ตอนที่ 15 : ENGINEER 14 [100%]

ผมสีแดงงั้นหรอ
ตั้งแต่เมื่อวานที่น้องขอให้ฉันย้อมผมแต่ฉันก็ปฏิเสธไป เรื่องนี้ก็กวนใจฉันอยู่ตลอด แม้รอบกายฉันจะเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายจากเพื่อนร่วมคลาสที่เอาแต่เมาท์มอยกันอยู่อย่างสนุกสนาน เสียงดังๆก้ไม่ได้กลบความคิดนี้ได้เลย
“เจ้... เจ้!”
“อะไรของแก! จะเสียงดังทำไม”
แต่เสียงเรียกของเพื่อนเด็กที่นั่งอยู่ข้างๆก็เรียกความสนฉันไปจากความคิดนี้ได้บ้าง ฉันขมวดคิ้วใส่จุนฮเวที่เพิ่งตะโกนเรียกเมื่อกี๊ทั้งๆที่นั่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม อะไรของมัน
“ก็ผมเรียกเจ้เป็นสิบรอบแล้วเจ้ไม่หันนี่ หรือเจ้หูตึงไปแล้ว งี้แหละ แก่แล้วก็งี้”
“ปากหมาจังนังจุนฮเว... แล้วมีเรื่องอะไร เรียกทำไม”
“ด่าน้อง น้องเสียใจนะ” จุนฮเวไม่ตอบคำถามแต่กลับทำเป็นแกล้งซับน้ำตา แหม คิดว่าหล่อเข้มแล้วแบ๊วได้รึไง ฉันไม่สงสารหรอกย่ะ!
“เออน่า ก็แกว่าฉันก่อน ...แล้วสรุปมีเรื่องอะไร” ฉันเอ่ยถามซ้ำออกไปอีกรอบ จุนฮเวเลิกเล่นแล้วขยับเข้ามาใกล้ทันทีราวกับว่าเรื่องที่จะคุยมันลับมากๆ
“ก่อนอื่น เจ้ลืมติดกระดุมเม็ดแรก” ฉันก้มลงมองตามตาของมันแล้วยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกตัวเองทันที ก็แค่ลืมเม็ดเดียวเอง จริงๆไม่ได้ลืมด้วยซ้ำ ก็เมื่อเช้าลิซขอมอร์นิ่งคิสนิดหน่อย ก็แค่นั้นเอง!
“โหยเจ้ ทำเป็นหวงตัว ต่อให้เจ้มาแก้ผ้าต่อหน้าผมผมก็ไม่เอาหรอก”
อ อีนี่...
“เอาเรื่องจริงจังสิ” ฉันถามหลังจากติดกระดุมเสร็จ แต่จุนฮเวไม่ตอบ กลับหันไปหยิบกระเป๋าเป้สีดำของตัวเองขึ้นมาเปิดตรงหน้าฉัน “ผมไปเจอไอ้นี่มา”
จุนฮเวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาปลดล็อคหน้าจอก่อนจะตรงเข้าแกลอรี่ “พี่มาร์คกับบ็อบบี้มันนัดเจอกันที่เก่าเวลาเดิมเป๊ะๆมาหลายวันแล้ว ผมลองเอาเครื่องดักฟังไปติดไว้ตรงนั้นดู แล้วก็ได้นี่มา” ฉันดูรูปแอบถ่ายชายสองคนยืนคุยกันหน้าห้องน้ำโรงอาหารนิเทศก่อนที่จุนฮเวจะเปิดเครื่องบันทึกเสียงและหยิบหูฟังให้ฉัน
‘ว่าไง’
‘เด็กนั่นไม่สงสัยอะไรพี่มาร์คเลยครับ’
‘แล้วไงต่อ’
‘ผมเตรียมสถานที่ไว้ให้แล้วครับ เหลือแค่เอาตั๋วไปให้ แต่ผมคงเอาไปให้เองไม่ได้’
‘อือ ไม่เป็นไร แต่ถ้างานเฟล มึงไม่ใส่เฝือกแค่แขนแน่’
‘ค ครับ’
ทุกอย่างสิ้นสุดลงแค่นั้น แม้เสียงก้องจากผู้คนจะแทรกเข้ามารบกวนบ้าง แต่ทุกอย่างที่ได้ยินก็ชัดเจนมากพอที่จะได้ยิน
เด็กนั่น?
