ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fiction] WonKyu | Lovely Enemy ♥ฉันอยู่นี่..ศัตรูที่รัก

    ลำดับตอนที่ #2 : Lovely Enemy :: Chapter 1 – ศัตรูตัวฉกาจ

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 56


     

     

    Chapter 1

    ...ศัตรูตัวฉกาจ...

     

     

     

     

     

    เมื่อซักประมาณห้านาทีก่อนหน้านี้ซีวอนยังรู้สึกมีความสุขอยู่เลย

     

     

    การเจอหน้าฮีชอลมักจะทำให้ซีวอนอารมณ์ดีเสมอมาแต่ไหนแต่ไร  แค่ได้มานั่งทานมื้อเที่ยงด้วยกันแม้จะอยู่ในบรรยากาศจอแจเพราะเป็นโรงอาหารส่วนกลางของมหาวิทยาลัย  เขาก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าหล่อเหลานั่นได้

     

     

    แต่ก็อย่างทีบอกนั่นแหละ..ว่ามันเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้

     

     

    ก่อนที่มีจะมารร้ายย่างกรายเข้ามา

     

     

    “พี่ฮีชอล  พี่อีทึก  ผมนั่งด้วยคนนะครับ” เสียงของมารร้ายดังแว่วมาก่อนที่ซีวอนจะทันเห็นตัวเสียอีก “นี่รุ่นพี่  ขยับไปหน่อยเด่  จะนั่ง”

     

     

    โจคยูฮยอนไม่เคยมีมารยาทกับซีวอนอยู่แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกันเลยก็ว่าได้  ปากน่ะก็เรียกอยู่หรอกว่ารุ่นพี่ๆ แต่ไอ้เด็กบ้านั่นไม่เคยแสดงเคารพนับถือเขาออกมา(จากใจ)เลยซักครั้งเดียว

     

     

    “ที่เหลืออีกตั้งเยอะนายจะให้ฉันขยับไปไหน” ซีวอนแย้งออกมาอย่างเหลืออด

     

     

    “อ้าว!  รุ่นพี่ไม่เห็นถาดข้าวในมือผมเหรอครับ?  ผมต้องใช้พื้นที่ในการกินนะ”

     

     

    “ถ้ามันยากขนาดนั้นนายก็ไปนั่งตรงอื่นซิคยูฮยอน  ที่ว่างตั้งเยอะแยะ”

     

     

    “ไม่เอาอ่ะ  ก็ผมอยากอยู่ใกล้ๆนางฟ้าของผมนี่นา” พูดจบคยูฮยอนก็เหลือบมองไปทางฮีชอลที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับซีวอน  โดยมีอีทึกนั่งอยู่ข้างๆด้วย

     

     

    “เอาน่าซีวอน  ขยับให้น้องมันหน่อยก็แล้วกัน” ฮีชอลบอกอย่างตัดปัญหา  ไม่งั้นก็ยืนเถียงกันอยู่อย่างนี้จนบ่ายอ่ะเชื่อซิ  สองคนนี้ยิ่งขึ้นชื่อเรื่องไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่ด้วย

     

     

    “ฮีชอลอ่า” ซีวอนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ  ส่วนคยูฮยอนก็เอาแต่แอบหัวเราะคิกๆอย่างชอบใจที่ถูกเข้าข้าง  ซีวอนเห็นท่าทางแบบนั้นยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่แต่ก็ยอมขยับตัวออกมาเพื่อให้คยูฮยอนนั่งแต่โดยดี  เขาไม่เคยขัดใจอะไรฮีชอลได้ซักอย่างอยู่แล้ว

     

     

    “แล้วนี่ชางมินเพื่อนซี้ตัวติดกันของนายไปไหนซะล่ะคยูฮยอน  ทำไมไม่มากินข้าวเที่ยงด้วยกัน”

     

     

    “กลับบ้านไปแล้วครับพี่ฮีชอล  เห็นว่ามีธุระต้องไปทำ  พอเลิกคลาสก็รีบกลับไปเลย  ผมก็เลยไม่มีเพื่อนกินข้าว  โชคดีจังเลยที่ได้เจอพี่กับพี่อีทึก”

     

     

    ซีวอนหลุดเสียงเห๊อะ ออกมาเบาๆในลำคอ  แต่ดูเหมือนว่ารุ่นน้องของเขาหูดีเสียเหลือเกิน  ไอ้เด็กคยูฮยอนนั่นถึงเหล่มองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปเจื้อยแจ้วเจรจากับฮีชอลต่อ  ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินอะไร

     

     

    “วันนี้พี่ฮีชอลเลิกเรียนกี่โมงครับ?” คยูฮยอนชวนคุยเสียงใส

     

     

    “ประมาณสี่โมงเย็นมีอะไรหรือเปล่า?”

