ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Thunder and The Wind : The After War [yuri]

    ลำดับตอนที่ #12 : บทสรุป

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 55




    นับแต่วันที่พระเจ้าจองโจได้ประกาศต่อทุกคนก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ยุนบกและพ้องเพื่อนไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้จองฮยางและฝ่าบาทได้เลย ด้วยเหล่าองค์รักษ์ที่หนาแน่นและเหล่าช่างตัดผ้าชั้นดีของเมืองหยางโจ ต่างล้อมหน้าล้อมหลังทั้งสองเพื่อเร่งตัดฉลองพระองค์ให้ทั้งสองในวันเสด็จกลับเมืองหลวง ซึ่งขบวนรับเสด็จคงมาถึงมาโปในรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ ยุนบกเองก็ไม่เป็นอันกินอันนอน เขาได้แต่ดื่มเหล้าเมามายเช้าจรดค่ำอยู่ในศาลาเขียนรูปของเขา
    “พอเถอะยุนบก เจ้าดื่มมาสี่วันสี่คืนแล้วนะ เดี๋ยวก็ตับแข็งตายกันพอดี” ชิลกล่าวพลางดึงรั้งขวดเหล้าออกจากปากเขา จนในที่สุดก็แย่งมาได้ หากแต่ขวดใหม่กลับถูกส่งให้ยุนบกแทบจะทันที
    “เอ้า ดื่มให้ตายไปเลย ชีวิตเส็งเคร็งแบบนี้จะทนไปทำไมกัน มันสองมาตรฐานชัดๆ!” ฟ้าคำรามโวกเวกอย่างคนขี้เมา บ่นนู่นบ่นนี่จนจับใจความไม่ได้ ชิลได้แต่ถอนใจที่เห็นลูกพี่ของตนซึ่งน่าจะเป็นที่พึ่งแต่กลับกลายเป็นคนพาน้องรักให้ถอดใจและทำร้ายตนเองแบบนี้
    “โธ่ พวกท่านอย่าพึ่งถอดใจซิ เรายังไม่ทันสู้เลยนะ ทำไมพวกท่านทำแบบนี้ล่ะ พวกเราฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายเพื่อจะมายอมแพ้เช่นนี้หรอกหรือ?” ชิลถามจี้ใจทั้งสอง 
    “แล้วท่านจะให้ข้าสู้อย่างไร นั่นนะพระราชาของเรานะ พระองค์คือจ้าวชีวิตของพวกเราทุกคน คือเจ้าของแผ่นดินนี้! ท่านจะให้ข้าทำอย่างไร?” ยุนบกถามอย่างจนปัญญาพลางสะอื้นไห้
    “ฆ่าแม่งเลยดีม่ะ!!” ฟ้าคำรามโพล่งขึ้นอย่างไม่คิดด้วยฤทธิ์น้ำเมา และดีดตัวลุกขึ้นทันทีหมายจะทำตามที่กล่าวหากแต่ชิลและยุนบกเกาะขารั้งเขาไว้ได้ทัน และพูดเกลี้ยกล่อมให้เขากลับมานั่งที่ตามเดิม ชิลใจหายวาบและคิดว่าตนไม่น่าพูดกดดันให้พวกเขาต่อสู้อีก เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสู้ศึกนี้อย่างไร 
    “เฮ้อ!! ช่วยไม่ได้นะ นี่คงเป็นทางออกเดียว” ชิลถอนหายใจก่อนจะนั่งร่วมวงเหล้าของเหล่าคนขี้แพ้ ทันใดร่างถมึงทึงของสตรีนางหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ขี้เมาทั้งสามจึงเงยหน้าขึ้นมองนางพร้อมกัน เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือบางกระทบใบหน้าของขี้เมาทั้งสามดังติดๆกันพร้อมกับใบหน้าที่หลู่ไปตามแรงฝ่ามือ 
    “พวกหมาขี้แพ้! มานั่งหมดอาลัยตายอยากดื่มเหล้าผลาญเงินข้าอยู่ได้ ถ้าพวกเจ้าจนปัญญากันนักละก็ โน่น! ไปโดดน้ำตกตายที่หลังเขาโน่น” จานอาละวาดทันทีกับสภาพอ้อแอ้ของทั้งสาม 
    “โธ่ เมียจ้า แล้วจะให้พวกข้าทำเช่นไร เจ้าเองไม่ใช่รึที่เป็นคนบอกให้ข้าอย่าใช้กำลังกับเรื่องนี้ พอข้าไม่ใช้กำลัง....ข้าก็ทำอะไรไม่เป็น” ฟ้าคำรามกล่าวต่อภรรยาที่เคารพรักเสียงอ่อนพลางเข้าไปกอดขาเรียว ก่อนจะโดนนางสะบัดจนหงายผึ่ง
