ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธคงกระพัน (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #10 : รับบริจาค

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.87K
      319
      17 พ.ย. 63

     

     

                เสี่ยวอิง ที่กำลังอยู่ในภวังค์ สะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่รอบกาย ลืมตาขึ้นมองเห็นชายในชุดคลุมสีแดงจำนวน 3 คน คุกเข่าอยู่ข้างซากศพของ ผู้คลุ้มคลั่งอัคคี โดยคนหนึ่งในนั้นกำลังตรวจสอบสภาพของอีกฝ่าย แม้จะเห็นอยู่ทนโท่ว่า มีมีดสั้นปักอยู่หว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่มันก็ยังคงตรวจสอบเผื่อจะพบเจอสาเหตุอื่นที่เป็นสาเหตุแท้จริง จนเมื่อมั่นใจว่า อีกฝ่ายตกตายจากพิษของมีดสั้นตนเอง มันจึงทอดถอนใจ พลางผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันมามอง เสี่ยวอิง ที่นั่งขัดสมาธิ ลืมตาจ้องมองมาที่พวกมันทั้งสาม

                ชายอีกสองคนผุดลุกขึ้นยืนตามหลังชายคนแรก พร้อมกวาดสายตามองมาที่ เสี่ยวอิง เป็นจุดเดียว เห็นเป็นเด็กน้อยอายุราว 14 ปี หัวโล้นเลี่ยน อยู่ในชุดประหลาดที่ไม่ค่อยรับกับรูปร่าง ทำให้ ชายคนแรก ที่มีวัยราว 30 ปี ไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปากบาง ดูท่าเป็นคนช่างเจรจา สาวเท้าเข้ามาใกล้ เสี่ยวอิง พร้อมกับกล่าวถามว่า

                “เจ้าเด็กน้อย ชื่ออะไร ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ และรู้เห็นสาเหตุที่คนในชุดคลุมสีแดงนั่นตกตายหรือไม่”

                เสี่ยวอิง ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยพอใจในน้ำเสียงที่แสดงความเหนือกว่าของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อตนเองเป็นเพียงเณรน้อย ซึ่งคุ้นชินกับการออกคำสั่งของผู้มีอาวุโสสูงกว่า ทำให้มันข่มความไม่พอใจเอาไว้ กล่าวตอบว่า

                “ข้าชื่อ เสี่ยวอิง เป็นเณรธุดงค์ นั่งอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้ว ก่อนหน้านี้ ก็ถูกชายคนนั้น ทุบตีอยู่หลายฝ่ามือ แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่า ทำไมเขาถึงตายได้ ดูท่า พระพุทธองค์ คงลงโทษที่เขามีพฤติกรรมก้าวร้าวก็เป็นได้ อมิตพุทธ พุทธองค์โปรดปรานี”

                ชายคนแรก ขมวดคิ้ว เพ่งสายตามอง เสี่ยวอิง อย่างระแวง ในขณะที่ ชายวัยราว 25 ปีคนหนึ่ง ใบหน้าดุร้าย กระชากเสียงออกมาว่า

                “บัดซบ เณรธุดงค์อะไร ข้าไม่เคยได้ยิน ถ้าเป็น หลวงจีนธุดงค์ ก็ว่าไปอย่าง แต่ในความหมายแท้จริงของ คำว่าธุดงค์ ก็คือ พเนจร ไร้วัดที่อาศัยนั่นแหละ ไม่ต้องแต่งคำให้ฟังรื่นหูไปหรอก และอีกอย่าง อาศัยเด็กน้อยเจ้า มีหรือที่ท่านหัวหน้ากองฮัก จะต้องฟาดหลายฝ่ามือ ขอเพียงข้า หมัดทมิฬ เจียวซาง ลงมือ เพียงหมัดเดียว ก็กระแทกศีรษะเจ้าให้บี้แบนได้แล้ว”

                ชายอีกคนก็มีสีหน้าขุ่นเคือง คิดว่า เด็กน้อยเบื้องหน้า เล่นลิ้น ถ้าไม่ติดที่ต้องการสอบถามข้อมูล ตัวมันเองก็คงรี่เข้าไปฟาดให้ตกตายไปแล้ว ในขณะที่ ชายไว้หนวดเรียว เพ่งสังเกต แต่ก็ไม่พบว่า อีกฝ่ายมีความพิสดารอันใด จึงร้องสั่งว่า

                “เจียวซาง เจ้าลองเข้าไปทดสอบเจ้าเด็กนี้หน่อยสิ แล้วเพลามือหน่อยนะ อย่าต่อยจนมันตกตายไปซะละ”