     

     

    “สี่โมงเย็นเหรอ?  ดีเลยครับ  ผมว่าจะชวนพี่ฮีชอลไปดูหนังด้วยกันซักหน่อย มีหนังเรื่องนึงเพิ่งเข้าแล้วผมอยากดูมากๆเลย  ไอ้ชางมินก็ดันมาชิ่งหนีกลับบ้านไปซะก่อน  ถ้าอย่างนั้นพี่ฮีชอลไปดูหนังกับผมนะครับ”

     

     

    “ไม่ได้!!!” ซีวอนตวาดแย้งออกมาเสียงดัง  ร่างสูงหันขวับมามองจ้องรุ่นน้องด้วยสีหน้าที่บ่งชัดถึงความไม่พอใจ  คยูฮยอนไม่ได้หวั่นเกรงอะไรกับท่าทางแบบนั้น  กลับกัน..ไอ้เด็กจอมแสบยังมีหน้ายักคิ้วหลิ่วตาอย่างเจตนากวนตีนไปให้ซีวอนอีกต่างหาก

     

     

    “ผมถามพี่ฮีชอลป่ะ?  รุ่นพี่ยุ่งอะไรด้วยครับ”

     

     

    “ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้”

     

     

    “แล้วรุ่นพี่มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนพี่ฮีชอลล่ะ?”

     

     

    “มีน่ะมีแน่โจคยูฮยอน  เพราะวันนี้ฮีชอลมีนัดกับฉันแล้วยังไงล่ะ” ซีวอนตอบคำถามรุ่นน้องอย่างอดกลั้น  เขาพยายามสะกดโทสะที่คุกรุ่นอยู่ในใจด้วยการนับหนึ่งถึงสิบ  ถึงจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ก็เหอะ

     

     

    “จริงเหรอครับพี่ฮีชอล?” เด็กแสบร้องถามตาโตเสียงดังประหนึ่งไม่อยากจะเชื่อ  ราวกับว่าคำพูดของซีวอนคือการหลอกเด็กว่าซานตาคลอสมีอยู่จริงยังไงยังงั้น

     

     

    “อืม” คำตอบของฮีชอลทำเอาคยูฮยอนถึงกับหางลู่หูตก  ซีวอนที่ชำเลืองมองอยู่ถึงกับยกยิ้มสะใจ  นานๆทีเขาจะสามารถทำให้ไอ้เด็กบ้านี่หงอยได้  ขอเก็บความรู้สึกดีๆนี่ไว้ซักพักแล้วกัน

     

     

    “ค่อยไปวันหลังไม่ได้เหรอครับพี่ฮีชอล  ผมน่ะ..ผมน่ะอยากดูหนังเรื่องนั้นกับพี่มากๆเลยนะครับ” คยูฮยอนช้อนสายตากลมโตขึ้นถามด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน  แถมยังเพิ่มดีกรีความน่าสงสารด้วยหยาดน้ำที่คลออยู่ในหน่วยตานั่นด้วย

     

     

    เล่นละครเก่งนักล่ะ!!

     

     

    ฮีชอลหันไปมองหน้าอีทึกเพื่อนสนิทที่นั่งทานข้าวอยู่ข้างกันอย่างงงๆ  ส่งสายตาขอความคิดเห็นก็ได้รับเพียงการยักไหล่เป็นเชิง ไม่รู้เหมือนกันกลับมาแทน  ฮีชอลรับปากกับซีวอนแล้วว่าวันนี้จะพาไปเลือกซื้อรองเท้าบาสคู่ใหม่แต่เขาก็ใจไม่แข็งพอที่จะเอ่ยคำว่าไม่กับคยูฮยอน  ก็ดูสายตาของเจ้าเด็กช่างอ้อนคนนั้นซะก่อนซิ

     

     

    “ฮีชอลรับปากผมแล้วนะครับ” ซีวอนเอ่ยปากเมื่อเห็นท่าทีลังเลใจของฮีชอล  ได้ยังไงกันล่ะ  เขาเป็นคนชวนก่อนนะ  ทำไมเขาต้องยอมถอยให้ไอ้เด็กบ้านี่ด้วย

     

     

    “ผมไม่มีเพื่อนไปจริงๆนะครับ  นั่งดูคนเดียวต้องเหงามากแน่ๆเลย”

     

     