สถานที่?
ตั๋ว?
“อีกห้าเมตรจารย์ถึงคลาส” เสียงเพื่อนคนหนึ่งดังลั่นห้อง นั่นทำให้หลายคนรวมทั้งฉันและจุนฮเวเก็บโทรศัพท์ลง และไม่กี่วิอาจารย์คนที่ว่าก็เดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะเริ่มทำการสอนทำทันทีไม่รีรออะไร
ช่างมันก่อนก็ได้ล่ะมั้ง
“เจ้ๆ ผมจะไปตัดผมอ่ะ เอาทรงไรดี” หลังจากที่วิชาช่วงเช้าจบลง คนข้างๆก็ถามฉันพลางเก็บกระเป๋าทันที “ฉันจะไปรู้กับแกมั้ยล่ะ สักทรงเหอะ ทรงเดิมก็ได้”
ฉันพูด จุนฮเวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นเตรียมออกจากคลาส พอพูดถึงเรื่องตัดผมแล้ว ก็อดนึกถึงเรื่องที่ลิซขอไม่ได้เลยแฮะ
เอาไงดีล่ะ
“จุนฮเวๆ”
“ครับ?”
ฉันเรียกคนที่กำลังจะก้าวออกจากห้องไปให้หันกลับมาเสียก่อน เขาเดินเลิกคิ้วให้ ฉันจึงกวักมือเรียกให้มาคุยใกล้ๆ
“ถ้าฉันทำผมสีแดงแล้วจะโอเคมั้ย”
xxxx
เบื่อชะมัดเลย
พอเรียนช่วงบ่ายเสร็จ กลับห้องมาฉันก็ยังไม่ได้เจอพี่จีซูเลย วันนี้ทั้งวันเลยด้วยซ้ำนอกจากเมื่อเช้าที่ตื่นมาแล้วงัวเงียขอพี่จูบนิดหน่อย เพราะพี่มีเรียนเช้า ฉันมีเรียนบ่าย ตารางงานเลยไม่ตรงกันนัก แถมเมื่อคืนฉันก็ดูหนัง(ไม่ได้เล่นเกมแล้วนะยะ)ดึกด้วย
ช่างเถอะ เดี๋ยวพี่ก็คงกลับมาเอง
แต่ฉันเหงานี่นา
“โทร.หาละกัน” ฉันพึมพำเบาๆคนเดียว วางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนอนกับเตียงตัวเองแรงๆอย่างอ่อนเพลียจากการเรียน เสียงตู๊ดๆๆยังคงดังอยู่เรื่อยๆอย่างไม่มีท่าทีว่าจะมีหยุดแต่อย่างใด ฉันเขี่ยเกียร์บนคอเล่นไปมาทั้งตาใกล้จะปิดแล้ว
“กรุณาฝากหมา-”
กูตัดสายเลย
ฉันกดวางสายแล้วโทร.ใหม่อีกรอบ และมันก็เป็นแบบเดิมทุกรอบ พี่จีซูไปไหนของพี่กัน โทรศัพท์ก็ไม่รับ วันนี้ก็คุยกันไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
คิดถึงนะ
“โว้ยยย ช่างแม่ง” ฉันลุกขึ้นยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงสกินนี่ เดินไปรอบห้องอย่างหาอะไรทำ เกมก็ไม่ค่อยอยากเล่นแล้ว หนังก็ขี้เกียจดู จะหาไรกินก็ขี้เกียจเดินลงไปข้างล่าง งานก็ไม่มีให้ทำอีก
ไปป่วนห้องนังเซ่ดีกว่า
ป่านนี้มันจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ไม่ได้เจอมันเกือบเดือนแล้วมั้ง ก็มีเจอบ้างตอนออกจากห้อง แต่ต่างคนก็ต่างรีบ พี่จีซูกับพี่เจนนี่ก็คงไม่ค่อยเจอกันบ่อยหรอก เราสี่คนไม่มีใครเรียนคณะเดียวกันลยนี่ เมื่อก่อนที่เจอกันบ่อยก็เพราะเป็นเมทกันนั่นแหละ
ยัยซอสมะเขือเทศมันจะคิดถึงฉันมั้ยน้า
ก๊อกๆๆ
เงียบ ไม่มีใครมาเปิดประตูให้ฉันเลยเรอะ ฉันเอาหูแนบกับประตูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงเพลงจากลำโพงในห้อง ก็คงอยู่แหละ ไม่งั้นคงไม่เปิดเพลงทิ้งไว้ให้เปลืองไฟงี้หรอก
แกร๊ก
ประตูก็ไม่ได้ล็อคนี่หว่า...