                เจียวซาง ร้องรับคำ พลางสืบเท้าเข้าหา เสี่ยวอิง พลางร้องขู่ออกมาว่า

                “ได้ยินไหม เจ้าเด็กน้อย ต่อให้หัวหน้าหน่วยเซียวกำชับไว้ แต่ข้าผู้นี้ มักไม่สามารถยั้งมือได้ดีนัก ถ้าไม่รีบสารภาพออกมาตามจริง ต่อให้ไม่ตาย ก็ต้องพิการแน่นอน”

                เสี่ยวอิง ถอนหายใจออกมา กล่าวว่า

                “ข้าก็พูดตามจริงอยู่แล้ว นี่ดูสิ กระทั่งเสื้อผ้าชั้นนอกของข้า ยังถูกฝ่ามือเปลวอัคคีของหัวหน้ากองฮักอะไรนั่น เผาจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าเป็นบริวารของมัน ก็ต้องบริจาคเงินชดใข้ค่าเสื้อผ้าและอาหารที่ถูกทำลายไปแทนมันด้วย”

                เจียวซาง มีสีหน้าขุ่นแค้น ไอ้เด็กคนนี้ ไม่รู้จักดีชั่วเกินไปแล้ว ดูท่าสมองของมันคงมีปัญหา ตอนนี้แทนที่จะห่วงชีวิต กลับมาพุดเรื่องเสื้อผ้าอะไรนั่น เพียงเสี้อผ้าถูกเผาไป จะกระไรนัก ปกติ ท่านหัวหน้าหน่วยฮัก ก็เผายอดฝีมือยุทธจักรจนตกตายมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คนกันแล้ว แต่หัวหน้าหน่วยเซียว กลับฉุกคิดขึ้นมาได้ ร้องห้ามทันทีว่า

                “เจียวซาง ช้าก่อน”

                แต่ไม่ทันแล้ว เพราะเจียวซาง ที่มีโทสะอัดอก ถีบเท้ายันพื้น พุ่งเข้าใส่ เสี่ยวอิง พร้อมกับชกหมัดของมันเข้าใส่หัวไหล่ขวา หมายบดขยี้ให้กระดูกอีกฝ่ายแหละละเอียด ดูสิว่า เด็กน้อยนี้ ยังสามารถพูดจาอวดดีได้อีกหรือไม่

                ทันทีที่ หมัดของ เจียวซาง กระทบถูกเกราะเกล็ดมังกร เกิดประกายสีทองจาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นแผ่ออกต้านปะทะ ทำให้เกิดเสียงดังกร๊อบ หมัดแข็งแกร่ง ที่เจียวซางภูมิใจนักหนา บิดเบี้ยวผิดรูปไปจากกระดูกมือแตกละเอียด ใบหน้าของมันกลายเป็นซีดขาว ปากอ้ากว้างกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด ร่างถูกพลังปราณเทวราช กระแทกให้ต้องถอยหลังกรูด ๆ ไปห้าก้าว ก่อนจะล้มลงบิดตัวครวญคราง ยกมือซ้ายขึ้นกุมหมัดขวาที่แหลกเหลวตกห้อยลง เพราะขาดกระดูกค้ำยันไว้

                หัวหน้าหน่วยเซียว มีสีหน้าแตกตื่น ก้าวถอยหลัง ทิ้งระยะห่างจาก เสี่ยวอิง ป้องกันมิให้อีกฝ่ายลงมือจู่โจมเข้าใส่ สองมือยกขึ้นป้องอก ปากร้องตวาดออกมาว่า

                “อยู่ต่อหน้าคนจริง ไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว สหาย มาจากไหน เหตุใดจึงรังควานต่อ พรรคเปลวอัคคี”

                ไม่ขยับตัว แต่กลับสามารถทำลายหมัดของ เจียวซาง ได้ในพริบตาเดียว ไม่ว่าดูอย่างไร ตัวมันก็คงไม่อาจรับมือได้ ตอนนี้ มันไม่แปลกใจแล้ว ที่อีกฝ่ายบอกว่า เคยรับหลายฝ่ามือของหัวหน้ากองฮัก เป็นไปได้ว่า อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ จึงนั่งอยู่เฉย ๆ ทำให้มันกลอกตาไปมา ในใจคิดหาวิธีรับมืออย่างเร่งร้อน หากอีกฝ่ายสามารถยันกายลุกขึ้นยืนได้ มันคงสะบัดหน้า วิ่งเตลิดหนีไปก่อนแล้ว