    “อย่ามาทำตัวน่าสงสารหน่อยเลยน่า  ฮีชอลเขารับปากจะไปกับฉันแล้วนายก็ต้องยอมรับความจริงขอนี้ซิ  นายมาทีหลังนายก็ต้องรู้จักถอยซะบ้าง”

     

     

    “ยอมรับความจริงอะไรครับรุ่นพี่  แล้วการมาก่อนมาหลังมันแตกต่างกันยังไงเหรอครับ?  ผมว่ารุ่นพี่อย่ายึดติดกับอะไรไร้สาระพวกนี้หน่อยเลย  มาก่อนชวนก่อนแล้วไง  มันไม่สำคัญหรอกครับ  สิ่งที่สำคัญน่ะมันอยู่ตรงที่ว่าพี่ฮีชอลเขาอยากไปกับใครต่างหากล่ะ”

     

     

    “นายนี่มัน!!

     

     

    “ผมทำไมคร้าบบบ” คยูฮยอนตอบกลับหน้าตากวนประสาท

     

     

    “หยุดทะเลาะกันได้แล้วพวกนาย  ชักรำคาญแล้วนะ” ฮีชอลทนเสียงทะเลาะที่เริ่มจะดังมากขึ้นทุกทีๆไม่ไหว  ตบโต๊ะเสียงดังไปหนึ่งฉาดใหญ่  เรียกเสียงจอจอทั้งหลายแหล่ในโรงอาหารเงียบกริบทันที

     

     

    รวมถึงตัวต้นเรื่องทั้งสองคนนี่ด้วย

     

     

    ฮีชอลองค์ลง  งานนี้ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันนะ

     

     

    “ทะเลาะอะไรกันเป็นเด็กไปได้  โตๆกันแล้วจะกัดกันทำไมหนักหนา  ไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะรำคาญบ้างหรือยังไง?  ฉันกับอีทึกจะไม่เจริญอาหารก็เพราะพวกนายสองคนนี่แหละ  ไป๊!  ออกไปตกลงกันให้รู้เรื่อง  ตกลงกันได้ว่ายังไงค่อยมาบอกฉัน  เอ้า!  ยังจะมามองหน้าอีก  ออกไปคุยกันดิ  มองหน้าฉันแล้วจะตกลงกันได้งั้นเหรอ?”

     

     

    ซีวอนกับคยูฮยอนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก  ทั้งสองคนไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น  ข้าวก็ยังทานไม่อิ่มเลยด้วยซ้ำแต่ในเมื่อมันเป็นคำสั่งจากฮีชอล  ซีวอนกับคยูฮยอนก็ได้แต่จำใจลุกเดินออกไปแต่โดยดี  ขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังฮีชอลของขึ้นยิ่งกว่าเก่า

     

     

    “น่ารำคาญจริงๆเลยเจ้าพวกนี้  คนยิ่งหิวๆข้าวอยู่  มาทะเลาะอะไรกันอยู่ได้ไร้สาระ” ฮีชอลบ่นอย่างหงุดหงิด  อีทึกเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆได้แต่ยิ้มแหยๆ

     

     

    “เอาน่า  นายก็อย่าไปอารมณ์เสียกับพวกน้องๆมันนักเลย”

     

     

    “เดี๋ยวนี้เข้าข้างคนอื่นมากกว่าฉันงั้นเหรออีทึก?” ฮีชอลถามเสียงเย็นจนคนฟังเสียววาบที่ไขสันหลัง  อารมณ์ร้ายขึ้นๆลงๆของฮีชอลคงแต่มีอีทึกเท่านั้นแหละที่รับมือไหว

     

     

    “ไปใหญ่แล้วฮีชอลอ่า  ฉันเห็นว่านายกำลังหิวเฉยๆต่างหากล่ะเลยไม่อยากให้อารมณ์ไม่ดี  รีบๆกินเร็วเข้าเหอะ  ป่านนี้สองคนนั้นไม่ฆ่ากันตายไปแล้วเร๊อะ”

     

     

    “ใครสน” ฮีชอลสะบัดหน้าหนีก่อนจะก้มทานอาหารในจานของตัวเองต่อ

     

     

    “ให้มันจริงเหอะ” อีทึกพูดเบาๆพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆให้ความกับปากแข็งของเพื่อนตัวดี  ภายนอกฮีชอลดูเป็นคนแสนหยิ่งและไม่เคยแคร์ใครแต่ความจริงแล้วฮีชอลเป็นคนอ่อนไหวง่ายมาก  เรื่องนี้มีแต่อีทึกเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร

     

     

     

     

     

    ~+.*-:...Lovely Enemy...:-*.+~

     

     

     

     

