คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [SF BROMANCE] WHAT I CAN DO 2 [END]
WHAT I CAN DO 2
[SF BROMANCE]
"แบมแบม ไปอาบน้ำได้แล้ว"เสียงของมักเน่ตัวโตร้องเรียกเพื่อนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน ยูคยอมที่อาบน้ำเสร็จก่อนแวะปลุกรูมเมทของตนก่อนจะเดินไปยังโซนเสื้อผ้าด้านนอกห้องนอนเพื่อแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อย เตรียมตัวไปออกรายการตามตารางงานของวันนี้ แต่งตัวไปสักพักกลับยังไร้วี่แววว่าคนที่เขาพึ่งไปปลุกจะออกจากห้องเพื่อมาอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านนอก นึกเอะใจ คิดว่าอีกคนคงไม่ยอมลุกจากที่นอนเป็นแน่
แต่ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปปลุกอีกรอบนั้น แจ็คสันที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินสวนเข้ามาพอดี จึงร้องบอกพี่ชายร่วมวง หวังให้เข้าไปปลุกเพื่อนขี้เซาแทนเขาที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จเสียหน่อย
"ฮยอง แบมแบมไม่ยอมตื่นอ่ะ ฮยองไปปลุกหน่อยดิ!"
แจ็คสันหันมองก่อนจะทำเป็นชี้หน้าคาดโทษเป็นทำนองบอกว่า กล้าดียังไงมาใช้ฮยองของแก!
ยูคยอมยิ้มแหยหัวเราะแห้งๆให้
"น่าฮยอง ก็ผมยังแต่งตัวไม่เสร็จ" แจ็คสันเบ้ปากก่อนจะก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงัก แล้วเดินเข้าห้องนอนของมักเน่ไลน์ไป
ร่างหนาเปิดประตูที่แง้มทิ้งไว้เข้าไป เห็นร่างโปร่งของเด็กหนุ่มชาวไทยนอนอยู่บนเตียงใหญ่ ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงห่มจนมิดคอ โผล่ให้เห็นเพียงศีรษะทุยผมบลอนด์สว่างกับใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดูเด็กมากขึ้นอีกยามนอนหลับ
"แบมแบม ตื่นได้แล้ว"ส่งเสียงร้องเรียกนำไปก่อนแต่ดูเหมือนน้องชายที่นอนอยู่บนเตียงจะยังคงหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
แจ็คสันขมวดคิ้ว นึกแปลกใจว่าปกติไม่ใช่คนตื่นยากนี่นา ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วกระตุกผ้าห่มเด็กหนุ่มเบาๆ แต่เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงยังคงนอนแน่นิ่งจึงดึงผ้าห่มออกเล็กน้อยก่อนจะจับดูตามเนื้อตัวและใบหน้าเพื่อตรวจอุณหภูมิร่างกาย
"ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า ไม่ป่วยงั้นก็แสดงว่าเมื่อคืนนอนดึกอีกล่ะสิ"พ่นพึมพำกับนิสัยชอบนอนดึกของน้องชายก่อนจะลองเรียกอีกครั้ง
"แบมแบม ตื่นๆ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว"เรียกพรางเขย่าตัวให้แรงขึ้น และดูเหมือนครั้งนี้จะได้ผล
แบมแบมหรี่ตาเล็กน้อย มือบางยกขึ้นป้องแสงที่แยงเข้าตา
"แจ็ค.สั น..ฮยอง..?"เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจนแจ็คสันยังแปลกใจ
"ทำไมเสียงแหบแบบนั้นล่ะ ป่ะ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว เราจะสายแล้วนะ"แจ็คสันว่าก่อนจะดึงมือคนตัวเล็กแล้วกระตุกเป็นเชิงให้ลุกขึ้น
แบมแบมพยายามขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะรับรู้ได้ถึงความปวดร้าวตามร่างกายจนเผลอหลุดทำหน้าเหยเก
"อะไร! ทำหน้างั้นทำไม รู้ว่าง่วงแต่ไม่ให้นอนต่อหรอกนะ วันนี้เรามีตารางงานนะแบมแบม!"ว่าแล้วก็พยายามดึงคนตัวเล็กต่อ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนอนนิ่ง จ้องเขาตาปริบๆ จึงถลึงตาใส่
"ได้ ไม่ลุกใช่มั๊ย ไม่ลุกใช่มั๊ย นี่แหน่ะ!"ว่ายังไม่ทันขาดคำ แจ็คสันช้อนตัวร่างบางขึ้นมาในท่าอุ้มแบบที่ชอบทำบ่อยๆก่อนจะแกล้งเหวี่ยงไปมาเบาๆ จนแบมแบมที่ไม่ทันตั้งตัวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจแล้วเผลอกอดคอพี่ชายแน่น
"เหวอออ ฮยองงงๆ เดี๋ยวผมตกนะเฮ้ย!! วางผมลงๆ เว้ออ ฮยอง!!"
“อะไรนะ! ให้ปล่อยเหรอ ให้ปล่อยใช่มั๊ย ได้! นี่แน่ะ!!”แจ็คสันที่เหวี่ยงคนในอ้อมแขนไปมา
ร้องถามโวยวายอย่างสนุกก่อนจะโยนแบมแบมทิ้งลงบนเตียงแล้วหัวเราะลั่นห้อง
“โอ๊ย”ร่างบางที่ถูกปล่อยลงมากระแทกกับเตียงหลุดร้องโอ๊ยมาเล็กน้อยก่อนจะทำได้เพียงใบหน้าเหยเกที่แสดงความเจ็บปวด
เจ็บจนร้องไม่ออก
รู้สึกเจ็บคอแถมยังระบมไปทั้งตัว อาจจะเพราะช่วงนี้เขาโหมซ้อมเต้นและร้องหนักจนเกินตัว ไม่ค่อยได้พักผ่อน แถมข้าวปลาก็ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่ ไม่แปลกถ้าจะเริ่มมีอาการไม่สบาย
“ย๊า แจ็คสันแกล้งอะไรกันแต่เช้า!”เสียงดังของลีดเดอร์ที่เข้ามาดูในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของแบมแบม ทันเห็นเหตุการณ์ที่เจ้าตัวป่วนจากฮ่องกงโยนคนตัวเล็กกว่าทิ้งลงเตียงแล้วเงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างสะใจกับการกระทำของตัวเอง
แจ็คสันหยุดหัวเราะ หันขวับมาทางแจบอมก่อนจะตีหน้าซื่อ
