คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [SF BROMANCE] FRIEND 1
FRIEND 1
[BROMANCE]
คิมยูคยอมกับกันต์พิมุกต์ทะเลาะกัน
ใครได้ยินแบบนี้คงหัวเราะลั่นพร้อมกับคิดว่ามันคงเป็นเรื่องอำกันเล่นขำๆในวันเอพริลฟูลเดย์แน่นอน แต่หากใครได้มาเห็นสถานการณ์ในห้องตอนนี้คงขำไม่ออก
ภายในห้องแต่งตัวสำหรับศิลปินทางด้านหลังเวทีในเวลานี้กลับเงียบสงบ ทั้งที่ปกติแล้วมันควรจะวุ่นวายและเต็มไปด้วยสตาฟมากมายที่คอยดูแลศิลปิน
เปล่าหรอก... สตาฟไม่ได้หายไปหรือลดจำนวนลงแม้แต่คนเดียว ทุกคนยังคงทำหน้าที่เดิม และห้องก็ยังคงวุ่นวายด้วยผู้คนมากมายเช่นเดิม แต่สิ่งที่แปลกไปคือความเงียบสงบที่เกิดจากบุคคลทั้งเจ็ดที่พากันพร้อมใจนั่งเงียบสงบ ไม่แหกปากโวยวายและเล่นกันเหมือนทุกๆครั้ง
ความเงียบที่เกิดจากศิลปินในความดูแลของตนส่งผลไปยังสตาฟคนอื่นๆให้รู้สึกเกร็งและพากันเงียบไปด้วย มีเพียงเสียงเพลงจากจอโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสดการแสดงหน้าเวทีคอยส่งเสียงไม่ให้บรรยากาศภายในห้องแย่มากไปกว่านี้
ทันทีที่จัดการกับสภาพของเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว สตาฟบางคนที่ทนกับความเงียบไม่ไหวก็พากับอัปเปหิตนเองออกมาจากห้องแต่งตัวนั้นเสียเลย เมื่อสตาฟพากันออกจากห้องไปหมดรวมทั้งผู้จัดการที่ออกไปติดต่องานก็หายตัวไปด้วย เช่นเดียวกับเสียงจากจอโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสดการแสดงหน้าเวทีที่ราวกับเป็นฟางเชือกสุดท้าย ที่คอยเหนี่ยวรั้งอีกห้าชีวิตที่เหลือไม่ให้จมหายไปกับความเงียบอันน่าอึดอัดนั้นก็หยุดลง
การแสดงหยุดไปแล้ว…
ลมหายใจของพวกเขาก็กำลังจะหยุดลงเช่นกัน
ภายในห้องนั้นเงียบสนิทชนิดที่ว่ามีเข็มตกยังได้ยินกันทั้งห้องเลยทีเดียว
บรรยากาศมาคุและความอึดอัดแพร่กระจายเต็มห้องโดยมีต้นเหตุเกิดจากคนเพียงสองคนเท่านั้น
มังเน่ไลน์
เด็กหนุ่มหน้ากลมผู้เป็นนักร้องหลักของวงลอบมองมักเน่ไลน์ตัวเล็กและตัวใหญ่ที่ตอนนี้นั่งกันอยู่คนละมุมห้อง ต่างคนต่างก้มตาก้มตากดมือถือในมือของตนพร้อมกับปล่อยรังสีประหลาดสีดำทะมึนออกมาโดยไม่สนใจอีกห้าบุคคนที่เหลือเลยว่าจะมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร
ห้าคนที่เหลือแสร้งทำเป็นยุ่งกับกิจกรรมของตนแต่ความจริงแล้วกลับผลัดกันส่งสายตาไปมาเป็นทำนองโบ้ยให้แต่ละคนทำลายบรรยากาศบ้าๆนี่เสียที
ยองแจที่นั่งอยู่ที่โซฟาส่งสายตาเลิกลั่กๆให้กับจินยองที่นั่งอยู่ข้างกัน แต่จินยองก็ทำได้เพียงมองกลับอย่างจนใจแล้วไพร่สายตามองไปยังลีดเดอร์ของวงพร้อมบุ้ยบอกเป็นเชิงโยนความรับผิดชอบให้ลีดเดอร์จัดการ
แจบอมหน้าเหวอชี้นิ้วมาที่ตัวเองคล้ายถามว่าให้เขาจัดการเหรอ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นพันละวันแล้วบุ้ยหน้าไปทางแฮปปี้ไวรัสอย่างแจ็คสันแทน แจ็คสันถลึงตามองกลับมา ใจอยากจะบุ้ยต่อไปทางพี่ใหญ่แต่เหมือนอีกฝ่ายรู้ทัน หันหน้าหนีแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียก่อน เขาจึงทำได้เพียงโยนกลับไปทางลีดเดอร์พร้อมยักไหล่อย่างจนใจ
เรื่องนี้แจ็คสันขอไม่ยุ่ง
ในเมื่อแจบอมเห็นดังนั้นเขาจึงได้แต่ลอบถอนหายใจพรางคิดว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี โดยนิสัยเขาแล้วก็เป็นคนพูดออกมาตรงๆ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ต้องคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย แต่จะว่ายังไงดี เรื่องนี้ขอเป็นการยกเว้นไว้สักหน่อยดีกว่า
จากการตามสืบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ที่เขาได้ความมาทั้งหมด คงต้องย้อนกลับไปเมื่อวันก่อน
Got7 ได้ไปถ่ายทำรายการกันตามปกติ แต่ครั้งนี้เป็นสตูดิโอที่พวกเขาไม่คุ้นเคยและเคยไปที่สตูดิโอนั้นเป็นครั้งแรก การถ่ายทำในวันนั้นก็ล่วงเลยจนดึกดื่น ในขณะที่พวกเขากำลังจะกลับมาขึ้นรถตรงลาดจอดรถหน้าสตูดิโอนั้น แบมแบมพึ่งจะนึกได้ว่าตนเองลืมมือถือที่ชาร์ตแบตทิ้งไว้ที่ห้องแต่งตัว จึงต้องวิ่งกลับไปเอาโดยมียูคยอมอาสาไปเป็นเพื่อน
แบมแบมกับยูคยอมเดินไปจนเกือบจะถึงห้องแต่งตัว แต่แล้ว ทั้งสองคนไปเจอกับสตาฟสตูดิโอคนหนึ่งที่มาถามว่า กระเป๋าอุปกรณ์ที่ถูกทิ้งไว้ในสตูดิโอใช่ของสตาฟทางgot7หรือเปล่า เป็นเหตุให้ยูคยอมต้องเดินไปดูกระเป๋ากับสตาฟคนนั้นและแบมแบมก็เดินไปห้องแต่งตัวเพียงคนเดียว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาคนที่เหลือต้องรอนาน