    “ฮึ! เจริญจริงๆ ผัวข้า ใช้เป็นแต่กำลัง สมองของท่านนี่มีเอาไว้ปลูกผมอย่างเดียวหรืออย่างไร” นางเอ็ดใส่สามีและใช้นิ้วเรียวจิ้มกดไปที่ศีรษะเขาอย่างหมันไส้ ก่อนจะหันกลับมาตะหวาดใส่ยุนบกที่ไม่ฟังฟ้าฟังฝน เอาแต่กระดกเหล้าเข้าปาก
    “ยุนบก! เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า? เจ้ายอมถอดใจจากนางแล้วจริงๆอย่างนั้นหรือ? เจ้ายอมได้อย่างนั้นหรือหากต้องเสียนางไป?” จานถามจี้ใจ ยุนบกกำจอกเหล้าในมือแน่นและฟาดมันลงพื้นเต็มแรงจนมันแตกคามือ
    “แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร? มีแต่คนบอกให้ข้าสู้ ทั้งที่ก็รู้แก่ใจว่าข้าไม่มีทางสู้ได้” เขากัดฟันตอบพร้อมน้ำตาที่หลั่งรินอย่างเจ็บปวด 
    “จะสู้ได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ใจของเจ้า เจ้ามีใจที่จะสู้หรือไม่? เจ้าจะยอมสู้หรือไม่แม้จะรู้ว่าตนเองต้องพ่ายแพ้และสูญเสียทุกอย่าง?” จานถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากแต่เมื่อยุนบกได้ยินคำว่า “สูญเสียทุกอย่าง” เขารู้ได้ทันทีว่าหมายถึงทุกคนในเสน่ห์จันทราอาจต้องโทษ
    “ไม่นะครับ ข้าทำไม่ได้ ทุกคนจะต้องเดือดร้อนเพราะข้า” ยุนบกแย้ง
    “เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าไม่มีใจที่จะสู้ นางคงไม่สำคัญต่อเจ้าขนาดนั้น” จานประชดประชัน
    “ไม่ใช่นะครับ ข้า....หากเพียงแค่ข้า เพื่อนางแล้วชีวิตของข้าก็ให้นางได้ แค่ได้เห็นรอยยิ้มของนางที่มอบให้เพียงข้าอีกครั้ง ต่อให้สิ้นลมเดี๋ยวนี้ข้าก็ยอม” ยุนบกกล่าวอย่างปลงใจ 
    “ฮ่าๆๆๆ ต้องให้มันได้อย่างนี้ซิน้องข้า พวกข้าเองก็ไม่สนแล้วว่าจะเจออะไร หากใจเจ้าแกร่งถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิไค่หยวนลี่หลงจี*หรือพระเจ้าจองโจก็ไม่มีวันเทียบชั้นเจ้าได้หรอก เช่นนี้แล้ว “รอยยิ้มของพระสนม”* จะไปไหนเสีย ว่าแต่เจ้ามีแผนอย่างไรรึเมียจ้า?” ฟ้าคำรามหัวเราะโพล่งขึ้นและพูดเจื้อยแจ่วราวคนที่คิดเห็นอะไรได้
    “ท่านนี่นะ! เฮ้อ…..” จานกล่าวอย่างอ่อนใจต่อความทึบของสามีก่อนจะบอกเล่าแผนการที่นางคิดไว้

    ตกเย็นวันนั้นจานได้จัดสำรับอย่างดีถวายแด่พระเจ้าจองโจเพื่อยินดีต่องานมงคลที่จะเกิดขึ้น ทั้งยังจัดสำรับแก่องค์รักษ์ทุกนายเพื่อให้ร่วมยินดีด้วย
    “เจ้าไม่เห็นต้องลำบากถึงเพียงนี้เลยจาน” พระเจ้าจองโจตรัสอย่างเกรงพระทัย
    “หามิได้เพคะ ถึงอย่างไรการที่ฝ่าบาทจะมีพระสนมเพิ่มก็ย่อมเป็นเรื่องมงคลแก่บ้านเมืองอยู่แล้ว แม่นางจองฮยางเองข้านั้นก็เอ็นดูเหมือนน้องนุง การที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝาก็เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง เช่นนี้แล้วหม่อมฉันจะไม่กระทำอะไรเลยก็ดูจะหาควรไม่” จานอธิบาย ฝ่าบาทจึงพระสรวลอย่างพอพระทัย
    “ดีๆ ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องเป็นคนฉลาดที่เข้าใจอะไรได้ดีกว่าผู้อื่นเสมอ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจละนะ” ตรัสจบก็ทรงเสวยอาหารที่จานจัดให้อย่างเอร็ดอร่อย โดยหารู้ไม่ว่านางได้ใส่ยานอนหลับลงไปในสำรับของทุกคนไว้แล้ว
