ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FULL-TIME #สายรุ้งสีคราม

    ลำดับตอนที่ #2 : CH01 :: 01:00

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 38
      4
      22 มี.ค. 63




    01:00

     

    “มึงไม่ต้องพามิ้นท์ไปกินข้าวเหรอ” เพื่อนแก้มย้วยที่เดินอยู่ข้างๆ โพล่งขึ้นระหว่างทางที่ผมกับมันกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ และคำเตือนนั่นทำให้ต้องชะงักทันที

    “เออว่ะ วันนี้ทั้งวันก็หายไปเลย” ว่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดห้องแชทที่ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ มีแค่ข้อความที่ผมเป็นฝ่ายส่งไปหาอีกฝ่ายตั้งแต่เช้าและมันยังไม่ถูกเปิดอ่าน

    ...รู้สึกโหวงๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

    “ไม่ตอบแชทเหรอ ทำไมไม่โทรหาเขาล่ะ” แทนว่าและมันเป็นสิ่งที่ผมกำลังจะทำ เพราะวันนี้ทั้งผมทั้งมิ้นท์เรียนเต็มวันเหมือนกันหรอก ถึงไม่มีเวลาโทรหาอีกฝ่ายเลยน่ะ

    [ไม่มีหมายเลขที่คุณเรียก กรุณาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง...]

    กดตัดสายพลางขมวดคิ้วมองหน้าจอที่เปลี่ยนกลับไปเป็นหน้าจอแสดงคอนแทคที่เมมเอาไว้ในโทรศัพท์ สไลด์หน้าจอเลื่อนดูประวัติการโทรแล้วก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย

    “เป็นไง”

    “...” ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะแตะชื่อของมิ้นท์เพื่อโทรออกอีกครั้ง

    [ไม่มีหมายเลขที่คุณเรียก...]

    “ทำไมมันบอกว่าไม่มีเบอร์วะ” ตัดสายทิ้งก่อนที่เสียงตอบรับอัตโนมัตินั่นจะพูดจบ คำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในหัว

    หมายความว่ายังไง?

    หายไปไหน?

    เกิดอะไรขึ้น?

    ทำไมถึงติดต่อไม่ได้?

    “อ้าว! นั่นสกายนี่นา ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมเรียกชื่อให้ผมต้องหันไปตามเสียง

    ร่างสูงโปร่งกับใบหน้าที่เคยเจออยู่บ่อยครั้งเวลาที่ผมมาหามิ้นท์

    คนคนนี้ชื่อซัน เพื่อนกลุ่มเดียวกันกับมิ้นท์ ด้วยความที่เจอกันแทบจะทุกครั้งที่ผมมาหามิ้นท์ที่คณะ บวกกับช่วงที่เริ่มคบกับมิ้นท์ใหม่ๆ ผมก็หึงเธอกับเพื่อนผู้ชายของเธอไปทั่ว เลยถูกจับไปนั่งจับเข่าคุยกันจริงจังจนกลายเป็นสนิทกันในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้

    “ไง ที่พูดนั่นยังไงก่อน แล้วทำไมกูจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะ” ยกมือขึ้นทักทายพร้อมถามกลับถึงคำถามแปลกๆ ที่อีกฝ่ายถาม

    “ก็มิ้นท์มันขึ้นเครื่องวันนี้ นึกว่ามึงจะไปส่งที่สนามบิน” ซันตอบกลับในทันที แต่สิ่งที่ได้ยินทำให้ต้องขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ

    ขึ้นเครื่องไปไหน?

    “หมายความว่ายังไง” ถามกลับไปทั้งที่ลำคอเริ่มแห้งผาก ความข้องใจเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสองมือเริ่มกำเอาไว้หลวมๆ

    “อ้าว มึงไม่รู้เรื่องเหรอ เห็นมิ้นท์มันบอกพวกกูว่ามันคุยกับมึงแล้ว”

    “ไม่รู้” เค้นเสียงตอบกลับอย่างฉุนเฉียวแทบจะในทันทีจนอีกฝ่ายชะงักไป นั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองเผลอเหวี่ยงออกไป ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่กดให้อ่อนลง “กูไม่รู้อะไรทั้งนั้นซัน”

    “...”

    มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง จากสีหน้าปกติกลับเริ่มมองเห็นความเครียดขึงในแววตา เหมือนคิดอะไรบางอย่างและกำลังลังเลที่จะพูดมันออกมา

    ต่อให้ไม่รู้เรื่องอะไร แต่จากที่ฟังสิ่งที่ซันพูดแล้ว ในตอนนี้ต่อให้ผมรู้ มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

    “บอกกูมาเถอะ” พูดออกไปแบบนั้นทั้งที่สองมือเย็นเยียบและความกลัวเริ่มก่อตัว

    ...กลัวสิ่งที่กำลังจะได้ฟัง กลัวว่าที่คิดมันเป็นเรื่องจริง

    “เฮ้อ!” ซันถอนหายใจเหมือนทำใจเสร็จก่อนจะพูดต่อ “มิ้นท์มันย้ายไปเรียนที่อเมริกา”

    “มึงรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “มันพูดกับพวกกูตลอดนะ ว่าอยากไปอเมริกา แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะไปจริงๆ พวกกูมารู้ว่ามันจะไปก็เมื่อสองเดือนที่แล้วเอง”

    ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปหมด...