ในขณะที่แบมแบมกำลังจะเดินกลับออกมานั้น เนื่องจากเป็นเวลาเลิกกองแล้ว สตูดิโอก็เริ่มทยอยปิดไฟลงไปเรื่อยๆ สร้างความหวาดกลัวให้กับมักเน่ตัวเล็กไม่น้อย โดยปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่พวกขี้ขลาดกลัวผีอะไรขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อคืนก่อนเขานั่งดูหนังผีมาราธอนติดกันหลายเรื่องกับฮยองทั้งหลายในวง ครั้นเขาจะเลิกดูแต่ทุกคนกับบังคับให้เขาดูจนจบทุกเรื่อง จนตอนนี้แค่จะเข้าห้องอาบน้ำเขายังอยากจะลากคนเข้าไปอาบเป็นเพื่อนเลยด้วยซ้ำ มองไปทางไหนก็มังแต่คิดว่าจะมีอะไรโผล่ออกมามั๊ย
ใจอยากจะเดินออกไปจากสตูดิโอนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเลือกที่จะรอเพราะเขานัดกับยูคยอมให้มาเจอกันที่หน้าห้องนี้ ถ้าเกิดยูคยอมมาแล้วไม่เจอเขาก็จะยิ่งพลัดหลงกันอีก รออยู่สักพักก็ไร้วี่แววของเพื่อนตัวโตที่นัดกันไว้ มือบางกดเปิดมือถือราคาแพงเพื่อจะติดต่อหาอีกฝ่าย แต่กดเท่าไหร่หน้าจอก็ไม่สว่างขึ้นเสียที จึงคิดได้ว่าในตอนที่เขาเสียบสายชาร์ตทิ้งไว้คงมีคนมาถอดออกในขณะที่เครื่องเขายังไม่มีแบตเลยด้วยซ้ำ
“เวรเอ้ย ใครมาถอดปลั๊กวะ”อดสบถออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดด้วยความหงุดหงิดใจไม่ได้
สายตาของร่างโปรงเริ่มมองไฟที่ค่อยๆดับลงทีละดวงๆ จนตอนนี้เหลือเพียงไฟดาวน์ไลท์สีส้มอ่อนจางๆตรงหน้าห้องนี้เท่านั้น เวลาผ่านไปพร้อมๆกับความกังวลและความกลัวที่เพิ่มขึ้น กังวลว่าจะเกิดอะไรกับเพื่อนร่วมวงของเขาที่หายไปนั้นหรือเปล่า ทำไมถึงยังไม่กลับมาเสียที และความกลัวที่มาจากการดูหนังผีติดกันหลายเรื่อง จนทำให้ตอนนี้ไม่ว่าจะอะไร ใจเขามันก็ระแวงไปเสียทุกเรื่องแล้ว กลัวว่าเดี๋ยวไอ้นั่นจะโผล่มาตรงประตู ไอ้นี่จะห้อยลงมาจากเพดาน หรือแม้กระทั่งว่าถ้าหันหลังกลับไปแล้วจะเจอสิ่งเร้นลับจากอีกมิติหรือเปล่า ความกลัวค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นจนตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาเสียด้วยซ้ำ ภาพจากหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่าคอยฉายย้อนซ้ำๆทุกครั้งที่เขาหลับตา
กึก!
ทันใดนั้น ร่างโปร่งต้องชะงักกึก หันขวับกลับไปมองทางด้านหลัง เขาได้ยินเสียงบางอย่างจากตรงทางเดินที่มืดสนิท เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามใบหน้าใส แบมแบมมองด้วยความหวาดระแวงไปในความมืด
ลำคอแห้งผากไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องถามออกไป
ต่อไปนี้ถ้าใครบังคับให้ดูหนังผีอีก จะเป็นตายร้ายดียังไง เขาก็จะหักแผ่นหนังนั่นทิ้งแล้วจุดไฟเผาให้รู้แล้วรู้รอด!!
แบมแบมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ความกลัวแล่นจับจิต
รู้สึกอับอายตนเองเล็กน้อยที่โตขนาดนี้แล้วยังอดคิดอะไรฟุ้งซ่านหลอกตัวเองเรื่องผีสางไปเรื่อยไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้มีข้อห้ามว่าโตแล้วห้ามกลัวผีนี่!
ร่างโปร่งเพ่งมองไปในความมืดด้วยความระแวดระวัง มือบางกำโทรศัพท์มือถือราคาแพงในมือแน่น
กึก !
เฮือก!!
ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ หัวใจเต้นตึกตักๆด้วยความรวดเร็ว วินาทีนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าเสียงอะไร เขาค่อยๆก้าวถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ หนึ่งก้าว สองก้าว และแล้วก่อนที่สมองจะสั่งอะไร ร่างกายของเขาก็วิ่งจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลืมไปหมดว่านัดกับเพื่อนร่วมวงไว้ที่ไหน รู้แค่ว่าต้องวิ่งออกมาจากตรงนั้นก่อน
เขาวิ่งตามทางมาเรื่อยๆ ที่นี่ไม่ใช่สตูดิโอที่เขาคุ้นเคย แถมไฟแทบจะปิดหมดทุกดวงแล้ว แบมแบมวิ่งมั่วไปตลอดเส้นทาง ในความรู้สุกเขา ขอแค่ออกมาจากตรงนั้นได้ก็ยังดี โชคดีที่ว่าเขาไปเจอยามที่มาเดินตรวจและได้ยามคนนั้นพามาส่งยังหน้าประตูสตูดิโอ
“ฮยอง นี่ใช่ของมินอานูน่าป้ะ”สมาชิกอีกห้าคนที่เหลือรวมทั้งเมเนเจอร์มองตามเสียงเรียกของยูคยอม เห็นเจ้าคนตัวสูงวิ่งทั่กๆพร้อมแบกกระเป๋าอุปกรณ์และกล่องเครื่องสำอางใบใหญ่มาด้วย พร้อมถามถึงสตาฟที่คอยดูแลการแต่งหน้าของพวกเขา
เมเนเจอร์เข้าไปรับของมาจากยูคยอมแล้วตรวจสอบ เมื่อพบว่าใช่จึงได้นำของไปเก็บใส่ท้ายรถ
“ยูคยอม แบมแบมล่ะ”เสียงของจินยองที่เอ่ยถามพลันสะกิดให้ทุกคนคิดได้
“เออ นั่นดิ แบมแบมไปไหน”แจบอมถามย้ำด้วยความสงสัย
ยูคยอมมองหน้าทุกคนเลิ่กลักด้วยความตกใจ ใบหน้าหล่อเบิกตากว้าง คิ้วเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจพร้อมเอ่ยถาม
“แบมแบมยังไม่ได้ออกมาเหรอ?”
เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้นจึงพากันเงียบกริบ พวกเขาส่ายหน้า ยูคยอมอ้าปากค้าง
ยูคยอมเล่าเรื่องที่เจอสตาฟในสตูดิโอให้ฟังและบอกว่านัดกับแบมแบมไว้ที่หน้าห้องแต่งตัว แต่เพราะเขาต้องรีบเอาของออกมาให้ดูก่อนว่าใช่ของgot7ไหม เลยไม่ได้รอออกมาพร้อมแบมแบม
“นี่แกทิ้งแบมแบมไว้ข้างในคนเดียวหรอวะ!?”แจ็คสันเอ่ยถามด้วยความตกใจ ทุกคนก็พลอยตกใจไปด้วย เพราะพวกเขาที่รออยู่ข้างนอกนั้นเห็นว่าสตาฟที่อยู่ในตึกออกกันมาเกือบหมดทุกคนแล้ว และไฟภายในสตูดิโอ ก็เริ่มทยอยปิดแล้วด้วย
เมเนเจอร์ฮยองได้ยินดังนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ติดต่อหาแบมแบม แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่ติดสักที
“เหมือนปิดเครื่อง”เมเนเจอร์ฮยองบอก แล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ก่อนจะบอกว่าเขาจะเข้าไปดูในตึก พร้อมบอกให้คนอื่นรอข้างนอก ครั้นสมาชิกที่เหลือจะเข้าไปช่วยดูด้วยกลับถูกปฎิเสธ เพราะไม่อยากให้เกิดความวุ่นวาย มีเพียงแจบอมเท่านั้นที่ได้เข้าไปในตึกด้วย
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเดินไป ยูคยอมมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขารู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนอยู่ในนั้นคนเดียว เพราะเขาต้องรีบเอาของออกมาให้เมเนเจอร์ดู ถ้าเกิดไม่ใช่ของทางgot7 เขาจะได้รีบนำกลับไปคืน และอีกอย่างเขาจึงคิดว่าแบมแบมที่เข้าไปหยิบโทรศัพท์เพียงแปปเดียวน่าจะออกไปแล้ว ไม่คิดว่าอีกคนจะยังรอเขาอยู่ข้างใน ตอนที่เขากำลังเดินออกมาก็โทรหาแล้ว แต่กลับโทรไม่ติด ตัวเขาไม่ได้คิดมากอะไร คิดเพียงว่าแบมแบมน่าจะออกมาแล้ว
จินยองเห็นดังนั้นจึงโอบไหล่รุ่นน้องตัวโตแล้วบีบเบาๆเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร ก่อนจะหันไปมองมาร์คที่ยังคงกดโทรศัพท์หาคนตัวเล็กที่ยังอยู่ด้านในด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มาร์คมองกลับมาก่อนจะส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงบอกว่าโทรไม่ติด
“ฮยอง แบมแบมมันจะกลัวไหมวะ”ยองแจอดถามออกมาเบาๆด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ทุกคนรู้เพราะการดูหนังผีมาราธอนทำให้ช่วงนี้พวกเขายังอดระแวงกลัวนู่นกลัวนี่ไม่ได้เลย ยิ่งแบมแบมนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อเช้าจะอาบน้ำยังแทบจะลากพวกเขาเข้าไปอาบพร้อมกันด้วยซ้ำ
“แบมแบม!!”เสียงตะโกนเรียกของเมเนเจอร์ฮยองดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงของแจบอม เรียกให้ทุกคนหันหน้าไปดู เห็นร่างโปร่งผลักประตูออกมาโดยมียามที่เดินถือไฟฉายส่องทางเดินนำมาด้วย และแล้วพวกเขาก็ได้ตัวแบมแบมกลับมาอย่างปลอดภัย
แจบอมมองรุ่นน้องทั้งสองคนที่นั่งแยกกันคนละทิศคนละทางด้วยความหนักใจ เขาจำสีหน้าของแบมแบมตอนที่ก้าวเท้าออกมาจากตึกนั่นได้แม่น ใบหน้าซีดเผือด ไม่ต้องให้เจ้าตัวเอ่ยปากบอก เขาก็พอจะเดาได้ว่าเด็กคนนี้กลัวมากขนาดไหน มือสองข้างกำมือถือในมือแน่น เหงื่อผุดเต็มใบหน้า
ทันทีที่แบมแบมเห็นเขากับเมเนเจอร์ฮยอง สิ่งแรกที่เจ้าเด็กนั่นทำคือการถามหาเพื่อนตัวโต สีหน้าบ่งบอกความเป็นห่วง แต่พอเขาตอบว่ายูคยอมออกมาแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นโล่งใจก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
เขาพอจะดูออกมาว่าแบมแบมคงจะเคืองหน้าดู
หลังจากขึ้นรถยูคยอมก็พยายามอธิบายให้แบมแบมฟังว่าต้องรีบเอาของออกมาให้เมเนเจอร์ดูก่อน พร้อมทั้งขอโทษขอโพยไม่หยุด แบมแบมก็ได้แต่พยักหน้าไม่ใส่ใจปากก็บอกช่างเถอะ แต่หลังจากนั้นก็ยืมมือถือแจ็คสันมากดเล่นพร้อมใส่หูฟังแล้วนั่งเงียบไปตลอดทาง
ยูคยอมที่อธิบายทุกอย่างและขอโทษแล้วแต่กลับได้รับแต่ความเงียบจากอีกฝ่าย ไปๆมาๆเจ้าหนูยูคยอมก็ดันเงียบใส่อีกฝ่ายบ้าง ไม่พูดไม่จา เงียบใส่กันตลอดจากเมื่อวานจนกระทั่งตอนนี้
เขาคิดว่ายูคยอมก็คงจะงอนรูมเมทของมันนั่นล่ะ ที่ขอโทษเท่าไหร่ก็ยังไม่หายโกรธ เช่นเดียวกับแบมแบม ถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น ยูคยอมก็ไม่ได้ผิด แต่ด้วยความกลัวที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว ก็ทำให้เจ้าตัวอดที่จะงอนไม่ได้เช่นกัน
แล้วอีกอย่าง จะว่าไป พวกเขาก็ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นด้วยเหมือนกัน อย่างน้อยถ้ายูคยอมโทรหาแบมแบมติด เรื่องก็คงไม่บานปลายขนาดนี้ ถ้าเกิดเมื่อวานพวกเขาไม่ได้ถอดที่ชาร์ตแบตของแบมแบมออกแล้วเอามาชาร์ตแทน เพราะมือถือที่พวกเขาใช้ดูหนังอยู่แบตหมด โดยไม่ทันดูเลยว่ามือถือของแบมแบมยังไม่มีแบต!
