ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Thunder and The Wind : The After War [yuri]

    ลำดับตอนที่ #2 : ประกาศสงคราม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 720
      4
      22 ต.ค. 55




    ผ่านไปหลายวัน เสน่ห์จันทรากลับมาเปิดบริการตามเดิม สิ่งที่แปลกตาไปคือบริกรหน้าใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับหน้าที่นัก

    “เพล้ง! นี่เจ้าจะทำจานข้าแตกอีกสักกี่ใบถึงจะพอใจเนี่ยเจ้าคุณชาย” ยายเฒ่าแกลิมร้องขึ้นอย่างขุ่นเคือง

    “ขอ...ขอโทษครับท่านป้า เดี๋ยวข้าจะชดใช้ให้ครับ” บริกรหน้าใหม่หรืออินอุกกล่าวเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด

    “พอๆ เจ้าไม่ต้องช่วยแล้ว ข้าว่ายิ่งช่วยยิ่งเจ๊ง” นางกล่าวอย่างระอา ทำให้เขาถึงกับหน้าเสีย ก่อนที่จองฮยางจะเดินเข้ามา

    “ท่านป้าค่ะ ท่านยังไม่หายดี ออกมาตากแดดตากลมแบบนี้ จะไม่ดีต่อสุขภาพนะค่ะ มาค่ะเดี๋ยวข้าจะพาท่านไปพักผ่อนนะค่ะ” จองฮยางกล่าวเสียงหวาน นั่นช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของยายเฒ่าไปได้มาก นางคล้อยตามเสียงของจองฮยางและเดินตามอย่างว่าง่าย จองฮยางจึงหันมาส่งยิ้มให้อินอุกเพื่อปลอบใจเขาเรื่องที่ถูกดุ เขาจึงยิ้มรับหน้าบานให้คนที่แอบมองอยู่นานหมันไส้จนทนไม่ไหว

    “นั่นเจ้าจะเก็บหรือเปล่า หรือจะปล่อยให้มันบาดเท้าลูกค้า” เป็นยุนบกนั่นเองที่เดินเข้ามาเอ็ดใส่ อินอุกจึงตื่นจากภวังค์ก้มลงไปเก็บเศษจานชามที่ตนทำแตกอย่างลนลาน เลยบาดมือตัวเองเข้า

    “ฮึ...เจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ มา..ข้าทำเอง ข้าว่าเจ้าอยู่เฉยๆอย่างที่ท่านป้าบอกดีกว่านะ คุณชาย!” ยุนบกพูดเย้ยหยันและเข้าไปเบียดอินอุกที่กำลังเก็บเศษชามอยู่จนล้มหงาย อินอุกรู้สึกแปลกใจระคนโกรธ จึงกระแทกร่างกลับไป ยุนบกถึงกลับหงายหลัง ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะแย่งกันเก็บเศษชามจ้าละหวั่น

    “นั่นพวกเขาทำอะไรนะ?” ฟ้าคำรามที่เดินมาเสิร์ฟเหล้าให้ลูกค้าเห็นการแข่งขันเก็บเศษชาม ก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจกับภรรยาของตน

    “คงจะ...ประกาศสงครามละมั้งค่ะ” จานตอบสามีอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับมองบุรุษทั้งสองอย่างเอ็นดู แต่ฟ้าคำรามที่ได้คำตอบกลับยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เขาจึงเกาศีรษะด้วยความงงงวย

    ฝั่งจองฮยางหลังจากพายายเฒ่าเกลิมไปพักผ่อนแล้วนางก็หมายจะเดินกลับไปช่วยทุกคนที่หน้าร้าน แต่ระหว่างทางนางพบเข้ากับฮงโด นางจึงโค้งทักทายตามมารยาทด้วยใบหน้านิ่ว ก่อนจะรีบเดินจากไป

    “เดี๊ยวสิ หน้าข้ามันแสลงตาเจ้านักหรือไง” ฮงโดเอ่ยพร้อมก้าวเข้าไปดักหน้านางไว้ นางจึงหยุดฝีเท้าและเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