     

    “แล้วนี่รุ่นพี่จะเดินไปถึงไหนเนี่ยเหนื่อยแล้วนะเว้ย” คยูฮยอนส่งเสียงโวยวายตามหลังร่างสูงที่เอาแต่เดินจ้ำอ้าวไม่หยุดโดยไม่ยอมหันมาบอกกันซักนิดเลยว่าคิดจะทำอะไร

     

     

    “ก็ไปหาสถานที่ทำข้อตกลงระหว่างเราสองคนไง”

     

     

    “แล้วจะไปไหนล่ะคร้าบ?  ไม่บอกกันซักนิด  ผมไม่รู้ความคิดรุ่นพี่หรอกนะ”

     

     

    “สนามบาส” ซีวอนตอบโดยที่ขายาวก็ยังคงก้าวต่อไปไม่หยุด  ร่างโปร่งที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมาได้แต่บ่นแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ  โด่วว  นึกว่าขายาวมากใช่ป้ะ?

     

     

    “เฮ้ย! ไปสนามบาสทำไม?” คยูฮยอนร้องถามพร้อมกับเร่งสปีดความเร็วของตัวเองขึ้นมาจนทันรุ่นพี่ตัวสูง  มือขาวเอื้อมจับท่อนแขนแข็งแรงของซีวอนเอาไว้ก่อนจะรั้งให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากัน

     

     

    อย่านะ  อย่าเป็นอย่างที่คิดนะ

     

     

    “ไปแข่งบาสกันไง  ใครชนะวันนี้ก็ได้ไปเดทกับฮีชอล” คำตอบที่ได้มาทำให้คยูฮยอนตัวแข็งทื่อ  เขาเห็นลางร้ายลอยมาแต่ไกลตั้งแต่ได้ยินคำว่าสนามบาสแล้วล่ะ

     

     

    “ซวยแล้วไงกู” คยูฮยอนบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ

     

     

    “ทำไม?  นายมีปัญหาอะไรอีก?”

     

     

    “รุ่นพี่จะทำงี้ไม่ได้นะเว้ย” คยูฮยอนโวยวายเสียงดัง

     

     

    “ทำไมจะทำไม่ได้?”

     

     

    “แบบนี้พี่ฮีชอลจะคิดยังไง  เขาจะไม่คิดว่าเราเห็นเขาเป็นแค่สิ่งของที่โยนไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบงั้นเหรอ?  เรื่องเดทเย็นนี้ให้พี่ฮีชอลเป็นคนตัดสินใจเองดิวะ”

     

     

    “นายคิดอย่างนั้นเหรอ?”

     

     

    “ก็เออดิ”

     

     

    “แล้วถ้าฮีชอลเลือกจะไปกับฉันแทนที่จะเป็นนาย  นายก็จะยอมถอยออกไปง่ายๆใช่ไหม?”

     

     

    “จะบ้าเร๊อะ! ใครจะยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นล่ะ”

     

     

    “แล้วนายจะเอายังไงคยูฮยอน  โน่นก็ไม่ยอมนี่ก็ไม่ได้ ฮีชอลให้เราสองคนมาตกลงกันเองนะว่าจะเอายังไง  ถ้าไม่รีบเคลียร์กันให้เรียบร้อยมีหวังวันนี้ได้ชวดกันทั้งสองฝ่ายแน่ๆ  ซึ่งฉันจะไม่มีวันยอมสูญเสียช่วงเวลาที่มีฮีชอลเพราะนายแน่ๆ  รีบๆทำให้มันจบๆไปเหอะ  ฉันเสียเวลากับนายมามากเกินไปแล้ว”

     

     

    “โห่  นี่คิดว่าตัวเองเสียเวลาอยู่คนเดียวงั้นดิ?  ผมเองก็เบื่อจะเห็นหน้ารุ่นพี่เต็มแก่แล้วเหมือนกันนั่นแหละ  แทนที่จะได้กินข้าวกระหนุงกระหนิงกับพี่ฮีชอล  กลับต้องมาติดแหง็กอยู่กับรุ่นพี่แบบนี้  ผมคงมีความสุขหรอกนะ  เห๊อะ!

