ตอนที่ 3 : ENGINEER 2 [100%]
“โตแล้วอย่าควายดิ”
เสียงนิ่งเรียบไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ในตอนนี้ของฉันเปล่งออกไปอย่างตั้งใจ จริงๆ นะ ฉันแค่อยากให้พี่พวกนี้รู้จักกาลเทศะบ้าง ไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็ทำโดยไม่คำนึงถึงคนอื่นเลย แล้วที่เห็นฉันยังนิ่งอยู่ไม่ใช่ไม่โกรธนะ ฉันโกรธ โกรธมากด้วย แต่ถ้าเอาแต่ใช้กำลัง มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นอยู่ดี สู้พูดเตือนออกไปตรงๆ เลยไม่ดีกว่าหรอ
“ลิซใจเย็น” เสียงหวานของคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวันดังขึ้นใกล้ๆ พี่รหัสที่รู้สึกได้ว่าฉันหายมาอยู่ตรงนี้รีบเข้ามาเกาะแขนปรามฉันอย่างนึกกลัวว่าฉันจะอารมณ์ร้อนใส่
เจอกับพี่แค่วันเดียวก็เกิดเรื่องซะแล้ว
“น้อง พี่ขอโทรศัพท์คืนด้วย พี่ไม่ได้มีเวลามาเล่นกับน้องเยอะขนาดนั้น” เสียงผู้หญิงตัวเตี้ยในกลุ่มที่เงยหน้ามองฉันแบมือออกมาตามสิ่งที่พูด – เป็นยักษ์ในร่างหนูหรอคะพี่
“แปบนึงนะคะ” ฉันกดออกจากทวิตเตอร์ที่พี่แกพิมพ์ค้างเอาไว้แล้วเข้าแกลอรี่ก็เจอรูปฉันกับพี่รหัสเดินด้วยกันอยู่สี่ห้ารูป ฉันกดลบทุกรูปที่มีฉัน – รวมถึงรูปในเครื่องที่มีอยู่แล้วด้วย
“อ่ะนี่คะ” ฉันยื่นมือถือคืนพี่แกแล้วยกยิ้มมุมปากเบาๆ จากนั้นก็ดึงพี่รหัสออกมาจากตรงนั้นทันทีไม่รอให้ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยปากพูดหรือเต๊าะฉันกับพี่รหัสแต่อย่างใด
“ย่าห์!!! ยัยเด็กหัวโปก!!!”
“ฉันขอแวะเซเว่นแปบนึงดิ” ฉันหันไปพูดกับคนข้างๆ ที่กำลังเหม่อมองวิวทิวทัศน์แถวนั้นอยู่
“อื้อ เดี๋ยวพี่เข้าไปด้วยก็ได้”
“ทั้งหมดห้าพันวอนค่ะ” เสียงพนักงานเอ่ยบอกกับฉันยิ้มๆ ให้ฉันรีบหาเงินที่อยู่ในกางเกงแต่...
เฮ่ย!
ชิบหายเถอะ ไม่ได้เอากระเป๋าตังค์ลงมา!
“อ เอ่อ พี่...”