“เปล๊า ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะฮยอง แค่เข้ามาปลุกแบมแบมเอ๊ง...งั้นผมไปละ”ตอบรวดเดียวด้วยโทนเสียงสูงก่อนจะวิ่งผลุบหายไปจากห้อง
อิมแจบอมมองตามแล้วยิ้มขำๆก่อนจะหันมาดูคนที่โดนโยนลงเตียงที่ทำสีหน้าเหยเกไม่หยุดจึงเอ่ยถาม
“เจ็บเหรอ?”ถามพรางเดินเข้าไปดู แต่เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กส่ายหน้าเบาๆก็พยักหน้า
“ไม่เจ็บก็ดีแล้ว งั้นไปอาบน้ำได้แล้วละ เหลือนายคนเดียวแล้วนะแบมแบม”บอกก่อนจะช่วยดึงอีกฝ่ายขึ้นจากเตียงแทน
“โอ๊ะ! โอย”แต่ขณะที่แจบอมช่วยฉุดแบมแบมลุกขึ้นจากเตียง อีกฝ่ายกลับหลุดร้องออกมา จนแจบอมต้องเลิกคิ้วแปลกใจ
“ไหนว่าไม่เจ็บไง”
แบมแบมส่ายหน้า ยิ้มแหย
“ไม่เจ็บหรอกฮยอง แต่สงสัยเมื่อคืนนอนผิดท่า เมื่อยไปทั้งตัวเลยเนี่ย”แก้ตัวไปงั้นแล้วแสร้งทำเป็นบิดขี้เกียจแล้วทำท่าทุบไหล่ตัวเองเบาๆ แบมแบมไม่ยอมบอกความจริงเพราะกลัวจะโดนดุที่โหมซ้อมจนไม่รู้จักดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาถูกสั่งนักสั่งหนาว่าห้ามทำโดยเด็ดขาด
ว่าเสร็จก็รีบฝืนลุกออกจากที่นอนก่อนจะวิ่งแจ้นหนีออกมาเข้าห้องน้ำ
ทิ้งให้ลีดเดอร์มองตามด้วยท่าทีสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยค้านอะไร
ภายในสตูดิโอกว้างที่กำลังถ่ายทำรายการของไอดอลกลุ่มใหม่ที่กำลังมาแรง มีผู้คนมากมายทั้งสตาฟท์ที่วิ่งวุ่นเพื่อดำเนินรายการ และแฟนคลับที่นั่งอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายในสตูดิโอ การถ่ายทำรายการครั้งนี้เป็นแบบโอเพ่นให้แฟนคลับบางส่วนได้เข้าชมรายการด้วย สมาชิกทั้งเจ็ดคนและพิธีกรสองคนของรายการกำลังนั่งพูดคุยกัน ไถ่ถามเรื่องทั่วไปและดำเนินรายการไปตามปกติ
แบมแบมถือโอกาสละสายตามาจากพิธีกรที่หันไปสัมภาษณ์สมาชิกคนอื่น หันไปมองยังกลุ่มแฟนคลับที่นั่งอยู่ด้านหน้าเสตจที่มองจดจ้องมายังพวกเขาด้วยความตั้งใจ สายตาของแฟนคลับนั้นระยิบระยับบอกความสุขจนจนเขาเองยังสังเกตได้
ความรู้สึกที่เขาบรรยายไม่ถูกเกิดขึ้นในจิตใจ บอกไม่ได้ว่าดีใจมากแค่ไหนที่มีคนรักพวกเขามากขนาดนี้
แบมแบมมองไล่ไปทั่ว มีแฟนคลับหลายคนที่ถือป้ายเชียร์เล็กๆ โดยส่วนมากจะเป็นชื่อของคนที่ตัวเองชอบ แบมแบมมองแล้วยิ้มกว้าง โบกมือให้น้อยๆ ก่อนสายตาจะไปสะดุดอยู่ที่แฟนคลับสองคนที่ถือป้ายชื่อเล็กๆ
ป้ายชื่อที่ทำเอาใจเขากระตุกวูบ
ป้ายนั้นขนาดยาวเล็กน้อย บนป้ายนั้นมีชื่อของทุกคน ตั้งแต่ มาร์คคึ เจบี แจ็คสัน จูเนียร์ ยองแจ และ ยูคยอม
มีชื่อของทุกคน ยกเว้นชื่อของเขา...
แบมแบม
ไม่มีบนป้ายนั้น...
พลันสายตาของเด็กหนุ่มหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
เผลอจมอยู่ในห้วงความคิดของตนจนกระทั่ง
“ย๊าแบมแบม!”
“หะ หา ครับๆ”เสียงร้องเรียกจากสมาชิกในวงดังขึ้นจนแบมแบมเผลอตอบรับด้วยความตกใจ รีบละสายตาจากแฟนคลับสองคนนั้นหันไปมองสมาชิกของตนและพิธีกรที่ตอนนี้หัวเราะกับอาการเหม่อลอยของเขา
แบมแบมนึกโทษตัวเองที่เผลอเหม่อจนสติไม่อยู่กับตัวเอง
ยังดีที่คนอื่นมองว่าเป็นเรื่องตลกและไม่ส่งผลกระทบกับรายการ
แบมแบมอดละสายตากลับไปมองยังแฟนคลับสองคนนั้นไม่ได้ ทั้งสองคนพูดคุยกระซิบกระซาบกันแล้วเหล่มองมาทางเขา และถ้าเขาไม่ได้อคติไปเอง เขามั่นใจว่าสายตาที่ส่งมายังเขาของทั้งสองคนมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจแฝงอยู่ในแววตานั้น แววตาที่สื่ออกมาว่า
‘อย่าเป็นตัวถ่วงคนอื่นสิ!’
‘นายนี่มันแย่จริงๆเลย’
เผลอสบตาทั้งสองก่อนจะรู้สึกลำคอแห้งผาก หัวใจที่เต้นแรงขึ้นในช่วงแรกค่อยช้าลงจนเขาแทบไม่รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง รู้สึกหน่วงในอก
อา เจอจังๆแบบนี้มันเจ็บจริงๆด้วยแฮะ
ฝืนกลั้นน้ำตาที่จะเอ่อคลอขึ้นมา
ช่วงนี้อ่อนแอไปหรือเปล่าวะ เอะอะก็จะร้องท่าเดียว คิดก่อนนึกขำตัวเองในใจ
แบมแบมพยายามเลิกคิดเรื่องอื่นแล้วยิ้มเรียกกำลังใจตัวเอง ก่อนจะโบกมือให้แฟนคลับที่มองมายังเขา
“อา ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วจริงๆล่ะว่าแบมแบมเป็นคิงออฟเซอร์วิสจริงๆ นี่ขนาดเขาถ่ายรายการอยู่ยังเซอร์วิสให้แฟนๆขนาดนี้เลยนะ”เสียงของพิธีกรเอ่ยหัวเราะติดตลกเรียกความสนใจของเขาให้หันไปมอง
แบมแบมหัวเราะแล้วยิ้มกว้าง
“ก็ผมรักแฟนคลับนี่ครับ พวกเขาคือหัวใจของผมเลยนะ”ว่าก่อนจะมองตรงแล้วผายมือไปทางแฟนคลับที่อยู่ด้านหน้า เรียกเสียงกรี๊ดให้ดังขึ้นมาอีก รวมทั้งเสียงโห่ร้องแซวของสมาชิกคนอื่นด้วย
คำพูดที่พูดออกไป หลายๆคนอาจคิดว่าผมทำเป็นปากหวานไปงั้น แต่จริงๆแล้วมันคือความคิดจริงๆของผม
แฟนคลับทุกคนคือหัวใจของผม
บุคคลที่แทนตัวเองว่า IGOT7 คนเหล่านี้เปรียบเสมือนลมหายใจของผม
ใครบ้าง ไม่ต้องการลมหายใจ ใครบ้าง ไม่รักหัวใจของตน ไม่มีหรอก…
ไม่มีหัวใจ...ไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ...ก็ไม่มีผมในวันนี้