     

     

    “ก็ดี” ซีวอนยืดตัวตรงเต็มส่วนสูงอย่างสง่าผ่าเผย  แผ่รังสีเจ้าชายกระจายว่ายวนรอบตัวเสียจนคยูฮยอนตาพร่า  บ้าชิบ!  เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ทำไมเขากับไอ้รุ่นพี่หน้าหล่อนี่ถึงได้แตกต่างกันนักนะ  พระเจ้าโครตจะไม่ยุติธรรม

     

     

    “ตามฉันมาให้ทันก็แล้วกัน” ซีวอนทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหันหลังกลับและผละตัวเดินนำออกไปอีกครั้ง  คยูฮยอนยังยืนนิ่งอยู่กับที่อยู่เลยไอ้รุ่นพี่บ้านั่นก็เดินจ้ำอ้าวไปไกลแล้ว “ยังไม่ตามมาอีก  กลัวจะแพ้ฉันมากเลยหรือไงคยูฮยอน?”

     

     

    ร่างโปร่งถึงกับอารมณ์ปรี๊ดจนแทบสติแตกหลังจากได้ยินประโยคที่ซีวอนหันกลับมาตะโกนถาม บ้าเอ๊ยย  อย่ามาดูถูกท่านโจแบบนี้นะเฟ้ย  คนอย่างคยูฮยอนฆ่าได้หยามไม่ได้นะจะบอกให้  เดี๋ยวเหอะๆ  เดี๋ยวจะสั่งสอนให้รู้ว่ามาลบหลู่คยูฮยอนจะต้องเจอกับอะไร

     

     

    คราวนี้ได้เห็นดีกันแน่ไอ้ขี้เหร่ไม่มีใครเกิน

     

     

    ยี่สิบนาทีต่อมา

     

     

    “จะแข่งอีกซักเกมส์ก็ได้นะไอ้หนู” ร่างสูงยิ้มกริ่มพลางชายตามองคนขี้แพ้ที่นั่งหมดสภาพอยู่กับพื้นสนามด้วยความสะใจปนสมเพช “แต่ถึงจะแข่งอีกซักกี่รอบ  นายก็คงไม่มีวันชนะหรอกว่ะ”

     

     

    “วันพระไม่ได้มีหนเดียวเว้ย แฮ่ก..  คราวนี้ฝากไว้ก่อนเหอะ  คราวหน้ารุ่นพี่จบไม่สวยเหมือนคราวนี้แน่” คยูฮยอนบ่นปนหอบ  หายใจแทบไม่ทันแต่ก็ยังไม่วายปากดีไปท้าทายอีกฝ่าย

     

     

    “เออ  แล้วฉันจะรอก็แล้วกันนะ” ซีวอนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “แต่วันนี้ฉันขอรับตัวฮีชอลไปก่อนก็แล้วกัน  ส่วนเรื่องนัดล้างตาถ้านายกล้าที่จะท้าฉันแข่งบาสอีกเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน  ฉันจะเตรียมตัวรอ  ไปก่อนนะ” ร่างสูงขยับตาให้อย่างกวนประสาทก่อนจะเดินหนีไปพร้อมกับฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดีสุดๆ

     

     

    “โธ่เว้ยย  ทำไมต้องแพ้มันอยู่เรื่อยเลยวะ” คยูฮยอนทุบกำปั้นไปที่พื้นสนามด้วยความฉุนเฉียว  ทั้งเจ็บใจทั้งอับอายที่ตัวเองดันแข่งบาสแพ้ไอ้รุ่นพี่ขี้เหร่นั่นแบบย่อยยับ

     

     

    เออ!!!  ความผิดเขาเองทั้งนั้นแหละยอมรับก็ได้วะ  ตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่เนี่ยคยูฮยอนเคยเล่นกีฬากับเขาเป็นเสียที่ไหนล่ะ  สมัยประถมก็วิ่งแข่งได้ที่โหล่ของห้อง  ขนาดเพื่อนผู้หญิงเขายังไม่มีปัญญาวิ่งชนะซักคน  ไม่ต้องพูดถึงกีฬาลูกผู้ชายอย่างฟุตบอล  บาสเกตบอลหรือแม้กระทั่งเบสบอลนะ  แค่ยืนอยู่ในสนามได้โดยไม่โดนบอลอัดยับนี่ก็ถือว่าขั้นเทพสำหรับคยูฮยอนมากแล้ว

     

     

    ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง  ทำไมเขาเป็นคนปากเร็วอย่างงี้วะ  แล้วไอ้โรคโดนดูถูกไม่ได้นี่เมื่อไหร่จะแก้หายซักที  ก็รู้อยู่แก่ใจนะว่าตัวเองโครตจะอ่อนด๋อยเรื่องกีฬาแต่พอโดนหยามซักนิดก็หน้ามืดตามัวรับคำท้าไม่เลือก  ไม่ได้เจียมบอดี้ตัวเองเล๊ยยย

     

     

    ยี่สิบสองต่อศูนย์...