“ลืมเอากระเป๋าลงมาล่ะสิ เดี๋ยวพี่จ่ายให้ก่อนก็ได้” ยังไม่ทันพูดจบพี่ก็ควักแบงค์สีฟ้าของเกาหลีออกมาแล้วยื่นให้พนักงานไปซะแล้ว
“ขอบคุณนะคะพี่” ฉันรับถุงมาจากพนักงานแล้วหันไปยิ้มให้พี่รหัสตัวเอง ก่อนจะพากันออกมาจากเซเว่นแห่งนั้น
“เอ่อ... พี่คะ” ฉันเอ่ยเรียกคนข้างๆ ระหว่างทางที่จะกลับหอ ก่อนหน้านี้พี่บอกว่าจะมาส่งฉัน ตอนแรกฉันก็จะบอกว่าเกรงใจ แต่บอกว่าอยู่หอเดียวกันแล้วก็จะกลับหอแล้วด้วย ก็เลยยังเดินชิลๆ ไม่รีบร้อนอยู่ด้วยกันแบบนี้
“ว่า?” พี่หันมาเลิกคิ้วเอียงคอให้ฉันด้วยท่าทีสงสัย
ป๊าดๆๆๆๆๆ น่ารักขนาดดด
“พี่... ชื่อจีซูใช่มั้ย” ฉันถามสิ่งที่ไม่มั่นใจออกไป อันที่จริงก็น่าจะรู้ตั้งแต่ที่เจอพวกพี่กลุ่มนั้นแล้วล่ะ แต่ฉันได้ยินชื่อพี่รหัสไม่ชัดไง เลยไม่ค่อยมั่นใจ กลัวว่าเรียกชื่อไปแล้วจะเรียกผิด
“ใช่ ทำไมอ่ะ ไม่รู้จักพี่?” พี่ยิ้มบางๆ แล้วถามฉันกลับ
“ก็ฉันไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกคนในมอนี่นา” ฉันตอบออกไปตามตรง
“โอเคๆ แล้วถามทำไมล่ะ”
“เอ้า เป็นน้องรหัสก็จำเป็นต้องรู้ชื่อพี่รหัสมั้ยล่ะ ถามได้” ฉันพูดคุยกับพี่จีซูเหมือนเป็นเพื่อนสนิท
“โอเคๆ” พี่พยักหน้าหงึกหงักพลางหัวเราะเบาๆ
“พี่อยู่ปีไหนแล้วล่ะ?” ฉันถามออกไปอีกครั้ง
“ปีสาม คณะนิเทศน่ะ” พี่จีซูตอบพลางยิ้มให้ฉันอีกครั้ง
“อ่อ...”
“อันที่จริงพี่มีอย่างนึงจะบอก...”
“คะ?”
“ตอนแรกพี่จะไม่บอกหรอกเพราะกลัวเรามีปัญหา แต่ยังไงเราก็ต้องรู้อยู่ดี...”
“พี่เป็นดาวนิเทศปีสามนะ”
ฉันอึ้งนิดๆ แต่พอได้ฟังแล้วเอามาคิด จริงๆ พี่ก็สวยนะ สวยมากด้วย สวยกว่าดาวคณะอื่นบางคนอีก
สวยจนลืมหายใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
“ดีแฮะ มีพี่รหัสเป็นดาวคณะด้วย งี้ฉันไม่ฮอตกว่าเดิมหรอ ปกติก็มีคนมารุมล้อมบ่อยๆ อยู่แล้ว ยิ่งมีพี่ด้วยอีก ฉันคงได้เป็นดาวคณะเข้าสักวันอ่ะ” ฉันพูดทีเล่นทีจริงไม่คิดอะไรมาก
“เดี๋ยวก็ได้เป็นเชื่อพี่ดิ” พี่พูดพลางตบบ่าฉันเบาๆ
“เอ้อพี่...” ฉันเรียกพี่จีซูอีกครั้งเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก
“ว่าไง?” พี่ขานรับคำเรียก ฉันมีคำถามอยากจะถามอย่างนึงอ่ะ แต่กลัวถามไปแล้วจะโดนตบอ่ะดิ
เอาวะ
“ทำไมพี่สวยจัง พี่... ศัลยกรรมป้ะ”
ถามออกไปจนได้!
“โอ๊ยยัยบ้า พี่สวยแต่เกิดโว่ย!” เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดงนิดๆ นี่พี่หัวร้อนใส่หรอถึงได้เรียกฉันแบบนั้น
แต่ถ้าหัวร้อนจริง นี่คงเป็นการหัวร้อนที่น่ารักที่สุดแล้ว
“ฮ่าๆๆ โทษทีถามตรงไปหน่อย” ฉันขำออกมาจนน้ำตาเล็ด เอาจริงๆ สำหรับฉันมันฮามากเลยเว่ยกับการที่ได้เห็นพี่จีซูแกหัวร้อนเบาๆ แบบนั้น เพิ่งเคยรู้สึกว่าโดนคำสุภาพด่าเป็นครั้งแรกเลยอ่ะ ส่วนอีกประเด็นที่ฉันขำน่ะ ไม่สิ ต้องเรียกว่ายิ้มถึงจะถูก
ฉันชอบนะที่พี่จีซูหัวร้อนแบบมุ้งมิ้งใส่แบบนั้น
“พี่จีซูอยู่ชั้นไหนอ่ะ” ฉันถามพี่จีซูขณะที่กำลังเดินเข้าไปในหอด้วยกัน
วันนี้ทำไมพูดมากเป็นพิเศษนะ
“ชั้นสามน่ะ อืม... ห้อง 309” พี่ทำท่านึกเลขห้องสักพักแล้วพูดออก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก
ประเด็นคือ ฉันอยู่ 308!