                ในขณะที่ บริวารอีกคนหนึ่ง มีสีหน้าหวาดกลัว ก้าวถอยหลังไปหยุดอยู่ด้านหลัง หัวหน้าหน่วยเซียว อย่างรู้งาน ในใจนึกชมเชยวาสนาตัวเอง ที่ไม่หุนหันออกไปลงมือ ความคิดประมาทที่อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กน้อย หายไปในพริบตา 

                เสี่ยวอิง มีสีหน้างงงัน แม้จะทราบว่า ลมปราณคุ้มครองกายของตนเองเข้มแข็ง แต่เมื่อไรกัน ที่มันมีพลังสะท้อนกลับรุนแรงเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม มันสังเกตเห็นประกายสีทองจาง ๆ เช่นกัน ทำให้หวนคิดไปถึง รัศมีสีทองของ หลวงจีน จีจาง คิดไปว่า แค่ประกายจาง ๆ ยังมีอิทธิฤทธิ์ปานนี้ ถ้ามันประสบความสำเร็จ สามารถแผ่รัศมีได้สักครึ่งหนึ่งของ หลวงจีน จีจาง คงไม่ต้องเกรงกลัวยอดฝีมือยุทธจักรคนใดอีกต่อไป สร้างความยินดี จนมันเผยอยิ้มออกมา

                ในสายตาของ หัวหน้าหน่วยเซียว รอยยิ้มของ เสี่ยวอิง กลับดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังแสยะยิ้ม และคิดจะลงมือ ทำให้มันร้องตวาดสุดเสียง เกร็งพลังสิบส่วน ฟาดฝ่ามือเปลวอัคคีที่ฝึกปรือสำเร็จสามส่วนออกไป เห็นประกายสีแดงจาง ๆ พุ่งเป็นแนวตรงเข้าใส่ เสี่ยวอิง อย่างรวดเร็ว

                เสี่ยวอิง ที่เห็นเป็นพลังฝ่ามือเปลวอัคคีอีกแล้ว จึงเกิดความขุ่นเคืองขึ้น ในใจคิดว่า พวกพรรคเปลวอัคคีนี่ ช่างไร้เหตุผลเสียจริง เอะอะก็ลงมือทำร้ายผู้อื่น หากไม่ใช่ตนเอง ไม่รู้ว่าจะมีคนตกตายไปเท่าไร ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามอยากฟาดฝ่ามือนัก ตนเองก็ต้องการทดสอบ ลมปราณเทวราช อยู่แล้วว่า หลังจากที่เกิดการผสานพลังธาตุในร่างกายไปแล้ว ลมปราณคุ้มครองกาย พัฒนาจนร้ายกาจกว่าเดิมสักเท่าไร จึงนั่งนิ่ง ปล่อยให้พลังฝ่ามือเปลวอัคคี ฟาดเข้าใส่หน้าอกโดยไม่หลบหลีก ทำให้ หัวหน้าหน่วยเซียว ยิ่งเชื่อมั่นในข้อสันนิษฐานของตนเอง ที่อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ เมื่อสักครู่เป็นเพียงพลังเฮือกสุดท้าย หวังจะข่มขู่ตนเองให้หลบหนีไป จึงเร่งเร้าพลังปราณในร่าง ทุ่มแทพลังฝ่ามือออกโดยไม่ออมรั้ง หากสามารถคร่ากุมอีกฝ่ายได้ ย่อมได้รับความดีความชอบอย่างมาก ดีไม่ดี อาจได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปแทน หัวหน้ากองฮัก ในคราเดียวเลย

                แต่ความยินดีของ หัวหน้าหน่วยเซียว กลับต้องพลิกกลับ เมื่อพลังฝ่ามือกระทบถูกเสื้อของอีกฝ่าย พลังฝ่ามือที่แฝงพิษอัคคี กลับหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ในขณะที่มันกำลังตกตะลึงอยู่นั้น พลังร้อนแรงสายหนึ่ง ที่รุนแรงกว่าพลังฝ่ามือของมัน พุ่งสวนย้อนกลับออกมา ชำแรกเข้าไปในเส้นชีพจร ฉีกกระชากตลอดทาง จนถึงจุดตันเถียน ที่แตกระเบิดออกในพริบตา ทำให้มันต้องกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ร่างปลิวละลิ่วไปด้านหลังคราเดียว 10 เชียะ ก่อนจะกลิ้งตลบไปบนพื้นสามตลบ แล้วนอนแน่นิ่งไป หัวหน้าหน่วยเซียว ร้องครางออกมาได้อีกสองสามเสียง ก่อนจะเงียบ ลมหายใจสุดท้ายขาดห้วงไป ตกตายอย่างงมงาย