     

     

    มันเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ในชีวิตลูกผู้ชายของคยูฮยอนเลยทีเดียว  ไม่เห็นหน้าไอ้รุ่นพี่ซีวอนตะกี้หรือยังไงล่ะ  หน้าตาแม่งมีความสุขมากอ่ะ  นี่มันคงคิดว่าเขาเป็นหมูให้เชือดได้ง่ายๆไปแล้วซินะ

     

     

    เห๊อะ!!  มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกเว้ย

     

     

    งานนี้ยังไงท่านโจก็จะต้องแก้แค้นให้จงได้!!!  เขาเอาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเป็นเดิมพันเลย  ถ้าเขาทำให้ไอ้รุ่นพี่ซีวอนคนขี้เหร่อับอายขายขี้หน้าเหมือนเขาวันนี้ไม่ได้  เขาจะไม่เลิกตามจองเวรมันเป็นอันขาดคอยดู

     

     

     

     

     

    หลายวันต่อมา

     

     

    “พี่ฮีชอลครับ” เสียงเรียกคุ้นเคยที่สุดแสนจะระคายหูแว่วดังมาแต่ไกล  ซีวอนอดกรอดตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้  มีซักครั้งไหมที่ซีวอนจะได้อยู่กับฮีชอลอย่างสงบสุขซักวันโดยไม่ต้องมีมารตามมารังควานอย่างทุกวันนี้

     

     

    คยูฮยอนวิ่งหน้าระรื่นมาทางซีวอนกับฮีชอลโดยที่สายตาจับจ้องอยู่แค่ใบหน้าอันงดงามของรุ่นพี่ที่ชอบเท่านั้น  เสมือนหนึ่งซีวอนเป็นเพียงอากาศที่ไร้ตัวตน “พี่ฮีชอลจะไปไหนครับ?”

     

     

    “พาซีวอนไปซื้อหนังสือ  มีอะไรหรือเปล่าเรา?”

     

     

    “ได้ไงกันครับ  พี่ยังติดค้างเรื่องจะไปดูหนังกับผมอยู่เลยนะครับ”

     

     

    “วันนี้พี่ไม่ว่างแล้วนี่นาคยูฮยอน  นายไปดูกับชางมินเพื่อนนายก่อนซิ  เอาไว้เรื่องหน้าพี่จะเป็นเจ้ามือเลี้ยงหนังนายเองก็ได้”

     

     

    “ได้ยังไงกันครับ” คยูฮยอนเบ้หน้า “ผมไม่ไปดูกับชางมินเพราะคิดว่าพี่จะไปดูเป็นเพื่อนผม  ผมอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่เราสองคนจะว่างตรงกันนะครับ”

     

     

    “แต่ว่าพี่...  เอาไงดีล่ะ?”

     

     

    “ฮีชอลนัดกับผมไว้ก่อนแล้วนะครับ” ซีวอนประท้วงทวงถามความยุติธรรมให้ตนเองเมื่อเห็นว่าฮีชอลเริ่มลังเล

     

     

    “แต่คราวก่อนพี่ฮีชอลก็ไปกับรุ่นพี่แล้วนี่ครับ  วันนี้ก็ให้ผมบ้างซิ”

     

     

    “ครั้งที่แล้วนายแข่งแพ้ฉันเองนี่  มันช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรือยังไง?”

     

     

    “ถ้างั้นวันนี้เรามาแข่งกันใหม่ไหมล่ะ?”

     

     

    “นายกล้า?” ซีวอนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ  หลังจากแข่งบาสกันเมื่อวันก่อน  ซีวอนถึงได้รู้ว่าไอ้รุ่นน้องกวนประสาทนี่ไม่เก่งเรื่องออกกำลังเลยซักนิด  ต่อให้แข่งอีกกี่สิบรอบผลมันก็ออกมาอีหรอบเดิมอยู่ดีนั่นแหละ

     

     

    “แล้วรุ่นพี่กล้าป่ะล่ะ?” คยูฮยอนเชิดหน้าท้าทาย  ไม่มีร่องรอยของความประหม่าหรือหวั่นกลัวแม้แต่น้อย  ซีวอนเห็นความแข็งกร้าวในดวงตากลมคู่นั้นแล้วก็เกิดคำถามกับตัวเองในใจ  อะไรที่ทำให้ไอ้เด็กนั่นมั่นใจขนาดนั้นว่าต้องชนะเขาได้แน่ๆ

     

     

    “ตกลง” ซีวอนตกปากรับคำโดยไม่ทัดทานอะไร  เขาอยากรู้จริงๆว่าไอ้เด็กคยูฮยอนมันจะแน่แค่ไหน  คงไม่ใช่ว่าดีแต่ปากหรอกนะ