    “มึงยังติดต่อกับเขาได้ใช่ไหม” ถามกลับพร้อมเบนสายตาที่หลุดโฟกัสจากคนพูดให้กลับมาสบตาอีกฝ่าย ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวผมเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน ซันถึงได้ชะงักไปเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง

    “...”

    “...”

    เราต่างฝ่ายต่างสบตากันนิ่งเหมือนเป็นการหยั่งเชิง

    ผมเงียบเพื่อรอคำตอบ และซันเงียบเหมือนกับชั่งใจว่าควรจะทำยังไงต่อไปเมื่อผมเอาแต่เงียบและจ้องหน้าเอาคำตอบอย่างไม่ลดละ

    “มึงติดต่อมันไม่ได้เหรอ แล้วไลน์...”

    “ไม่ได้... มิ้นท์ไม่อ่านไลน์ ไม่รับสาย”

    “เอ้า อะไรของมันวะ ไหนบอกจบดีไง ทำไมมันไม่คุยกับมึงล่ะนั่น” ซันร้องพลางเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่ซันพูดยิ่งทำให้สองมือผมเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิมพร้อมเสียงตึกตักในอกที่เริ่มดังอื้ออึงและเริ่มรู้สึกเจ็บไปหมด

    จบดี ที่ซันว่าคืออะไร

    “จบอะไร” เค้นเสียงถามยากเย็น ทั้งที่รู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองกำลังหายไป

    “ก็มิ้นท์มันบอกว่าเลิกกับมึงแล้วกลับไปเป็นแค่เพื่อนกัน”

    “...”

    ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทั้งซัน ทั้งผม หรือแม้แต่แทนที่เฟดตัวหลบฉากออกไปอยู่ด้านหลัง

    คือ... แค่นี้ก็เห็นได้ชัดมากๆ แล้วว่าที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะทำดีให้ไปแค่ไหน มิ้นท์ก็คงจะไม่เคยเห็นค่าอะไรเลย ถึงได้ทำกับผมแบบนี้ เหมือนควายที่เพิ่งจะถูกปลุกความเป็นคนที่หลับอยู่ให้ตื่น

    คำบอกเล่าที่ทำให้หายโง่ แต่ก็แลกมาด้วยความปวดหนึบยากอธิบาย

    ...ให้ตายเถอะ

    “อืม” ครางเสียงในลำคอเบาๆ พลางพยักหน้าพร้อมหลุบสายตามองต่ำด้วยไม่อยากมองว่าสายตาที่มองมาของอีกฝ่ายจะเป็นยังไง แต่ต่อให้ไม่ต้องมองก็พอจะเดาได้

    ...ก็คงไม่พ้นสงสารหรือไม่ก็สมเพช

    “ขอบใจที่บอก” ผมพูดแค่นั้นพร้อมโบกมือเป็นเชิงขอตัว ก่อนก้าวออกไปจากตรงนี้เงียบๆ

    รู้สึกแย่ชะมัด

     

    หลังจากถกกันในห้องแชทกลุ่มว่าพี่จูนจะพาไปเลี้ยงขนมที่ร้านไหน ผมกับแทนที่นั่งลอยไปลอยมารอเวลาก็พากันย้ายสารร่างมาที่ร้านขนมที่เจ้ามือเป็นคนเลือก

    ภายในร้านแบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนคาเฟ่ที่อยู่ชั้นล่าง ส่วนที่สองก็อยู่บนชั้นสองเปิดเป็นบาร์เบียร์ที่มีทั้งโซนอินดอร์และมีโซนเอาท์ดอร์ให้นั่งรับลม แต่ถ้าวันไหนฝนตกแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยก็ฉิบหายกันทั้งโซน

    ถ้าจำไม่ผิด เคยได้ยินมาว่าถ้าเครียดให้กินของหวานจะได้อารมณ์ดี แล้วถ้าอยู่ในโหมดซึมอย่างกับหมาหงอยแบบผมนี่จะใช้ทฤษฎีนี้ได้ผลหรือเปล่า ก็เลยกลายเป็นว่าสั่งขนมมาจนเต็มโต๊ะ ทั้งๆ ที่คนอื่นยังไม่มา

    ไม่เป็นไร ถ้าคนกินจุอย่างผมกินไม่หมด ก็มีคนกินจุกว่าอย่างแทนอยู่ด้วย แป๊บเดียว เดี๋ยวก็หมด