    “อ่ะๆ พระสนมเพคะ พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ หม่อนฉันว่าพระองค์คงไม่อยากอึดอัดอยู่ในฉลองพระองค์เป็นแน่ เช่นนั้นเสวยนี่ดีกว่าเพคะ” เมื่อเห็นจองฮยางจะทานอาหารที่ใส่ยานอนหลับจานจึงร้องห้ามไว้ และเปลี่ยนให้นางทานเพียงซุปใสโดยอ้างเรื่องความงามของสตรีแทน 
    ตกดึกในขณะที่ทุกคนกำลังหลับเพราะฤทธิ์ยา ร่างเล็กของบุรุษนายหนึ่งเดินฝ่าความมืดเข้าไปยังบริเวณที่มีองค์รักษ์แน่นหนาตามบัญชาของพระเจ้าจองโจ ด้วยเพราะคืนนี้พระองค์แยกห้องกับพระสนม เพื่อให้นางได้พักผ่อนเตรียมตัวเดินทางในวันรุ่งขึ้น เสียงเลื่อนประตูดังมาแผ่วเบาทำให้ร่างบางในชุดขาวบางรู้สึกตัวอย่างสะลึมสะลือ หากแต่ความง่วงทำให้นางยังไม่ยอมลืมตาขึ้นจึงยังคงนอนนิ่งในท่านอนตะแคงหันหลังให้ผู้มาเยือนจึงทำให้ผู้บุกรุกได้ใจ เขายื่นมือไปสัมผัสหัวไหล่กลมกลึงของนางอย่างเบามือ ก่อนจะไล้มือไปตามท่อนแขนงามจนไปจรดที่ปลายนิ้วเรียวซึ่งทาบอยู่กลางอกอิ่ม ร่างบางสะดุ้งด้วยความตกใจยามเมื่อไออุ่นของผู้บุกรุกแนบอยู่หลังนาง 
    “ใครน่ะ?!! ช่วย......!!!!” นางพลิกหันมายังผู้บุกรุกและจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ต้องโดนปิดปากบางด้วยริมฝีปากร้อนดึงดันของผู้บุกรุก ร่างบางถูกบดเบียนและพันธนาการข้อมือน้อยจากผู้บุกรุกอันดื้อดึง นางพยายามดิ้นรนต่อสู้หากแต่เพราะความหวามไหวที่ถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างบางค่อยๆอ่อนระทวย ผู้บุกรุกค่อยๆถอนริมฝีปากร้อนออกในขณะที่จองฮยางยังคงหลับตาพริ้มเพลิดเพลินกับรสจุมพิตอันร้อนแรง ร่างบางค่อยๆลืมตาขึ้นมองใบหน้าของผู้บุกรุกช้าๆ แม้ภายในห้องจะมืดมากก็ตาม หากแต่นางจำโครงหน้านี้ได้ดี ไออุ่นเช่นนี้และรูปร่างเล็กบอบบางราวสตรีเพศ 
    “ช่างเขียน ท่านคิดจะทำอะไร?” จองฮยางถามเสียงเครือพลางหายใจหอบ 
    “ข้าต้องการเจ้าเหลือเกินจองฮยาง” ยุนบกตอบเสียงพล่าก่อนจะก้มลงจุมพิตนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันร้อนแรงด้วยไฟปรารถนาที่เขาสกัดกั้นมาโดยตลอด ร่างบางจึงแทบหลอมระลายในอ้อมกอดของเขา ยุนบกซุกไซร้ไปตามซอกคอขาวเรื่อยมาจนอกอิ่ม 
    “ไม่ อย่าค่ะช่างเขียน ข้าเป็นพระสนมของฝ่าบาทนะคะ” จองฮยางกล่าวท้วงหากต่อร่างกายนางหาได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใด
    “ไม่! เจ้าคือจองฮยางของข้า ของข้าแต่เพียงผู้เดียว” เขากล่าวอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะระดมจูบไปทั่วร่างบางพร้อมทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของไว้ทั่วร่างนาง บัดนี้ไม่มีสิ่งใดมาห้ามไฟปรารถนาที่ทั้งคู่มีต่อกันได้อีกต่อไป

    “ท่านรู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้ท่านจะโดนอะไร?” จองฮยางถามอย่างกลัดกลุ้มในขณะที่ร่างเปลือยเปล่าของนางซบอยู่บนร่างเปลือยเปล่าของยุนบกโดยมีผ้าห่มผืนหนาห่มกายทั้งคู่ไว้ ได้ยินดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมประคองร่างบางลุกขึ้นพร้อมกัน 
