ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธคงกระพัน (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #9 : ไฟปะทะน้ำ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.9K
      359
      16 พ.ย. 63

     

                ผู้คลุ้มคลั่งอัคคีแผดเสียงหัวร่ออย่างลำพอง สองมือสะบัดฟาดไม่หยุดยั้ง หากคู่ต่อสู้วุ่นวายกับการสลัดเสื้อผ้าที่ติดไฟ ก็ย่อมพลาดพลั้งถูกฝ่ามือของมันทำร้ายซ้ำเติม แต่หากตั้งใจรับฝ่ามือของมัน อัคคีที่ลุกไหม้เสื้อผ้า ย่อมเผาร่างของฝ่ายตรงข้าม พิษอัคคีที่แฝงอยู่ ย่อมจะชำแรกเข้าไปทำลายเส้นชีพจรจนพลังปราณอ่อนโทรมลง สุดท้ายก็ไม่พ้นความตายอยู่ดี

                ทางด้าน เสี่ยวอิง แม้จะร้องโวยวายเรื่องเสื้อผ้า แต่ในความเป็นจริง ที่มันกังวลไม่ใช่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ กลับเป็นเสื้อผ้าสำรอง และอาหารที่อยู่ในห่อผ้าธรรมดา ควรทราบว่า ตอนนี้ตัวมันสะพายห่อผ้าอยู่สองใบ เพื่อป้องกันมิให้พะรุงพะรังต่อการเดินเหิน มันจึงผูกมัดห่อผ้าไขว้กันไว้กลางหลัง ในตอนนี้ เมื่อเสื้อผ้าที่สวมใส่ภายนอกเกิดติดไฟ ห่อผ้าธรรมดาย่อมติดไฟตามไปด้วย สร้างความเจ็บปวดใจให้พอสมควร เมื่อนึกถึง ต้องไปบิณฑบาตรเงินเพิ่มเติม เพื่อซื้อหาเสื้อผ้าและอาหารใหม่อีกแล้ว

                สมาธิทั้งหมดของ เสี่ยวอิง อยู่ที่การต้านรับฝ่ามือของ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ที่ปลิวโปรยมาอย่างต่อเนื่อง ในสิบฝ่ามือ มันสามารถต่อยหมัดออกต้านรับได้เพียงสามหมัดเท่านั้น ฝ่ามือที่เหลือล้วนกระแทกเข้าใส่ส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย โดยมันเพียงคอยระวังมิให้ฝ่ามืออีกฝ่ายกระแทกทำร้ายส่วนศีรษะเท่านั้น ฝ่ามือที่เหลือปล่อยให้กระแทกเข้าใส่ลมปราณคุ้มครองกายที่แผ่ออกปกคลุมร่างท่อนบน อย่างเข้มแข็ง จนไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ในความเป็นจริง ต่อให้ฝ่ามือของฝ่ายตรงข้าม กระแทกเข้าใส่ใบหน้า ก็ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ได้ แต่ เสี่ยวอิง ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร จึงเน้นป้องกันส่วนศีรษะและใบหน้าที่บอบบางก่อนส่วนอื่น 

                ยิ่งต่อสู้ไป เสียงหัวร่อของ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ยิ่งเบาลง แตกต่างจากการต่อสู้ปกติ ที่ยิ่งต่อสู้ มันก็ยิ่งแผดหัวร่อดังขึ้น ถี่ขึ้น จนได้รับสมญานามว่า ผู้คลุ้มคลั่ง แต่คู่ต่อสู้ของมันคราวนี้ ผิดแปลกไปจากคู่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ ฝ่ามือของมันฟาดเข้าใส่ร่างของฝ่ายตรงข้ามนับสิบฝ่ามือ อีกฝ่ายเพียงก้าวถอยหลัง อย่างมั่นคง ไม่แสดงท่าทีบาดเจ็บอันใดเลย พลังหมัดที่ต่อยสวนกลับมา ยิ่งต่อสู้ยิ่งแฝงพลังรุนแรงมากขึ้น จนมันต้องเพิ่มพลังปราณเข้าต้านรับ ส่งผลให้ฝ่ามืออื่น ๆ ที่กระแทกเข้าใส่ร่างอีกฝ่ายแผ่วเบาลง 