    “มิได้ค่ะ เพียงแต่ข้ารีบร้อนจะกลับไปช่วยงานที่หน้าร้าน โบราณท่านว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย จะให้ข้ามาเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในบ้านผู้อื่น เห็นทีคงจะทำไม่ได้” นางพูดเสียดสีเขาด้วยใบหน้านิ่ง ฮงโดถึงกับอารมณ์เดือดทันทีที่ถูกพูดใส่

    “นี่..นี่เจ้าว่าข้าอย่างนั้นหรือ?” เขาถามอย่างเอาเรื่อง

    “มิได้ค่ะ หญิงต่ำต้อยอย่างข้า มิบังอาจตำหนิช่างเขียนใหญ่แห่งโชซอนหรอกค่ะ” นางตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยันผิดกับคำพูด นั่นยิ่งทำให้ฮงโดโมโหหนัก

    “นี่เจ้า!...” เขาจะตอบโต้เธอกลับ หากแต่ชิลเดินผ่านมาเสียก่อน

    “อ้าวแม่นางจองฮยาง มาอยู่นี่เอง เจ๊จานเรียกหาท่านอยู่น่ะ” ชิลผู้ไม่ล่วงรู้สถานการณ์เดินเข้ามาหาทั้งสอง ก่อนที่จะสังเกตอาการฉุนเฉียวของฮงโดได้

    “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะค่ะ” จองฮยางจึงได้โอกาสจากมาอย่างผู้มีชัย ฮงโดได้แต่มองตามนางอย่างแค้นเคือง บัดนี้เสียงกลองแห่งสงครามได้ลั่นขึ้นแล้ว ใครกันจะเป็นผู้กำชัยชนะศึกรักครั้งนี้

    หลังศึกยกแรกสงบลงทุกคนจึงมานั่งทานอาหารเที่ยงร่วมกันในเรือนของฟ้าคำราม หากแต่บรรยากาศยังคงคุกรุ่นไปด้วยรังสีกดดันที่แต่ละคนปล่อยออกมา ทั้งสี่ฟาดฟันกันด้วยสายตาอย่างไม่ลดละ ทำให้จาน ชิลและฟ้าคำรามรู้สึกอึดอัดไปตามๆกัน ก่อนที่ยุนบกจะเอื้อมมือไปคีบอาหารจานหนึ่ง แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อถูกอินอุกมือไวคีบตัดหน้าไปก่อน เขาหันไปมองอินอุกอย่างแค้นเคือง หากแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างผู้มีชัยเย้ยหยันใส่ ยุนบกได้แต่ทำปากขมุบขมิบกล่นด่าอินอุกอยู่ในใจ ก่อนจะคิดแผนเอาคืนได้ขึ้นมา เขาจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วแกล้งทำหล่นใส่ชามข้าวของอินอุก

    “โอ้ๆ...ขอโทษที มือมันลื่นนะ” ยุนบกเอ่ยขอโทษแต่ใบหน้ากลับตรงกันข้าม สร้างความขุ่นเคืองให้อินอุกยิ่งนัก เขาจึงโต้กลับด้วยการทำชามข้าวน้ำล้นของตนหกใส่ยุนบกบ้าง

    “โอ้...ข้าก็มือลื่นเหมือนกัน” อินอุกกล่าวด้วยใบหน้าสะใจ เมื่อเห็นเสื้อของยุนบกเปียกปอนไปด้วยน้ำข้าว ก่อนทียุนบกจะลุกขึ้นอย่างเหลืออด

    “เฮ้ยนี่เจ้า! จงใจใช่ไหมอินอุก?” ยุนบกตะโกนใส่เสียงเขียว อินอุกเองก็ไม่น้อยหน้าลุกขึ้นประจันหน้าสวนกลับ

    “ใครกันแน่ เจ้าเป็นคนเริ่มก่อนนะยุนบก” อินอุกโต้ตอบไม่แพ้กัน

    “นี่พวกเจ้าจะทะเลาะกันทำไมเนี่ย!” ฟ้าคำรามแผดเสียงขึ้น นั่นจึงทำให้อารมณ์ของทั้งสองเย็นลงได้ด้วยความเกรงใจเจ้าของบ้าน และนั่งลงทานอาหารดังเดิม แต่ก็ไม่วายส่งสายตาฟาดฟันกัน เมื่อศึกคู่แรกสงบลงก็ถึงคราวคู่ต่อไป