                เจียวซาง ที่เห็นสภาพตกตายของ หัวหน้าหน่วยเซียว หยุดเสียงร้องครางอย่างกะทันหัน ในลำคอส่งเสียงครอก ๆ เหงื่อไหลท่วมไปทั่วร่าง ตะเกียกตะกายถอยห่างออกไป สองตาทอแววหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ในขณะที่ ชายฉกรรจ์คนสุดท้าย คุกเข่าโครม โขกศีรษะ ให้กับเสี่ยวอิง ที่กวาดสายตามองมา พลางร้องว่า

                “ท่านผู้กล้า โปรดละเว้นชีวิตของข้าด้วยเถิด ข้าน้อยยังมีมารดาชรา เมีย และลูกอีกสามคน ต้องดูแล หากข้าไม่อยู่แล้ว พวกมันต้องลำบากเป็นอย่างยิ่งแน่นอน”

                เสี่ยวอิงรู้สึกเขินขึ้นมา ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนแปลง ยิ่งสร้างความตื่นกลัวให้กับชายคนนั้น จนโขกศีรษะดังโครม ๆ หน้าผากเริ่มบวมปูดขึ้นมา จนเสี่ยวอิง ต้องรีบยกมือห้ามปราม พร้อมกับกล่าวว่า

                “พอเถอะ ข้าเป็นผู้ออกบวช จะคร่าชีวิตสัตว์โลกได้อย่างไร ขอเพียงเจ้าบริจาคชดใช้เสื้อผ้าที่ถูกหัวหน้ากองของเจ้าเผาไป พวกเจ้าก็จากไปได้แล้ว”

                ชายฉกรรจ์ทั้งสอง หันไปมองซากศพของ หัวหน้ากองฮัก และร่างแน่นิ่งของหัวหน้าหน่วยเซียว ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายแล้ว รู้สึกหัวร่อมิออกร่ำไห้มิได้ แต่จะว่าไป เณรน้อยเบื้องหน้าก็พูดความจริงในกรณีของ หัวหน้าหน่วยเซียว เพราะไม่เห็นว่ามันลงมืออย่างไร มีเพียงหัวหน้าหน่วยเซียวลงมือฝ่ายเดียว สุดท้ายกลับลงเอยเข่นนี้ หากปล่อยให้มันลงมือ ไม่รู้สภาพศพจะกลายเป็นอย่างไร ดังนั้น ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากเรียกร้องแค่เงินทอง พวกมันทั้งสอง จึงหันไปสบตากัน ก่อนจะรีบล้วงเอาเงินที่ติดตัวออกมาทั้งหมด นำไปวางกองอยู่ตรงหน้าของ เณรน้อย ในจำนวนนี้ มีเศษเงินเพียงเล็กน้อย เงินส่วนใหญ่อยู่ในรูปของตั๋วแลกเงิน ซึ่ง เสี่ยวอิง ที่เติบโตมาในวัดชนบทริมชายฝั่ง ย่อมไม่คุ้นเคย ทำให้อดขมวดคิ้วไม่ได้ 

                แต่เมื่อสีหน้านี้ปรากฏต่อสายตาของคนทั้งสอง กลับแปลเจตนาไปเป็นว่า เสี่ยวอิง ไม่พอใจที่จำนวนเงินน้อยเกินไป ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ สำหรับบริวารระดับล่างอย่างพวกมัน ไหนเลยจะมีเงินติตดัวมากมายไปได้ ดังนั้น เจียวซาง ที่ได้รับความเจ็บปวดมาแล้ว จึงเหลือบมองไปทางร่างของหัวหน้าหน่วยเซียว ในขณะที่อีกคนหนึ่ง หันไปทางซากศพของหัวหน้ากองฮัก ซึ่งเมื่อเสี่ยวอิง มองเห็นเช่นนั้น ต้องพยักหน้า แต่ยังกล่าวอย่างเขิน ๆ ว่า

                “จริงสิ หัวหน้าหน่วยฮัก น่าจะพกเงินแท่งติดตัว ความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นคนเผาเสื้อข้า ก็ควรเป็นผู้รับผิดชอบมากที่สุด”

