ตอนที่ 11 : ENGINEER 10 [100%]
ตั้งแต่วันนั้นที่พี่จีซูโดนบ็อบบี้ลักพาตัวไปแล้วรอดมาได้ ตอนนี้ก็สัปดาห์กว่าแล้ว ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปตามปกติ ฉันยังคงต้องตื่นมาปลุกยัยเซ่เพื่อนรักเหมือนเดิม และฉันกับพี่จีซูก็ยังคงไปตึกด้วยกันตามปกติ อาจจะมีที่มากกว่าปกตินิดหน่อยก็คือพอเลิกคลาสปุ๊บก็รีบลงจากตึกแล้วไปหาพี่จีซูทันที ทำตัวตามติดแจกับพี่จีซู ฉันไม่สนใจหรอกว่าจะมีใครมองเราสองคนยังไง มันอาจจะเป็นแง่บวก หรือไม่ก็เป็นแง่ลบ แต่ถ้ามันเป็นอย่างหลังขึ้นมาจริงๆ
ฉันก็มั่นใจว่าฉันจะปกป้องพี่จีซูได้
แต่ที่มันไม่ปกติเลยจริงๆ คือฉันเอาเวลาไปนั่งคิดเรื่องของพี่มาร์คบ่อยขึ้น ไม่ใช่ว่าฉันหลงความหล่อของพี่เขาจนเพ้อฝันนะ แต่ฉันแค่รู้สึกตะหงิดๆ แปลกๆ กับความรู้มากรู้ดีของพี่แกที่มันดูเหมือนจะมากจนเกินไปเสียหน่อย แต่มันก็คงจะแค่นั้นแหละ เพราะยังไงพี่มาร์คเขาก็คงไม่มีเจตนาร้ายอะไรหรอก หนำซ้ำยังดูเป็นคนดีมีศีลธรรมด้วย แถมดีกรีความหล่อจนเป็นเดือนคณะยิ่งทำให้ดูดีเข้าไปใหญ่ ฉันล่ะยอมนังสองแบมเลยจริงๆ ที่มันหาแฟนได้ดีขนาดนี้ แต่ฉันไม่อิจฉามันหรอก เพราะทุกวันนี้ฉันก็มีพี่รหัสเหมือนเป็นแฟนอยู่แล้ว ถึงเราจะพูดอยู่เสมอถึงความเป็นพี่น้องรหัส แต่มันก็แค่สิ่งที่พูด
เพราะฉันไม่ได้คิดกับพี่จีซูแบบพี่รหัส...
“ลิซ...”
“ลลิซ”
“คะ คะ มีอะไรคะ”
ฉันคงจะคิดเยอะไปหน่อย จนรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงโรงอาหารคณะวิศวะซะแล้ว พี่จีซูจับแขนฉันอย่างเบามือ เงยหน้ามองฉันเล็กน้อยตามประสาคนตัวเล็กกว่า “เป็นอะไรรึเปล่า พี่เรียกเรานานแล้วแต่เราดูเหม่อๆ นะ ไม่สบายหรอ”
มือไวเท่าคำพูด พี่จีซูยกมือขึ้นมาทาบกับหน้าผากของฉันทำตัวเป็นหมอเจอคนไข้ ก่อนจะลดมือลงไปวางไว้ที่ข้างลำตัวเหมือนเดิม “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา คิดอะไรอยู่หรอ” พี่จีซูถามพลางหยิบแซนด์วิชในร้านสะดวกซื้อของคณะวิศวะขึ้นมา
“ก็เรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับหยิบห่อขนมปังก้อนไส้หมูหยองที่วางอยู่บนชั้น
อย่างเธอไม่เหงาหรอก อย่าบอกว่าเหงาเลย~
เสียงเพลงในตำนานดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ดังมานานทำให้ฉันรีบหยิบต้นเสียงขึ้นมาเปิดดู แต่พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอฉันก็รีบรับทันทีด้วยความตื่นเต้น