    “เจ้าบ้าเอ้ย เรื่องแค่นี้ก็ทำเป็นโวยวายไปได้ เสียชื่อช่างเขียนหลวงหมด” ฮงโดกระซิบเอ็ดยุนบก หากแต่ก็ไม่พ้นสายตาเหยี่ยวของจองฮยางไปได้

    “เป็นถึงช่างเขียนหลวงก็ควรสำรวมตัว ไม่ทำอะไรเลย....ที่เสื่อมเสีย” จองฮยางพูดเว้นคำ ค่อนคอดฮงโด เขาจึงหันมามองนางอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะสวนกลับ

    “เฮอะ...คนเราย่อมรู้ตัวดีว่าเราเป็นใคร หรือเคยเป็นอะไร” ฮงโดสวนกลับได้ถึงทรวง จนจองฮยางแทบอยากจะร้องไห้ที่ถูกเย้ยหยันว่าตนเป็นเพียงนางโลมชั้นต่ำ หากแต่นางต้องกลืนก้อนสะอื้นนั้นและได้แต่กัดฟันพร้อมทั้งจับชามข้าวของตนไว้แน่นเพื่อระงับอารมณ์ ฮงโดจึงยิ้มอย่างมีชัยในขณะที่ยุนบกกับอินอุกยังคงแย่งกันคีบอาหารอยู่ไม่เลิก โดยที่ไม่ล่วงรู้ถึงความช้ำใจของจองฮยางแม้แต่น้อย

    ตกบ่ายยุนบกก็ง่วนอยู่กับการสอนศิลปะให้เด็กๆและเด็กโข่งอย่างฟ้าคำราม ณ ศาลาเขียนภาพที่ฟ้าคำรามจัดเป็นสถานที่เรียนศิลปะโดยเฉพาะ

    “นี่ท่านยังแยกพู่กันกับแปรงไม่ได้อีกหรือครับพี่ฟ้าคำราม?” ยุนบกเอ็ดขึ้นเมื่อเห็นฟ้าคำรามหยิบแปรงขึ้นมา

    “ใครบอกเจ้าละ นี่คือแปรง...ข้ารู้ เพราะข้าจะทำแบบนี้” ฟ้าคำรามหยิบแปรงขึ้นและจุ่มหมึกจนโชก ก่อนจะทาลงกระดาษเขียนภาพในทีเดียว

    “ฮ่าๆๆ แบบนี้ประหยัดเวลาไปได้เยอะ ไม่ต้องมานั่งเขียนด้วยพู่กันเล็กๆแบบนั้น” ฟ้าคำรามหัวเราะชอบใจกับผลงานทางลัดของตน แต่คนสอนถึงกับกุมขมับเพราะขนาดและน้ำหนักของแปรงทำให้หมึกเลอะภาพเขียนจนดูไม่ได้

    “ท่านจะบ้าหรือไง ใช้แปรงแทนพู่กันได้ยังไง ดูสิภาพเลอะหมดแล้ว” ยุนบกเอ็ดใส่นักเรียนมักง่ายยกใหญ่ ก่อนที่ฮงโดจะเดินเข้ามาดู

    “ฮ่าๆๆๆๆ ฝีมือๆจริงๆ ยุนบก เจ้านี่มีพรสวรรค์ในการสอนศิลปะจริงๆ” ฮงโดหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นภาพเขียนของฟ้าคำรามที่ยุนบกนั่งเคร่งสอนมาหลายชั่วโมง เขาจึงหันไปค้อนใส่อาจารย์ของตนอย่างไม่พอใจ

    “ไม่ใช่เพราะการสอนของข้าสักหน่อย พี่ฟ้าคำรามสมองทึบเกินไปต่างหากถึงเรียนช้าแบบนี้ ดูเด็กคนอื่นๆสิ ขนาดลูกท่านยังเขียนภาพทิวทัศน์ได้แล้วเลย” ยุนบกพูดแก้ต่างพร้อมกับชี้ไปยังลูกชายหัวแก้วของจานและฟ้าคำรามที่ตอนนี้ฝีมือเขียนภาพเก่งเกินหน้าพ่อไปหลายขุม

