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
“ยังไม่ไปนอนอีกหรอดึกแล้วนะ”
“แล้วทำไมนายยังไม่ไปนอนล่ะวาร์เล็ท -_-^” บอกแต่คนอื่นไม่ดูตัวเองเลยนะยะ
“ฉันพูดจริงๆนะ
ฉันชอบเธอ”
วาร์เล็ทยืนพิงอยุ่ที่ประตู เขาพูดกับฉันโดยไม่ยอมมองหน้าฉัน แวบหนึ่งที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉัน สายตาของเขาทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดไปหมด ในตาคู่นั้นของเขามันดูเจ็บปวดและดูสิ้นหวัง ฉันได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนได้เหมือนถูกสะกดเอาไว้
“งั้นฉันไปนอนก่อนนะ เธออย่าหักโหมนักล่ะ ^^”
“อย่าหันหลังให้ฉันนะ -_-”
“
”
“นายน่ะบอกว่าชอบฉัน
แต่ฉันไม่เข้าใจ มันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน แล้วมันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”
“การจะชอบใครสักคนมันไม่เกี่ยวกับเวลาเลยสักนิด เธอไม่เคยได้ยินหรอ รักแรกพบน่ะ คนบางคนสามารถรักใครได้เพียงแค่สบตากันไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ”
ไม่ถึงหนึ่งวินาทีหรอ มันจะเวอร์ไปหน่อยมั้ย -_-^
“วาร์เล็ท นายอย่าหันหลังคุยกับฉันแบบนี้นะ” เพราะถ้าหันหลังคุยกัน ฉันก็ไม่รู้น่ะสิว่านายตอนนี้กำลังยิ้มหรือทำหน้าตาเศร้ากันแน่
“เธอจำตอนเด็กๆได้มั้ย ที่อิตาลีน่ะ คงจำไม่ได้สินะ งั้นฉันจะเล่านิทานให้เธอฟัง”
ใครจะไปจำได้ล่ะตอนนั้นฉันอายุแค่เจ็ดขวบเองนะ เอ๊ะ แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันเคยอยู่ที่อิตาลีตอนเด็กๆ แต่จนแล้วจนรอดนายก็ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับฉัน ให้ตายสิ ไร้มารยาทที่สุดเลย -_-^
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กผู้ชายหัวทองคนหนึ่งต้องพลัดพรากจากอเมริกาบ้านเกิดไปอยู่อิตาลี เพราะดันดื้อมากเกินไปหน่อยเลยถูกถีบส่ง ที่นั่นมีแต่คนแปลกหน้า พวกเขาพูดแต่ภาษาต่างดาวที่เด็กน้อยวัยเก้าขวบไม่สามารถเข้าใจได้ วันแรกที่โรงเรียนใหม่เขาได้พบเพื่อนใหม่มากมาย แต่ก็ไม่สามารถจะสื่อสารกันได้มากเท่าที่ควร มันทำให้เขาอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หลังเลิกเรียนเด็กน้อยก็เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ไปตามทางจนไปถึงสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง เขาถือวิสาสะเดินเข้าไปในสวนนั่น ในขณะที่เด็กชายจะลำจ้องมองดอกกุหลาบสีม่วงแปลกตา ก็มีสาวน้อยคนหนึ่งตะโกนบอกเขาว่า
‘อย่ายุ่งกับดอกไม้ของฉันนะ!’ แล้วเธอก็วิ่งเข้ามาคั่นกลางระหว่างดอกกุหลาบกับเด็กชายพร้อมกับทำหน้าบึ้งใส่ เด็กชายได้แต่ยิ้มหวานตอบกลับไปพร้อมกับถามสาวน้อยตรงหน้า