“ว่าไงพี่สร” ฉันรับสายรุ่นพี่คนไทยในคณะด้วยเสียงอเลิทๆ ที่ไม่ค่อยจะได้ใช้นัก ก่อนจะชี้กล่องนมจืดที่วางอยู่ในตู้เย็นเหมือนกำลังบอกให้พี่จีซูหยิบให้หน่อย จากนั้นพี่จีซูก็หยิบขนมปังในมือฉันไปจ่ายเงินให้ทันทีเหมือนรู้ว่าถ้าไม่จ่ายให้ฉันคงคุยยาวแน่ๆ ซึ่งนั่นก็จริง
“ที่แกวานให้พี่ไปลงชื่อแข่งบาสให้ตอนแกไม่ว่างอ่ะ เรียบร้อยแล้วนะ วันนี้ตอนสี่โมงครึ่งคัดตัว” รุ่นพี่นามว่าพี่สรบอกด้วยเสียงง่วงๆ แต่ฉันไม่ได้ง่วงตามหรอก – คือคณะวิศวะกับคณะนิเทศมีแข่งบาสกันเว่ย แล้วทีนี้ฉันก็อยากลงมาก เห็นงี้ฉันเล่นกีฬานะจ๊ะ ตอนอยู่ไทยนี่ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนตลอดนะเออ
“หูยลงทันได้ไงวะ ไหนบอกคนแน่นเหมือนจองบัตรคอน แต่ขอบคุณนะคะพี่สรขา” ฉันทำเสียงสองที่ไม่ค่อยได้ทำนัก จะเรียกว่าเสียงสองก็ไม่ถูกหรอก เรียกว่ากวนตีนเฉยๆ คงง่ายกว่า
“ว่าแต่แกอยู่ไหน มีคนถามหา” พี่สรพูดไทยกับฉันแบบที่ทำกันเวลาคุยกัน “อยู่โรงอาหารวิศวะ ใครถามวะพี่” ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างสนิทสนม แหม่ ไทยไลน์ในมหาวิทยาลัยนี้มีเยอะที่ไหน ส่วนใหญ่ก็ชอบมาจุกอยู่ที่คณะวิศวะหมด ยิ่งพี่สรเคยเป็นรุ่นพี่ฉันตอนอยู่ไทยด้วยยิ่งสนิทด้วยเข้าไปใหญ่
“ลิซ” จู่ๆ พี่จีซูก็เรียกฉันที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่ ฉันเป็นโรคที่เวลาคุยโทรศัพท์จะชอบก้มมองพื้นไม่มองคนข้างหน้า ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เลยต้องมีคนคอยเดินด้วยตลอด ไม่งั้นเดี๋ยวซุ่มซ่ามไปชนใครเขาเดี๋ยวหมี่เหลือง
“คะพี่... พี่...” แต่พอเงยหน้าขึ้นมากะจะหันคุยกับคนที่เรียก กลับมีบุคคลที่สามเดินเข้ามาใกล้ซะงั้น
“ฮะเมื่อกี้แกถามพี่ว่าไรนะ” พี่สรเอ่ยเสียงสะลึมสะลืออย่างรู้สึกได้ชัด
“ฉันถามว่าใครถามหาฉัน...” ฉันพูดทั้งยังมองหน้าผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาหาฉันและพี่จีซูด้วยสายตาหวั่นๆ
“อ๋อ ไอ้ฮันมันทักแชทมาถามเมื่อกี้น่ะ เอ้อ มันบอกพี่ด้วยนะว่ามันก็อยู่โรงอาหารคณะเหมือนกัน...”
“เจอมันยัง?”
-25%-
เสียงงัวเงียของพี่สรดังเข้ามาในโสตประสาทฉัน โอ้โห ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
“แค่นี้ก่อนนะพี่” ฉันพูดตัดการสนทนาแล้วตัดสายทันที ไม่รอให้อีกคนได้พูดอะไร ก่อนจะดึงพี่จีซูที่เดินนำฉันหนึ่งก้าวให้เข้ามาใกล้
“น้องลิซครับ พี่...”