    “นี่เจ้าว่าข้าหรอยุนบก เจ้าตาย!” ฟ้าคำรามจะโจนใส่ยุนบกด้วยท่าล็อคคอ แต่ยุนบกแก้ทางได้จึงสวนกลับด้วยศอกให้คนจู่โจมถึงกับจุกลงไปกองกับพื้น ทำท่าชี้มือชี้ไม้มาที่เขาแต่ไม่อาจส่งเสียงใดๆได้ ฮงโดมองภาพทั้งสองก็หัวเราะชอบใจจึงจะเดินเข้าไปลูบศีรษะยุนบกอย่างเอ็นดู หากแต่เจ้าตัวเกิดระแวงขึ้นรีบสะบัดตัวหนี

    “อย่านะอาจารย์ ถึงเป็นท่านข้าก็ไม่ออมมือนะ” ยุนบกได้ทีเก๊กท่าขึงขังใส่

    “นี่เจ้ากล้าทำข้าหรือ เจ้าศิษย์อกตัญญู” ฮงโดหมันไส้จึงเข้าไปขยี้ผมยุนบกอย่างมันมือ ทั้งสองต่างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีสายตาเศร้าสร้อยของจองฮยางแอบมองอยู่ไกลๆ หัวใจของนางดั่งเหมือนโดนอุ้มมือใหญ่บีบเค้นให้นางแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา แม้จะเตรียมใจสู้แต่ก็ไม่พร้อมที่จะรับมือกับความเจ็บช้ำ ภาพบาดตาตรงหน้าจึงเหมือนกับคมมีดที่กีดลงกลางใจ

    “แม่นางจองฮยางๆ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง เห็นเจ๊จานว่าเจ้ามาซักผ้า แต่ข้าไปที่ลำธารก็ไม่เห็นเจ้า” เป็นอินอุกนั่นเองที่ร้องเรียก นั่นทำให้จองฮยางหลุดจากภวังศ์แห่งความเศร้าหมองได้

    “พอดีข้ามองทิวทัศน์แถวนี้เพลินไปหน่อยนะค่ะ ข้ากำลังจะไปพอดี” นางถอนสายตาจากศาลาเขียนภาพและตอบกลับอินอุกด้วยเสียงนุ่ม

    “มา..เดี๋ยวข้าถือให้” อินอุกอาสาถือถังไม้ใส่เสื้อผ้าที่จองฮยางถืออยู่

    “ไม่เป็นไรค่ะ ข้าถือเองได้ ลำธารใกล้แค่นี้เอง” นางกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

    “เช่นนั้นก็ให้ข้าถือเถอะ หากมันใกล้แค่นี้ เพราะคงไม่ลำบากข้านักหรอก” อินอุกเล่นลิ้นและเอือมมือไปคว้าถังไม้มา จองฮยางจึงต้องจำยอมอย่างเกรงใจ ทั้งสองเดินพูดคุยกันไปตามทางสู่ลำธารโดยมีสายตาขุ่นเคืองของยุนบกมองอยู่จนทั้งสองหายลับไป แม้จะรู้ว่าตนไม่มีสิทธิไปแค้นเคือง แต่ก็ไม่สามารถบังคับจิตใจที่พัดไหวไปตามอารมณ์นี้ได้ เพียงแค่เห็นทั้งสองใกล้กันเขาก็แทบอยากจะคุ้มคลั่งเหมือนดั่งพายุร้ายให้ทุกสิ่งพินาศไปต่อตา

    “ยุนบก..เจ้ามองอะไรนะ?” ฮงโดเห็นอาการนิ่งมองของศิษย์อยู่นานจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย

    “เอ่อ...ลำธารน่ะครับ ข้ามองหาลำธาร” ยุนบกตอบส่งๆ

    “ลำธารก็อยู่ไม่ไกลจากนี่ไปยังไงละ เจ้าอยากไปหรอ....ดี งั้นเรามาเปลี่ยนบรรยากาศไปเขียนรูปที่ลำธารกัน” ฟ้าคำรามเอ่ยขึ้นอย่างเสร็จสับโดยไม่ฟังความเห็นใคร เด็กทั้งหลายเมื่อได้ยินคำว่าลำธารก็ดีใจยกใหญ่ต่างเก็บเครื่องเขียนของตนเตรียมเดินทางทันที

    “เดี๋ยวๆข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย” ยุนบกรีบท้วงขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจ

    “ข้าว่าไม่ทันแล้วล่ะ” ฮงโดกระซิบบอก แล้วทั้งหมดจึงพากันย้ายห้องเรียนไปที่ลำธารตามความคิดที่ไม่ตั้งใจของยุนบกและความต้องการที่ไม่ฟังเสียงใครของฟ้าคำราม

    ฝั่งจองฮยางกับอินอุกที่ตอนนี้มาถึงลำธารได้สักพักแล้ว แต่จองฮยางก็ยังไม่มีท่าทีจะเริ่มซักผ้าแต่อย่างใด นั่นก็เป็นเพราะนางไม่สะดวกนักหากจะมีบุรุษอยู่ในขณะที่นางซักผ้าแต่ก็ไม่สามารถบอกอินอุกได้

    “คุณชายฮงค่ะ ขอบคุณท่านจริงๆค่ะที่ถือถังมาให้ข้า เดี๋ยวข้าซักผ้าสักครู่แล้วก็จะกลับไปที่เรือน ท่านล่วงหน้ากลับไปก่อนก็ได้นะค่ะ” จองฮยางพยายามพูดไล่ทางอ้อม แต่ด้วยความไม่รู้และอยากใกล้ชิดของอินอุกทำให้เขาไม่เข้าใจความหมายที่นางสื่อ

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะอยู่ช่วยเจ้า” อินอุกเสนอตัว จองฮยางถึงกับตกใจ นั่นทำให้อินอุกเริ่มเอะใจว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือไม่

    “เอ่อ..คุณชายฮงค่ะ ท่านรู้หรือไม่ว่า การซักผ้านั้นเขาทำอย่างไร” จองฮยางเอ่ยถามอย่างละล่ำละลัก อินอุกจึงนิ่งคิดตามคำถาม ก่อนจะส่ายหน้าอย่างอายๆที่ตนไม่รู้เรื่องงานบ้านงานเรือนเลยเพราะอยู่สบายมาตั้งแต่เกิด

    “แต่เจ้าสอนข้าได้นะ ข้าจะทำตามทุกอย่าง ให้ข้าช่วยเถอะ” อินอุกอ้อนวอนด้วยยังไม่เข้าใจสิ่งที่จองฮยางสื่อ

    “ฮิๆ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คือ...เรื่องแบบนี้ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของสตรี และมันก็ไม่เหมาะเท่าไหร่” จองฮยางอธิบายอย่างอายๆ อินอุกจึงยังไม่หายสงสัย

    “คือ...ในการซักผ้าข้าอาจจะต้อง ถอดเสื้อผ้าบางส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการซักและไม่ให้มันเปียกน้ำนะค่ะ” จองฮยางกลั้นใจบอกออกไปด้วยความเขินอาย นั่นจึงทำให้คุณชายสำอางถึงบางอ้อ และเผลอจินตนาการถึงนางในชุดน้อยชิ้นจึงทำให้ใบหน้าเขาแดงก่ำขึ้น

    “อ้า!...ข้า...ข้าขอโทษ งั้นข้าขอตัวก่อน เชิญเจ้าตามสบายเถอะนะ” อินอุกจึงรีบเดินจากไปทันที

    ทางด้านยุนบกเมื่อมาถึงลำธารทุกคนก็ต่างจับจองที่เขียนภาพกันตามชอบ มีเพียงยุนบกที่ยืนมองซ้ายแลขวาอยู่ไม่เลือกที่เสียที

    “นั่นเจ้ามองหาอะไรของเจ้า?” ฮงโดถามขึ้นเมื่อเห็นอาการศิษย์

    “เอ่อ...ข้า...ข้าก็มองหาแรงบันดาลใจไงครับอาจารย์ เพื่อเอามาเขียนภาพยังไงละ” ยุนบกเฉไปเรื่องอื่นทั้งที่จริงเขามองหาร่างบางของใครบางคนต่างหาก

    “แรงบันดาลใจ? ฮึทำเป็นพูดจาใหญ่โต เจ้านี่จริงๆเลย เจ้าอยากจะวาดอะไรก็เลือกเอามาสักอย่างเถอะ” ฮงโดเอ่ยอย่างหมันไส้