     

     

    “ดี  งั้นก็ไปสนามบาสกันเลย”

     

     

     

     

     

    “กติกาเอาเหมือนคราวที่แล้วก็แล้วกัน  แข่งสิบห้านาที  ใครแต้มมากกว่าก็ได้ไปเดทกับพี่ฮีชอล”

     

     

    “สิบห้านาทีมันคงนานเกินไปนะสำหรับการเอาชนะคนอย่างนาย”

     

     

    “เหอะ  อย่ามั่นใจมากนักเลยครับรุ่นพี่  ไม่มีอะไรง่ายดายเหมือนคราวที่แล้วแน่”

     

     

    “นายดูจะมั่นใจมากนะว่ายังไงนายก็ต้องชนะแน่”

     

     

    “ครับ  มั่นใจมากด้วยว่ายังไงวันนี้คนที่จะได้ไปกับพี่ฮีชอลต้องเป็นผม  ไม่ใช่รุ่นพี่”

     

     

    “งั้นก็เริ่มเลยซิ  ฉันไม่อยากปล่อยให้ฮีชอลต้องรอฉันนาน”

     

     

    “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน  เริ่มเลยดีกว่า  เสียเวลามามากพอแล้ว”

     

     

    “ฉันให้นายบุกก่อน”

     

     

    “ได้  ไม่มีปัญหา”

     

     

    การแข่งบาสระหว่างซีวอนกับคยูฮยอนจึงเริ่มต้นขึ้น  โดยมีฮีชอลนั่งรออยู่ใต้ร่มไม้ไม่ไกลออกนัก  คยูฮยอนเป็นฝ่ายเริ่มบุกก่อนแต่ก็เหมือนหนังม้วนเดิมที่ถูกฉายซ้ำ  ไม่ว่าคยูฮยอนพยายามจะทำอะไรก็ถูกซีวอนสกัดไว้อย่างง่ายดาย

     

     

    ร่างสูงเริ่มทำแต้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่เดินผ่านไปทุกๆนาที  ซีวอนประเมินแล้วว่าทักษะการเล่นบาสเกตบอลของคยูฮยอนไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเลยซักนิด  แต่กระนั้นคยูฮยอนก็ยังคงยกยิ้มกริ่มตลอดเวลา 

     

     

    ไอ้เด็กนั่นวิ่งชนซีวอนอย่างจงใจหลายครั้งเวลาที่ซีวอนกำลังจะทำแต้ม  แถมยังมีหน้ามาตีหน้าใสซื่อเสมือนไม่รู้เรื่องอะไรอีกต่างหาก

     

     

    คิดจะเล่นสกปรกอย่างนั้นใช่ไหม?  ได้..เดี๋ยวชเวซีวอนจัดให้

     

     

    พลั่ก!!!

     

     

    “โอ๊ยยย” ไอ้เด็กคยูฮยอนร้องลั่นทันทีที่ถูกเขากระแทกล้มลงไปกองกับพื้น  ลูกบาสที่อยู่ในมือไอ้เด็กนั่นกระเด็นกระดอนออกไปไกลแต่ไม่มีใครสนใจตามไปเก็บมัน

     

     

    “คิดจะโกงฉันเหรอ?  ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ”

     

     

    “รุ่นพี่พูดเรื่องอะไรครับ?  ผมไม่รู้เรื่อง” ซีวอนยืนเท้าเอวฟังคำแก้ตัวที่เหมือนหลุดออกมาจากละครน้ำเน่ะเป๊ะแล้วอดเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ไม่ได้

     

     

    “คยูฮยอน  ซีวอนนี่มันอะไรกัน?” ฮีชอลรีบวิ่งเข้ามาในสนามบาสหลังจากได้ยินเสียงร้องของคยูฮยอนดังลั่น

     

     

    “แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย  ไม่มีอะไรครับ” คยูฮยอนตอบทั้งที่ยังก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นสนาม

     

     

    “นิดหน่อยอะไรกันคยูฮยอน  เมื่อกี้พวกเธอชนกันแรงมากเลยนะ  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?  ไหนลองลุกขึ้นมาซิ” ฮีชอลถามพร้อมกับย่อตัวลงมาประคองคยูฮยอนยืนขึ้น

     

     

    “โอ๊ยย” ร่างโปร่งทำท่าจะลุกขึ้นแต่แล้วก็ต้องทรุดตัวลงนั่งลงไปบนพื้นสนามอีกครั้ง

     

     

    “ข้อเท้านายแพลงหรือเปล่าคยูฮยอน” ฮีชอลถามอย่างเป็นกังวลพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าคยูฮยอน  มือเรียวจับเข้าที่ข้อเท้าขวาของรุ่นน้องและคยูฮยอนก็ร้องโอดโอยขึ้นมาอีกครั้งทันที

     

     

    “ข้อเท้าแพลงจริงๆด้วย” ฮีชอลส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของสองคนนี้  อยากแต่จะเอาชนะอีกฝ่ายโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา “ทำไมต้องเล่นกันรุนแรงแบบนี้ด้วยซีวอน?”