หรืออย่างน้อยที่สุด ถ้าพวกเขาไม่บังคับให้หมอนั่นดูหนังผีกับพวกเขาจนจบทุกเรื่องแบบนั้น... เรารู้กันดีว่าแบมแบมกลัวผีมากขนาดไหน
จะมองยังไงพวกเขาก็มีส่วนผิดด้วยเห็นๆ
คิดมาถึงตรงนี้ลีดเดอร์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากเริ่มพูดออกมา
“Got7 เตรียมตัวแสตนด์บายได้แล้ว”สตาฟกลับเปิดประตูเข้ามาเรียกพวกเขาออกไปเตรียมตัวเสียก่อน
ทุกคนละจากภารกิจของตนแล้วพากันเดินตามหลังสตาฟคนนั้นไป เขาที่อยู่รั้งออกคนสุดท้ายจึงได้แต่พูดเปรยขึ้นเบาๆแต่จงใจให้สองคนที่เดินนำเขาอยู่ได้ยินชัดเจน
“ฮยองรู้ว่าพวกนายแยกแยะเรื่องบนเวทีกับหลังเวทีออก.. ใช่มั๊ย?”
ทั้งสองคนชะงักก่อนจะเป็นแบมแบมที่ส่งเสียงตอบรับออกมาก่อนโดยไม่หันหลังกลับมา
“ครับ”แล้วเดินออกจากห้องไป เหลือเจ้ามักเน่ตัวโตที่มองตามหลังเพื่อนไปแล้วหันหลังมาหาเขา ทำปากเบะ หน้าหงอยแต่ดูแอบนอยเบาๆ
“ฮยอง”
“เอาน่าๆ เดี๋ยวก็เคลียร์กันได้”ว่าแล้วก่อนจะดึงคนตัวสูงมาโอบไหล่แล้วตบปุๆเป็นเชิงปลอบใจ
หลังจากเสร็จการแสดงและตารางงานของวันนี้แล้ว พวกเขาถูกส่งกลับหอพักเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับตารางงานวันต่อไป เมื่อมาถึงหอพักทุกคนต่างแยกย้ายกันทำกิจกรรมของตน บางคนก็ทานมื้อค่ำบางคนก็แยกย้ายไปอาบน้ำและดูโทรทัศน์
แบมแบมที่แยกตัวออกมาอาบน้ำก่อน เดินถือผ้าเช็ดตัว เช็ดผมที่เปียกของตนเบาๆออกมาจากห้องน้ำและเดินกลับเข้าห้องนอนของตน แต่เมื่อเปิดประตูไปเจอกับรูมเมทที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเป็นเดินเข้าไปวางผ้าเช็ดตัว ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอน ไม่สนใจสายตาของมักเน่ที่จ้องมายังเจ้าตัวเลยสักนิด
“แบมแบม”เสียงเรียกจากคนที่นอนอยู่บนเตียง ทำให้คนที่เปิดประตูห้องและกำลังจะก้าวเท้าออกต้องชะงัก ก่อนจะหันหน้ากลับไปหาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
ยูคยอมนิ่ง ชั่งใจก่อนถาม
“นายยังไม่หายโกรธฉันเหรอ ฉันขอโทษ”
แบมแบมได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปมือที่จับลูกบิดอยู่ยิ่งกำแน่น ใบหน้าก้มลงต่ำ คิ้วขมวดมุ่นแบบคนกำลังคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วสบตากับคู่สนทนา
“เปล่าหรอก ก็ไม่เชิงโกรธ”พูดได้เท่านั้นก่อนจะนิ่งไปอีก ราวกับกำลังสรรหาคำพูดที่ถูกใจ แต่สุดท้ายร่างโปร่งก็ยักไหล่พร้อมพูด
“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว”และเดินออกจากห้องไปทันที
ยูคยอมมองตามเพื่อนร่วมวงที่เดินออกไปจนกระทั่งร่างบางปิดประตูห้องนอน ใบหน้าคมขมวดคิ้วบ่งบอกถึงความหงุดหงิด ร่างสูงลุกขึ้นนั่งก่อนจะลูบใบหน้าของตนแล้วถอนหายใจแรง
นั่นเหรอที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไร แล้วทำไมถึงไม่ยอมคุยกัน
ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิด แล้วพยายามไม่สนใจ หวังก็แต่เพียงว่า คนที่ปากบอกว่าไม่ได้คิดอะไรแล้ว มันจะไม่ได้คิดอะไรแล้วจริงๆ แล้วรอจนตนเองใจเย็นลงก่อนจะลุกออกไปหาอาหารมื้อดึกทานบ้าง
“อ้าว แบมแบม มากินนี่ดิ อร่อยดี”จินยองเรียกแบมแบมที่เดินออกจากห้องนอนให้มาที่โต๊ะอาหาร แบมแบมขานรับก่อนจะเดินมาตามเสียงเรียก ท่าทางที่ปกติดีไม่มีเค้าความหงุดหงิดให้เห็นจึงทำให้สมาชิกที่เหลือต่างพากันโล่งใจ
เมื่อสักครู่ที่แบมแบมคุยกับยูคยอมตรงประตูมันอยู่ในสายตาของพวกเขาทุกคนนั่นแหละ ถึงจะไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน แต่ดูท่าทางแบมแบมโอเคดี ก็แสดงว่าน่าจะไม่ได้ทะเลาะกัน พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าแบมแบมยังโกรธหรือติดใจอะไรอยู่ไหม แต่ดูจากท่าทางแล้วคงเย็นลงเยอะมากทีเดียว เดี๋ยวอีกสักพักก็น่าจะคืนดีกันเหมือนเดิม
เสียงเปิดประตูก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงของมักเน่ที่เดินมาทางห้องครัว พร้อมส่งเสียงเรียกมาแต่ไกล
“ฮยอง มีอะไรให้ผมทานบ้าง”
แต่เมื่อมาถึงโต๊ะอาหารกลับมีอาการชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วย แบมแบมเงยหน้าสบตายูคยอม เช่นเดียวกับยูคยอมก็ไม่หลบสายตาเช่นกัน
ทุกคนนิ่งไปสนิท มาร์คและแจ็คสันที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์แต่สายตากลับจ้องมองมาทางโต๊ะอาหารด้วยความระทึก ยองแจอ้าปากค้าง งงกับสถานการณ์
เมื่อกี๊แบมแบมมันก็ดูท่าทางปกติดีนี่หว่า แล้วอาการแบบนี้นี่มันอะไรกัน… หรือว่าเมื่อกี้พวกมันไม่ได้คุยกันดีๆวะ!
แจบอมเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่เข้าท่าจึงกระแอมออกมาเบาๆก่อนพูดเสียงดังฟังชัดท่าทางกระตือรือร้น
“อ้า ใช่ๆ ทุกคนฟังทางนี้หน่อย”เขาเกริ่นนำด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมปรบมือสองสามทีเพื่อเรียกความสนใจ
แบมแบมกับยูคยอมหันมองตามเสียงของแจบอมก่อนจะหันกลับมาสบตากันอีกรอบ แล้วก็ละสายตาออกจากกันอีกครั้ง
อิมแจบอมสอดส่ายสายตาดูทุกคน เมื่อทุกสายตาหันมามองจึงเริ่มกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เมเนเจอร์ฮยองโทรมาบอกเกี่ยวกับวันหยุดที่เราเคยคุยกันไปก่อนหน้านี้ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ สรุปแล้วเราได้หยุดพักกันนะทุกคน ไม่ต้องเข้าบริษัท ไม่ต้องทำงาน อยากทำอะไรก็ตามสบาย อ้า อีกกี่วันนะ หนึ่งสองสาม” ว่าพรางเอานิ้วขึ้นมานับ แล้วปรบมือดังฉาด
“ใช่ๆ อีกสามวันพวกเราจะได้พักแล้ว เอาล่ะ ต่อไปนี้ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานเหมือนเดิมนะ วันนี้ทุกคนทำได้ดีมาก แต่ตอนนี้ฮยองเหนื่อยมากเลย ขอตัวก่อนนะ”ลีดเดอร์ประกาศรวดเดียว พูดเองเออเองคนเดียวจบก่อนจะบอกลาทุกคนและวิ่งเข้าห้องนอนของตัวเองไป โดยมีสายตาอีกหกคู่ที่เหลือมองตามอย่างงงๆ
“อะไรของฮยองเขาน่ะ”แจ็คสันแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความสงสัย ก่อนจะขยับตัวลุกจากโซฟาแล้วทำท่าจะเดินเข้าห้องของตนบ้าง
จินยองที่รู้ว่าแจ็คสันกับมาร์คจะหนีเข้าห้องก็ได้แต่ถลึงตาใส่เพื่อหยุดทั้งคู่ แต่ไร้ผล ทั้งคู่ลุกขึ้นปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินเข้าห้องของตนอย่างแนบเนียน ยองแจเห็นดังนั้นจึงทำท่าจะขยับตัวลุกจากที่นั่งบ้าง แต่ก็ต้องทรุดตัวลงนั่งทันที ด้วยน้ำมือของบุคคลที่ได้ฉายาว่าออมม่า มือจินจองกดที่ไหล่ยองแจลงอย่างแรง ในขณะที่ใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมชวนยูคยอมให้นั่งลงก่อนจะจัดการหยิบอาหารต่างๆให้
“อ่ะ ยูคยอมอ่า นายก็นั่งลงสิ นี่อร่อยดี ลองดู เอ้ายองแจ นายยังกินไม่อิ่มเลยนี่ กินเยอะๆเลย กินสิ”ว่าพรางนั่งลงข้างเขาก่อนจะโอบไหล่รุ่นน้องตบปุๆ แล้วหันมายิ้มกว้างให้ พร้อมส่งสายตาที่จ้องเขม็งไปให้บอกเป็นทำนองให้อยู่ร่วมชะตากรรมด้วยกันก่อน…
ผ่านไปอีกวัน บรรยากาศระหว่างมักเน่ไลน์ก็ดูเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย ทั้งสองคนดูเฮฮาร่าเริงกันตามปกติ ไม่ปล่อยรังสีแปลกๆออกมา แม้จะไม่หยอกล้อกันแบบเก่า และเวลาเจอหน้ากันก็มีอึกๆอักๆใส่กันบ้าง แต่ทั้งสองก็พูดคุยกับคนอื่นได้เหมือนเมื่อก่อน ไม่นั่งเงียบอยู่กับตัวเอง น่าจะถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีได้
หลังจากเสร็จจากตารางงานอันแสนวุ่นวายของวันนี้ ทุกคนต่างพากันแยกย้ายทำกิจกรรมของตน แจ็คสัน มาร์ค และยองแจ นั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะตามมาสบทบด้วยแบมแบมที่เดินออกมาจากห้องนอนแล้วทิ้งตัวนั่งที่ว่างบนโซฟาที่เหลืออยู่ ข้างๆกับรุ่นพี่ชาวฮ่องกง
“ไง วันหยุดรอบนี้มีแพลนรึยัง”แจ็คสันเอ่ยปากถามพร้อมกับจับคนตัวเล็กมานั่งพิงกับตัวเขาแล้วโอบแขนคล้องคอไว้
แบมแบมยู่หน้าเล็กน้อย
“อืออ…”ส่งเสียงยานคางในลำคอตอบรับ ท่าทางดูครุ่นคิด แต่ไม่ตอบคำถามสักทีจนฝ่ายถามต้องเอ่ยปากทัก
“เน่! มันคิดยากมากเลยเหรอ ปกติก็เห็นนายเอาแต่นอนกับอ่านการ์ตูนทุกที”แจ็คสันว่า
“หรือครั้งนี้วางแพลนพิเศษอะไรไว้?”มาร์คเดาส่ง แต่กลับจี้ใจของผู้ฟังได้ไม่น้อย แต่สุดท้ายร่างเล็กก็ส่ายหน้า แล้วเบะปาก
“ผมก็ไม่รู้อ่ะ”คนตอบจ้องตาคนถามแบบซื่อๆ แล้วตอบแบบงงๆ คนฟังก็งง คนตอบก็งง สุดท้ายเลยได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน
ก็จะให้พูดยังไงว่า อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาเคยคุยกับยูคยอมไว้ว่าถ้าสุดสัปดาห์นี้ได้หยุด จะไปเดินที่เมียงดงกัน แต่ตอนนี้ สถานการณ์มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
หรือเขาจะลองไปคุยกับยูคยอม…
“อื้อ ได้ๆ แล้วเจอกันเสาร์นี้”
ยังไม่ทันจะคิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เสียงคุ้นเคยของมักเน่ก็ดังขึ้นสะกิดความรู้สึกของเขา
เจอกันเสาร์นี้เหรอ…
ทุกคนมองตามร่างสูงที่เดินจากห้องครัวเข้ามายังบริเวณส่วนนั่งเล่นพร้อมกดวางสาย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างกับยองแจ
“เสาร์นี้มีนัดเหรอ”ยองแจเอ่ยถามพรางพยักเพยิดหน้าไปที่มือถือในมือของมักเน่
คำถามที่ตรงใจกับหนุ่มน้อยชาวไทยมากที่สุด แบมแบมนั่งนิ่งรอฟังคำตอบเช่นกัน
มักเน่ตัวสูงส่งยิ้มแป้นจนยาหยีตามแบบฉบับให้คนถาม
“อื้อ เพื่อนชวนไปเล่นสเก็ตบอร์ด ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วด้วย”ตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีพรางยิ้มกว้าง
“จริงสิ สเก็ตบอร์ดอยู่ไหนนะ”บ่นกับตัวเองก่อนจะวิ่งเข้าห้องไปหาสเก็ตบอร์ดของตน อีกสักครู่ก็วิ่งออกมาพร้อมสเก็ตบอร์ดคู่ใจ ก่อนจะหยิบผ้ามาปัดๆเช็ดถู แล้ววางลงบนโต๊ะทานอาหาร ก่อนจะเดินกลับมาร่วมดูรายการโทรทัศน์ร่วมกับเมมเบอร์คนอื่นๆต่อ
ท่าทางมีความสุขของยูคยอมขัดกับมักเน่อีกคนที่ตอนนี้นั่งนิ่งและมีท่าทีหงุดหงิด
ไปเล่นเสก็ตบอร์ดกับเพื่อนหรอ เหอะ!