    “ครับ งั้นเดี๋ยวข้ามานะครับ” ยุนบกจึงขานรับและออกไปตามหาแรง (บันดาล) ใจของเขา เขาเดินเลาะขึ้นไปตามลำธารเรื่อยๆก็แว่วเสียงหวานฮัมเพลงลอยมาตามลม เขารู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของนาง จองฮยางของเขา เขาจึงรีบสาวเท้าเดินไปตามเสียงนั่นก่อนจะหยุดลงเมื่อพบเข้ากับอินอุกที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ซอกโขดหินใหญ่ อินอุกเองก็ตกใจเช่นกันที่พบเข้ากับยุนบก

    “นะ..นี่เจ้ามาได้ยังไงเนี่ย?” อินอุกพูดลนลาน

    “เจ้านั่นแหละมาทำอะไรตรงนี้?” ยุนบกถามกลับและสังเกตอาการแปลกๆของอินอุก

    “นี่เจ้าเป็นอะไรเนี่ย ทำไมหน้าเจ้าถึงแดงก่ำเช่นนี้?” ยุนบกถามขึ้น อินอุกถึงกับสะดุ้ง

    “ม่ะ...ไม่ใช่เรื่องของเจ้าสักหน่อย” อินอุกตอบเสียงสั่น ยุนบกสงสัยในท่าทีนั้นยิ่งนัก

    “นั่นใครน่ะ?” เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นอีกฝั่งของโขดหินใหญ่

    “จองฮยาง?” ยุนบกอุทานออกมาอย่างแปลกใจที่นางอยู่ไม่ไกล จึงคิดจะปีนโขดหินไปหานาง แต่ถูกอินอุกห้ามไว้

    “ปล่อยข้านะเจ้าบ้าอินอุก” ยุนบกพยายามปีนขึ้นไปบนโขดหิน แต่ด้วยแรงฉุดกระชากของอินอุกทำให้เขาพลัดตกลงไปในลำธาร
    “อ้ากกกกกกกก” ตูม! เสียงร่างกระแทกน้ำและเสียงอุทานของยุนบกดังไปไกลจนคนที่เดินตามหลังเขามารีบวิ่งมาดู

    “ยุนบก!” ฮงโดร้องขึ้นเมื่อเห็นร่างศิษย์รักหล่นลงลำธาร เขารีบกระโจนลงน้ำทันที จองฮยางเองเมื่อได้ยินเสียงของยุนบกก็รีบชะโงกหน้าจากโขดหินมาตามเสียง นางแทบสิ้นใจเมื่อเห็นร่างคนรักจมหายไปในน้ำ

    “ช่างเขียน!” จองฮยางร้องอุทานเสียงหลง ตอนนี้นางไม่สนใจสิ่งใดนอกจากร่างที่ดิ้นรนอยู่ในน้ำ นางรีบลงจากโขดหินทั้งที่ตนใส่เพียงชุดขาวบาง อินอุกได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทำอะไรไม่ถูก

    “ช่างเขียนๆๆๆ!” จองฮยางร้องเรียกยุนบกปานจะขาดใจ น้ำตาเธอไหลพรากเมื่อไม่เห็นร่างของยุนบก ทันใดนั้นฮงโดที่ว่ายลงไปช่วยยุนบกก็ผุดขึ้นจากน้ำพร้อมกับอีกหนึ่งร่างที่คนบนฝั่งร้องเรียก เขาเกี่ยวร่างหมดสติว่ายขึ้นฝั่งมา จองฮยางเอามือปิดปากตนไว้อย่างพยายามกลั้นเมื่อเห็นยุนบกนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ฮงโดเขย่าร่างยุนบกและร้องเรียกเขา แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลก่อนจะตัดสินใจผายปอดให้กับเขา จองฮยางมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง ไม่นานนักยุนบกก็สำลักน้ำออกมา ฮงโดยิ้มรับกับการตอบสนองนั้นก่อนจะอุ้มร่างยุนบกแบกกลับไปยังเรือนของฟ้าคำราม จองฮยางได้แต่ยืนมองภาพฮงโดอุ้มคนรักจากไป และหดหู่ใจที่ตนไม่สามารถทำอะไรเพื่อเขาได้เลย หากไม่มีฮงโดยุนบกคงตายไปต่อหน้าต่อตานางเป็นแน่
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×