    “เช่นนั้น เจ้าหนีไปกับข้าเถอะ พี่ฟ้าคำรามและพี่จานเตรียมทุกอย่างไว้ให้เราแล้ว” เขากล่าวกับนางอย่างเว้าวอน
    “แต่นี่เท่ากับขัดราชโองการ ไม่ใช่เพียงแค่ท่าน แต่ทุกคนจะโดนอาญาโทษกันหมด” จองฮยางท้วง
    “ใช่....สู้เราก็ตาย แต่ถ้าไม่สู้เราก็เหมือนตายทั้งเป็น ไม่ใช่เพียงข้าที่รับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เป็นทุกคน พวกเขาไม่ยอมให้พระราชาใช้อำนาจของพระองค์บีบคั้นประชาชนได้ตามใจชอบหรอกนะ แต่หากมันเป็นความสมัครใจของใจ ข้าและทุกคนก็พร้อมจะเข้าใจ” ยุนบกอธิบายและกล่าวอย่างสิ้นหวัง เขาหันหลังให้นางพลางกอดเข่าอย่างอมทุกข์ ร่างบางโผเข้ากอดแผ่นหลังเขาอย่างสุดรัก
    “ข้าขอโทษ เพราะความโง่เขลาของข้าแท้ๆ ที่ทำให้เรื่องมันบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้” ร่างบางกอดแผ่นหลังคนรักสะอื้นไห้อย่างสำนึกผิด ยุนบกจึงหันมาปลอบใจนางด้วยอ้อมกอดและพรมจูบไปทั่วใบหน้างามก่อนจะจุมพิตสุดพิศวาส มือซุกซนจึงปัดป่ายไปทั่วร่างบางอีกครั้ง
    “ช่างเขียนคะ ไหนว่าต้องรีบไปไง” จองฮยางท้วง
    “เอาไว้ก่อนก็ได้” คนเจ้าเล่ห์ตอบก่อนจะซุกหน้าเข้ากับอกอิ่ม  

    ณ ท่าเรือเมืองหยางโจฟ้าคำรามพร้อมครอบครัวและพรรคพวกต่างรอการมาถึงของบุรุษและสตรีคู่หนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ
    “มันทำอะไรของมันอยู่ว่ะ นี่จะรุ่งซางอยู่แล้ว แค่ให้ไปฉุดผู้หญิงคนเดียว ทำไมมันใช้เวลานักหนา” ฟ้าคำรามบ่นโวยวาย
    “ไอ้ฉุดน่ะมันคงไม่ใช้เวลามากหรอกพี่ แต่ข้าว่า มันคงเสียเวลากับอย่างอื่นมากกว่า” ชิลกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์
    “อุบะ!! ไอ้นี่ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้มันยังมีกระจิตกระใจทำลงอีกหรือว่ะ เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมด” ฟ้าคำรามกล่าวอย่างขัดใจ
    “ก็มันน้องใครกันล่ะ เที่ยวสั่งเที่ยวสอนมันแต่เรื่องอย่างว่า มีหรือเด็กมันจะไม่ซึมซับ” จานโพล่งขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะสังเกตเห็นเงาของคนคู่หนึ่ง
    “นั่นไงมาโน่นแล้ว! ทางนี้ๆ เร็วๆเข้า!” ชิลร้องทักพลางกวักมือเรียกยุนบกกับจองฮยางที่รีบจ้ำอ้าวสุดฝีเท้า ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์ก็ปรากฏกายเข้าล้อมร่างทั้งสองและเรือของฟ้าคำรามไว้ 
    “ฮ่าๆๆ เพราะความฉลาดของเจ้าทีเดียวนะจาน ทำให้ข้าอ่านหมากของเจ้าได้ออกหมด แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลักแหลมจริงๆ" พระเจ้าจองโจเสด็จออกมาจากเงามืดและพระสรวลอย่างเริงร่า จากนั้นจึงทรงดำเนินไปหาฟ้าคำรามและจานซึ่งถูกองครักษ์มัดแขนไพล่หลังและคุกเข่าอยู่
    “แต่ข้าเสียใจจริงๆนะ ที่เจ้าใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจของข้าที่มีต่อเจ้ามาหักหลังข้าแบบนี้” พระองค์ตรัสพร้อมแย้มพระสรวลอย่างเจ้าเล่ห์ ในอาหารที่จานคิดว่าใส่ยานอนหลับไปแล้วนั้น แท้ที่จริงยานั่นได้ถูกสับเปลี่ยนก่อนที่นางจะลงมือ มันเป็นเพียงผงแป้งสารีธรรมดาเท่านั้น และเวรยามที่ทุกคนคิดว่าหลับเพราะฤทธิ์ยาก็เป็นเพียงการแสดงตบตาของเหล่าองครักษ์