                จนเมื่อเสื้อผ้าภายนอกของ เสี่ยวอิง ไหม้กลายเป็นเถ้าธุลี ปลิวว่อนไปตามกระแสลม เผยให้เห็นชุดคลุมที่ไม่รู้ว่าจัดทำจากวัสดุใด แม้ฝีมือการตัดเย็บจะหยาบ ไม่ค่อยรับรูปร่างเท่าใด แต่กลับไม่ได้รับผลกระทบจากพลังเปลวอัคคีของมันเลย แม้จะถูกฝ่ามือของมันกระแทกเข้าใส่อย่างจัง ก็ไม่แสดงริ้วรอยฉีกขาดแม้แต่น้อย จนมันต้องแผดร้องออกมาว่า

                “บัดซบ นี่เจ้าสวมใส่ชุดป้องกันไฟอยู่ภายใน แล้วจะร้องโวยวายเรื่องเสื้อผ้าไหม้ไปทำไม”

                เสี่ยวอิง ร้องตอบสวนกลับมาว่า

                “เสื้อผ้าพวกนั้น ข้าต้องเสียเงินซื้อมานะ ข้าเป็นเพียงเณรน้อย ยากที่จะมีคนบริจาคเงินให้ ในเมื่อเจ้าเผาเสื้อผ้าของข้า งั้นเจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบบริจาคเงินชดเชยมาให้ข้า”

                ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ถึงกับสะอึก เพราะไม่เคยได้ยินคู่ต่อสู้คนใด เรียกร้องให้มันชดเชยเสื้อผ้าที่ถูกเผาไหม้มาก่อน เสี่ยวอิง นับเป็นคนแรกในชีวิตของมัน แต่อย่างว่า ก่อนหน้านี้ คู่ต่อสู้แค่รักษาชีวิตไว้ ก็ยากลำบากแล้ว ไหนเลยจะมามัวกังวลกับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดกัน

                เสี่ยวอิง ที่แม้จะฝึกปรือเพลงหมัดเต่าตนุ แต่หนึ่งนั้น มันฝึกปรือเองจากตำรา โดยแทบไม่มีพื้นฐานวิชาฝีมือเลย ทำให้ตีความเคล็ดวิชาได้เพียงห้าส่วนเท่านั้น นอกจากนี้ มันยังไม่ได้ฝึกปรือลมปราณกระดองเต่าอย่างแท้จริง ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายกระดูกแขนขาได้ตามใจปรารถนา ยิ่งจำกัดความสำเร็จของเพลงหมัดเต่าตนุ ประการสุดท้าย สำนักเต่าสมุทร เองเป็นเพียงสำนักชั้นที่สามในยุทธจักร วิชาฝีมือที่ถ่ายทอดภายในสำนัก ย่อมไม่สูงส่งเท่าใดนัก เมื่อเผชิญพบกับ เพลงผ่ามือเปลวอัคคี อันเป็นไม้ตายของพรรคเปลวอัคคี ที่สามารถประชันกับสำนักชั้นที่หนึ่งในยุทธจักรได้ ย่อมตกเป็นรองอย่างแน่นอน

                หากเป็นยอดฝีมือของ สำนักเต่าสมุทร ที่ฝึกปรือลมปราณกระดองเต่าถึงขั้นที่ห้า ย่อมสามารถทนทานพลังฝ่ามือเปลวอัคคีได้อยู่ แม้พิษอัคคีที่แฝงอยู่จะร้ายแรง แต่ยังไม่อาจชำแรกผ่านเข้าไปในเส้นชีพจรได้ ขอเพียงคุ้มครองส่วนศีรษะให้ดี ย่อมสามารถล่าถอยหลบหนีไปอย่างปลอดภัยได้ แต่เฉพาะในกรณีที่ ผู้ใช้ฝ่ามือเปลวอัคคี ไม่มีความแค้นจนต้องไล่ล่าให้ถึงที่สุดนะ เพราะหากยินยอมใช้พลังชีวิตเข้าแลกเปลี่ยน ผู้ใช้ฝ่ามือเปลวอัคคี สามารถใช้วิชาเร้นลับ กระตุ้นพิษอัคคีที่สะสมอยู่ภายในร่างกายออกมาทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ แต่ตัวมันเองย่อมจะได้รับความเสียหาย อายุลดทอนลงไม่น้อยกว่า 5 ปี 