ห้องตรงข้ามฉันคือห้องพี่จีซูหรอกหรอ!?
“อยู่ตรงข้ามห้องลิซนั่นแหละ”
พี่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?
“อันทีจริงพี่รู้นานแล้วแหละว่าเราเป็นน้องรหัสพี่ พี่เลยรีบมาดูรายชื่อเราว่าอยู่ห้องไหน แล้วพี่ก็ได้ห้องนี้มาพอดี เลยได้อยู่ใกล้เราแบบนี้แหละ” พี่พูดออกมาเหมือนอ่านใจฉันได้ว่ากำลังสงสัยอะไรอยู่
“พี่ก็อยู่ใกล้เรามาตั้งนานแล้ว เรานั่นแหละไม่เคยเจอพี่เอง ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้” พี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะเง้างอนเล็กน้อย
“อ่า ขอโทษน้า พอดีฉันเป็นพวกออกเช้าเข้าค่ำน่ะ บางทีก็ไปคณะตั้งแต่เจ็ดโมง แล้วก็กลับหอตั้งแต่หนึ่งทุ่มด้วย เลยไม่เคยเจอ ไม่ดิ ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยเจอพี่นะ ฉันเคยเจอพี่ครั้งนึงตอนเดินผ่านหน้าคณะนิเทศน่ะ” ฉันพูดยาวเหยียดจนฉันก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน
ไม่เคยพูดเยอะขนาดนี้มาก่อน
“แต่พี่เจอเราบ่อยนะ”
“คะ?” ฉันร้องออกมาเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่พี่พูด
“ช่างมันเถอะๆ อ่า... ถึงห้องแล้ว” พี่จีซูหันมาปะทะหน้ากับฉันแบบตรงๆ เมื่อถึงหน้าห้องของเราแล้ว
เร็วอะไรเบอร์นี้นะ
“เจอกันนะพี่” ฉันยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้า พี่จีซูยิ้มตอบแล้วพยักหน้าเบาๆ ให้ฉันก่อนที่ฉันจะหันหลังให้พี่เพื่อเข้าห้อง
“สีดำเหมาะกับลิซดีนะ...”
“คะ?” มือที่กำลังจะบิดลูกบิดชะงักทันทีที่ได้ยินคนข้างหลังเอ่ยอะไรขึ้นมาก่อน
“พี่หมายถึง... พี่ชอบนะ ที่เราใส่สีดำ”
“ลิซเท่ห์ดีนะเวลามีเสื้อผ้าสีดำอยู่บนตัวแบบนี้”
ให้ทายว่าเขินมั้ย
ตอบเลยว่ามาก!
“อ เอ่อ ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบโค้งให้พี่แล้วเปิดประตูเข้าห้องไปเลย
ความมั่นหน้ามั่นโหนกมั่นกะโหลกของแกไปไหนหมดฮะลลิสา!
เช้าวันจันทร์ที่น่าเบื่อสำหรับใครหลายๆ คนเวียนกลับมาอีกครั้ง แต่ฉันรู้สึกเฉยๆ มากเลยกับการพบเจอวันจันทร์แบบนี้ ชอบซะอีกที่จะได้มีอะไรให้ทำบ้างในชีวิต แต่คนอื่นเขาคงไม่คิดแบบฉันหรอก มีแต่จะบ่นกระปอดกระแปดว่าง่วงเพราะนอนดึกในคืนวันอาทิตย์ ไม่ก็บ่นว่างานยังไม่เสร็จทั้งที่มีเวลาตั้งสองวันเต็ม
เอ้า ก็ทำตัวเองเอง ช่วยไม่ได้
กิจวัตรประจำวันทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทั้งปลุกยัยรูมเมท ทั้งงดข้าวเช้าแล้วกินขนมปังแทน
แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคงจะเป็นคนในห้องตรงข้าม
“เอ้าลิซ ยังไม่ไปเรียนหรอ” เสียงหวานที่เรียกฉันซึ่งกำลังผลักไสไล่ส่งยัยโรเซ่ให้ไปเรียนอยู่ทำให้ฉันหันไปสนใจทันที
“หวัดดีพี่จีซู” ฉันโค้งเล็กน้อยให้พี่
“สวัสดีค่ะพี่จีซู ฉันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวยัยนี่บ่นอีกว่าฉันตกรถราง” ยัยโรเซ่ยกมือทำท่าบ้ายบายให้พี่รหัสฉันแล้วรีบวิ่งไปจากตรงนั้นทันทีไม่รอให้ฉันได้พูด
อะไรของมันวะ พูดเหมือนฉันเป็นแม่เลย
“วันนี้ลิซมีเรียนเยอะมั้ย” พี่ถามเมื่อฉันหันหน้ามาสนใจพี่อีกครั้ง