เข้าไปแม่ง
“อื้อ... เซ่...”
เชี่ย...
“อื้ม พี่เจน... พี่เจน...”
เชี่ย...
ยังไม่ผ่านพ้นกำแพงที่บังเตียงกับประตูห้องไปดีนัก ฉันก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยจากด้านในแทรกเสียงเพลงขึ้นมา ฉันเอาตัวไถไปกับกำแพงราวกับว่ากำลังพลางตัว ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อย น้อยยยยยจริงๆ
แต่พอเห็นขาพวกเค้าเกี่ยวกันอยู่แล้วนั้น...
Be in a bed all day, bed all day, bed all day…
กูก็ว่าเพลงนี้มันคุ้นๆ...
ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่อยากดูหนังสดตอนนี้
ฉันรีบออกมาจากห้องทันที แน่นอนว่าฉันเบามือในการปิดประตูมากที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ใบหน้าฉันเริ่มแดงก่ำเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเนื้อเพลงกับเหตุการณ์เมื่อกี๊
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต...
ฉันเข้าห้องตัวเองอย่างรีบร้อน ก็เสียงเพลงห้องมันดังชิบหายอ่ะดิ พอฟังแล้วก็แบบ แบบว่า...
อ้าว รองเท้าพี่จีซูนี่นา
ฉันถอดรองเท้าแล้วรีบวิ่งไปที่เตียงทันที แต่แล้วก็พบกับความว่างเปล่า มีเพียงกระเป๋าสะพายของพี่ที่บ่งบอกว่าพี่อยู่สักแห่งในห้อง แต่พอได้ยินเสียงกดชักโครกดังออกมาจากห้องน้ำก็ไม่ต้องเดาแล้วล่ะ
“อ้าวลิซ ไปไหนมาอ่ะ”
“ฉันไปหาโร... ซ เซ่...”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
เมื่อหันหลังไปหาต้นเสียงก็พบกับสิ่งสะดุดตาทันที
พี่จีซูย้อมผมแดงเว่ยแก๊กกกกกกก ฟสดาหส่เวส่กวเงหงหฟสเหกว
“เป็นอะไร”
“พี่ย้อมผมอ้ะ งื้อออออ”
ฉันพุ่งตัวไปกอดพี่แล้วลูบๆจับๆผมของพี่ทันที โง้ยยยย งื้อออออ สวยชะมัด อ๊ากกกกกกหสวาเวงกดฟ่งเวห
“ฉันว่าแล้วว่าถ้าพี่ทำมันต้องสวยมากแน่ๆ” ฉันมองหน้าพี่ที่ทำหน้ายิ้มๆใส่ฉัน โง้ย ทนไม่ไหวละ ขอหอมสักฟอดดด
“ตอนแรกพี่ไม่อยากทำหรอก แต่พอเห็นเราทำหน้าบูดก็เลยตัดสินใจทำนี่แหละ”
โง้ยยยย ทำเพื่อฉันหรอ น่าร้ากกกกกกกกกกกก
ฉันคลายกอดพี่ออก พี่เดินไปนั่งบนเตียงของพี่ก่อนจะควักโทรศัพท์ออกมาเล่น ฮึ่ย ไม่สนใจฉันเลยอ่ะ ทำมาเป็นบอกว่าไม่อยากให้ฉันเล่นเกมเยอะนัก ฉันก็ไม่อยากให้พี่เล่นโทรศัพท์เยอะเหมือนกันนั่นแหละ!