“ไปกันเถอะพี่จีซู” ฉันไม่รอให้ชายตรงหน้าพูดจบก็พูดแทรกออกไปทันที ฉันดึงมือพี่จีซูแล้วเดินสวนกับเดือนวิศวะปีสี่โดยไม่มีท่าทีที่จะหันไปสนใจเลยสักนิด ก็คงจะเรื่องเดิมๆ นั่นแหละ คงจะมาจีบ มาตามตื๊อ มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันเหมือนเดิม
หมับ
แต่เดินผ่านเขามาได้ไม่กี่ก้าวฉันก็รู้สึกได้ถึงแรงฉุดเบาๆ ที่แขนข้างขวา แรงนั่นทำให้ฉันหันกลับไปเตรียมจะต่อว่าคนที่กำลังรั้งฉันไว้ “นี่พี่ ฉันไม่...”
“ให้โอกาสพี่ได้จีบลิซแบบจริงจังได้มั้ย”
เสียงเข้มที่ดูจริงจังกว่าทุกครั้งที่เจอกันทำให้ฉันกลืนคำปฏิเสธลงคอไปแทบจะทันที หัวคิ้วฉันขมวดเข้าหากัน ทำหน้าตกใจเล็กน้อย
“ให้โอกาสพี่ได้เปลี่ยนตัวเองเพื่อลิซ ให้โอกาสพี่ได้ใกล้ชิดกับลิซมากกว่านี้ ให้โอกาสให้พี่ได้คุยกับลิซแบบจริงๆ จังๆ บ้าง... ได้มั้ย...”
พี่ฮันบินพูดพร้อมกับบีบข้อมือฉันเบาๆ เหมือนกำลังขอร้อง เขาเหมือนกำลังพูดว่าขอร้องเถอะทางสายตาที่กำลังสบกับฉัน ทำตัวเป็นงูที่อยากจะลอกคราบเป็นแมวหนุ่มเพราะกำลังตกหลุมรักแมวสาวเข้าอย่างจัง
แต่แมวสาวตัวนั้นมันก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาเป็นงู ไม่ใช่แมว
“ลิซ ไปกันเถอะ” เสียงหวานของดาวนิเทศปีสามเอ่ยเรียกให้ฉันสนใจ ฉันหันไปมองหน้าพี่จีซูที่กำลังจับมือฉันแน่นพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
ฉันก็ไม่ได้อยากเข้าข้างตัวเองสักเท่าไหร่หรอก แต่ตอนนี้เหมือนฉันกำลังโดนคนสองคนตบตีแย่งชิงกันทางสายตาอยู่
สิ่งที่เป็นอยู่มันทำให้ฉันนึกย้อนไปตอนเด็ก ตอนที่เคยดูละครไทยเรื่องหนึ่ง ที่มีพระเอกและพระรองกำลังยื้อนางเอกเอาไว้โดยที่หล่อนเป็นคนกลาง - จริงๆ ฉันไม่ใช่คนกลางแบบนางเอกไทยที่จะเลือกรักใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้หรอกนะ
เพราะในใจของฉันมีคนที่จะเลือกตอบคำถามจากทั้งสองคำถามอยู่แล้ว
“ไปกันค่ะพี่จีซู” ฉันปรายตามองพี่ฮันบินแวบหนึ่งเป็นการบอกให้ปล่อยแล้วหันไปยิ้มให้พี่จีซู เขาปล่อยฉันแต่โดยดี ไม่มีคำพูดรั้งอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
“แล้วน้องลิซจะเสียใจครับ”
แต่ฉันว่าฉันคิดผิดไปนิดนะ
คำพูดของรุ่นพี่ปีสี่ไม่ได้ทำให้วันนี้ของฉันรู้สึกอึมครึมเลยสักนิด ตอนนี้บ่ายสามโมงกว่า ฉันเพิ่งจะเลิกคลาส แต่วันนี้พี่จีซูมีเรียนแค่ครึ่งเช้า พี่เค้าคงกลับหอไปแล้วมั้ง