“ก็ไม่นะ มีแค่คาบเช้าตอนเก้าโมงหนึ่งชั่วโมง แล้วก็คาบบ่ายตอนบ่ายโมงอีกหนึ่งชั่วโมง พี่มีอะไรรึป่าวคะ” ฉันเลิกคิ้วถามคนตรงหน้ากลับด้วยความสงสัย
“ป่าวหรอก พี่แค่ถามเฉยๆ น่ะ”
“เดินไปคณะกับพี่มั้ย วันนี้พี่มีคาบเก้าโมงตรงกับลิซพอดี” พี่จีซูถามพลางยิ้มให้ฉันเหมือนกำลังอ้อนอยู่เล็กๆ แต่ไม่หรอกแหม่ ฉันอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้
แต่ยิ้มให้ฉันแบบนี้ ฉันจะปฏิเสธยังไงไหวนะ
“ก็ได้ค่ะ” ฉันตอบพร้อมพยักหน้าให้คนตรงหน้า
“งั้นไปกันเลยมั้ย หรือลิซจะทำอะไรก่อน” พี่จีซูถาม ฉันก้มมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มสั้นกำลังจะชี้เล็กแปดเต็มทนแล้ว ก่อนจะทำท่าคิดสักพัก ถ้าไปตอนนี้ก็ไปนั่งรอเวลาในห้องสมุดก่อนก็ได้ ไม่ก็ไปหาอย่างอื่นกินที่โรงอาหารด้วย – งั้นไปเลยก็ได้
“ไปเลยดีกว่าค่ะ อยู่ห้องตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋าก่อนนะ”
“อื้ม”
ตอนนี้ใกล้ถึงคณะของฉันแล้ว คณะวิศวะกับนิเทศอยู่ใกล้กันพอดี ไม่สิ ต้องบอกว่ามันเดินทะลุตึกกันได้ด้วยซ้ำ อารมณ์แบบ เข้าด้านซ้ายเป็นวิศวะ ออกด้านขวา อ้าว ทำไมเป็นป้ายนิเทศงี้ ฉันเลยตัดสินใจมากับพี่ด้วยเพราะมันอยู่ใกล้กันพอดี
“ถ้าถึงคณะแล้วจะทำไรล่ะลิซ นี่เพิ่งแปดโมงห้านาทีเองนะ” พี่จีซูเอ่ยปากถามฉันขณะที่เรากำลังเดินไปตึกด้วยกัน
“ก็คงอยู่ในห้องสมุดก่อนแหละค่ะ ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านั้นแล้วแหละ” ฉันตอบพลางหันไปมองพี่จีซู แล้วเผลอสบตากับพี่รหัสตัวเองเข้า
ให้ตายเถอะ ทำไมต้องเขินด้วยนะ
“หน้าแดงซะงั้น ไม่สบายรึป่าวลิซ” ฉันหลบสายตาพี่จีซูแล้วก้มหน้ามองถนน พี่จีซูที่จับสังเกตได้ก็ยื่นมือมาอิงหน้าผากที่ปกคลุมไปด้วยหน้าม้าสีน้ำตาลอ่อนของฉันทันที
จะเขินทำไมวะไอ้บ้า
“ป ป่าวซะหน่อย ฉันก็แค่ร้อนน่ะ” ฉันเบือนหน้าหันไปทางอื่น เสียงหัวเราะเล็กๆ ของคนข้างๆ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกร้อนที่หน้าเข้าไปใหญ่
“โอเคๆ ร้อนก็ร้อน ว่าแต่ลิซ ไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่ก่อนได้มั้ย พี่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยน่ะ” เสียงหวานติดแหบเล็กๆ เป่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป
“เอ้า ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก” ฉันดึงแขนพี่แล้วรีบลากพี่เข้าไปที่โรงอาหารของคณะวิศวะทันที ท่าทางกึ่งวิ่งกึ่งเดินของฉันทำให้พี่รีบเอามือมาจับเข้าที่แขนของฉันทันที แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ประเด็นคือพี่ควรกินข้าวได้แล้วต่างหาก
ห่วงที่พี่เค้ายังไม่ได้กินข้าวทั้งๆ ที่แกก็ไม่ชอบกินข้าวเช้าเนี่ยนะลลิซ
“ฉันติดตังพี่ไว้ห้าพันนี่หว่า” ระหว่างที่เดินหาโต๊ะฉันก็นึกขึ้นได้ เมื่อฉันเจอโต๊ะที่ว่างแล้วก็รีบดันให้พี่นั่งลงทันที
“ไหนๆ ก็ติดตังพี่ไว้แล้ว พี่ชอบกินอะไรบอกฉันมาเดี๋ยวไปซื้อให้”
“แฮมเบอร์เกอร์กุ้ง แต่เดี๋ยวพี่ไปซื้อเอง...”