“พี่จีซูอ่ะ ไม่สนใจลิซเลย” ฉันเอ่ยออกไปอย่างเง้างอน ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วตะแคงหันหลังให้พี่ ไม่มองแล่ว อุตส่าห์ดีใจที่เห็นพี่ทำผมแดงเพราะฉัน แต่ก็เล่นโทรศัพท์เมินกันเฉยเลย ฮึ่ย!
“ลิซงอนพี่หรอ” แต่แรงยุบของเตียงบวกกับแรงกอดจากด้านหลัง ก็ทำให้ฉันเลิกฟึดฟัดทันที “ไม่ได้งอนสักหน่อย”
“คิคิ”
หัวเราะอะไรอีกอ่ะ!
“หัวเราะอะไรเล่า” ฉันหันหลังไปหาพี่ “ลิซงอนพี่แหละ”
ไม่ได้งอนโว้ย
“แหนะ จะเถียงล่ะสิ” พี่เอานิ้วชี้มาแนบปากฉันให้เงียบ “พี่แค่คุยงานกับเพื่อนิดหน่อยเอง”
“นี่ไงคะ พี่สนใจลิซแล้วนี่ไง” พี่พูดพลางเลื่อนมือไปวางทาบแก้มยุ้ยๆของฉันแทน
บ้าเอ๊ย เขินอีกแล้ว ตอนไปหาห้องตรงข้ามก็เพิ่งเขินมานะ!
ดวงตาโตกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเมื่อพี่ฉีกยิ้มกว้างให้ฉัน พี่ลูบหัวฉันเบาๆราวกับฉันเป็นเด็ก ฉันยื่นมือไปลูบผมยาวตรงของพี่บ้าง เส้นผมที่เคยดำขลับ บัดนี้กลายเป็นสีแดงร้อนแรงอย่างกับเล่นกับไฟ ฉันสบสายตาหวานของพี่ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาในหัว
สวยชะมัด...
“ฉันเริ่มหวงพี่แล้วนะ” ฉันพูด พี่เลิกคิ้วเล็กน้อยเชิงถามว่าหวงอะไร
“ก็พี่สวยขนาดนี้ ฉันชักเริ่มอยากให้พี่กลับไปย้อมดำแล้วสิ” ฉันพูดพลางบึนปากออกมาเล็กน้อยให้รู้ว่า เนี่ย หวงจริงๆนะ ก่อนที่พี่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ยิ่งเวลาพี่ยิ้ม ยิ่ง... สวยฉิบหาย
“แล้วถ้าลิซหวง ลิซจะทำยังไงหรอคะ”
อ่า... ใครสั่งใครสอนให้ถามคำถามแบบนี้กัน
ฉันเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จนกระทั่งหน้าผากของเราสองคนแนบกัน ใบหน้าของพี่เริ่มเบลอเมื่อไม่สามารถโฟกัสสิ่งใดได้
แต่ฉันรู้ พี่กำลังยิ้ม
ฉันยิ้มเล็กน้อยก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนส่วนเดียวกันของพี่ เราจูบกันบ่อยแต่ก็ไม่เคยมีใครบ่นออกมาว่าเบื่อเลยสักนิด แถมฉันยังคิดว่าถ้าจูบพี่ได้ตลอดเวลาก็คงจะดี
ก็เวลาจูบพี่ หวานกว่าเวลามองรอยยิ้มของพี่เป็นไหนๆ
“ฉันก็จะทำแบบนี้ไง...” ฉันตอบคำถามของพี่หลังจากที่เราผละจูบจากกัน มือหนึ่งถูกยกขึ้นปัดปอยผมที่ระเกะระกะอยู่บนดวงหน้าสวยของพี่ ทัดหูให้เรียบร้อยก่อนจะลูบผมสีเจ็บอย่างหลงใหล