‘เธอพูดอเมริกันได้ด้วยหรอเนี่ย ดีจัง ^^’ สาวน้อยได้แต่มองหน้าเด็กชายด้วยความสับสนแต่แล้วใบหน้าที่ไม่ไว้ใจก็เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มแสนหวาน เธอหยิบดอกกุหลาบสีแดงในตะกร้าให้เด็กชายหนึ่งดอก พร้อมบอกกับเขาว่านี่เป็นดอกที่สาวน้อยปลูกเอง มันอาจจะไม่สวยเหมือนกับดอกอื่นๆในสวน แล้วสาวน้อยก็วิ่งจากไป ”
ทำไมฉันรู้สึกว่าไอ้นิทานเรื่องนี้มันคุ้นๆจัง =_=;;
“หลายวันมาแล้วที่เด็กชายไม่ได้เจอกับสาวน้อยคนนั้น หลังเลิกเรียนทุกวันเด็กชายจะรีบเดินไปยังสวนดอกไม้ที่เดิม แต่ก็ไม่มีร่างของสาวน้อยโผล่มาเลย ทุกๆคืนในความฝันของเด็กชายจะมีแต่ภาพของสวนดอกไม้ เสียงหัวเราะ และใบหน้าของสาวน้อยคนนั้น หึ นี่สินะที่เขาเรียกว่ารักแรกพบน่ะ เด็กชายยังคงใช้ชีวิตที่โรงเรียนต่อไป ภาษาต่างดาวตอนนี้กลายเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายมากขึ้นแล้ว ทุกๆอย่างเริ่มลงตัว แต่สิ่งที่ยังคงติดค้างนั่นก็คือสาวน้อยคนนั้น
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างเรียบง่าย เด็กชายยังคงเก็บดอกกุหลาบที่สาวน้อยให้ไว้กับตัวเองตลอดเวลา”
ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นโรคจิตรึเปล่านะ เจอกันแค่ครั้งเดียวก็เพ้อหาแต่สาวน้อยคนนั้นน่ะ -O-
“อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงวันงานเทศกาลของโรงเรียนแล้ว ในปีนี้ฝ่ายประถมต้องแสดงละครเวที เรื่องที่จะใช้แสดงถูกกำหนดมาแล้ว เหลือแต่หานักแสดงก็เท่านั้น
ตำนานมาลัยลอเรล เรื่องราวความรักของอพอลโลกับหญิงสาวที่ชื่อดัฟเน ครั้งนั้นเด็กชายได้รับเลือกให้เป็นอพอลโล แต่เขาไม่รู้ว่าใครจะมาเล่นเป็นดัฟเน ก็คงต้องรอให้ถึงตอนเย็นที่ทุกๆคนที่ได้รับเลือกไปรวมตัวการเพื่อซ้อมละคร เด็กชายตกใจมากที่ได้พบกับสาวน้อยคนนั้น เธออยู่โรงเรียนเดียวกับเขางั้นหรอ? ทำไมตลอดเวลาเขาไม่เคยรู้เลยนะ
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้ทุกๆคนแนะนำตัวก่อนที่จะเริ่มซ้อม เด็กชายที่ได้รับบทให้เป็นตัวเด่นต้องออกไปแนะนำตัวคนแรก
‘ดีฮะทุกคน ผมชื่อวาร์เล็ท อยู่เกรดห้าฮะ เล่นเป็นอพอลโล ^^’ จากนั้นสาวน้อยก็ลุกขึ้นแนะนำตัวเองบ้าง เด็กชายรีบเอาโทรศัพท์มือถืออกมาอัดเสียงของเธอ ก็เขาอยากได้ยินเสียงใสๆนั่นนี่นา
‘ฉัน
-_- ฉันชื่อดัฟเน อยู่เกรดสี่ ฉันถูกบังคับให้เล่นเป็นดัฟเน’ สาวน้อยทำหน้าบึ้งตึงขณะแนะนำตัวเองด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่
เด็กชายคิดในใจว่า ‘ชื่อดัฟเนแถมยังได้เล่นเป็นดัฟเนอีก ฮะๆ น่ารักจัง’ การได้เจอสาวน้อยทุกๆเย็นทำให้เด็กชายเริ่มแน่ใจแล้วว่าเธอคนนี้แหละคือคนที่ใช่สำหรับเขา หลังจากนั้นเด็กชายก็พยายามตีสนิทสาวน้อย การซ้อมละครเวทีดำเนินมาถึงฉากสุดท้าย ฉากที่อพอลโลต้องเสียรักแรกพบไป โดยเหลือไว้แค่ต้นลอเรล
ในวันงานเทศกาลโรงเรียนเด็กชายที่กำลังตื่นเต้นจนแทบจะลืมบททั้งหมดไปจากสมองก็ถูกสาวน้อยหอมแก้มเข้าแล้วเธอก็บอกกับเขาว่า