“เอาน่า ถือซะว่านี่เป็นการเทคจากน้องรหัสละกันเนาะ” ฉันพูดพลางตบไหล่พี่เบาๆ ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์ทันที
“มาแล้วจ้า” ฉันยื่นห่อเบอร์เกอร์ให้พี่แล้วนั่งลงตรงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะหยิบห่อเบอร์เกอร์ปลาของตัวเองมากินบ้าง
นี่มื้อเช้ารอบสองแล้วนะ บางวันไม่กินด้วยซ้ำ
“เอ้อลิซ วันศุกร์นี้มีงานสายรหัสประจำปีนะ รู้รึยัง” พี่จีซูพูดขณะที่ในปากยังเคี้ยวหงับๆ อยู่เลย อันที่จริงก็พอได้ยินมาบ้างแหละ จริงๆ เค้ามีเกมตามหาพี่รหัสตามคำใบ้มาให้เล่นตั้งแต่รับน้องแล้ว แต่ตอนนั้นฉันไม่สนมันหรอก ฉันคิดว่าก็แค่พี่รหัส ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย
แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้คิดงั้นแล้วล่ะ
“ก็พอรู้แล้วแหละ แต่ฉันไม่ค่อยสนใจมันหรอก” ฉันพูดก่อนที่จะอ้าปากกัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าไปเต็มคำ
“โห นี่เบื่อโลกขนาดไม่สนใจจะตามหาพี่รหัสเลยหรอ ใจร้ายจังเลยนะเราน่ะ” พี่จีซูบึนปากล่างออกมาเล็กน้อยแล้วทำคิ้วตก หน้าของพี่ตอนนี้ทำให้ฉันนึกถึงลูกแมวเลยแฮะ
ทำไมถึงน่าทะนุถนอมไปเสียทุกอย่างแบบนี้คะ
“เอาน่า ฉันก็เจอพี่รหัสแล้วนี่นา นี่ไงคะ ลลิซคนสวยนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว” ฉันพูดทีเล่นทีจริงกับคนตรงข้าม ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่มุมปากของพี่มันมีเศษขนมปังติดอยู่ มือไวกว่าความคิดนั่นยื่นออกไปเช็ดมันทันทีอย่างไม่ได้คิด
การกระทำนี้มันทำให้ใบหน้าลูกแมวกลายเป็นสีแดงอ่อน
“อ เอ่อ เศษหนมปังมันติดปากพี่เลยเช็ดให้” ฉันพูดออกทำลายความเงียบไปเมื่อเห็นว่าพี่ยังคงไม่พูดอะไร
“ขอบคุณนะลลิซ” พี่จีซูยังคงทำหน้าอึ้งอยู่นิดหน่อยแต่ก็เผยยิ้มออกมาให้ฉันเป็นการขอบคุณ
ยิ้มที่ฉันเริ่มจะชอบมันซะแล้ว
“อ่า แปดโมงสี่สิบแล้ว เข้าคลาสกันเถอะพี่” ฉันมองที่นาฬิกาข้อมือ เอ่ยแล้วลุกขึ้นทำให้พี่ลุกตาม
“งั้นเจอกันนะ” พี่ยิ้มให้ฉันอีกครั้ง นั่นทำให้ฉันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินแยกกันเมื่อถึงทางแยกระหว่างคณะแล้ว
ช่วงนี้ยิ้มบ่อยไปนะบางที