    “เราควรจะจัดการเช่นไรดีท่านราชเลขา ต่อผู้ที่ขัดราชโองการ?” พระองค์ตรัสถามกับราชเลขาคนสนิท 
    “โทษตายสถานเดียว พะย่ะค่ะ” ราชเลขาฮงตอบ
    “ไม่ได้โปรด ทรงเมตตาเถอะพะย่ะค่ะฝ่าบาท เพราะข้าเอง ข้าเป็นคนต้นคิด ข้าบังคับพวกเขาให้ทำตามที่ข้าสั่ง พวกเขาไม่ได้เต็มใจทำเลย หากจะลงอาญาก็ทรงลงที่หม่อมฉันเพียงผู้เดียวเถอะพะย่ะค่ะ” ยุนบกวิงวอน
    “อย่างนั้นรึ.....ได้ กับชายชู้เช่นเจ้า ข้าต้องสังหารด้วยมือของข้าเอง!” รับสั่งเสร็จก็คว้าดาบขององครักษ์หมายจะฟันยุนบกหากแต่ร่างบางเอาตัวนางเข้ามาขวางไว้
    “เช่นนั้นก็ทรงฆ่าหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันคือหญิงชั่ว พลีกายให้กับชายอื่นทั้งที่เป็นพระสนมของฝ่าบาท” จองฮยางกล่าวพลางสะอื้นไห้ 
    “เช่นนั้นก็จงตายไปทั้งคู่นี่ล่ะ” พระเจ้าจองโจหมายลงดาบปลิดชีวิตของทั้งคู่ หากแต่มีดาบอีกเล่มเข้ามาขว้างไว้
    “พอที ข้าจะจบเรื่องนี้กับเจ้าเอง!” เป็นฟ้าคำรามนั่นเองที่หลุดจากพันธนาการและแย่งดาบจากองครักษ์มาได้ ทั้งสองเข้าโรมรันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่ไม่มีองครักษ์นายใดเข้าขวาง ฟ้าคำรามฟาดฟันพระเจ้าจองโจอย่างกราดเกรี้ยว ด้วยเพราะคับแค้นใจที่ถูกคนที่ตนคิดว่าเป็นเพื่อนหักหาญน้ำใจ และทำร้ายหัวใจน้องรักของเขา พระเจ้าจองโจเองก็โต้ตอบได้อย่างทัดเทียม ด้วยความสุขุมแฝงอารมณ์สนุกสนามราวกับกำลังวิ่งเล่นในอุทยาน 
    “ไม่! หยุดนะ พี่ฟ้าคำรามท่านจะปลงประชนฝ่าบาทไม่ได้นะ!” ยุนบกตะโกนทัดทานแต่หามีผู้ฟังไม่ เขาเห็นท่าไม่ดีกลัวว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพลาดพลั้งจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปขวาง ฟ้าคำรามเห็นดังนั้นจึงรีบหยุดดาบซึ่งหมายจะแทงพระเจ้าจองโจทันที
    “หยุดเถอะครับพี่ ไม่ว่าจะเป็นท่านหรือฝ่าบาท ข้าก็ไม่ต้องการให้ใครตาย” ยุนบกกล่าวทั้งน้ำตา ฟ้าคำรามกำดาบแน่นจนมันสั่นก่อนจะค่อยๆลดลง ทันใดนั้นพระเจ้าจองโจก็ล็อคคอของยุนบกและจ่อดาบไปที่คอเขา
    “เช่นนั้น หากเจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้ใดตาย เจ้าก็ควรจะเป็นผู้เสียสละนะ” พระองค์ตรัส ทุกคนต่างตกตะลึง ฟ้าคำรามเองแม้จะมีดาบอยู่ในมือก็ไม่กล้าเข้าช่วยด้วยกลัวว่าน้องรักจะถูกลงดาบทันทีที่เขาก้าวขา
    “พะย่ะค่ะ พระองค์ทรงเป็นจ้าวชีวิตของหม่อมฉันตลอดมา จะให้อยู่หรือตายก็แล้วแต่จะทรงโปรด หม่อมฉันยินดีทำตามทุกรับสั่ง แต่มีเพียงเรื่องของหัวใจเท่านั้นที่หม่อมฉันไม่อาจทำถวายให้ได้ เพราะจ้าวหัวใจของหม่อมฉันคือนาง” เขากล่าวสั่งเสียพร้อมหันไปมองนางอันเป็นที่รักซึ่งกำลังร่ำไห้ปานจะขาดใจ 
    “หนวกหู! จงรับโทษของเจ้าซะ!” พระเจ้าจองโจพลั่กร่างยุนบกออกพร้อมฟันเข้ากลางหลังของเขา ทุกคนต่างร้องห้าม 
    “ไม่!!!! กรี๊ดดดด!!!!!” ต่างประสานเสียงระงม ก่อนที่ร่างเล็กของยุนบกจะทรุดลงคุกเข่า