                ดังนั้น ในตอนนี้ หลังจากผ่านการต่อสู้มาเกือบร้อยกระบวนท่า ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ก็บรรลุถึงคำว่า คลุ้มคลั่ง แล้ว เพราะไม่ว่าจะกระแทกฝ่ามือใส่อีกฝ่ายไปเท่าใด ดูเหมือนจะไม่มีความหมายใด ๆ เลย ความสามารถในการทนรับการทุบตีของมัน เหนือล้ำกว่า ยอดฝีมือที่ฝึกปรือลมปราณกระดองเต่าสำเร็จสมบูรณ์ถึงขั้นที่หกเสียอีก นอกจากพลังปราณที่ร่อยหรอไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ฝ่ามือของผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ก็เริ่มปวดบวมขึ้นจากการกระแทกใส่เกราะเกล็ดมังกรและลมปราณเทวราชของฝ่ายตรงข้าม ทำให้กระบวนท่าฝ่ามือของมันอ่อนโทรมลงไปไม่น้อย 

                ในทางกลับกัน เสี่ยวอิง ยิ่งต่อสู้ยิ่งคึกคัก พลังธาตุไฟและน้ำที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่าง ล้วนถูกฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามกระแทกกระทั้น จนกระจายออกมาผสมกลมกลืนกับลมปราณ ไหลเวียนไปตามเส้นชีพจรอย่างรวดเร็ว เท่ากับ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี กำลังนวดเฟ้นจุดชีพจร เพิ่มพูนพลังการฝึกปรือให้กับ เสี่ยวอิง โดยไม่รู้ตัว ทำให้เสี่ยวอิง รู้สึกสบายไปทั้งร่างกาย จนอยากให้อีกฝ่ายฟาดฝ่ามือเข้าใส่ไปทั้งวัน ทำให้ช่วงหลัง เสี่ยวอิง ปัดป้องเพียงฝ่ามือที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าเท่านั้น ฝ่ามืออื่น ๆ ล้วนปล่อยให้ฟาดเข้าใส่ทั่วร่างของตนเองตามสบาย สีหน้าแฝงความสุข นอกจากร้องครางออกมาแล้ว ประกายตาเคลิ้มฝันที่แสดงออก ยิ่งเสียดแทงจิตใจของ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี จนมันเกือบจะกลายเป็นบ้าไปอย่างแท้จริง

                ก่อนนี้ มันเริ่มคิดที่จะถอนตัวจากไป เพราะมันไม่ได้มีความแค้นใดกับเณรน้อยเบื้องหน้า อีกทั้งฟาดฝ่ามือไปเท่าไร ก็ไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายได้ ยิ่งสู้ยิ่งเหนื่อย แต่เมื่อเห็นท่าทีเคลิบเคลิ้มราวกับมีความสุขที่ถูกทุบตี ทำให้มันเกิดโทสะจนสุดระงับ ตัดใจไม่คำนึงถึงผลตามหลัง เร่งเร้าวิชาต้องห้ามออกมาทันที 

                พลังฝ่ามือเปลวอัคคีก่อนหน้านี้ แฝงประกายสีแดง ต่อให้แผ่เปลวไฟออก ก็ยังเป็นสีแดง แต่เมื่อรีดเร้นพิษอัคคีออกจากจุดตันเถียน พลังฝ่ามือเปลี่ยนเป็นแดงอมม่วงขึ้นทีละน้อย เมื่อฟาดเข้าใส่เกราะเกล็ดมังกร แม้ผิวภายนอกจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่พิษอัคคีกลับชำแรกผ่านชั้นเกราะเข้าไปได้ เมื่อพิษอัคคีนี้ สัมผัสกับลมปราณคุ้มครองกายของ เสี่ยวอิง เกิดเสียงฉี่ ฉี่ ขึ้นพร้อมกับควันขาวขุ่นลอยคลุ้งออกมาจากด้านในของเสื้อเกราะเกล็ดมังกร ทำให้ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี แผดเสียงร้องออกมาด้วยความสะใจ 