แต่IGOT7ที่ไม่ได้รักผมล่ะ… จะให้ผมมองข้ามไปได้ยังไง
มัน...ก็เหมือนหัวใจของผมที่หยุดเต้น เหมือนลมหายใจของผมที่สะดุดห้วงไป…
แบบนั้นมันเจ็บปวด เจ็บปวดจริงๆ นะ
หลังจากเสร็จจากตารางงานช่วงเช้าแล้ว ทุกขึ้นต่างขึ้นรถเดินทางกลับไปยังบริษัทเพื่อเรียนพิเศษภาษาญี่ปุ่นและซ้อมการแสดงที่จะมีขึ้นไม่กี่วันนี้
“เอาล่ะ ไหนใครแปลบทความนี้แบบคร่าวๆให้เซนเซฟังได้บ้าง”เซ็นเซสอนภาษาญี่ปุ่นของทางบริษัทเอ่ยถามพวกเราที่นั่งเรียงกันในห้องเล็กๆ
“เอาแค่ใจความก็พอ ถ้าใครแปลได้ก่อนคนแรก วันนี้กับครั้งหน้าเซ็นเซจะงดการบ้านให้ ”สิ้นคำกล่าวทุกคนส่งเสียงอุทานออกมาแล้วต่างคนต่างก้มหน้าก้มตามองชีทบนโต๊ะอย่างเคร่งเครียดและตั้งใจ
ภาษาญี่ปุ่นเป็นอีกภาษานอกจากเกาหลีที่ผมต้องเรียน เพื่อเอาไว้ในในการเดบิวท์และการแสดงในญี่ปุ่น ผมชอบนะ ผมชอบการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่แล้ว เลยค่อนข้างจะสนใจในภาษาญี่ปุ่นบ้าง แต่ความขี้เกียจมันไม่เข้าใครออกใคร เนื่องจากภาษาญี่ปุ่นพวกเราไม่ค่อยได้ใช้ทุกวัน ทำให้รู้ภาษากันแบบงูๆปลาๆ พอจะสนทนาได้ในระดับทั่วไปแต่ไม่ถึงกับเก่งและชำนาญ แต่คงจะมีจินยองฮยองที่ค่อนข้างจะเชี่ยวชาญในภาษาญี่ปุ่นมากกว่าเมมเบอร์คนอื่น
จินยองฮยองชอบอ่านหนังสือ ฮยองเป็นคนเก่ง ขยัน ต่างจากผม ถ้าเรื่องเต้นเรื่องร้องผมสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว แต่เรื่องการเรียนภาษา ถึงจะชอบ มันก็มีขี้เกียจกันบ้าง
ผมมองบทความที่มีตัวอักษรญี่ปุ่นยาวเหยียดเรียงเต็มหน้ากระดาษ อา บทความนี่ไม่ง่ายจริงๆนะเซ็นเซ
“นี่เซ็นเซแกล้งผมเล่นใช่มั๊ยเนี่ย”แจ็คสันฮยองที่บ่นทำลายความเงียบพรางเอามือกุมศรีษะของตนแน่น ผมมองดูเพื่อนร่วมวงคนอื่นก็ดูสภาพไม่ต่างกันนัก แต่ละคนหน้าสีหน้าคร่ำเครียดเพื่อที่จะชิงเป็นคนชนะให้ได้
แต่อยู่ๆผมก็รู้สึกหนาววูบขึ้นมา อา แอร์เย็นจังแฮะ ลูบแขนตัวเองคลายหนาวก่อนจะตั้งใจอ่านแล้วพยายามสรุปออกมาคร่าวๆ
“เด็กชายที่มาจากต่างดาว...มีความไฝ่ฝันที่จะ..สานสัมพันธ์กับมนุษย์...โลก? บทความอะไร ทำไมประหลาดจังวะ”ผมเรียบเรียงแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ด้วยความที่ห้องทั้งห้องเงียบสนิทเลยกลายเป็นว่าทุกได้ยินสิ่งที่ผมพูดทุกคำ
ผมเงยหน้ายิ้มแหยๆให้ทุกคนที่มองมายังผมตาโต
“แบมแบม ถูกต้องแล้ว!”เซ็นเซบอกแล้วมองมาทางผมด้วยแววตาแปลกใจ สีหน้ายิ้มๆ แต่พอเซ็นเซพูดเท่านั้นหละ เมมเบอร์คนอื่นๆต่างพากันเสียงดังโวยวาย ถามเซ็นเซว่าผมแปลถูกจริงเหรอ ตะโกนถามว่าทำไมผมแปลได้ ทำไมผมถึงถูก ทำไมผมแปลได้ก่อนจินยองฮยอง
ผมยิ้มอวดให้ทุกคน แล้วหัวเราะร่า
บางทีความตั้งใจของผมอาจจะส่งผลบ้างแล้วนิดนึงก็ได้นะ
ซ้อมเต้นให้มากขึ้น ซ้อมร้องให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่สองสิ่งที่ผมทำ แต่ผมยังพยายามที่จะเรียนภาษาต่างๆให้มากขึ้นด้วย
เอาเวลาก่อนอนที่ชอบเล่นมือถือ ส่องโลกโซเชียล ส่องIG เปลี่ยนไปพยายามเรียนภาษาด้วยตัวเองแทน
ผม แค่อยากเข้าใจ อยากรู้เรื่อง ว่าแฟนคลับของผมต้องการจะบอกอะไรกับผม
ผมอยากสื่อสารกับพวกเขารู้เรื่อง
อยากมีอะไรที่พอจะตอบแทนความรักของพวกเขาได้บ้าง
เพราะคนแบบผม…คงมีอะไรให้ได้ไม่มากนัก
“แบมแบม ไปกินข้าวกัน”ผมหันมองตามเสียงเรียกของมาร์คฮยองที่เปิดประตูมาเรียกในห้องซ้อม ผมหันมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบจะบ่ายโมงแล้ว การแสดงของวันนี้จะมีในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมอยากซ้อมให้มากกว่านี้ ครั้นกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ อีกฝ่ายกลับเดินมาเข้ามาจับข้อมือผมแล้วลากออกไปพร้อมกัน
“ไม่ต้องอ้าปากพูดเลย ไปกินข้าว! คนอื่นรออยู่ที่ร้านแล้ว วันๆจะซ้อมอย่างเดียวเลยหรือไง พักซะบ้างสิ”ผมเกาหัวแกรกๆด้วยความงุนงง แล้วรีบก้าวขาเดินเดินตามมาร์คฮยองไป
ทันทีที่ออกมาพ้นประตูตึก แสงแดดสว่างจ้าสาดใส่ผมทำให้รู้สึกเบลอไปครู่หนึ่ง แล้วยิ่งแฟนคลับมากมายที่รออยู่ด้วยหน้าต่างพากันกรูเข้ามายิ่งทำให้มีอาการหน้ามืดวูบขึ้นมา จนผมต้องเกาะแขนมาร์คฮยองเอาไว้กันล้ม
นี่ผมคงไม่ได้ป่วยใช่ไหมเนี่ย...ไว้เดี๋ยวกินยากันไว้ก่อนดีกว่า
ผมยิ้มทักทายให้ทุกคน หลายคนถามว่าผมสบายดีหรือเปล่า บอกให้ผมดูแลตัวเองด้วยแล้วต่างพากันยื่นน้ำยื่นขนมมาให้ผมเต็มมือ ผมรับมาก่อนจะก้มหัวแล้วกล่าวขอบคุณพวกเขา นึกอยากจะหยุดคุยกับแฟนคลับหลายคน แต่เพราะคนมากเกินไป มาร์คฮยองที่เดินข้างๆผมเลยดันหลังผมเบาๆเป็นเชิงบอกให้ผมอย่าหยุดเดิน เพราะถ้าหยุดเดินล่ะก็ พวกเราคงถุกรุมอยู่ตรงนี้ ไปไหนไม่ได้แน่
ผมรับของไปกล่าวขอบคุณไปท่ามกลางความวุ่นวาย แต่อยู่ๆผมก็เซออกจากมาร์คฮยองเล็กน้อย รู้สึกถึงแรงที่ดันผมออกจากคนข้างกาย
“มาร์คโอปป้า ฉันรักคุณนะคะ!!”