ร่างเล็กที่นั่งอยู่ในวงแขนนิ่งจนผิดสังเกตุ ทั้งๆที่มันเป็นรายการตลก คนอื่นก็หัวเราะกันไป แต่คนที่นั่งพิงเขาอยู่นี้กลับนิ่งซะจนน่าแปลก แจ็คสันจึงจับศรีษะทุยให้หันหน้ามาหาเขา ทันเห็นสีหน้าเรียบเฉยและฉายแววหงุดหงิดของเด็กในอ้อมแขน คนเป็นพี่หรี่ตาจ้องหน้าแบมแบมอยู่สักพักจนคนถูกจ้องทนไม่ไหวผลักหน้าพี่ชายร่วมวงออก
“อะไรของฮยองเนี่ย” คนตัวเล็กกว่าบ่นเบาๆเป็นเชิงถาม แล้วหันกลับมาสนใจรายการทีวีต่อ
“นายนั่นแหละอะไร นิ่งซะจนฉันคิดว่านั่งโอบตอไม้อยู่”
“ก็ผมดูทีวีอยู่”ตอบนิ่งๆด้วยน้ำเสียงที่ทำเป็นร่าเริงและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แจ็คสันไม่ได้คิดแบบนั้น เขามองสบตากับมาร์คที่จับสังเกตุได้เช่นกัน
ไม่ใช่แบมแบมโกหกไม่เก่ง แต่เพราะพวกเขาอยู่กับแบมแบมมาตั้งแต่เด็กคนนี้ยังเด็กมาก เขาเลยพอจะจับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้
เมื่อแบมแบมเริ่มรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่จึงผ่อนเป็นท่าทีสบายๆ แล้วหันมาถามหาโทรศัพท์ของตนที่เผลอวางไว้จนหาไม่เจอจากเมมเบอร์คนอื่น
“ฮยองเห็นโทรศัพท์ผมบ้างป้ะ”ถามก่อนจะผละออกจากแจ็คสัน ทำทีลุกขึ้นหาโทรศัพท์แถวโซฟา แต่ก็ไม่ยักมีเสียงตอบจากใครจนเข้าตัวต้องถามย้ำอีกรอบ
“อืม..รู้สึกเหมือนเห็นอยู่บนโต๊ะกินข้าวอ่ะ” ยองแจตอบแล้วหันไปหัวเราะขำกับรายการในโทรทัศน์ต่อ แบมแบมพยักหน้างึมงัมก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าว เห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเขาวางอยู่ข้างๆสเก็ตบอร์ดของยูคยอม เห็นแบบนี้ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า มือถือกับสเก็ตบอร์ดมันอยู่ข้างกันขนาดนี้ ไอคนวางสเก็ตบอร์ดนี่มันจะไม่เห็นมือถือเขาเลยเหรอ ถึงไม่ตอบว่ามือถือเขาอยู่ที่ไหน
พลันความหงุดหงิดโมโหที่กรุ่นๆอยู่ในใจเริ่มพุ่งขึ้นเป็นริ้วๆ ก่อนร่างโปร่งจะพยายามตัดใจเลิกคิดให้วุ่นวายสมองของตน แล้วรีบเดินไปหยิบมือถือบนโต๊ะ
แบมแบมเอื้อมมือคว้ามือถือบนโต๊ะแล้วหมุนตัวตั้งท่าจะเดินกลับเข้าห้องนอนของตนเอง แต่ด้วยความหงุดหงิดและรีบ ทำให้จังหวะที่เขาหยิบมือถือขึ้นมานั้น มือของเขาไปสะบัดโดนสเก็ตบอร์ดและแจกันที่วางอยู่ข้างๆกัน และทันทีที่ชักมือกลับมา มือยังไปเกี่ยวกับพนักเก้าอี้อีกด้วย
เคร้ง!!
สเก็ตบอร์ดหล่นลงจากโต๊ะอย่างแรง
เพล้ง!!
ตามมาด้วยแจกันที่หล่นแตกบนสเก็ตบอร์ด
โครม!!!