“เอาล่ะครับวันนี้ก็เป็นวันที่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือ วันสายรหัสประจำปี 2016 นั่นเองงง” เสียงพิธีกรบนเวทีเอ่ยขึ้นเสียงดังสุดๆ ประหนึ่งพูดปากเป่าไม่ได้พูดใส่ไมค์ นั่นทำให้ฉันรีบยกมือปิดหูทันที ก็ฉันไม่ชอบที่เสียงดังๆ นี่นา พอมาอยู่ในหอประชุมที่มีผู้คนเป็นพันแบบนี้แล้วก็รู้สึกรำคาญแก้วหูอยู่เหมือนกัน – พี่จีซูที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะทันทีที่เห็นท่าทางของฉัน
“หัวเราะไรอ่ะ” ฉันถามพี่ไปด้วยน้ำเสียงออกจะติดหงุดหงิดนิดหน่อย – เราสองคนสนิทกันไวมากปานสายฟ้าแลบ จริงๆ นะ เราสองคนไปกินข้าวด้วยกันบ่อยมากเนื่องจากเราเจอกันบ่อย ทั้งเจอกันตอนเที่ยงที่ตึก ทั้งเจอกันตอนเช้าที่หอ เราสองคนเลยได้คุยกันมากขึ้นด้วย จากที่ไม่รู้จักก็กลายเป็นสนิทสนมกันเหมือนรู้จักกันมานาน
“ก็ป่าว ก็แค่เห็นว่าที่บอกว่าเราเกลียดที่ที่เสียงดังมันดูจะจริงแฮะ” พี่ยิ้มกว้างด้วยท่าทางอารมณ์ดีสุดๆ ทำให้ฉันยิ้มตาม
“แล้วเราอ่ะยิ้มทำไม” พี่จีซูเอียงคอเล็กน้อยถามฉัน – ทำไมต้องแบ๊วด้วยคะ
“ก็เห็นพี่ยิ้มฉันก็เลยยิ้มตาม ฉันยิ้มไม่ได้ไง้?” ฉันทำหน้าเหวี่ยงเล็กน้อยให้ดูเหมือนน้อยใจ แต่เชื่อเถอะ ฉันไม่ได้น้อยใจจริงๆ หรอก แค่พูดไปงั้นแหละ
“ยิ้มได้ดิแหม่ ทำเป็นงอนไปได้” พี่เอื้อมมือขึ้นมาโยกหัวฉันเบาๆ ฉันก้มเล็กน้อยเพื่อที่จะมองหน้าพี่ชัดๆ ก่อนที่พี่จะยิ้มกว้างให้ฉันอีกครั้ง
“หากใครรู้สายรหัสตัวเองแล้ว ก็ไปหาสายตัวเองได้เลยคร้าบบบ” เสียงพิธีกรบนเวทีดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้พี่จีซูละมือออกจากหัวฉันไป ก่อนจะดึงมือฉันไปตรงไหนก็ไม่รู้ – คงจะไปหาพี่รหัสคนอื่นแหละ
“จีซูทางนี้!” เสียงเรียกที่คุ้นแปลกๆ เหมือนจะเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนตะโกนให้พี่จีซูที่หันหน้าหลังอยู่รีบแหวกทางเหล่าผู้คนแล้วเดินไปทางเสียงเรียกทันที
ทำไมเสียงมันคุ้นจังวะ
“พี่สเตฟานี่หวัดดีค่ะ”
ชิบหายเอ๊ย! กูว่าแล้ว!
“นี่มัน...”
“พี่บอกแล้วว่ายังไงเราก็ต้องเจอกันบ่อยขึ้น” เสียงอ่อยที่เห็นได้ชัดดังขึ้นทำให้สติฉันกระเจิดกระเจิง
โว้ยยย นี่มันบ้าบออะไรวะเนี่ยยย!!!
“เอ้า ทั้งสองรู้จักกันหรอกหรอ” เสียงสงสัยของพี่รหัสฉันทำให้ฉันหันขวับไปมองทันที แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมองแรงเลยนะ อารมณ์มันพาไปน่ะ
“รู้จักสิ...”
“รู้จักดีด้วย...”
แต่กูไม่ได้อยากรู้จักมึงงง!