ผมเซก่อนจะพยายามทรงตัวเล็กน้อย หันมองคนด้านข้างที่แทรกเข้ามา แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าคุ้นเคยที่ผมจำได้แม่น หัวใจผมกลับกระตุกวูบด้วยความตกใจ ก่อนมันจะเต้นระรัว
เธอคนนั้น ที่สตูดิโอ…
“มาร์คโอปป้า รับจดหมายของฉันด้วยนะคะ!”รู้สึกถึงแรงดันอีกครั้ง ผู้หญิงอีกคนแทรกผมเข้ามา แล้วเบียดผมออกจนผมเซไปโดนแฟนคลับคนอื่นที่เดินข้างผม แต่ขณะที่ผมกำลังจะหันไปขอโทษแฟนคลับที่ผมเซไปชนคนนั้น แวบหนึ่งผมทันเห็นสีหน้าของแฟนคลับทั้งสองคนที่ส่งมา…
พวกเธอเบ้ปากใส่ผม
มองผมด้วยสายตาที่ผมไม่อยากจะแปลความหมาย
มันอาจจะเป็นความบังเอิญ หรือเรื่องเข้าใจผิดก็ได้
อาจจะเพราะคนเยอะไปหน่อย พวกเขาเลยเบียดผมมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
พวกเขาแค่อยากให้จดหมายมาร์คฮยอง
พวกเขา...ไม่ได้ตั้งใจจะเบียดผมออกมา
แต่วินาทีนั้น ความคิดอีกอย่างกลับแทรกเข้ามา
มีประโยชน์อะไรที่จะหลอกตัวเอง?
ก็แค่ยอมรับ ว่าพวกเขาเกลียดผม…
“มาร์คฮยองเดินไปก่อนนะ แบมลืมกระเป๋าตังค์ เดี๋ยวตามไป”ว่าเสร็จผมก็หันหลังกลับแล้วเดินกลับเข้าตึกทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของมาร์คฮยองที่ร้องตามมา
ผม..ทนไม่ไหวหรอก
ทนเดินต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
แกร๊ก
“แบมแบม มาอยู่นี่เอง”เสียงเปิดประตูพร้อมกับเสียงเรียกคุ้นหูของเมนโวคอล คนที่นั่งคุดคู้อยู่หันไปมองด้วยความตกใจที่อยู่ๆอีกคนก็เข้ามาในห้อง รีบแอบปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะฝืนส่งยิ้มให้ แต่ยองแจกลับทันเห็นทุกอย่าง เห็นใบหน้าเศร้าซึมพร้อมน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาคู่โตก็ชะงัก ตกใจ แต่ทำอะไรไม่ถูก
“แบมแบม กะ เกิดอะไรขึ้น!”ละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก นั่งลงข้างๆแล้วเข้าลูบหลัง
แบมแบมเลิกคิ้วแสร้งทำสีหน้าสบายๆ
“อะไรของฮยอง ผมสบายดี”ยองแจถอนหายใจเล็กน้อย นึกเบื่อหน่ายกับการเก็บความรู้สึกของน้องชาย ปกติแบมแบมจะเป็นเด็กไฮเปอร์ ทะเล้นและเล่นซนไปเรื่อยเปื่อย แต่เขาเห็นจะๆเต็มตาว่าหน้าซึม น้ำตาคลอขนาดนี้ ก็ยังจะปากแข็งบอกตัวเองสบายดี!
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ยองแจก็ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง แบมแบมเองก็เอาแต่นั่งเงียบ จนสุดท้ายคนเด็กกว่าเปรยขึ้นเบาๆทำลายความเงียบ
“ฮยอง”แบมแบมที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยเรียก ยองแจหันไปมองคนข้างกายเล็กน้อย ส่งเสียงในลำคอตอบรับแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ฮยองเคยท้อบ้างไหม”
คำถามที่คนถูกถามต้องขมวดคิ้วมุ่น นั่งนึกอยู่นาน
“ถามแปลกๆ แน่นอนอยู่แล้ว นายยังเคยเข้ามาปลอบฮยองเลยนะ”
“อา...จริงสินะ”ว่าเท่านั้นก่อนจะเงียบไปอีก ยองแจที่เริ่มทนความอึดอัดไม่ไหว ตัดสินใจถามออกมา
“แบมแบม นาย...อยากเล่า อา เอาเป็นว่าอยากระบายอะไรมั๊ย...ยังไงฮยองก็อยู่ตรงนี้นะ”ตัดสินใจพูดออกไปก่อนจะนั่งรอคำตอบจากคนข้างกายที่นั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขา ริมฝีปากอิ่มของเด็กหนุ่มถูกกัดเม้ม มือทั้งสองข้างบีบกันแน่น
ยองแจยังคงนั่งนิ่ง รอว่าเด็กตรงหน้าจะพูดความจริงออกมาหรือเปล่า ใช่ ตอนนี้พวกเขาพอจะระแคะระคาย จับทางถูกแล้วว่าคนตัวเล็กมีเรื่องอะไรอยู่ มาร์คเล่าให้พวกเขาฟังถึงเรื่องที่แบมแบมหนีกลับเข้าตึกรวมถึงเรื่องที่แบมแบมโดนแฟนคลับเบียดด้วย
แฟนคลับ...ที่พวกเขาเห็นที่สตูดิโอ คนที่ถือป้ายชื่อสมาชิกทั้งวง โดยไม่มีชื่อรองมักเน่ของพวกเขา
พวกเขาเห็นทั้งหมด ทั้งอาการของแบมแบม ทั้งป้ายชื่อนั่น แต่ไม่มีใครเลือกที่จะไถ่ถามออกไป เพราะเข้าใจว่าแบมแบมคงอยากผ่านไปด้วยตัวเองและพวกเขาก็เคารพการตัดสินใจนั้น
แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ตัวยองแจและทุกคนคิดว่าเด็กคนนี้แบกรับมาหนักเกินไปแล้ว แอบฝึกซ้อมคนเดียวเพราะไม่อยากให้พวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้น โหมหนักจนไม่ออกไปทานข้าวหรือพักผ่อนบ้างเลย ถึงเวลาที่พวกเขาจะเข้ามาช่วยปลอบประโลมให้เด็กคนนี้บ้างแล้ว
“ฮยอง แบม..คือ”พูดได้เท่านั้นก็นิ่งไปอีก ยองแจมองแบมแบมที่เงยหนาขึ้นมา ใบหน้าอิ่มตอนนี้ซีดเซียว แววตาของแบมแบมอมทุกข์จนเขารู้สึกแย่ไปด้วย
ครั้นเห็นอีกฝ่ายชะงักชะงันอยู่นานจึงเลือกที่จะถามออกมาเอง
“ตอนนี้นายกำลังเสียใจอยู่ใช่มั๊ย รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าใช่หรือเปล่า”คำถามที่แบมแบมหันไปสบตากับคนถามอย่างรวดเร็ว สายตาจริงจังที่ส่งตรงมา อดทำให้คิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายพอจะรู้เรื่องมาก่อนบ้างแล้วหรือเปล่า ถึงได้ถามออกมาได้ตรงความรู้สึกของเขาขนาดนี้
แบมแบมค่อยพยักหน้าช้าๆ
“มันเป็นความรู้สึกที่เหลือจะทนเลยใช่มั๊ยล่ะ”ประโยคที่เหมือนคำถาม แต่คนฟังกลับรู้สึกได้ถึงกระแสเยาะเย้ยตนเองในน้ำเสียง แบมแบมสบตามองอีกคนอย่างไม่เข้าใจความหมาย
ยองแจยิ้มแล้วหัวเราะน้อยๆ