                เสี่ยวอิง รับรู้ความเปลี่ยนแปลงนี้เกือบจะทันที แต่ก่อนที่มันจะคิดหาวิธีรับมือ พลังธาตุน้ำที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกาย กลับเกิดปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นเอง ควรทราบว่า ก่อนจะออกมาจากเกาะ ธาตุไฟในร่างของ เสี่ยวอิง เหนือกว่า ธาตุน้ำ พอสมควร แต่เมื่อโดยสารเรือ และดึงดูดธาตุน้ำจากทะเล ที่มีไม่จำกัด ทำให้สมดุลเริ่มเปลี่ยนเป็นธาตุน้ำเหนือกว่าธาตุไฟเล็กน้อย ในตอนนี้เมื่อเผชิญพิษอัคคี ที่เกิดจากการสะสมพลังธาตุไฟบริสุทธิ์ จนธาตุน้ำต้องเคลื่อนไหวออกต่อต้าน ทำให้ธาตุไฟที่ถูกธาตุน้ำกดเอาไว้ บังเกิดการตอบสนอง ชักนำให้พิษอัคคีไหลเข้ามาในเส้นชีพจร หลอมรวมกับธาตุน้ำส่วนเกินอย่างรวดเร็ว

                การหลอมรวมธาตุทั้งสอง ที่อยู่ขั้วตรงข้าม ย่อมไม่เป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้สีหน้าของเสี่ยวอิงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเป็นระยะ สร้างความยินดีให้กับ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ที่เห็นว่า พิษอัคคีสามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ จึงเร่งเร้าพิษอัคคีออกจู่โจมโดยไม่รั้งยั้ง แต่มันหารู้ไม่ว่า การกระทำเช่นนี้ ยิ่งเพิ่มพลังการฝึกปรือให้กับ เสี่ยวอิง สุดท้าย เมื่อพลังธาตุทั้งสองผสานกันเป็นกระแสพลังขนาดใหญ่ บุกเบิกขยายเส้นชีพจรให้เบ่งพองออก ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ด่านเป็นตาย ทำให้เสี่ยวอิงที่เริ่มมีใบหน้าซีดเผือด จำเป็นต้องหยุดมือ ทรุดนั่งลงขัดสมาธิ จดจ่ออยู่กับการโคจรลมปราณภายในร่างเท่านั้น 

                ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ที่รู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาบ้าง เห็นว่า อีกฝ่ายใกล้จะหมดสภาพแล้ว มันจึงกัดฟัน ฟาดฝ่ามือทั้งคู่ ประทับเข้าใส่จุดสำคัญใต้ราวนมทั้งสองข้าง ทุ่มพลังที่เหลือทั้งหมด หวังจะกระแทกให้อีกฝ่ายตกตายไปในคราเดียว ถึงตอนนั้น มันยังพอจะใช้วิชาเร้นลับ ดึงดูดพิษอัคคีที่แฝงอยู่ในร่างอีกฝ่าย กลับคืนเข้าสู่ร่างกายตนเอง เพราะหากปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไปได้ พิษอัคคีที่มันทุ่มเวลาสะสมนับสิบปี ย่อมสูญสลายไป พร้อมกับอายุขัยของมันอีกสิบปีด้วย

                ในขณะที่ เสี่ยวอิง กำลังร้อนใจที่ ส่งพลังปราณกระแทกด่านเป็นตายไปแล้วนับสิบครั้ง ยังไม่อาจทะลุทะลวงได้ จนมีทีท่าจะถอยกลับ หากไม่สามารถกระแทกด่านเป็นตายได้ในครั้งเดียว ตัวมันเองย่อมถูกพลังที่ไหลย้อนกลับ กระแทกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บภายในได้ แต่พลังเฮือกสุดท้ายของ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี กลับเข้ามาเสริมทันเวลา เห็นพลังปราณไหลบ่าราวกระแสน้ำป่า ผ่าทะลวงด่านเป็นตาย จนเปิดออกกว้าง ปล่อยให้พลังปราณไหลเวียนไปทั่วร่างโดยไม่ติดขัด 