“ไอ่ลิซเพื่อนร้ากกกกก” เสียงแหลมจากด้านหลังที่ตะโกนเรียกฉันมาแต่ไกล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นเจ้าของเสียงนั้น “อ้าวเฮ้ย เดี๋ยวนี้โรงอาหารเรามีซอสมะเขือเทศขายด้วยหรอวะ”
“อะไรของมึง”
“ก็กูเห็นโรซ่าอยู่ตรงหน้า”
“ซ่าพ่อง”
รูมเมทเพื่อนรักฉันชม (จริงๆ มันด่า) ฉันพร้อมกับใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสเสียเหลือเกินนน
“มาหากูถึงคณะ มีไร... อ้าวพี่จีซู ทำไมยังอยู่ที่นี่” ฉันที่กำลังเดินอยู่หน้าตึกกับโรเซ่เหลือบไปเห็นหญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อนบริเวณนั้นพอดี ร่างกายเหมือนถูกตั้งค่าโดยอัตโนมัติไปแล้วว่าหากเจอผู้หญิงชื่อคิม จีซู จะต้องเดินเข้าไปหาทันที
“เลิกเรียนละหรอ... อ้าวน้องโรเซ่ หวัดดีจ้ะ” พี่จีซูยิ้มทักทายอีกคน ฉันเข้าไปนั่งข้างๆ พี่ที่กำลังว่างอยู่ทันที
“ทำไมไม่กลับหอ”
“ก็รอเราเลิกเรียน” พี่จีซูพูดด้วยหน้าตานิ่งเฉย
แต่ใจคนฟังมันนิ่งเฉยตามที่ไหนกัน
“อ เออใช่ลืมเลย มึงมาหากูที่คณะมีไร” ฉันเลือกที่จะหลบสายตาพี่จีซูแล้วหันไปถามเพื่อนที่นั่งถัดจากฉันแทน
ฉันกลายเป็นเด็กน้อยอีกแล้ว
“เอ้า ก็เขาลือกันไปทั่วมหาลัยว่ามึงลงแข่งบาสมีคัดตัววันนี้ กูก็เลยจะมาถามเนี่ยว่าจริงมั้ย” มันตอบ “เออ กูมีคัดตัวบาสแข่งกับคณะนิเทศวันนี้ตอนสี่โมงครึ่ง น่าจะที่โรงยิมสามข้างๆ คณะมั้ง”
“เอ้า ทำไมเมื่อเช้าไม่บอกพี่”
เสียงของอีกคนที่อยู่ข้างๆ ทำให้ฉันหันไปหาทันที
เออว่ะ ลืมบอกพี่จีซูเลยว่าวันนี้จะไปคัดตัว
เวร
“แหะๆ ฉันลืมน่ะ” ฉันหัวเราะแห้งๆ ให้คนข้างๆ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “อีกชั่วโมงกว่าลิซก็คัดตัวแล้ว งั้นลิซไปเปลี่ยนชุดที่หอดีกว่า ไปกัน” ไม่พูดเปล่า มือก็ดึงให้ทั้งพี่ทั้งเพื่อนลุกขึ้นตาม ก่อนจะเดินลั้ลลาเป็นเด็กอเลิทรอบที่สองของวัน
“นี่มึงดีใจหรือมึงสโมควีดมาวะเนี่ย จะวิ่งทำม้ายยย รอก๊อนนน”
-50%-
xxxx
ตอนนี้สี่โมงกว่าแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงน้องรหัสฉันก็จะทำการคัดตัวแข่งบาสระหว่างคณะเราทั้งสองแล้ว ลิซขอมาที่โรงยิมสามของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ที่เป็นชุดเสร็จเพื่อที่จะมาวอร์มร่างกายก่อน ตอนนี้เริ่มมีเพิ่มเข้ามาแล้ว ดูจากลักษณะการแต่งตัวของหญิงชายที่อยู่ที่นี่พวกเขาก็น่าจะมาคัดตัวเหมือนกัน ส่วนฉันในตอนนี้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์กับน้องโรเซ่นี่