“นายก็อย่าลืมสิ ความรู้สึกแบบนั้นฉันก็ผ่านมาเยอะเหมือนกันนะ”คำตอบที่ทำเอาแบมแบมพลันนึกถึงที่มาของรุ่นพี่ข้างกาย
ยองแจเข้ามาเป็นสมาชิกคนสุดท้าย เป็นคนที่แทบจะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เดบิวท์มาเป็นGOT7เพราะยังเป็นเด็กฝึกหัดได้เพียงเจ็ดเดือนเท่านั้น ช่วงเวลานั้นของยองแจลำบากหนักหนาสาหัดกว่าใครเพื่อน ทั้งแรงกดดันและแรงคาดหวังจากคนรอบข้าง ยองแจจำได้แม่นประโยคที่ประธานปาร์คจินยองคอยย้ำกับเขาเสมอ ว่าให้ซ้อมหนักกว่าคนอื่นสองเท่า คนอื่นทำมากขาดไหน ต้องทำให้มากกว่านั้น และสุดท้ายแล้ว คนคนนี้ก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งเมนโวคอลเพียงใด
แบมแบมมองอีกคนที่มีสีหน้าฝืนทนเมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
“ตอนนั้นมันมีแต่แย่ แย่มาก และแย่ที่สุด รู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ต้องทำมากเท่าไหร่ถึงจะตามพวกนายทัน ตอนนั้นมันท้อ ท้อถึงท้อที่สุดเลยล่ะ”ว่าก่อนจะยิ้มเยาะให้ตนเอง
“...แต่ฮยองก็ผ่านมาได้”คำพูดที่เรียกสายตาจากยองแจให้หันมาสบกับคนตัวเล็ก
“ใช่"เสียงทุ้มรับคำ "ฮยองยังผ่านมาได้เลย...แล้วนายล่ะ จะผ่านช่วงเวลาบ้าๆนี่ไปไม่ได้เลยเหรอ”คำพูดที่ทำให้แบมแบมชะงัก เข้าใจว่าทั้งหมดทั้งมวลที่คนข้างกายพูดมานั้นต้องการจะสื่ออะไร
“ตอนนั้นที่ฮยองเห็นมีเพียงแสงริบหรี่เองนะ ริบหรี่จริงๆ ฮยองไม่อยากเปรียบเทียบนะแบมแบม แต่อยากให้นายเห็นภาพ ตอนนั้นฮยองมีแค่ครอบครัว สตาฟท์บางคน แล้วก็พวกนาย แค่นี้เท่านั้นที่คอยอยู่เคียงข้าง แต่สุดท้ายฮยองก็วิ่งไปคว้าแสงนั่นมาจนได้
แต่นายน่ะ นายคว้าแสงนั้นมาได้แล้ว รอบข้างนายสว่างไสวไปหมดเลยล่ะ นายมีคนที่รักนายมากมาย ทั้งครอบครัว สตาฟท์ของพวกเรา แล้วไหนจะพวกเราหกคนที่เหลืออีก แล้วสุดท้ายเลย แฟนคลับที่รักนายอีกตั้งเท่าไหร่ล่ะ ถึงปัญหาของแบมแบมกับฮยองมันจะคนละเหตุการณ์ แต่ฮยองอยากย้ำให้นายเห็นนะ ว่านายมีคนพวกนี้คอยอยู่เคียงข้าง มีเยอะกว่าฮยองตั้งเท่าไหร่ นายจะผ่านปัญหานี้ไปไม่ได้เลยเหรอ
แบมแบม นายเดินออกมาจากความมืดนั้นแล้วนะ นายจะกลับเข้าไปอีกรอบทำไม”
คำพูดยาวเหยียดที่ฟังมีสาระจากปากของเมนโวคอลนั้นทำให้แบมแบมเงียบไป ร่างโปร่งนิ่งงัน น้ำใสๆคลออยู่ในหน่วยตา แบมแบมรีบปาดน้ำตาออกทันทีที่รู้สึกว่ามันจะไหลลงมา แต่ปาดเท่าไหร่ก็ยังไหลไม่หยุดเสียที จนสุดท้ายก็ได้แต่ก้มลงเอามือปิดใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาของตนแล้วพยายามกลั้นเสียงสะอื้นให้เบาที่สุด
ยองแจเมื่อเห็นน้องชายร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้แบมแบมร้องไห้เลย เด็กหนุ่มเข้ามาโอบคนตัวเล็กกว่าแล้วลูบหลังปลอบเบาๆ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของคนในอ้อมกอดที่เหมือนจะสูงมากกว่าปกติ
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร สมาชิกอีกห้าคนที่เหลือกลับเดินเรียงกันเข้ามาในห้องที่เขาเผลอเปิดประตูค้างไว้ตอนแรก เห็นสีหน้าแต่ละคนก็เดาได้ไม่ยากว่าได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว และเรื่องก็ไม่ต่างจากที่พวกเขาคิดเท่าไหร่ แต่ใครเจอเรื่องแบบนี้ไปจังๆมันก็ต้องมีอาการเหมือนกันหมดนั่นล่ะ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงแรงกอดจากรอบด้าน เห็นทุกคนรวมเข้ามากอดเขาบ้าง ขยี้ผมเขาบ้าง ไม่มีใครพูดอะไร แต่เพียงเท่านี้ก็พอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่พวกเขานั่งกันอยู่แบบนี้ ทุกคนรอให้แบมแบมพร้อมจะเล่าเรื่องทุกอย่างหากเขาต้องการ แล้วแบมแบมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ถึงเล่าไปแล้วใครจะแก้ปัญหาอะไรให้ไม่ได้ แต่แค่นี้เขาก็รู้สึกเหมือนความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายมันหายไปจนเกือบหมด
ตอนนี้แทนที่ทุกคนจะตั้งใจซ้อมกับการแสดงที่จะมีมาในไม่อีกกี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ พวกเขากลับพากันนั่งล้อมหน้าล้อมหลัง กอดก่าย โอบล้อมรอบตัวของรองมักเน่ไม่หยุด
“เออ ใช่”จูเนียร์ที่นั่งอยู่ข้างแบมแบม พรางเอามือของเด็กหนุ่มมาจับเล่นร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะแหวกเพื่อนฝูกออกไปจากห้องสักครู่ก่อนวิ่งกลับเข้ามาในห้องพร้อมถุงกระดาษใบเล็กหลายใบแล้วยื่นให้แบมแบม
“ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมมีคนฝากของแบบนี้มาให้ แต่ตอนนี้ไม่สงสัยแล้วล่ะ”พูดพรางยื่นถุงให้แบมแบม แบมแบมรับมาก่อนจะไล่เปิดดูแล้วหยิบของในถุงออกมา เกือบทุกถุงมีขวดน้ำเปล่าขวดเล็กๆที่เขาคิดว่าคงหาซื้อที่ร้านสะดวกซื้อแถวนี้ และทุกถุงก็มียาหลายแผงมากมายหลากชนิด ทั้งแก้ปวด แก้ไข้ แก้ไอและยาอีกสารพัดชนิดที่แบมแบมแน่ใจว่าคนซื้อต้องไปเหมายามาเกือบจะทุกอย่างในร้านยาแน่ๆ
รอยยิ้มบางฉายฉัดบนใบหน้าซีดเซียว แบมแบมหยิบถุงทั้งหมดก่อนจะเทของออกมาทรวมกัน แต่ขณะที่เทออกมากลับมีกระดาษแผ่นเล็กๆหล่นออกมาด้วย
เขาหยิบขึ้นมาไล่อ่าน จดหมายทีทั้งภาษาเกาหลี ไทย และอังกฤษ
‘แบมแบมอ่า สีหน้านายดูไม่ดีเลย กินยาแล้วนอนพักผ่อนก่อนจะไปลุยงานเย็นนี้นะ!’