                เสี่ยวอิง รู้สึกถึงพลังปราณเต็มเปี่ยมในเส้นชีพจรปกติทั้งสิบสอง และเส้นชีพจรลับทั้งแปด ต่อไปนี้ พลังปราณสามารถหมุนเวียนไปทั่วร่าง ก่อเกิดพลังไม่สิ้นสุดส่งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างเส้นชีพจรปกติและเส้นชีพจรลับ นั่นคือ ต่อไปนี้ลมปราณภายในร่างกายของ เสี่ยวอิง จะไม่มีวันขาดห้วง หรือเหือดแห้งจากการใช้งานอีกต่อไป ในเวลาเดียวกันกับที่ ด่านเป็นตายถูกทะลวงผ่าน ลมปราณคุ้มครองกายของเสี่ยวอิง แปรสภาพเป็นดั่งผนังเหล็กกำแพงทองแดง ดีดสะท้อนฝ่ามือทั้งสองของผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ให้หลุดออกจากหน้าอก แรงสะท้อนนี้ ยังกระแทกให้ร่างของ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ลอยคว้างไปในอากาศ ก่อนจะร่วงฟาดลงกับพื้นหญ้าข้างทางหลวง ห่างออกไปถึง 10 เชียะด้วย สร้างความเจ็บปวดให้กับมันไปทั่วร่าง จนต้องร้องครวญครางออกมา แถมพลังปราณก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ทำให้ตลอดทั้งร่างของมันในตอนนี้ เปรียบเสมือนเปลือกที่กลวงว่างเปล่า ไร้เรี่ยวแรงที่จะประคองร่างให้ลุกขึ้นมาได้ ผิวหนังเหี่ยวย่นแห้งกรัง อันเป็นผลมาจากการสูญเสียพลังชีวิตทำให้แก่ขึ้นทันที 20 ปี ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ มันคงเสียพลังชีวิตเพียงสิบปี แต่เมื่อพิษอัคคีถูกพลังธาตุไฟในร่างของเสี่ยวอิงชักนำเข้าไป ทำให้มันสูญเสียพิษอัคคีไปหมดสิ้น จนเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวขึ้น ต่อให้สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็หลงเหลือพลังฝีมือเพียงสามส่วนเท่านั้น

                ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี เพ่งมอง เสี่ยวอิง อย่างอาฆาต เห็นพลังสีแดงและฟ้าสองสายหมุนวนอยู่รอบกายของอีกฝ่าย ตอนแรกพลังสองสายนี้ยังพอจำแนกออกจากกันได้ ต่อมาผสมกลมกลืนกันจนแยกออกจากกันได้อย่างเลือนราง ก่อนจะผสานกลายเป็นพลังสีทองจาง ๆ ปกคลุมทั่วร่าง แล้วค่อยไหลเลื่อนไปรวมตัวกันที่กลางขม่อม เปล่งประกายสีทองเจิดจ้าแวบหนึ่ง ก่อนจะจางหายไป ทำให้ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี ต้องร้องออกมาสุดเสียง อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจว่า

                “ประกายทองคลุมขม่อม !!!”

                จะให้มันยินยอมพร้อมใจได้อย่างไร ยอดฝีมือที่บรรลุระดับ ประกายทองคลุมขม่อม แสดงว่า สามารถทะลวงผ่านด่านเป็นตาย ลมปราณก่อเกิดไม่สิ้นสุด แถมมีอายุขัยยืนยาวอีกอย่างน้อย 60 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับตัวมันที่สูญเสียอายุขัยไปคราวเดียว 20 ปี ทั้งที่มันมีพลังฝีมือเหนือล้ำกว่าอีกฝ่าย ไล่ทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว ทำไมสวรรค์ช่างโหดร้าย ลงโทษมันแต่ส่งเสริมเด็กน้อยนี้แทน

                ด้วยความแค้น แม้จะแทบไม่มีพลังหลงเหลือ แต่มันยังกัดฟัน ชักมีดสั้นจากในอกเสื้อ เกร็งลมปราณเท่าที่เหลือ สะบัดซัดเข้าใส่หน้าผากของ เสี่ยวอิง อย่างแม่นยำ มีดสั้นของมันนี้อาบยาพิษผลาญชีวันไว้ ขอเพียงสะกิดโลหิต เป้าหมายย่อมถูกพิษกำเริบตายในอึดใจเดียว น่าเสียดาย ทันทีที่คมมีดสั้นกระทบถูกหน้าผากโล้นเลี่ยน ก็ถูกลมปราณเทวราชกระแทกสะท้อนย้อนกลับไปหาผู้ซัดอย่างรวดเร็ว

                ผู้คลุ้มคลั่งอัคคีที่ไม่หลงเหลือพลังในร่างแม้แต่นิดเดียว ได้แต่เบิ่งตามองมีดสั้นของตนเอง พุ่งย้อนกลับ ปักเข้าใส่หว่างคิ้วของตนเองอย่างสิ้นหวัง กรีดร้องเสียงแหบพร่า ก่อนจะตาเหลือกค้าง สิ้นสุดชีวิตไปอย่างคับแค้นใจ

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×