‘ฉันเคยได้ยินมาว่าหากกำลังกังวลหรือตื่นเต้น การได้รับจุมพิตจะทำให้สงบลง แต่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลกับนายรึเปล่านะ ฉันเลยเอานี่มาให้
ดอกกุหลาบสีม่วงที่นายเห็นในสวน ตอนแรกฉันกะจะเอาดอกกุหลาบสีแดงมาให้แล้วล่ะ แต่ว่าฉันอยากให้อะไรที่มันหายากๆ นายจะได้ไม่ลืมฉันไง ^^’
ในที่สุดเด็กชายก็ตัดสินใจได้ว่าหลังจากแสดงละครเวทีนี่เสร็จแล้ว เขาจะต้องบอกความในใจให้สาวน้อยได้รู้ ‘ฉันคิดว่าเธอคือความรักของฉันล่ะ’ นี่เป็นประโยคแรกที่เด็กชายพูดกับสาวน้อยหลังลงจากเวที เธอได้แต่นิ่งอึ้ง ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ สาวน้อยเดินเข้ามาหาเด็กชายพร้อมกับโผเข้ากอดเขา ในอ้อมแขนของเด็กชาย สาวน้อยกำลังตัวสั่นเทาเสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เธอผละออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วก็วิ่งจากไป เหมือนกับที่ดัฟเนวิ่งจากอพอลโลไป
แล้วหลังจากนั้นเด็กชายก็ไม่ได้เจอสาวน้อยอีกเลย เธอลาออกจากโรงเรียน ไม่มีสาวน้อยในสวนดอกไม้นั่น คำใบ้สุดท้ายที่เกี่ยวกับสาวน้อยคนนั้นก็คือเธออยู่ที่อเมริกา หัวใจของเด็กชายเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาโทรไปขอพ่อให้พาเขากลับอเมริกา แต่พ่อของเขาบอกว่าจะต้องได้เกรดเอทุกวิชาในเทอมนี้ถึงจะสามารถกลับอเมริกาได้ มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเด็กชาย แต่พอนึกถึงรอยยิ้มและเสียงสะอื้นของสาวน้อยก็ทำให้เขายอมเปลี่ยนตัวเองจากเด็กเกเรเป็นเด็กเรียน รู้มั้ยดัฟเน
สาวน้อยคนนั้นมีอิทธิพลมากกับเด็กชาย ที่สุดแล้ว เด็กชายก็ทำสำเร็จ เขาได้กลับไปอเมริกา แต่ว่าจะหาสาวน้อยได้ไงล่ะ อเมริกาน่ะกว้างจะตายไป แถมคนชื่อดัฟเนในอเมริกาก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว ในตอนนั้นเด็กชายรู้สึกหมดหวังอีกครั้ง เขาคิดหาวิธีที่จะทำให้เขาได้พบกับสาวน้อยอีกครั้ง แล้วไอ้นักรบกรุงทรอยเพื่อนรักของเด็กชายที่ชื่อเฮคเทอร์ก็บอกว่าให้เป็นนักร้องสิ พอดังแล้วจะได้ออกทีวี แล้วก็จะได้ประกาศหาสาวน้อย จบแล้วล่ะ
”
อึ้ง
ตอนพอกลับมาอยู่ที่อเมริกาฉันก็ค่อยๆลืมเรื่องที่เกิดขึ้นที่อิตาลี วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความทรงจำเกี่ยวกับที่นั่นของฉันเริ่มจะกลายเป็นสีขาวจนในที่สุดมันก็เหลือแค่ความว่างเปล่า
แต่ในตอนนี้ทุกๆอย่างกำลังกลับเข้ามาในสมองของฉัน ทุกอย่างในนิทานเรื่องนี้คือเรื่องจริงของฉันและเขา ใช่ฉันจำได้แล้วล่ะ ตอนนั้นน่ะฉันดีใจมากที่เขาชอบฉัน แต่มันหมดเวลาแล้ว ฉันจะต้องกลับมาอยู่ที่อเมริกานี่
“เอาล่ะนิทานก่อนนอนจบแล้วสาวน้อย ฉันไปนอนแล้วนะ เจอกันพรุ่งนี้”
“ตอนนั้นฉันหันหลังแล้วเดินจากนายมา ตอนนี้นายเลยจะแก้แค้นฉันด้วยการหันหลังให้ฉันแล้วเดินจากไปรึไง ไอ้บ้า!”