“เอ้อพี่จีซูคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยเจอพี่เจนนี่เลย” รุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันเอ่ยเรียกให้ฉันละความสนใจมาจากร่างสูงที่กำลังเดาะบาสอยู่ใกล้ๆ แป้น
“คณะวิทย์กำลังจะมีนิทรรศการมั้งคะ ถ้าพี่จำไม่ผิด เห็นเจนมันบอกว่าปีสามต้องจัดบูธ น่าจะงานหนักน่าดู” ฉันตอบน้องยิ้มๆ “แต่วันนี้เห็นมันบอกว่าว่างนะ ให้พี่โทร.ตามให้มั้ย”
“ไม่ๆๆๆๆ ไม่ต้องค่ะ”
ฉันที่เตรียมจะกดโทร.หาเพื่อนรักก็โดนน้องข้างๆ พูดตอบกลับทันควัน ฉันเงยหน้ามามองน้องก่อนจะยกยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นว่าโรเซ่กำลังหน้าขึ้นสีอ่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด
“จริงๆ ถึงเราไม่บอกให้พี่โทร.พี่ก็โทร.หามันให้มาดูลิซคัดตัวอยู่ดีแหละ” ฉันบอกน้องข้างๆ แล้วกดโทร.ออกทันที แต่ถือสายรอสักพักฉันก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากบันไดทางเดินขึ้นอัฒจันทร์
“ไม่ต้องโทร.ย่ะ ฉันมาแล้ว”
รูมเมทเพื่อนรักตะโกนหาแล้วขึ้นมานั่งข้างฉัน ก่อนที่จะแจกจ่ายน้ำเปล่าให้ทั้งฉันและโรเซ่คนละขวด “คนเค้ารู้กันทั้งมหาลัย ว่าดาวคณะวิศวะคนใหม่ลงแข่งบาส” เจนนี่พูดแล้ววางถุงพลาสติกที่มีขวดน้ำอีกสองขวดและผ้าเย็นหนึ่งผืนคั่นกลางระหว่างฉันและมัน
“สวัสดีค่ะพี่เจน” เสียงน้องข้างๆ เอ่ยทักทายคนเพิ่งมาใหม่พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ “หวัดดีจ้ะโรเซ่” ยัยเจนทักทายอีกคนพร้อมกับยิ้มหวานให้เช่นกัน ยี้ ยัยเจนทำเสียงสอง ปกติมันพูดแบบนี้กับใครที่ไหน แล้วนั่นอะไร สายตาน้องโรเซ่น่ะ ยัยเจนก็อีกคน แหม ช่วงนี้ฉันไม่อยู่ด้วยบ่อยๆ นี่เอาใหญ่เลยนะ
“อะแฮ่ม เค้าเรียกรวมตัวคนที่ลงชื่อแล้ว” ฉันกระแอมขัดสายตาปิ๊งๆ ของทั้งสองคนก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายอ้วกออกมาด้วยความหมั่นไส้ ฉันว่าฉันนั่งผิดที่นะ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนก็ได้ เพราะตอนนี้เหมือนในสนามจะกำลังแบ่งทีมแข่งสำหรับคัดตัวแล้ว
ตอนนี้มีหญิงสาวตัวสูงอยู่ในสนามทั้งหมดสิบคน ถ้าฉันจำกติกาบาสเกตบอลไม่ผิด ก็น่าจะลงเล่นจริงห้าคน ตัวสำรองสูงสุดเจ็ดคน แต่แข่งรอบนี้เค้าคงให้ตัวสำรองได้แค่ห้าคนมั้ง ถึงได้มีแค่สิบคนอยู่ในสนาม