และปิดท้ายด้วยเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ที่หล่นทับสเก็ตบอร์ดอีกที
เสียงดังโครมครามเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ทุกสายตามองตามเสียงด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับแบมแบมที่หันกลับไปมองด้วยความตื่นตะลึงไม่แพ้กัน
“แบมแบม!!”เมมเบอร์ที่อยู่หน้าทีวีเรียกแบมแบมด้วยความตกใจ ก่อนจะวิ่งมาดูเหตุการณ์
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!”แจบอมกับจินยองที่อยู่ในห้องนอนของตนตามเสียงดังโครมครามออกมาด้วยท่าทีตื่นๆ
แบมแบมไม่ได้สนใจเมมเบอร์คนอื่น กลับจ้องมองสเก็ตบอร์ดของเพื่อนร่วมวงที่อยู่บนพื้นด้วยความตกใจ
ตาโตเบิกกว้างเมื่อเห็นสภาพเศษแจกันที่แตกละเอียด สเก็ตบอร์ดที่โผล่พ้นจากเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ที่ล้มทับนั้น ตรงขอบล้อบิ่นแตกออกมาเป็นเศษเล็กๆ แต่ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ ขอบล้อบิ่นแตกนิดหน่อยยังพอสเก็ตได้ แต่ที่แย่คือแกนที่ต่อระหว่างล้อและกระดานบิ่นงออย่างเห็นได้ชัด ดูก็รู้ว่าสเก็ตแผ่นนี้นั้นพังเสียแล้ว
เห็นดังนั้นแบมแบมก็อดที่จะตกใจไม่ได้ สเก็ตบอร์ดที่เจ้าของเล่นเท่าไหร่ๆ ไถลท่าพิศดารยังไงก็ไม่เห็นพัง แถมสเก็ตบอร์ดนี้ ยูคยอมยังหวงและชอบมันมากอีกด้วย แต่เขากลับทำมันพังเสียอย่างนั้น
แบมแบมหันไปหาเจ้าของสเก็ตบอร์ดช้าๆ อีกฝ่ายยังคงจ้องมองสเก็ตบอร์ดของตนที่อยู่บนพื้นนิ่ง คิ้มเข้มขมวดมุ่น
“คือ…”แบมแบมเกริ่น ทุกคนยังคงเงียบ ท่าทีตกใจยังคงไม่หายไป
ยูคยอมปรายสบตานิ่งกับคนเกริ่น เมื่อเห็นแววตาที่ดูโมโหมากแบบนั้นแบมแบมก็นิ่งไป นึกคำพูดไม่ออก ก่อนที่ร่างสูงของมักเน่จะตรงไปหยิบสเก็ตบอร์ดของตนขึ้นมา จนจินยองต้องรีบร้องเตือน
“ยูคยอมระวังเศษแจกัน!”
ยูคยอมคว้าแผ่นสเก็ตบอร์ดขึ้นมาแล้วหันมาเผชิญหน้ากับแบมแบม
“นายทำแบบนี้ทำไม!”น้ำเสียงห้วนเอ่ยถาม
แบมแบมขมวดคิ้มงุนงง แต่ก็รู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิด
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันเดินมาหยิบโทรศัพท์แล้ว…”อธิบายอย่างช้าๆ ค่อยๆเรียบเรียงคำพูด แต่พูดได้เท่านั้นก็เงียบไปเมื่อคนตรงหน้ายังส่งสายตาแสดงความโกรธเคืองมาให้
แบมแบมสบตากับยูคยอมด้วยความรู้สึกผิดปนความไม่เข้าใจ
เขาไม่เคยเห็นยูคยอมโกรธขนาดนี้มาก่อน…
“แล้วยังไง เดินมาหยิบโทรศัพท์แล้วยังไง!!”มักเน่ขึ้นเสียงถามด้วยความกราดเกรี้ยวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน จนแจบอมที่ยืนอยู่ข้างๆต้องจับแขนเบาๆเป็นการเตือน
แบมแบมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ แววตาเริ่มฉายความไม่พอใจ
ตะคอกทำไมวะ!
แต่ด้วยความที่รู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิดจึงกลั้นอารมณ์โมโหของตนแล้วพยายามจะพูดอธิบายต่อ แต่ยังไม่ทันจะเริ่มเอ่ย อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาก่อนเสียแล้ว
“นายโกรธฉันถึงขนาดต้องทำลายข้าวของขนาดนี้เลยเหรอ!! นี่มันสเก็ตบอร์ดของฉันนะ! ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย!!!”
“ยูคยอม!”แบมแบมร้องลั่นด้วยความโมโห ก่อนจะตวาดออกไปเสียงดังไม่แพ้กัน “ฉันไม่ได้ทำลายข้าวของ!!!”
“แล้วที่นายทำอยู่นี่คืออะไรวะ!!”ตะคอกกลับแล้วชูสเก็ตบอร์ดในมือเขย่าด้วยความโมโห
“ก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจไงวะ!!!”
“เฮ้ๆ แบมแบม ยูคยอม ไม่เอาน่า พูดกันดีๆ เรื่องมันเคลียกันได้น่า”แจ็คสันกล่อมเบาๆเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มแย่ไปทุกที แล้วตบไหล่ก่อนจะนวดเบาๆที่ต้นคอของเมมเบอร์ชาวไทย แจบอมที่รั้งแขนยูคยอมไว้ก็บีบเบาๆเป็นเชิงให้ใจเย็น แล้วพูดกล่อมให้สงบ
แต่การกระทำทุกอย่างกลับไร้ประโยชน์ มักเน่ไลน์ทั้งสองคนยังจ้องตากันเขม็ง สายตาของทั้งสองแสดงความโมโหของตนเองออกมาอย่างเปิดเผย
เมมเบอร์คนอื่นที่พยายามจะแยกแบมแบมกับยูคยอมออกจากกัน แต่ยูคยอมสะบัดแขนรุ่นพี่ออก
ตอนนี้เขาแค่โกรธ โกรธมาก ความโกรธและความน้อยใจที่สะสมกันมาจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนๆ ถูกรวบรวมและระเบิดออกมาทีเดียว
ณ เวลานี้เขาไม่ได้คิดหรอกว่าแบมแบมทำแบบนี้ทำไม มีเหตุผลอะไรต้องทำ แต่ด้วยความโกรธ อตคิและน้อยใจทำให้ร่างสูงคิดไปก่อนแล้วว่าคนตรงหน้าทำเพราะยังคงโมโหที่ถูกเขาทิ้งไว้ในสตูดิโอ