‘ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจะป่วยหรือเปล่านะ ฉันเลยซื้อยามาเกือบทุกอย่างเลยล่ะ lol หายไวๆนะแบมแบม’
‘เกิดอะไรขึ้น รอยยิ้มของโอปป้าดูซีดเซียวมากเลยนะ ฉันเป็นห่วงจังTT หายไวๆนะคะ’
‘น้องแบม ตอนแรกพี่ว่าจะฝากขนมมาให้ แต่พอเห็นแบมแล้วพี่ว่าอย่าพึ่งกินขนมเลยเนอะ รีบทานยาแล้วนอนพักนะ ถ้าหายแล้วพี่จะเอาขนมมาให้นะ แล้วก็นะแบมแบม พี่อยากบอกว่า ไม่มีใครเอาความทุกข์ของเราออกไปได้ แต่ก็ต้องจำไว้ด้วยว่า ไม่มีใครเอาของสุขของเราออกไปได้เช่นกัน ถ้างั้น แบมต้องมีความสุขให้มากๆนะ พี่สาวคนนี้เป็นกำลังใจให้นะครับผม แล้วก็ หายไวๆนะ!’
ตาคู่โตไล่อ่านจนถึงบรรทัดสุดท้าย พลันรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า ที่ดูซีดเซียวแต่แววตาเริ่มฉายประกาย แบมแบมไล่อ่านจดหมายทั้งหมด จนมาถึงฉบับสุดท้าย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่ได้รู้จักบุคคลเหล่านี้เป็นการส่วนตัว อาจจะเคยเห็นหน้าไม่กี่ครั้ง หรือบางทีอาจจะไม่เคยเจอเลยด้วยซ้ำ แต่คนเหล่านี้ยังสังเกตุเขาออก ต้องเป็นใส่ใจมากขนาดไหนถึงจะดูออกว่าเขาไม่สบาย ทั้งๆที่เขาออกไปหน้าตึกไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่ทำไม เขาถึงรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของคนเหล่านี้ และเพียงแค่ได้อ่านข้อความสั้นๆพวกนี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้แล้ว เขารับรู้ได้แล้วว่าคนพวกนี้เป็นห่วงเขามากขนาดไหน
นึกก่อนจะรู้สึกเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกแย่ๆพังทลายหายไปในพริบตา
“แบมแบม เขยิบมานี่สิ”มาร์คที่นั่งห่างออกไปเล็กน้อยคุ้ยๆยาดูก่อนจะกวักมือสั่งน้องชาย แบมแบม เขยิบเข้าไปใกล้ พรางเลิกคิ้วเชิงถาม มาร์คไม่ตอบแต่ยื่นมือมาทาบตามใบหน้าและลำคอของอีกฝ่ายพรางบ่นพึมพำทำนอง ‘ดื้อ’ ‘หัวแข็ง’ ‘ ปากหนัก’ แล้วก็แกะยายื่นมาให้เขา
แบมแบมรับยามางงๆก่อนจะรับน้ำมาจากแจ็คสันที่เปิดขวดแล้วยื่นมาให้เช่นกัน
ตาคู่โตกวาดสายตามองไปทั่ว มองยูคยอมที่ถามเขาว่ามีอาการอะไรอีกหรือเปล่า เจ็บคอใช่มั๊ย แล้วก็ช่วยกันกับยองแจฮยองคุ้ยหายาแก้เจ็บคอด้วยสีหน้าจริงจัง ไล่มองไปยังจินยองฮยองที่แตะดูตามเนื้อตัวคอยเช็คอุณหภูมิร่างกายของเขาไม่หยุด ก่อนจะมองต่อไปที่แจบอมฮยองที่บ่นพึมพำว่าเขาบ่นเมื่อยตัวเมื่อเช้า แบมแบมมองร่างสูงของลีดเดอร์ขยับแว่นตาให้เข้าที่ก่อนคุ้ยหาว่ามียาทาแก้ปวดในกองยาหรือเปล่า มองต่อมายังกลุ่มต่างชาติไลน์ทั้งสอง พลันชะงักเมื่อเห็นว่าทั้งสองจ้องเขาเขม็งอยู่ก่อนแล้ว ส่งสีหน้าดุๆมายังเขา พรางพยักเพยิดหน้าทำนองบอกให้ทานยาได้แล้ว
แบมแบมหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะทานยาเข้าไปแล้วดื่มน้ำตาม
อา จริงๆเลย คนพวกนี้ทำผมเสียเวลาซ้อมไปตั้งเยอะแน่ะ หึ
หลังจากซ้อมจนถึงเวลาแต่งตัว สมาชิกทั้งเจ็ดคนต่างพากันเดินทางไปยังสถานที่จัดการแสดง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสเตจที่จะมาถึงนี้ ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยดี อาจจะเว้นไว้อย่างหนึ่ง นั่นคือ
“แบมแบม ข้อเท้าเป็นยังไงบ้าง แน่ใจนะว่าจะขึ้นแสดง”เมเนเจอร์เดินเข้ามาถามเด็กหนุ่มชาวไทยเพื่อความแน่ใจเป็นรอบที่สิบด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด และเจ้าตัวก็ได้แต่ยิ้มสบายๆตอบกลับไป
“ฮะ ฮยอง มันแค่เคล็ดนิดหน่อยเอง”แบมแบมยิ้มแหยให้ก่อนจะยกเท้าขึ้นเหยียบบนเก้าอี้แล้วจับๆสำรวจผ้าที่พันไว้
ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเต็มร้อยของเด็กหนุ่ม รวมทั้งการโหมซ้อมที่มากเกินไปทำให้มีช่วงหนึ่งของตอนซ้อมที่เบลอไปแล้วจับจังหวะผิดล้มลงจนข้อเท้าเคล็ด ยังดีที่ว่าไม่บาดเจ็บรุนแรงมากนัก
“แล้วไข้ดีขึ้นบ้างมั๊ย ไม่ปวดหัวใช่มั๊ย”
“ครับๆ ตอนนี้ยังโอเคดีครับ”ตอบอย่างมั่นใจเพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวนั้นสบายดีแล้วหัวเราะปิดท้ายก่อนจะปล่อยให้เมเนเจอร์ไปจัดการงานที่แสนวุ่นวายต่อ
แบมแบมที่รอเวลาขึ้นเวทีอีกพักใหญ่นั้นควานหาไอพอดของตน แต่นึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่รถ จึงต้องเดินกลับไปที่รถโดยมีจูเนียร์อาสาไปเป็นเพื่อน
เพราะงานครั้งนี้เป็นแบบเอ้าท์ดอร์ ที่จอดรถจึงถูกแยกไว้สำหรับผู้ร่วมแสดงทำให้คนตรงส่วนนี้มีไม่เยอะนัก ขณะที่กำลังเดินเข้าลาดจอดรถ จูเนียร์ที่ไม่อยากให้แบมแบมเดินมากนักเลยเสนอตัวไปที่รถให้แทน แต่ขณะที่เด็กหนุ่มยืนรออยู่นั้นพี่ชายร่วมวงกลับมาอยู่นั้น รู้สึกถึงแรงชนจากด้านหลัง