     

     

    “ฮีชอล” ซีวอนร้องเสียงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ  ไหงเรื่องนี้กลายมาเป็นความผิดของเขาได้ล่ะ “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

     

     

    “นี่ขนาดยังไม่ได้ทำอะไรนะคยูฮยอนถึงกับล้มกระแทกข้อเท้าแพลง  แล้วถ้าเกิดทำอะไรขึ้นมาไม่เล่นกันจนคอหักตายไปข้างเลยเหรอ?”

     

     

    “พี่ฮีชอลอย่าพูดแบบนั้นเลยครับ  ผมผิดเองที่ไม่ทันระวังตัว”

     

     

    “ซีวอนจงใจชนนายนะ”

     

     

    “ไม่ใช่หรอกครับ  มันคงเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ  เรื่องกระแทกกระทั้นกับกีฬาบาสมันเป็นของคู่กันอยู่แล้วนะครับ  รุ่นพี่ซีวอนคงไม่ได้เจตนาจะชนผมหรอกครับ”

     

     

    “เอาล่ะๆช่างมันก่อน  ตอนนี้พี่ว่านายไปห้องพยาบาลก่อนดีกว่า  ลุกไหวไหมคยูฮยอน?”

     

     

    “พอไหวครับ”

     

     

    “มา  พี่ช่วย” ฮีชอลประคองคยูฮยอนลุกขึ้นช้าๆ “เท้าซ้ายไม่ได้เจ็บใช่ไหม?”

     

     

    “ไม่เจ็บครับ”

     

     

    “งั้นก็ดี” ฮีชอลเข้าพยุงคยูฮยอนจากทางด้านขวาและจับแขนเรียวของคยูฮยอนพาดไหล่ตัวเอง “ไม่ต้องลงน้ำหนักเท้าขวานะ  เดี๋ยวพี่พาไปห้องพยาบาล”

     

     

    “ฮีชอลครับ”

     

     

    “ยังไม่ใช่ตอนนี้ซีวอน  ส่วนเรื่องไปซื้อหนังสือเอาไว้วันหลังก็แล้วกัน” ฮีชอลบอกอย่างโกรธจัด  ดูท่าเจ้าตัวคงจะโกรธมากจริงๆนั่นแหละ  ถึงขนาดไม่ยอมมองหน้าซีวอนเลยซักนิด

     

     

    “ไปกันเถอะคยูฮยอน”

     

     

    “ครับ”

     

     

    “ช้าๆนะ  ถ้าเจ็บมากขึ้นก็บอกพี่แล้วกัน” คยูฮยอนถูกฮีชอลพยุงปีกเดินออกไปจากสนามบาสท่ามกลางความมึนงงไม่หายของซีวอน  นี่มันอะไรกัน?  ไอ้เด็กบ้านั่นเจ็บตัวแล้วมันใช่ความผิดของเขาที่ไหนกันล่ะ?  ทำไมเขาต้องถูกฮีชอลโกรธขนาดนั้นด้วย

     

     

    ร่างสูงมองตามไปอย่างไม่เข้าใจ  สุดท้ายเขาจึงได้รู้ว่าตัวเองถูกเตะตกหลุมพรางของไอ้เด็กแสบเข้าให้แล้ว  พอฮีชอลไม่ทันสังเกตคยูฮยอนก็หันกลับมาส่งยิ้มหวานให้เขาพร้อมกับทำปากพะงาบๆจับใจความได้ว่า

     

     

    ช่วยไม่ได้นะรุ่นพี่  คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดกว่า

     

     

    คยูฮยอนหยักคิ้วหลิ่วตาให้ซีวอนอย่างกวนประสาท  ใบหน้าขาวแต้มระบายไปด้วยความสะใจที่แผนการของตัวเองสำเร็จลุล่วงลงได้ด้วยดี

     

     

    คิดจะแหยมกับท่านโจยังเร็วไปสิบปีนะครับรุ่นพี่ (หัวเราะ)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    To  Be Continue.

     

     

     

     

     

     

    G Minor!  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×