ทำอะไรก็สวยไปหมดเลย
“พี่อยากดูหนังอ่ะ หาหนังดูกัน” พี่ลุกขึ้นนั่งทำท่าจะเดินไปที่โทรทัศน์ แต่ฉันก็รั้งแขนพี่เอาไว้ก่อน “เดี๋ยวสิ...” พี่หันกลับมา ฉันยันตัวขึ้นนั่งแล้วดึงพี่ให้ลงมานั่งบนตักตัวเอง “ฉันหวงมากจริงๆนะ”
“รู้แล้วน่า” พี่พูดแต่ก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงรำคาญแต่อย่างใด
“อืม... ลิซมีของจะให้” ฉันเอนตัวมาด้านหลังเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นอ้อมไปที่ท้ายทอย พี่หันมามองอย่างสนอกสนใจ ฉันปลดตะขอสร้อยเงินที่อยู่บนคอ ค่อยๆปล่อยมันลงบนมือ “หันหลังสิ”
ฉันพูด พี่จีซูทำตามอย่างว่าง่าย จริงๆมันเป็นของที่ฉันจะให้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ลืมทุกที สร้อยเงินถูกถ่วงน้ำหนักด้วยเฟืองสีเดียวกัน ฉันจับด้านหนึ่งของสร้อยแล้วอ้อมมือออกไปรอบคอพี่ ฉันใส่ตะขอสร้อยให้พี่อย่างใจเย็น เมื่อใส่เสร็จจึงสอดแขนกอดพี่แน่นและซบใบหน้าลงบนหลังซึ่งมีผมสีแดงกระจายอยู่
“ใส่ทุกวันด้วยนะ ใครเจอพี่เค้าจะได้รู้ว่าพี่มีเจ้าของแล้ว ลิซหวงจะตายอยู่แล้วเนี่ย” ฉันเงยหน้าไปเกยคางบนไหล่ของพี่แทน พี่หันหน้ามาหา เห็นได้ชัดว่าหน้าพี่กำลังแดงจัดเลย
“อื้ม” แหนะ ตอบแค่นั้น เขินล่ะสิ
“ลิซให้ใจพี่ไปแล้วนะ” ฉันพูดพลางกุมมือของพี่ที่อยู่บนตัก
“ดูแลใจลิซดีๆนะคะ พี่จีซู”
-63%-
xxxx
เสียงเพลง EDM จากลำโพงตัวใหญ่อย่างหรูสนั่นไปทั่วทั้งร้าน สายตาโดยทั่วโฟกัสมาที่ฉันและคนข้างกายเมื่อเราก้าวเข้าไปยังโซนเต้น คืนนี้ฉันและลลิซถูกเพื่อนฉันคนหนึ่งในคลาสชวนให้มาฉลองอะไรสักอย่างของมัน โชคดีที่มันมีร้าน – เรียกว่าผับจะดูตรงกว่า – ที่ครอบครัวมันเปิดเป็นธุรกิจรอง งานนี้ฉันเลยกะว่าจะฟาดเรียบให้หมด
อาหารนะคะอาหาร
“อยากให้พี่ห้อยเกียร์แบบโจ่งแจ้งจัง ไม่เก็บไว้ในเสื้อไม่ได้หรอ” คนข้างกายยื่นใบหน้าลงมาใกล้หูฉัน กระซิบด้วยความหวงทั้งยังรั้งเอวฉันไปอยู่ในอ้อมแขน ราวกับว่าผู้คนโดยทั่วยังคงจ้องมองเราอยู่ จึงส่งเสียงฮือฮากลบเสียงดนตรี