“อ๊ะ”หลุดอุทานร้องออกมา ก่อนจะพยายามทรงตัวแต่เพราะออกแรงกดเท้าข้างที่เคล็ดอยู่มากเกินไปทำให้เสียการทรงตัวแล้วสุดท้ายร่างโปร่งก็ล้มลงไปกองกับพื้น
“โอ๊ย!!”ร้องออกมาด้วยความปวดข้อเท้าอย่างแรง พรางมองคนรอบข้างกลับเห็นเพียงสองแผ่นหลังที่คุ้นตาของผู้หญิงสองคนที่วิ่งหัวเราะออกไป
พวกเธอสองคนนั้นหรือเปล่า…คนที่สตูดิโอครั้งนั้น
“แบมแบม!!”จินยองฮยองที่เดินเข้ามาเห็นแบมแบมล้มอยู่กับพื้นร้องขึ้นโวยวายเสียงดัง “เกิดอะไร! ข้อเท้านายเจ็บอยู่นะ ระวังหน่อยสิ! แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ไหวไหม!”โวยวายเสียงดังพรางรีบเข้ามาดูข้อเท้าของน้องชาย แต่ทันทีทีมือของเขากดลงไปเบาๆ คนที่ล้มกลับร้องเสียงหลงทันที
“โอ๊ยยยๆ! ฮยองๆ โอย”
ทั้งสองคนมองสบตากันด้วยความหนักใจทันที รับรู้ได้ถึงอาการของข้อเท้าที่รุนแรงขึ้น
จูเนียร์พยุงแบมแบมกลับมาที่ห้องพักท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคนที่ต่างพากันเครียดเรื่องอาการบาดเจ็บที่หนักขึ้น ต่างพากันไถ่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งร่างบางก็ได้แต่หัวเราะแหะๆให้ก่อนบอกว่าเขาเดินสะดุดล้มเอง
แต่สมาชิกที่เหลือทั้งหกกลับมองมองสบตากันสีหน้าเคร่งเครียด จูเนียร์เดินกลับมาทันเห็นเหตุการณ์ที่มีคนที่ดูก็รู้ว่าจงใจชนแบมแบมจนล้มลง จึงเล่าให้สมาชิกที่เหลือฟัง เรื่องนี้ทางค่ายสามารถที่จะแบล็คลิสคนทั้งสองได้ แต่เมื่อแบมแบมเลือกที่จะปกป้องสองคนนั้นโดยการปกปิดความจริงไว้ พวกเขาก็จะยอมทำตามความต้องการของเด็กหนุ่ม แม้ในใจจะนึกโมโหมากขนาดไหนก็ตาม ร่างกายนับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญของทุกคน โดยเฉพาะคนอย่างพวกเขาที่ต้องใช้ร่างกายในการเต้น ถ้าหากข้อเท้ามีปัญหาหนัก พวกเขาไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเลยล่ะ
“ครับ ผมไหวจริงๆ ขึ้นแสดงแปปเดียวเอง”แบมแบมยืนยันหนักแน่นหลังจากที่สตาฟท์ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ก่อน
ทั้งหกคนมองตามแบมแบมที่พยายามเก็บอาการบาดเจ็บของตนไม่แสดงออกมา ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากเกิดบาดเจ็บถึงเจ้าตัวรั้นจะเต้นต่อก็ยังจะบ่นเจ็บกระปิดกระปอยแท้ๆ แต่ครั้งนี้กลับเก็บอาการเงียบ
พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะดีใจที่อีกฝ่ายโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรือจะหงุดหงิดใจดีที่เงียบจนไม่ยอมแสดงอะไรออกมาเลยดี
“แบมแบม นายแน่ใจนะว่าจะเสี่ยง ขึ้นแสดงเพียงห้านาที มันอาจจะไม่คุ้มเลยนะถ้าหากอาการของนายแย่ขึ้นอีก”อิมแจบอมถามครั้งสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเครียดในวินาทีที่พวกเขากำลังจะวิ่งขึ้นเวที คนอื่นๆก็มองตามด้วยสายตาที่เป็นห่วงไม่ต่างกันนัก พวกเขาแค่กลัวว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้น พวกเขาไม่อยากให้เด็กคนนี้เป็นอะไรไป
แบมแบมพยักหน้ายืนยันพรางส่งยิ้มกว้างให้
“เถอะน่าฮยอง มีพวกฮยองอีกตั้งหกคนอยู่กับผมด้วย จะกลัวอะไรล่ะ”คำตอบที่แทบไม่เกี่ยวกับคำถาม แต่สุดท้ายแจบอมก็ยอมส่ายหัวยิ้มกับความรั้นของน้องชายก่อนจะพากันวิ่งขึ้นเวทีไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
เสียงกรี๊ดที่ดังกระหึ่มขึ้นทันทีเมื่อทำนองเพลงคุ้นหูดังขึ้นมา พร้อมกับการปรากฏตัวของบุคคลทั้งเจ็ดที่พวกเธอเฝ้าไฝ่ฝันจะได้เจอตัวจริงสักครั้งในชีวิต หญิงสาวมากมายที่อยู่ด้านล่างเวทีมองตรงไปยังเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดที่ส่องประกายท่ามกลางแสงไฟสปอร์ตไลท์สว่างจ้า พรางเต้นทำการแสดงที่แม้พวกเธอจะดูซ้ำๆกี่สิบรอบก็ไม่มีทางนึกเบื่อแน่นอน
แต่ขณะที่หลายคนเพลิดเพลินกับกับการแสดงตรงหน้า อีกหลายคนกลับกระสับส่ายด้วยความกังวลใจกับอาการของเด็กหนุ่มชาวไทยที่กำลังวิ่งไปมาบนเวที มีข่าวแพร่กระจายในวงแฟนคลับอย่างเงียบๆว่าสมาชิกชาวไทยอย่างแบมแบมไม่สบายเพราะโหมซ้อมหนักแล้วยังมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าอีกด้วย แต่กลับยังยืนยันที่จะขึ้นแสดงบนเวที
แม้ผ้าพันข้อเท้าจะถูกขากางเกงทับไว้ และการแสดงของแบมแบมจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่มันไม่ยากหรอกสำหรับคนที่พวกเธอเฝ้ามองมาตลอด ไม่ยากเลยสักนิดที่จะสังเกตว่าเขามีเรื่องทุกข์ใจหรือเจ็บป่วยหรือเปล่า
ก็นั่นน่ะ คือคนที่พวกเธอรัก...