ลิซรับเสื้อบาสสีแดงไปสวม ตอนนี้น่าจะแบ่งทีมคัดตัวได้แล้ว เท่าที่เห็นตอนนี้คนที่อยู่ทีมเดียวกับลิซก็มีพี่ยูริปีสี่ น้องโดยอนปีสอง น้องอึนซอปีหนึ่ง แล้วก็อีกคนฉันไม่รู้จัก แต่ดูรวมๆ แล้วน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยหกสิบห้ากันทั้งทีมนะ
มองตัวเองแปบ
ปรี๊ด
เสียงนกหวีดของกรรมการชายดังขึ้นก่อนที่เขาจะโยนลูกบาขึ้นสู่ฟ้า ลิซที่เหมือนจะเป็นตัวแทนทีมกระโดดขึ้นไปตวัดลูกบาสลงมาด้วยส่วนสูงที่เหนือกว่า ก่อนจะเดาะลูกแล้วเข้าใกล้แป้นของฝ่ายตรงข้ามด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ลิซคงเคยเล่นบาสมาก่อนแน่ๆ ถึงได้ดูชำนาญขนาดนั้น
ฉันไม่ค่อยรู้กติกานัก แต่เท่าที่ดูมานั้นลิซไม่เคยโดนเป่าเพราะทำฟาล์วเลย ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายตรงข้ามมากกว่า มีครั้งนึงที่น้องโดยอนทำฟาว์ลก่อนที่ทีมตรงข้ามจะได้ลูก แต่มันก็แค่ครั้งเดียว เพราะจากนั้นไม่นานพี่ยูริก็แย่งบาสกลับมาได้
พี่ยูริส่งลูกให้น้องอึนซอก่อนที่เธอจะเดาะไปมาหาจังหวะหลบฝ่ายตรงข้ามที่กำลังขวางเธออยู่ แต่ช้าไปนิดเพราะฝ่ายตรงข้ามคนนั้นที่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นน้องฮายองปีสองแย่งลูกไปได้
แต่ไม่ถึงห้าวิที่บาสอยู่ในการครอบครองของเธอ ลิซก็เข้ามากันแล้วแย่งมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะยืนนิ่งอยู่กลางสนาม
น้องเป็นอะไรรึเปล่านะ หรือว่าบาดเจ็บ?
ฉันได้แต่คิดดังนั้นเมื่อเห็นว่าน้องเลี้ยงลูกมาถึงแค่กลางสนามแทนที่จะเข้าไปใกล้แป้นมากกว่านี้ ฝ่ายตรงข้ามที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาทันทีหมายจะแย่งลูกไป แต่...
สวบ!
ลูกบาสเกตบอลถูกชู้ตลงห่วงได้อย่างสวยงามและแม่นยำ ก่อนที่มันจะเด้งอยู่บนพื้นหน้าตาเฉยเพราะไม่มีใครเข้าไปรับมันมา ทุกคนต่างก็กำลังตะลึงในสิ่งที่ร่างสูงกลางสนามทำจนอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่คนในสนาม ฉันก็ด้วย!
บอร์ดนับคะแนนถูกเปลี่ยนเป็นสามคะแนนต่อศูนย์ กรรมการชายที่อึ้งไปแปบนึงวิ่งเข้าไปเก็บลูกแล้วให้ทั้งสองฝ่ายเช็คบอลเพื่อเล่นต่อ
ตอนนี้ลูกบาสกำลังถูกเดาะโดยคนในทีมที่ฉันไม่รู้จัก ก่อนที่มันจะถูกโยนไปหาพี่ยูริที่ตบมือเรียกให้ส่งลูกให้ ไม่รอช้าพี่ยูริก็เดาะลูกเข้าไปหาแป้นหมายจะชู้ตแต่ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามขวางไว้จนเดินต่อไม่ได้ เห็นดังนั้นลิซจึงตบมือให้สัญญาณพี่ยูริ รุ่นพี่คนสวยที่ถูกล้อมโยนลูกขึ้นไปกลางอากาศก่อนที่มันจะตกลงมาอยู่ในการควบคุมของลิซอีกครั้งและ
สวบ!