“เอ้า แล้วพี่อีกคนหายไปไหนล่ะคะ ปกติต้องมีสายละสี่คนไม่ใช่หรอ แล้วพี่ปีสองไปไหน” เมื่อฉันนึกอะไรขึ้นได้ก็พูดออกมาทันทีเพื่อทำลายบรรยากาศน่าขนลุกนี่ทิ้งซะ
“อ๋ออีกคนเขาลาออกไปแล้วล่ะ มันบอกว่าทนไม่ได้ที่ได้อยู่สายนี้ เห็นบอกกลัวพี่สเตฟ ไม่รู้กลัวอะไรของมัน ทั้งสายเลยเหลือแค่เราสามคนนี่แหละ” พี่จีซูอธิบาย – ฉันเข้าใจความรู้สึกพี่คนนั้นดีค่ะพี่ – ปาดน้ำตา
“อ๋อออ” ฉันขานออกไปแสดงให้เห็นว่าเข้าใจแล้ว ฉันไม่อยากคุยกับยัยพี่สเตฟขี้ตื๊ออ่ะ ขอทำเป็นเมินแล้วกัน
“แล้วทำไมคุยกับแค่จีซูล่ะจ๊ะลลิซ”
“หรือว่าที่ปฏิเสธพี่ไปเป็นเพราะจีซูสินะ”
เมินได้ก็เหี้ยละ!
“จะบ้าหรอ! ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับพี่จีซูสักหน่อย ก็แค่พี่รหัสน้องรหัสกัน โวะ พูดมากว่ะพี่” ฉันตอกกลับไปเป็นชุดกลบเกลื่อนใบหน้าที่กำลังขึ้นสีของตัวเองในตอนนี้
แต่จริงๆ ก็ชอบนะที่พี่แกพูดแบบนั้น
“เหอะๆ งั้นก็คบกับพี่สิ” โวะอะไรของพี่วะ นี่ก็ตื๊ออยู่ได้
“ไม่เอาโว่ยยย” ฉันโวย
“เอาน่าๆ เลิกทะเลาะกันสักทีเถอะ...” พี่รหัสของฉันพูดไกล่เกลี่ย
“เอ้อใช่ คืนนี้สายเรามีนัดกับสายยัยเจนนี่ที่ร้านห้องสมุดหน้ามอนะ” พี่จีซูเอ่ยขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ ร้านห้องสมุด? อ๋อ คงเป็นร้านเหล้าหน้าโรงเรียนที่ตั้งชื่อกะโปกๆ เอาไว้เผื่อหาข้อแก้ตัวให้พ่อแม่เวลาไปกินเหล้าสินะว่าไปห้องสมุดมา
ก็ช่างจะคิดเนาะ
“โอเคๆ เดี๋ยวเสร็จตรงนี้แล้วพี่ขอกลับหอก่อนละกัน”
พี่สเตฟานี่พูดแล้วหันไปสนใจบนเวทีที่กำลังทำกิจกรรมอะไรสักอย่างกันอยู่ พี่จีซูที่นั่งคั่นระหว่างฉันกับยัยพี่ขี้ตื๊อส่งยิ้มบางๆ มาให้ฉันก่อนที่ฉันจะยิ้มเจื่อนกลับด้วยความไม่สบอารมณ์นัก
นี่กูทำบาปหนาอะไรไว้กับยัยพี่สเตฟนี่วะเนี่ย!
ช่วงไรท์พบประชารีด
ฟิคเรื่องนี้ควรเปลี่ยนคู่เป็นสเตฟลิซแทน 555
วันนี้ไม่ได้ว่างมากหรอกค่ะ
แต่ที่มาอัพก็เพราะ...
วันนี้เด็กๆดำชมพูได้ที่ 1 ในอินกิกาโยค่าาา วู่ววววววววว *ปรบมือ*
หลังจากที่สกรีมไปนานนับนาทีก็นึกขึ้นได้ว่ามาอัพฟิคเป็นของขวัญเนื่องในโอกาส #BLACKPINK1stWIN ดีกว่าาา
ถ้ามีคำผิดเดี๋ยวมาแก้ให้เนาะะะ อิอิ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แทมาพาฟานี่ไปเก็บที โธ่
ไรท์ต้องรับผิดชอบด้วยที่ทำหมอนเค้าขาด555
#จีซูมีความแอบเนียนจีบสูง55