แล้วพวกเธอก็คือ IGOT7 ของพวกเขาเชียวนะ
ขณะที่การแสดงยังดำเนินต่อไปทันใดนั้น แม้จะเป็นเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยที่แบมแบมเต้นสะดุดแล้วหลุดทำสีหน้าเจ็บออกมา หลายคนที่คอยสังเกตุเด็กหนุ่มอยู่แล้วต่างพากันร้องเรียกชื่อแบมแบมด้วยความตกใจก่อนส่งเสียงร้องเชียร์เสียงดังสนั่น หวังเพียงเสียงเชียร์ของพวกเธอจะบรรเทาความเจ็บได้ไม่มากก็น้อย พวกเธอทำให้ได้เพียงเท่านี้จริงๆ
การแสดงยังดำเนินต่อแม้สมาชิกจะอยากเข้าไปดูอาการของรองมักเน่ก็ตาม
แบมแบมที่ยังคงเต้นต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแม้เมื่อสักครู่จะปวดจนเผลอสะดุด แต่เขามองไปยังคนมากมายที่อยู่เบื้องหน้าเขา คนพวกนี้ที่คอยส่งเสียงเชียร์เขา เขาจะไม่โกหกว่าตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรที่ข้อเท้าเลย ก็ในเมื่อมันปวดจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ยิ่งขยับก็ยิ่งเจ็บ แต่ที่เขาทนได้ตอนนี้คงเพราะคนที่รอดูเขาอยู่ เขาอยากจะเสี่ยงขึ้นเวทีนี้แม้รู้ว่าพอจบการแสดงนี้แล้วคงต้องไปหาหมอแล้วพักยาวตามระเบียบ มันอาจจะเป็นการกระทำที่โง่และสิ้นคิด แต่เขาอยากจะเสี่ยง เสี่ยงเพื่อคนที่เฝ้ารอดูเขาอยู่
ตาโตไล่สายตามองผู้คนมากมายเบื้องหน้า รอยยิ้มกว้างและสายตามุ่งมั่นกับการแสดงฉายชัดบนใบหน้า ไล่สายตามองไปยังท่ามกลางผู้คนมากมาย พลันเจอกับคนสองคนที่แม้จะมืดแต่เค้าจำได้ขึ้นใจ สองคนที่เขาเจอที่สตูดิโอและหน้าตึก และคิดว่าคงเจอที่ลานจอดรถเมื่อไม่นานนี้ด้วย
สองคนที่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธว่าได้สร้างบาดแผลให้เขาไม่น้อย แต่เรื่องนั้นเขาคิดว่าตอนนี้เขายอมรับได้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือปัจจัยอะไรก็ตาม เขาคิดว่าทำใจเรื่องนี้ได้แล้ว ในเมื่อเขายังมีคนมากมายที่คอยอยู่เคียงข้างเขามากขนาดนี้ เขาคว้าแสงสว่างและออกมาจากความมืดนั้นได้แล้ว แล้วเขาจะกลับเข้าไปอีกทำไมล่ะ
แม้จะห่างออกไปไกลสักหน่อย แต่แบมแบมเลือกที่จะสบตาสองคู่นั้นแล้วใบหน้าหวานก็ส่งรอยยิ้มกว้างและสายตาเป็นมิตรไปให้ เขาจะยิ้ม ยิ้มให้กับทุกคน ถึงทั้งสองคนจะไม่ใช่แฟนคลับเขา หรือเกลียดเขา แต่อย่างน้อย ก็ยังเป็นIGOT7ที่รักพรรคพวกอีกหกคนที่เหลือของเขา พวกเธอช่วยซัพพอร์ตพรรคพวกของเขา
แล้วเขาก็จะพยายามให้มากขึ้นไปอีก พยายามให้มากเพื่อตอบแทนความรักที่ทุกคนมอบให้ พยายามให้หนักเพื่อสักวันหนึ่งจะดีให้มากกว่านี้ เพื่อที่สักวันหนึ่ง อาจจะได้เขาไปอยู่ในใจของพวกเธอบ้าง
ยิ้มจนสุดท้ายสายตาพลันชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสังเกตุเห็นว่าสองคนที่เคยคิดว่าเกลียดเขานักหนากลับมีสีหน้าแสดงความเป็นห่วงและเสียใจ ก่อนที่สักพักจะหยิบไอแพดขึ้นมาแล้วชูให้เขาเห็น ทั้งที่อยู่ไกลออกไปแต่แบมแบมกลับเห็นชัดราวกับอยู่ตรงหน้า ไอแพดสองอันที่ต่อกันหน้าจอเป็นข้อความสว่างสั้นๆ อ่านได้ว่า
‘พวกเราขอโทษ’ก่อนที่สุดท้ายแล้วหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นคำว่า
‘แบมแบม’
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก หัวใจเต้นระรัวด้วยความดีใจ แทบจะลืมความเจ็บที่ข้อเท้าไปสนิท มันเป็นความรู้สึกที่ดีจนบรรยายไม่ได้
ในที่สุดชื่อของเขาก็ได้ไปเรียงต่อกับป้ายชื่อของเพื่อนทั้งหกคน
ชื่อของเขา แบมแบม…
เห็นมั๊ยล่ะ… เรื่องบางเรื่อง มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงนะ
แล้วก็ไม่จริงหรอกที่ว่าไม่มีใครเอาความทุกข์และความสุขออกไปจากตัวเราเองได้ ผิดเห็นๆเลย
ก็อยู่นี่แล้วไง
คนที่เอาทั้งความทุกข์ออกไปได้ แล้วยังเอาความสุขมาให้ผมได้ด้วย
คนที่ยืนอยู่บนเวทีกับผมทั้งหกคน แล้วก็ผู้คนมากมายเหล่านี้ ที่อยู่ด้านหน้าผม
แฟนคลับของเรา คนที่รักพวกเรา คนที่รักผม…แล้วผมก็รักพวกเขามากด้วย
รัก…
ผมรัก IGOT7 ของผม มากจริงๆ
รักมากๆ…
แล้วก็… ขอบคุณมากนะครับ
คุยกันหน่อยน้า
โฮววววว จบตอนแล้ววว แต่งยากจังเลยตอนนี้ แถมยาวด้วย พยายามจะตัดออกแต่มันก็ยังยาว มันยาวไปมั๊ยคะ กลัวคนอ่านจะเบื่อมากบอกเลย 55555
แล้วก็เมื่อคืนไม่ได้มาลง แต่งไม่เสร็จจริงๆ 5555 แล้ววันนี้ออกไปข้างนอกพึ่งกลับมา นี่เลยรีบมาลงเลยน้า ดีนะยังไม่มีคนมาทวง5555
ตอนนี้เป็นไงบ้าง แปลกมั๊ยอ่ะ สนุกมั๊ย กลัวไม่ชอบกัน 555
สนุกไม่สนุกก็บอกน้าาา
ขอบคุณที่ติดตามค้า
ส่วนนี่ทวิตที่ขอ เขินจัง 555555 ArisCha
ปล.รูปทีเซอร์ออกมาแล้วววว หล่อลากน่ารักกันทุกคนเลยยยย แหกมากกกก 5555
อย่าลืม จะมุ้งมิ้งลงทวิต โปรดติดแท็ก#ficgetgot7 เราจะไปส่อง แฮร่
ความคิดเห็น