“ลิซก็เอาออกมาให้พี่สิคะ” ฉันเหลือบมองเพื่อนที่นั่งอยู่บนโซฟาซึ่งมันกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มราวกับแซวฉันอยู่ ก่อนจะกระซิบตอบกลับน้องไป เราชะลอฝีเท้าที่กำลังเดินไปหาเจ้าของงานช้าลง จนเหมือนกับว่าเรายืนอยู่ในฟลอแดนซ์ ฉันสะบัดผมสีแดงที่เพิ่งทำมาไปด้านหลัง ก่อนจะรวบมาอยู่ที่ไหล่ข้างขวา
ไม่ได้อ่อยไง ก็แค่แบบว่า น้องจะได้เอาเกียร์ออกมาได้สะดวก
น้องรั้งเอวฉันไปแนบชิดจนจมูกเกือบชนกัน ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันจึงทำให้ฉันต้องช้อนสายตาขึ้นมองน้องอย่างเชื้อเชิญ
บ้า ไม่มีอ่อยอะไร แกอ่ะคิดมาก
น้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นไล้มือตั้งแต่ปลายแขนเสื้อเชิ้ตตัวเดิมที่เคยใส่เข้าผับกับน้องครั้งแรก สร้อยสีเงินที่แวววาวอยู่บนคอยามต้องแสงถูกดึงขึ้นมาโดยที่น้องยังคงมองตาฉันอยู่ เราสองคนขยับตัวตามจังหวะดนตรีเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แตกต่างจากคนบนฟลอเกินไป เฟืองสีเดียวกับสายสร้อยหล่นลงมาอยู่บนเสื้อของฉัน ฉันคิดว่าน้องคงจะปล่อยกันแล้วพาไปนั่ง แต่ฉันคิดผิด
เมื่อริมฝีปากเราสัมผัสกัน ก็เรียกเสียงนักเที่ยวกลางคืนในงานได้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันเหมือนได้ยินเสียงเพื่อนของฉันดังแหวกเสียงอื่นขึ้นมาด้วย น้องกดจูบแนบแน่นไม่นานก็ผละออก สงสัยคงเป็นเพราะลิปสติกสีแดงสดที่ฉันบรรจงทามาอย่างดี น้องเลยอดใจไม่ไหว
ย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้อ่อย
“เดี๋ยวค่ะ” ฉันเอ่ยเรียกลิซที่ผละแขนออกไปและกำลังจะหันเดิน น้องหันกลับมามองฉัน ฉันยกมือขึ้นลูบที่มุมปากน้อง เกลี่ยมือไปมาบนริมฝีปากอิ่ม ก่อนจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ลิปสติกไม่นิยมทาผสมกันสองสีนะคะ”
ไม่รู้ว่าน้องเขินหรือไร จึงเห็นเพียงรอยยิ้มที่ถูกระบายออกมาพร้อมแก้มแดงทั้งที่ยังไม่ได้แตะเหล้าสักแอะ ก่อนที่น้องจะกุมมือฉันให้ได้ไปหาเจ้าของงานจริงๆจังๆสักที
“อุ๊ยต๊าย นึกว่าจะจับกินกันตรงนั้นซะละ ว้า อดดูหนังสดเบย” เพื่อนเจ้าของงานซึ่งสนิทกับฉันพอตัวเอ่ยแซะไม่ทันให้ก้นถึงเบาะโซฟาดีนัก ฉันยกยิ้มแล้วไงใครแคร์ให้ก่อนจะดึงลิซให้นั่งลงข้างๆ