“ทำไมวะ แค่โดนทิ้งไว้ในตึกแค่นั้นมันจะเป็นอะไรนักหนา!! นายเป็นคนลืมมือถือ ฉันก็เข้าไปเอาเป็นเพื่อนแล้วไง!!! มือถือก็มือถือนาย ฉันก็บอกเหตุผลและขอโทษไปแล้ว นายจะให้มันจบแค่นั่นไม่ได้รึไง! หัดมีเหตุผลหน่อย อย่าทำตัวงี่เง่าทำลายของคนอื่นแบบนี้ได้มั๊ยวะ!! แม่งเอ๊ย!!!”ร่างสูงตะโกนความในใจออกมาด้วยท่าทางน่ากลัว ดวงตาเริ่มแดงและมีน้ำตาคลอในหน่วยตา
เมมเบอร์คนอื่นเห็นแบบนี้ก็เริ่มใจไม่ดี พยายามดึงยูคยอมและแบมแบมไว้ มาร์คที่จับยูคยอมไว้อีกคนคอยพูดบอกให้ใจเย็น จินยองที่คอยคั่นกลางยกมือดันทั้งสองคนออกจากกัน ด้วยกลัวทั้งสองคนจะเข้าฟัดกันนัวจนได้เรื่อง และพยายามพูดกล่อมให้ทั้งสองคนสงบลง
แบมแบมที่ตอนแรกกำหมัดแน่น ความโกรธเข้าครอบงำไม่ต่างจากอีกฝ่าย แต่พอได้ยินคำพูดที่ออกจากปากของมักเน่ ความโกรธทั้งหมดกลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความน้อยใจ แววตาที่จ้องเขม็งเริ่มฉายแววตามความรู้สึก แต่เมื่อยังเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายยังคงเต็มไปด้วยความโมโห สายตาที่มันบอกว่าเขาคือคนผิด เขาคือคนที่นิสัยไม่ดี ความโกรธที่เริ่มลดลงก็เพิ่มปรี๊ดขึ้น
แบมแบมสะบัดแจ็คสันและยองแจที่จับเขาไว้ออก เดินตึงตังไม่สนใจจินยองเข้าหาคู่กรณี ปัดมือที่ถือสเก็ตบอร์ดออกจนแผ่นสเก็ตหล่นไปไกลส่งเสียงดังโครม เมมเบอร์คนอื่นๆร้องห้ามแบมแบมเสียงหลง แต่ด้วยความโกรธทำให้ร่างโปร่งตรงหน้าไม่สนใจใครๆทั้งสิ้นแล้วผลักอกคนตัวสูงกว่าอย่างแรง จนอีกฝ่ายเซจนเกือบจะล้ม ร้อนถึงพี่ๆต้องรีบวิ่งมาดึงแบมแบมออกแทบไม่ทัน
“เออ! งี่เง่าไม่มีเหตุผลก็แล้วยังไงวะ ถ้าฉันจะกลัวแล้วมันทำไมวะ!! นายไม่ได้อยู่ตรงนั้นนายไม่.!!!”ตะโกนออกมายังไม่ทันจบดีก็สะอื้นไป ร่างบางนิ่งไม่สามารถพูดต่อได้ ดวงตาโตเริ่มแดงและมีหยาดน้ำตาคลออยู่ในหน่อยตา พร้อมที่จะไหลลงมาทุกเมื่อที่กระพริบตา แต่แบมแบมกลับไม่ยอมกระพริบตา เบิกตากว้างเขม็ง
เขารู้ ถ้าเขากระพริบตาเมื่อไหร่ น้ำตามันคงไหลออกมาเป็นสายแน่ๆ เขาไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ พยายามแข็งใจจ้องหน้าคนตัวสูงกลับ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้วะไอ้ยูค!! แม่งเอ๊ย!!!”ตะโกนได้เท่านั้นก็เงียบไปอีก รู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่ามาจุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้พูดไม่ออก และถ้าฝืนพูดต่อ คงได้ร้องไห้โชว์แน่ๆ
“พอแล้วแบมแบม ใจเย็นก่อน”และก่อนจะเกิดเหตุอะไรขึ้นอีก แจบอมส่งสัญญาณบอกให้แจ็คสันดึงแบมแบมออกมาจากตรงนั้น เขาจึงดึงแบมแบมออกมา แม้อีกฝ่ายจะพยายามขืนตัวแต่ก็ได้ยองแจช่วยดันอีกแรง แล้วพาเข้าห้องนอนของตนเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายแยกกันและสงบสติอารมณ์กันก่อน
ดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว ไม่ดีแล้วจริงๆ
[Continue Next Chapter]
คุยกันหน่อยน้า
แล้วก็สำหรับตอนนี้ก็ทะเลาะกันอีกแล้ว555 ครั้งนี้ทะเลาะจริงไม่ใช้สแตนอินนะเออ เห็นสองคนนี้รักกันดี หมั่นไส้ เลยจับทะเลาะกันซะเลย 5555
พูดถึงหนูยูค คือน้องก็ไม่ได้ตั้งใจไง แบบแวบออกมาแปปนึงเพราะคิดว่าเพื่อนออกมาแล้ว แล้วก็พยายามง้อหนักมากแล้ว แต่เพื่อนก็ไม่ยอมเล่นด้วยเหมือนเดิมสักที เลยอดนอยด์ไปด้วยไม่ได้ พาลเข้าใจผิดเพื่อนไปเรื่อย
พูดถึงทางฝั่งแบม เพราะในที่นี่น้องขี้กลัวมากโดยเฉพาะเรื่องผีสางนี่ขอไม่เกี่ยวข้องเลย แล้วยิ่งโดนพี่ๆบังคับดูหนังผีมาราธอนหลายเรื่องติด ความกลัวมันเลยฝังจิตใจ นิดๆหน่อยๆก็กลัวแล้วอ่ะ นับประสาอะไรกับอยู่คนเดียวในที่มืดๆไม่รู้จัก วังเวงขนาดนั้น เพราะกลัวมากถึงเข้าใจเหตุผลแต่ก็อดที่จะรูสึกไม่ได้
แล้วพูดถึงพี่ๆที่เหลือนี่เกือบๆจะเรียกได้ว่าเป็นตัวก่อเหตุ คือถึงแบมจะลืมมือถือเอง แต่ถ้าหากเมเนโทรเข้าหาแบมติด คือแบมก็ไม่ต้องรอนานไง ไม่ต้องกลัวขนาดจะไปนอยยูคยอมเลยเพราะโดยพื้นฐานไม่ใช่คนโกรธง่ายอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวลเพราะพี่ๆทั้งหลายนี่แหละไปถอดที่ชาร์จของน้องไปชาร์จของตัวเองทั้งๆที่ของน้องไม่มีแบต คนที่เหลือเลยได้แต่น้ำท่วมปาก ไม่กล้าพูดอะไรมาก 55555
ตอนนี้ค่อนข้างยาวนะแต่คือเราไม่อยากตัดออกหลายตอนอ่า กลัวจะเบื่อกัน ยังไงก็ คอมเม้นบอกหน่อยนะค้าว่าเป็นยังไงบ้าง สนุก ไม่สนุก มาบ่นๆกันเบยยย
อ้อ แล้วก็สำหรับคนที่รีเควสคู่แบมแบมมา คือ เราจะพยายามตามเก็บให้นะคะ 555555แต่งไม่ทัน หัวสมองโล่งง่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
แก้ไข 26/10/60
เม้นคนละนิด จิต(ไรเตอร์)แจ่มใส
อย่าลืม จะมุ้งมิ้งลงทวิต โปรดติดแท็ก #ฟิคgetgot7
ความคิดเห็น