    “พอได้แล้วน่า ข้าเบื่อจะเล่นบทวายร้ายแล้วนะ” พระเจ้าจองโจตรัสขึ้น เหมือนดั่งเรียกสติของยุนบกและทุกคนกลับมา ยุนบกจึงรู้ว่าตนไม่ได้ถูกฟันที่หลังหากแต่เป็นเชือกที่ผูกแขนไพล่หลังเขาต่างหากที่ถูกตัดขาด
    “ข้า....ข้ายังไม่ตาย ข้ายังไม่ตายหรือนี่ ข้ายังไม่ตาย!” ยุนบกอุทานอย่างคนเสียสติพลางหันไปมองทุกคน ก่อนจะวิ่งเข้าไปโอบกอดนางผู้เป็นที่รักและรีบแก้มัดให้ 
    “ช่างเขียน ช่างเขียน ข้านึกว่าต้องเสียท่านไปเสียแล้ว โอ้ช่างเขียนของข้า” ทันทีที่หลุดจากพันธนาการนางก็โผเข้ากอดเขาอย่างสุดรัก ทุกคนต่างมองทั้งคู่ด้วยความอิจฉา
    “เฮ้อ.....น่าเสียดายจริงๆนะ นางงามมากเสียด้วย ข้าล่ะอยากได้นางเป็นสนมจริงๆ” พระเจ้าจองโจตรัสเหย้าขึ้น ฟ้าคำรามได้ยินดังนั้นก็หันไปทำท่าราวกับจะฟันเขา
    “เจ้านี่นะ เล่นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ข้าคิดว่าเจ้าเสียสติไปแล้วเสียอีก” ฟ้าคำรามกล่าว
    “ฮ่าๆๆๆ ข้าก็แค่อยากจะลองใจทั้งคู่ดูเท่านั้นเองว่าจะรักกันจริงสักแค่ไหน และถ้าจะทำให้แนบเนียน มันก็ต้องไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แผนการซิ” พระองค์ตรัสตอบ 
    “รวมถึงหม่อมฉันด้วยรึเพคะ” จานโพล่งขึ้นอย่างเหง้างอหลังจากถูกแก้มัด
    “โธ่ๆ จานคนงามของข้า อย่าโกรธข้าเลย เพราะเจ้าเป็นหมากสำคัญ หากข้าบอกเจ้าแผนมันจะสำเร็จลุล่วง แนบเนียนได้ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ” พระองค์แก้ตัว
    “ฮึ! ไม่รู้ล่ะเพคะ งานนี้หม่อมฉันโกรธฝ่าบาทจริงๆนะเพคะ ทำราวกับหม่อมฉันเป็นหญิงโง่เง่า” นางตอบสะบัดหน้าหนี 
    “เช่นนั้นถ้าข้าไถ่โทษเป็นการจัดพิธีสมรสให้พวกเขาล่ะเจ้าจะยอมยกโทษให้ข้าไหม จานคนงาม” พระเจ้าจองโจตรัสขึ้นให้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว
    จากนั้นทั้งหมดจึงกลับมายังเสน่ห์จันทรา เมื่อเข้าช่วงสายขบวบรับเสด็จจากเมืองหลวงก็เดินทางมาถึง
    “พระอัยยิกาเสด็จมาถึงแล้ว” เสียงขันทีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งป่าวร้องขึ้น ก่อนที่พระเจ้าจองโจจะทรงดำเนินไปรับด้วยพระองค์เอง
    “ถวายบังคมพะย่ะค่ะ พระอัยยิกา ต้องรบกวนให้พระองค์เสด็จมาเสียไกล แต่เพราะมันเป็นงานมงคลจึงต้องการผู้อาวุโสเช่นพระองค์มาเป็นสักขีพยาน” พระองค์ตรัส หญิงสูงวัยผู้ก้าวลงจากพระเกี้ยวได้ไม่ถึงนาทีก็ยิ้มรับอย่างพริ้มเพลา ด้วยคิดว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียทีที่ต้องลำบากลำบนเดินทางจากเมืองหลวงมาหลายวันหลายคืน ตามคำสั่งหลานนอกไส้ที่ตนจ้องจะเอาชีวิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เพราะเห็นว่าจะให้มาร่วมงานมงคลซึ่งก็คงหนีไม้พ้นการอภิเษกพระสนมองค์ใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ผ่านการคัดเลือกตามกฎระเบียบของวังหลวง นางจึงยอมมาเพื่อจะได้ใช้เหตุนี้เล่นงานเขาเรื่องการกระทำการอันไม่เหมาะสม และยุแยงพระมเหสีว่าฝ่าบาทไม่รักษาน้ำใจในเรื่องการจัดการภายในวัง (การจัดการภายในวังเป็นหน้าที่ของมเหสีและพระพันปี) ครั้นทั้งสองพระองค์มาประทับยังพระที่นั่งพระเจ้าจองโจจึงสั่งให้นำตัวผู้ร่วมพิธีทั้งสองมาเข้าเฝ้า