“ก็แฟนมีไว้ให้อวดไงคะคุณนายอน เออแล้วนี่แกชวนฉันมาฉลองอะไรของแก เห็นปกติเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการจีบเด็ก” ฉันเอ่ยถามเพื่อนที่กระดกแก้วสีฟ้าขึ้น
“ก็เรื่องนี้นั่นแหละค่า แหม พูดแล้วก็เขิน”
“อ่ะ งั้นไม่เล่าแล้วใช่ป่ะ โอเคงั้นกลับ”
“เดี๊ยวๆๆๆๆ อีนี่ก็ใจร้อนจัง สงสัยติดโรคบนเตียงมา” ฉันแกล้งทำเป็นกวนมันทำท่าจะลุก แต่ก็โดนกวนกลับจนได้
ชิชู่วไม่แคร์ค่ะพูดเลย
“ว่าไงไหนเล่า” ฉันเบะปากให้ก่อนจะเอ่ยถาม “ก็ฉันกับน้องมินะที่ฉันตามจีบนั่นแหละ น้องเค้าเป็นฝ่ายขอฉันคบเว่ยแกร” สำเนียงและจริตจะก้านเวลาเล่าและเนื้อหาคำพูดทำให้ฉันเบะใส่รอบสอง
“แล้วแกก็ตอบไปว่าตกลง เลยได้เป็นแฟนกัน”
“ไม่ ฉันไม่ได้พูดตกลง”
เอ้า แล้วเอ็งฉลองอะไรของเอ็ง
“แต่ฉันพาน้องไปที่ห้องของฉัน ...แล้วก็ตอบตกลงน้องทั้งคืนเลย”
อ๋อวววววววววววววววววววววว
“นู่นไงตายยาก ฉันไปหามินะก่อนนะ ขอให้แกสนุก คืนนี้ฟรีสำหรับเพื่อนนะคะ” นายอนลุกขึ้นก่อนจะดี๊ด๊าไปหาแฟนเด็กที่เพิ่งเดินกลับมา นางพูดประมาณว่าไปเต้นกันเถอะที่รัก – พูดแล้วคลื่นไส้ – แล้วก็ลากไปกลางฟลอเลยจ้า น้องแฟนเด็กก็ดูตามใจ๊ตามใจเนาะ ก็ดีใจกับมันด้วยละกันที่ในที่สุดก็ไม่ขึ้นคาน
นึกถึงตอนเลี้ยงสายรหัสเลยแฮะ
นึกถึงตอนที่น้องเมาแล้วชวนฉันออกไปเต้น เราก็มาจบที่การจูบ...ที่โซฟาตัวนี้ แม้ว่าสถานที่จะไม่ใช่ที่เดิม แต่ลักษณะการตกแต่งภายในดูคลับคล้ายกันจนบอกว่าก็อปวางก็น่าจะได้ นั่นทำให้ฉันนึกถึงวันเก่าๆได้ไม่ยาก
“คิดอะไรอยู่คะ” คนข้างๆที่นั่งเบียดกันอยู่ทั้งที่โซฟาตัวโคตรยาวเอ่ยถาม ฉันยกยิ้มให้อีกคนที่ถือแก้วสีอำพันอยู่ก่อนจะเอียงหัวซบลงบนไหล่กึ่งเปลือยที่เกิดจากแจ็คเก็ตที่ร่นลงเล็กน้อย “คิดถึงวันที่เราจูบพี่”
“ฉันขอเขินได้มั้ยนะ” น้องพึมพำเบาๆ แต่เพราะกายชิดกัน จึงทำให้ฉันได้ยินเต็มหู
“แล้วนี่ถือไว้ทำไม ชั่งใจอยู่หรอคะว่าจะกินหรือไม่กิน” ฉันมองแก้วที่มีเบียร์อยู่เต็มแก้วในมือน้อง ก่อนจะเอียงหน้ามองน้องเล็กน้อย
“ลิซกลัวว่ากินเข้าไปแล้วจะเมาไม่รู้เรื่องอีกน่ะ จริงๆกลัวเมาแล้วมีคนเข้ามาจีบพี่”
เด็กบ้า นี่เอาคืนหรอ