ฉันหยิบเอาแก้วพลาสติกที่อยู่ใกล้มือโยนใส่เขา ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันแหละว่าไอ้บ้านี่จะเป็นอพอลโลคนนั้น ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง แถมหมอนี่ตอนนี้กับตอนเด็กน่ะไม่ได้มีส่วนคล้ายกันเลยสักนิด อีกอย่างคือฉันตัดใจจากไอ้เด็กคนนั้นได้แล้วด้วย -_-^
“ตอนแรกฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าเป็นเธอ แต่จำได้มั้ยที่เธอเคยบอกฉันว่าโตขึ้นน่ะเธอจะเป็นนักประวัติศาสตร์ให้ได้ บางทีเธออาจเจอกับเรื่องปาฏิหาริย์ที่ทำให้เธอกลับไปยังอดีตได้ เพื่อที่เธอจะเปลี่ยนเรื่องนั้น เปลี่ยนให้ความรักที่ผิดหวังของอพอลโลให้กลายเป็นความรักที่สมหวังและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม”
“=_= ทำไมฉันคิดอะไรได้ปัญญาอ่อนจัง”
วาร์เล็ทหันหน้ามาแล้ว แต่หมอนี่ก็ยังลีลาท่ามาก ไม่ยอมเงยหน้ามาคุยกับฉันดีๆเสียที แหมทีแบบนี้ล่ะทำตัวเป็นผู้ดี สงบเสงี่ยมเรียบร้อยเชียวนะ
“นาย
มานี่ดิ๊” ฉันกวักมือเรียก
“เธอจะตบตีฉันเหรอ T^T”
“ถ้าไม่เข้ามาฉันจะโยนมีดนี่เสียบท้องนาย -_-^” หึ มีดปอกผลไม้ที่พึ่งพึ่งซื้อมาหมาดๆเชียวนะ วาร์เล็ทเดินเข้ามาหาฉันช้าๆ แล้วเขาก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้า นายกลัวฉันจะเอามีดเสียบนายรึไง
ฉันลุกขึ้นยืน จัดการเก็บเอกสารบนโต๊ะทุกอย่าง วาร์เล็ทมองท่าทางของฉันอย่างหวาดหวั่น เพราะมีดปลอกผลไม้ยังคงอยู่ในมือของฉัน ฉันใช้แขนข้างซ้ายหอบเอกสารไว้แนบกับตัวส่วนข้าวขวาที่ว่างงานฉันก็ใช้มันฉุกกระชากลากไอ้บ้าวาร์เล็ทให้ขึ้นไปชั้นบน ฉันเอาเอกสารทุกอย่างเข้าไปเก็บไว้ในห้องของตัวเอง จากนั้นก็จัดการลากคนตัวโตนี่เข้าห้องของเขา(อย่าคิดลึกกันล่ะ -_-)
“ธะ
เธอจะปล้ำฉันหรอ -O-”
“ปล้ำนายฉันก็เสียชาติเกิดพอดีสิ ฉันแค่จะมาส่งนายเข้านอน ดึกดื่นป่านนี้จะปล่อยให้นักร้องของวงลืมตาอยู่ได้ไงล่ะ -_-”
“แต่ฉะยังไม่ง่วงนี่นา
”
“ห้ามเถียงแล้วก็นอนลงไปซะ ฉันจะได้เล่านิทานของฉันให้นายฟังบ้าง”