    “เอ้า ไปเอาตัวคู่บ่าวสาวมาได้แล้วล่ะ” พระเจ้าจองโจตรัส
    “บ่าวสาว?” พระอัยยิกาตรัสถามอย่างฉงน
    “พะย่ะค่ะ...โอ้มานั่นแล้วไง” พระเจ้าจองโจตรัสตอบอย่างร่าเริง พระอัยยิกาถึงกับพระเนตรเบิกโพลงราวเห็นผี เพราะแฮวอน ซินยุนบกที่นางเชื่อมาตลอดว่าเป็นสตรีเพศกลับอยู่ในชุดเจ้าบ่าวเคียงข้างกับเจ้าสาวผู้งดงาม
    “แฮวอน ซินยุนบก? ทำไมเจ้า......?” พระนางถึงกับตรัสไม่ออก 
    “แฮวอน ซินยุนบก ด้วยความดีมากมายที่เจ้าได้ช่วยราชการข้ามาตลอด ข้าขอมอบแม่นางจองฮยางและตำแหน่งราชทูตด้านวัฒนธรรมแห่งโชซอนแก่เจ้า นับจากนี้เจ้าจะได้ไปประจำการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่นิฮง(ญี่ปุ่น)” พระเจ้าจองโจประกาศ ยุนบกและจองฮยางได้ยินดังนั้นก็ปลาบปลื้มดีใจยิ่งนัก
    “ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ/เพคะ ฝ่าบาท” ทั้งคู่คำนับอย่างซาบซึ้ง 
    “พระอัยยิกา พระองค์จะไม่ทรงอวยพรแก่ท่านราชทูตและภริยาเสียหน่อยรึ” พระเจ้าจองโจตรัสอย่างพอพระทัย ด้วยทรงรู้ว่านางคงอยากกรีดร้องมากเพียงใด ที่เสียรู้เดินทางมาเป็นหมากให้ตนยืนยันเรื่อง แฮวอน ซินยุนบก แท้จริงแล้วเป็นชายชาตรีที่ตบแต่งเมียเป็นฝั่งเป็นฝา โดยมีพระอัยยิกาและพระราชาแห่งโชซอนเป็นเจ้าพิธี
    “.....เอ่อ...ข้าขอให้พวกเจ้า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรนะ” พระอัยยิกาอวยพรอย่างเสียไม่ได้ บ่าวสาวทั้งสองจึงมองหน้ากันพลางกลั้นอารมณ์ขันไว้
    “ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ/เพคะ” บ่าวสาวกล่าว ก่อนที่พิธีจะดำเนินไปอย่างครื้นเครงโดยมีพระอัยยิกานั่งพระพักตร์บึ้งตึงตลอดงาน เมื่อเสร็จพิธีทั้งหมดก็เดินทางมาส่งทั้งคู่ที่ท่าเรือเพื่อออกเดินทางไปยังนิฮงตามรับสั่งของฝ่าบาท เพราะพระเจ้าจองโจคำนวณไว้แล้วว่ากว่าพระอัยยิกาจะเดินทางกลับถึงเมืองหลวงเพื่อสั่งการแก่ลูกสมุนก็คงอีกหลายวัน ถึงเวลานั้นยุนบกคงไปไกลเกินกว่าที่นางจะตามได้ และในระหว่างเดินทางกลับเขาจะคอยประกบไม่ให้นางสบโอกาสสั่งการใดๆได้เลย
    “เดินทางปลอดภัยนะท่านราชทูต” พระเจ้าจองโจตรัส
    “พะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่รู้จะตอบแทนพระกรุณาของฝ่าบาทเช่นไร” ยุนบกกล่าวน้ำตานองจนจองฮยางต้องลูบหน้าลูบหลังปลอบ
    “โธ่ท่านพี่คะ อย่าร้องไห้ต่อหน้าพระพักตร์ซิคะ” ร่างบางบอกพลางซับน้ำตาผู้เป็นสามี
    “ฮ่าๆๆ เช่นนั้นก็จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีและผู้แลภรรยาของเจ้าให้ดีที่สุด” พระองค์รับสั่ง ยุนบกจึงรับคำ ก่อนที่ฟ้าคำราม จาน ชิลและเหล่าลูกสมุนจะพากันมากอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความอาลัยอาวรณ์
    “เขียนจดหมายมาหาข้าบ้างนะ ส่งภาพวาดของเจ้ามาบ้างล่ะแล้วอย่าลืมส่งสาวนิฮงมาให้ข้าด้วยนะ” ฟ้าคำรามกล่าวทั้งน้ำตาแต่ยังติดทะลึ่งตึงตังจนจานต้องดึงหูดำๆของเขาไว้