ลิซชู้ตบาสลงห่วงได้อีกลูกแต่คราวนี้เป็นเพียงลูกหนึ่งแต้ม แต่นั่นก็มีค่ามากสำหรับทุกๆ คนในทีม
การแข่งขันดำเนินไปเรื่อยๆ จนหมดเวลาครึ่งแรก ทีมของลิซนำอยู่เจ็ดคะแนนต่อสอง ฉันรีบจ้ำอ้าวลงไปหาน้องข้างล่างทันทีเมื่อถึงเวลาพักครึ่ง
“เก่งเหมือนกันนะเรา” ฉันยื่นขวดน้ำที่ติดมือลงมาด้วยให้กับน้องรหัสคนเก่ง ยื่นมือออกไปปาดเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากของน้องที่ตอนถูกเปิดออกเพราะเจ้าตัวมัดหน้าม้าเอาไว้เป็นจุกอยู่บนหัว
ถึงน้องจะออกแมนๆ แต่ตอนนี้น้องน่ารักชะมัด
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” พูดพลางยกมือขึ้นมาทำท่าเก๊กหล่อยิ้มมุมปากให้ฉันอย่างกวนๆ ฉันหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าน้องที่ตอนนี้กำลังยกน้ำขึ้นดื่ม
“สู้ๆ นะ” ฉันกำมือทำท่าไฟติ้งให้น้อง ลิซยิ้มก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำที่ไหลลงมาจนถึงคาง
“ถ้าฉันได้เป็นตัวจริง พี่มีรางวัลจะให้มั้ยล่ะคะ”
คำถามของน้องทำให้ฉันชะงักมือที่กำลังยื่นออกไปหวังจะรับน้ำคืนจากน้องทันที
รางวัลงั้นหรอ?
ปรี๊ด
เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งเรียกให้คนตัวสูงหันไปมอง ลิซยัดขวดน้ำเข้าที่มือของฉันแล้วยกยิ้มกว้างให้ฉัน “ไปแข่งต่อแล้วนะ เดี๋ยวกลับมาฟังคำตอบนะคะ”
ตั้งแต่ที่ลิซกลับไปยังสนาม ฉันก็แทบจะไม่ได้สนใจการแข่งขันเลยสักนิด ในหัวมันกำลังตีกันให้วุ่นว่าจะให้อะไรกับน้องดีถ้าน้องได้ลงแข่งเป็นตัวจริง ตุ๊กตาหรอ ไม่เอาอ่ะ ด้วยประสบการณ์ที่เข้าออกห้องน้องบ่อยพอควร ฉันว่าไม่ควรเอาตุ๊กตาไปกินพื้นที่เตียงน้องที่มีทั้งไข่ขี้เกียจทั้งมาชิมาโร่สารพัดตุ๊กตาให้มากกว่านี้หรอก จะเลี้ยงข้าวก็ดูจะเบสิคไปหน่อย เพราะปกติฉันก็เป็นสายเปย์ตลอดเวลาอยู่กับน้องทั้งที่เป็นคนขี้งกจะตายชัก พาไปเที่ยวหรอ บ้าบอ ช่วงนี้น้องงานยุ่งจะตาย พาไปเหนื่อยเปล่าๆ
“จีซู เป็นไร ทำหน้าอย่างกับมีคนสั่งให้กระโดดตบร้อยครั้ง” เสียงเพื่อนสนิทที่ย้ายก้นไปนั่งข้างน้องโรเซ่เอ่ยเรียกฉันที่กำลังจมอยู่กับคำว่ารางวัลของน้อง
“อ้อเปล่าๆ ไม่มีอะไร”
ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
เสียงลากยาวจนแสบแก้วหูจากผู้ชายตัวสูงทำให้ฉันกลับไปสนใจการแข่งขันทันที ท่าทางกระโดดโลดเต้นของหญิงหัวจุกยิ่งทำให้ฉันรู้สึกคอแห้งอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเหลือบไปเห็นบอร์ดที่ขึ้นเลขยี่สิบต่อเก้ายิ่งแล้วใหญ่ ทุกคนรวมตัวกันอีกครั้งเหมือนกำลังนัดหมายวันซ้อมวันแข่งไรงี้ ไม่นานน้องก็วิ่งขึ้นมาหาฉันบนอัฒจันทร์ทันทีไม่รอให้ฉันลงไปหา
“ลิซได้เป็นตัวจริงแหละ เยสๆ” ลิซชักมือขึ้นลงทำท่าดีใจหนักมากเหมือนไดไปแข่งระดับประเทศ ฉันส่งผ้าเย็นให้น้องก่อนจะตามด้วยน้ำ
“เก่งมากเพื่อนรัก กูจะยังไม่ให้อะไรมึงจนกว่าจะแข่งชนะ” โรเซ่ยกนิ้วโป้งให้ลิซเพียงเสี้ยววิก็กลับมาวางไว้บนตักของเจ้าตัวเหมือนเดิม
“แล้วแต่มึงงง...” ลิซสายหน้าไปมาใส่เพื่อนก่อนจะกรอกน้ำลงกระเพาะอีกครั้ง
“เออใช่ ลืมไปเลย” ลิซวางขวดน้ำลงบนที่นั่ง
“พี่คิดรางวัลออกรึยังคะ”
-100%-
ช่วงไรท์พบประชารีด
กรีดร้องงงงงงงงง ลิซเรียกร้องหารางวัลอีกแล้วคะทุกค๊นนนนน
รอบนี้จะพี่จีซูจะยอมเบ๊อีกมั้ยนั้น รอไปก่อนนะคะ 55555
ไรท์จะอัพเรื่องนี้กับเพื่อนชาวต่างชาติสลับกันนะคะ เพราะงั้นรอกันยาวๆ /โดนตบ/
*วิบัติเพื่ออรรถรสนะคะ อิ้อิ้*
ถ้ามีคำผิดเดี๋ยวมาแก้ให้เนาะะะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ป.ล. 1 แต้มไม่มีในการแข่งบาสฯในการแข่งเวลาปกตินะคะ การที่จะนับแต้มเป็น 1 คะแนนได้นั้นก็ต่อเมื่อการชู้ตนั้นเป็นชู้ตจุดโทษเท่านั้นค่ะ ไม่ว่าจะชู้ตจากตำแหน่งไหน ถ้าอยู่ภายในครึ่งวงกลมของแป้นบาสฝ่ายตรงข้ามให้นับเป็น 2 แต้ม ถ้าชู้ตนอกเส้นครึ่งวงกลมไม่ว่าจากครึ่งสนาม หรือชู้ตมาจากแดนตัวเองให้นับ 3 แต้มค่ะ
(ป.ล. 2) เราเล่นบาสฯค่ะ พออ่านไปถึงช่วงนั้นเลยรู้สึกขัดๆเล็กน้อยค่ะ 5555555
งั้นให้รางวัลด้วยการเป็นแฟนมั้ยคะ พวี้ดดดดด อยากให้คบกันสักที ><
โครตรักไรท์เลย น่ารักที่สุดดดดดดดดดดดด จุ๊บๆๆๆ
ฮายอง! ฮายอง! ฮายอง! (หวีดเมนแปป)
เห็นแค่ชื่อก็ดีต่อใจ!!!! (เดี๋ยวลิซกะพี่จีซูหวีดตอนหน้าละกันนะ :P )
แต่ก็หงุดหงิดจิงๆน่ะแหละ -3-
#เอาเป็นว่ารอ%ต่อไปมาก่อนอ่ะนะ ^^