พอได้ยินที่ฉันบอก วาร์เล็ทก็รีบล้มตัวลงนอน พร้อมกับส่งสายตาวิ้งๆมาให้ฉัน =_=; บ้าเอ้ย! ฉันเกลี่ยผมของเขาอย่างเบามือ หน้าของเราใกล้กันมากขึ้นทุกที นั่นเป็นเพราะวาร์เล็ทใช้มือของเขาโน้มคอของฉัน ลมหายใจอุ่นๆของเขาที่เป่ารดแก้มนั่น ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่ท้ายทอย ฉันหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัสจากคนตรงหน้า เขาจูบฉันอย่างแผ่วเบาแต่เนิ่นนาน เหมือนเขากำลังถนอมมันไว้และสำหรับฉันที่ไร้ประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้คงจะยังไม่ไหวแน่ๆหากเขาจูบแบบที่ทำปกติกับสาวทั่วไป ความรู้สึกครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อน หัวใจที่เคยเต้นรัวกลับเต้นอย่างสม่ำเสมอแต่หนักแน่นเพื่อเป็นการยืนยันกับฉัน ว่าบางทีฉันอาจจะ
ชอบเขา ฉันไม่ได้ชอบที่เขาเป้นไอ้เด็กน้อยหัวทองนั่น ฉันไม่ได้ชอบที่เขาเป็นอพอลโลของฉันตอนเด็กๆ แต่ฉันชอบเขาแค่เพราะ
เพราะบางอย่างในใจ จริงอยากที่ใครหลายคนเคยพูดไว้ คำถามที่ตอบยากที่สุดคือชอบเพราะอะไร
“ฉันพร้อมที่จะฟังนิทานของเธอแล้วล่ะ ^^” วาร์เล็ทกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันคิดว่า เสียงของหมอนี่เซ็กซี่ชะมัด!
“^_^ ในวันนั้น วันที่สาวน้อยต้องเจอกับไอ้เด็กหัวทองเป็นวันสุดท้าย เธอโผเข้ากอดเขาความอบอุ่นของอ้อมกอดนั่นถูกส่งผ่านมายังร่างของเธอ สาวน้อยกระซิบแผ่วเบาว่า
ฉันรักนาย”
“❤_❤ ว๊าวๆๆ แต่ทำไมฉันไม่ได้ยินนะ”
“จะไปรู้กับนายหรอ นิทานของฉันมีแค่นี้แหละ -_-//”
“สั้นไปมั้ยเนี่ย แต่ก็กินใจไปเลยล่ะ!”
“ทีนี้ก็นอนได้แล้ว ฉันจะได้กลับไปนอน”
“งั้นก่อนไป ฉันจะมอบพรให้เธอหนึ่งข้อ! -..-” หน้าตาแบบนี้ไว้ใจไม่ได้เลยสักนิด หวังว่านายคงไม่ได้คิดอะไรทะลึ่งๆหรอกนะ ไม่งั้นฉันจะเอาหมอนนี่อัดหน้านายให้เละเลย -_-^
แล้วหมอนี่ก็เอาหน้าตาอันแสนเจ้าเล่ห์เลื่อนเข้ามาใกล้ฉัน เขาจูบฉันนานมากจนอากาศหายใจเริ่มจะหมดไปแล้วเขาก็ปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ แต่แค่แป๊บเดียวเพราะเขาดึงฉันเข้าไปจูบต่ออีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนี้ไอ้บ้านี่จะได้ใจไม่ยอมปล่อยฉัยแน่ ฉันเลยขบริมฝีปากล่างเขาหนักๆ และมันได้ผลเพราะในที่สุดไอ้หื่นวาร์เล็ทก็ยอมปล่อยฉัน ที่ตรงมุมปากมีรอยช้ำอยู่ หึ ฝีมือฉันเมื่อกี้ไงล่ะ ราตรีสวัสดิ์นะไอ้ตัวแสบ! ^^
# 2 talk with me ; ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาเป็นแบบนี้ได้ไง เพราะตอนแต่งไรเตอร์กำลังมึนเข้าขั้นไร้สติเลยล่ะค่ะ =_=;;
ถ้ายังไงวันหลังจะแก้ใหม่นะ T^T
Qreaz. 10
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น