    “ขอให้พวกเจ้าพบแต่สิ่งดีๆในภายภาคหน้านะ และจงอย่าลืมความรักที่เจ้ามีต่อกันและกัน มันจะช่วยพวกเจ้าในยามที่โทสะมาบดบังตา” จานให้พรและโอวาทต่อทั้งสอง
    “ข้าก็ไม่มีอะไรจะกล่าว แต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติที่คนอย่างข้าได้รู้จักกับลูกผู้ชายเช่นเจ้า ยุนบก” ชิลกล่าวก่อนจะกอดยุนบกพร้อมกับร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น เมื่อทุกคนต่างล่ำลากันเรียบร้อยทั้งสองจึงพร้อมจะขึ้นเรือ
    “ช้าก่อน ข้ามีของจะมอบให้กับท่านทั้งสอง” ราชเลาขาฮงท้วงขึ้น ก่อนจะหยิบห่อผ้าสองห่อมอบให้ยุนบกและจองฮยาง ทั้งสองจึงจะแกะห่อออกดู หากแต่ราชเลขากลับห้ามไว้และให้ทั้งคู่แกะมันระหว่างทาง
    เรือใบรำใหญ่ของขุนนางระดับสูงลอยล่องอยู่กลางทะเล แดดอ่อนๆยามเย็นทำให้ผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ทั้งสองอยากออกมาชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน คู่ข้าวใหม่ปลามันยืนกอดกันกลมอยู่บนหัวเรือ
    “อ่ะ! จริงสิ ห่อผ้าของท่านฮง” เป็นยุนบกที่อุทานขึ้น ทั้งสองจึงนำห่อผ้าออกมาแกะพร้อมกัน ยุนบกพบเข้ากับพู่กันเขียนรูปและจดหมายแผ่นเล็ก
    “บกอ่า พู่กันนี้เป็นของที่พ่อเจ้ากับข้าใช้ร่วมกันสมัยยังเรียน ข้าเก็บมันไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพ่อเจ้า แต่คิดว่าให้เจ้าไว้ดีกว่า และไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใดหรือในฐานะอะไร สภาพเช่นไร เจ้ายังคงเป็นคนสำคัญของข้าเสมอ ลูกศิษย์ของข้า อาจารย์ของข้า คนรักของข้า” ฮงโดกล่าวในจดหมาย ยุนบกถึงกับน้ำตาริน กอดพู่กันไว้แนบอกอย่างสุดรัก จองฮยางมองเขาพลางลูบปลอบอย่างอ่อนโยน ก่อนที่นางจะหันมาสนใจกับของในห่อของตน นางได้รับรูปเขียนรูปนึงเป็นหญิงสาวกำลังดีดพิณพร้อมกลอนบทหนึ่งประกอบ
    “หากแม้นบันดาลได้ ก็คงไม่ขอสิ่งใด เพียงขอที่ในหัวใจ จดจำไว้ชายคนหนึ่ง” กลอนของอินอุกในรูป นางยิ้มรับอย่างอ่อนโยนและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อชายผู้นี้อย่างมากมาย เขาเพียบพร้อมและประเสริฐสุดที่บุรุษจะพึงมีให้สตรีได้ หากแต่เรื่องของหัวใจไม่มีผู้ใดบังคับได้ แม้แต่ตัวของผู้นั้นเองยังไม่สามารถบังคับจิตใจของตนเองได้เลย เช่นนี้แล้วนางคงจะทำได้เพียงจดจำเขาว่าเป็นบุรุษแสนดีผู้หนึ่งที่มีพระคุณต่อนางตลอดไปตามที่เขาปรารถนา 
    “เอ่อ...ท่านราชทูต นายหญิง สำรับพร้อมแล้วขอรับ” เด็กรับใช้ที่ฝ่าบาทเลือกให้ติดสอยห้อยตามทั้งสองเรียกขึ้น จึงทำให้ทั้งคู่หลุดจากความคิดคำนึง ก่อนจะมองหน้ากันอย่างเข้าใจ
    “ไปทานข้าวกันเถอะค่ะท่านพี่” จองฮยางกล่าว ยุนบกจึงพยุงนางลุกขึ้นเดิน
    “เดินระวังนะจ๊ะ น้องพี่” ยุนบกกล่าวกับเมียรัก และทั้งสองจึงเดินเข้าไปยังภายในเรือโดยมีแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ไล่หลังทั้งคู่ไป


    *จากตอนภาพวาดที่ 8 เผชิญหน้ากลุ่มโจร – วิพากษ์วิจารณ์การเมือง Painter of the Wind Sequel แต่งโดย FengMiYiGe แปลโดย วอนวอน 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×