                ชายฉกรรจ์คนนั้น ราวกับได้รับบัญชาสวรรค์ รีบลุกขึ้นสาวเท้าไปค้นร่างของหัวหน้าหน่วยฮักอย่างว่องไว ก่อนจะหยิบตั๋วแลกเงินปึกใหญ่ออกมา วางที่ด้านหน้าของเสี่ยวอิง เท่าที่มันแอบนับคร่าว ๆ คิดว่าอีกฝ่ายต้องพอใจแน่ เพราะมีจำนวนเงินกว่า 4,000 ตำลึง แต่เสี่ยวอิง ที่เห็นเป็นตั๋วแลกเงินอีกแล้ว จึงต้องขมวดคิ้ว คิดในใจว่า พวกนี้มันอะไรกัน พกแต่กระดาษ ไม่รู้จักพกเงินแท่งกันเลยหรือไง ดูท่าพวกชาวยุทธจักรนี่ ยากจนกว่าที่คิดอีกนะ ซึ่งก็ยากที่จะกล่าวโทษว่า เสี่ยวอิง ไม่รู้จักตั๋วแลกเงิน เพราะจากประสบการณ์ มันเคยเห็นแต่ เงินกระดาษ ที่ชาวบ้านเผาไปให้คนตาย ในพิธีกงเต๊ก เท่านั้น ดังนั้น เสี่ยวอิง ที่คิดว่า ต้องเอาเงินกระดาษเหล่านี้ ไปแลกเป็นเงินเหรียญในเมือง จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้

                ทางด้าน เจียวซาง ที่เฝ้ามองตลอดเวลาสีหน้าของ เสี่ยวอิง ตลอดเวลา ต้องใจหายวูบ ข่มกลั้นความเจ็บปวด รีบลุกขึ้นไปรื้อค้นร่างของ หัวหน้าหน่วยเซียว ในครั้งนี้ นอกจากตั๋วแลกเงินมูลค่ากว่า 1,000 ตำลึงแล้ว ยังมีเงินแท่งอีก 20 ตำลึง และเศษเหรียญอีกเล็กน้อย สร้างความพึงพอใจให้กับ เสี่ยวอิง จนยิ้มออกมาหน้าระรื่น กล่าวออกมาว่า

                “ขอบคุณประสกทั้งสองเป็นอย่างมาก เมื่อมีศรัทธาบริจาคให้กับพุทธองค์ พระองค์ย่อมอำนวยพร ให้ประสกทั้งสอง ประสบแต่ความสุข เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน”

                ชายฉกรรจ์ทั้งสอง รับคำทั้งน้ำตา ฟังจากคำพูดของ เสี่ยวอิง แสดงว่า ยินยอมปล่อยให้พวกตนจากไปแล้ว ในใจนึกขึ้นว่า

                ‘ขอเพียง ยมบาลน้อยอย่างเจ้า ยินยอมปล่อยปละละเว้น ก็นับเป็นบุญยิ่งใหญ่แล้ว ที่เขาว่ากันว่า พวกหลวงจีนละโมบโลภมากนี่ เป็นความจริง กระทั่ง เณรน้อยตัวแค่นี้ ยังปากกว้าง (แผลงเป็นละโมบ) ขนาดนี้ รอจนมันเติบโต กลายเป็นหลวงจีน ไม่รู้จะเรียกร้องขนาดไหน ในอนาคต ขอเพียงไม่เจอ เณร อย่างเจ้านี่ ก็ขอขอบคุณฟ้าดินแล้ว’

                แม้จะร้องคร่ำครวญในใจ แต่ภายนอก ทั้งสองคน ได้แต่แสดงสีหน้าที่ศรัทธาอย่างถึงที่สุด โขกศีรษะสามครั้ง ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไป แต่เพียงก้าวเท้าไปได้สองก้าว กลับถูกเสี่ยวอิงเรียกรั้งไว้ กล่าวว่า

                “นี่พวกเจ้าลืม หัวหน้าของพวกเจ้าไปได้อย่างไร แม้คนจะตายไปแล้ว พวกเจ้าก็ควรพาซากศพกลับไปทำบุญตามประเพณีนะ หรือจะให้ข้าทำพิธีสวดให้”

                ทั้งสองคนหน้าซีดเผือดทันที แค่ไถ่ชีวิตตนเอง ก็กวาดทรัพย์สินไปจนหมดตัวแล้ว ขืนให้ เณรน้อยนี้ ทำพิธีสวดอีก พวกมันคงต้องขายตัวชดใช้แล้ว รีบกล่าวระล่ำระลักปฏิเสธ พร้อมกับคว้าร่างของหัวหน้าทั้งสองคนพาดไหล่ ก่อนจะวิ่งตะบึงจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่เหลียวหลังเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางเสียงถอนหายใจด้วยความเสียดาย ของ เสี่ยวอิง ที่ถึงแม้อยากสวดส่งวิญญาณให้ แต่ก็จำบทสวดไม่ได้

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×