“พี่ป้อนมั้ย ถ้าเราอยาก” ฉันเอ่ยกระซิบข้างหู จนอีกคนหันมาหาฉันเต็มตัว “ก็เอาสิคะ” น้องพูดจบ ฉันก็ฉวยเอาแก้วมาจากมือน้อง กระดกเข้าปาก แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้น้อง หมายจะป้อนให้อย่างที่พูด
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมขัดจังเราสองคนที่กำลังจะป้อนรักกันให้ผละออกห่างกัน ฉันกลืนเครื่องดื่มรสขมลงคอ ก่อนจะหันไปหาต้นเสียงเข้มที่อยู่ทางด้านหลัง
“อีแบม เสียมารยาท” คำทักทายของลลิซที่มีให้กับคนตรงหน้า ทำให้ชายตัวเล็กผู้มาใหม่หัวเราะร่วน “นี่กูทำเพื่อความหวังดีนะเนี่ย กลัวเพื่อนมันรีบจนไม่คำนึงถึงสถานที่”
นี่ฟิคเรื่องนี้มันจะมีแต่เรื่องอู้อ้าฮาเกจริงๆหรอคะ
“แล้วมึงมาได้ไง สนิทกับพี่นายอนเค้าหรอ หรือสนิทกับมินะมันล่ะ ปกติไม่เห็นเคยคุยนี่” ลิซเอ่ยถามคนที่ยังยืนอยู่ ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองด้านหลังเพื่อมองหาคนที่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าคงมาแน่ๆ
“เหอะ” น้องแบมส่ายหน้ารัว “กูไม่สนิทกับมินะอ่ะ เคยคุยกันครั้งเดียวเอง ส่วนคนที่สนิทกับพี่นายอนอ่ะ คนนี้ต่างหาก”
“พี่มาร์ค”
-100%-
ช่วงไรท์พบประชารีด
หู้ววว ฉันไม่ได้อัพไปกี่วันนะ เอ๊ะหรือเดือนนึง ลืมอีก 555555555
มาต่อให้แล้วนะคะ รอบนี้มีคนทวงสามสี่คนใน dm ใจเย็นๆค่ะเค้ารู้เค้าดองแล้วดูเลวแค่ไหน แต่เลวแบบรักเรียนนะคะ /ไม่จริงหรอกมีเวลาว่างดูหนังแต่ไม่แต่งฟิคเนี่ย/
ส่วนแท็ก... ไม่เคยไปตรวจเลยค่ะ ไม่ใยดีฟิคแล้วว่างั้นเถอะ 555
ส่วนตอนต่อไปนั้น เอ่อ กี่วันกี่เดือน หรืออาจเป็นกี /ถุย/ ก็ว่ากันไปค่ะ อิ้อิ้
*วิบัติเพื่ออรรถรสนะคะ อิ้อิ้*
ถ้ามีคำผิดเดี๋ยวมาแก้ให้เนาะะะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไรท์ไม่ฉายตอนเขากินมาม่ากินบ้างเหรอคะ ><
ตื่นเต้นจัง จะมีอะไรเกิดขึ้นมั้ยนะ ><
คิดถึงไรท์เตอร์เป็นบ้าเลยค่ะ หายไปซะนานเลย
แต่ก็ขอบคุณมากๆที่มาอัพให้ชื่นใจ ว่างๆก็มาใหม่นะคะ
อย่าลืมเรื่องนี้ไปซะล่ะ ^^
มาร์คเเบมก็มา
เป็นกำลังใจให้ไรท์นะ ไฟว์ติ้งงง!
ไรท์อย่าหายไปไหนอีกนะ เขาติดเรื่องนี้มาก บอกตรงๆนี่ก็สงสัยอีพี่มาร์คคึเหมือนกันว่าฮีต้องการอะไร
#รีบมาต่อนะค่ะไรท์ ค้างหนักมาก//นอนรออยู่ที่ห้อง icu