    นั่งแช่อยู่พักใหญ่กว่าคนอื่นจะมาถึงกันทีละคนๆ ทุกครั้งที่ของบนโต๊ะเริ่มหมด ก็จะมีคนสั่งเพิ่มเหมือนกระเพาะเป็นหลุมดำ ทั้งของคาวหวานถูกยกเสิร์ฟจนแทบจะไม่มีที่ว่าง จนพนักงานต้องคอยเก็บจานที่ถูกวางเบียดเสียดกันแทบจะร่วงจากโต๊ะ

    เรื่องราวสัพเพเหระถูกขุดขึ้นมาพูดเรื่อยๆ จากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง จากคลองข้างถนนออกอ่าวไทยไปยันมหาสมุทร

    ใครว่าผู้ชายไม่ขี้เม้าท์คงต้องกลับไปคิดใหม่แล้วล่ะ

    แต่คนพวกนี้คงรู้ว่าผมอยู่ในโหมดซึมเป็นส้วม หัวข้อสนทนาล้านแปดเลยไม่มีเรื่องของผมกับมิ้นท์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น (แน่นอนว่าเรื่องนี้แพร่งพรายเข้าไปในแชทกลุ่มเพราะไอ้แทนคนเดียว) แม้พวกมันจะขี้เสือกมากถึงมากที่สุด

    ไม่รู้นั่งกันอยู่นานแค่ไหน ด้วยฟ้าข้างนอกที่มืดสนิทไปนานโข พอเหลือบมองนาฬิกาก็บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว

    ... เสี้ยนเหล้าว่ะ

    “อิ่มว่ะ เชี่ยแทนมึงสั่งเยอะ จัดการที่เหลือเลยนะ ไม่ต้องเนียนดันมาให้กูเลย” รุ่นพี่ต่างคณะที่ใช้ผมเป็นแมสเซนเจอร์เมื่อเย็นอย่าง พี่จูนและผู้เป็นเจ้ามือเลี้ยงขนมแทนข้าวเย็นมื้อนี้ว่าพร้อมใช้ส้อมในมือชี้หน้า แทน เพื่อนที่เพิ่งสนิทตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ที่กำลังแอบเนียนดันจานโทสต์ที่ตัวเองสั่งมาไปทางคนเลี้ยง

    “บ้า! กูแค่ขยับจานนี้เพราะว่ากูจะเอาอันนี้มากินต่างห่าง พี่มึงกล่าวหากูอ่ะ”คนถูกว่าพูดรัวเลิ่กลั่กพร้อมทำเนียนหยิบจานวาฟเฟิ้ลที่อยู่อีกด้านมาวางตรงหน้าอย่างที่แถไป

    “หน้าตาดูตอแหลมาก” คริสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโพล่งขึ้นทำให้รุ่นพี่ต่างขณะอีกคนอย่าง พี่ซิงค์ที่น่าจะกำลังเล่นเกมในโทรศัพท์ (เห็นกดมานานมาก) เงยหน้าขึ้นมามองคนถูกกล่าวหาก่อนจะก้มหน้าลงไปสนใจโทรศัพท์ตัวเองเหมือนเดิม

    “หน้ามึงตอแหลกว่ากูอีกนะคริสนะ” ปากก็เคี้ยวจนแก้มย้วย แต่ก็ยังพูดต่อปากต่อคำกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามทั้งๆ ที่ขนมยังเต็มปาก แอบเห็นเศษขนมกระเด็นออกมาด้วย ewww

    ชั่งใจกับตัวเองสักพักว่าจะสั่งเหล้ามาที่โต๊ะหรือจะปลีกตัวออกไปนั่งดื่มคนเดียวที่ชั้นบนดี แต่ดูจากสภาพที่ทุกคนน่าจะอิ่มของหวานกันแล้ว

    กูขึ้นไปนั่งข้างบนคนเดียวดีกว่า ขืนสั่งมาที่โต๊ะ น่าจะมีคนอ้วกแตก

    แบบ... ไอ้แทนมันคออ่อน แต่ชอบทำซ่า ดื่มด้วยกันทีไรเมาเป็นหมาอ้วกรดชาวบ้านทุกที

    “ไปนั่งข้างบนนะ” ตกลงกับตัวเองได้ก็บอกเพื่อนในโต๊ะพร้อมหยัดตัวลุกขึ้น

    “อยากก็สั่งลงมากินที่นี่ก็ได้นะ” พี่จูนบอกพลางยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นจิบ

    “เสี้ยนเหล้าล่ะสิ” พี่ซิงค์โพล่งขึ้นอย่างรู้ทันทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากเกมในโทรศัพท์ตัวเอง และมันทำให้คนที่เหลือหันกลับมามองผมอีกครั้ง

    คริสมองหน้าผมก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แกมไล่ให้ผมขึ้นไป ส่วนพี่จูนก็ไม่ต่างกัน ส่วนแทน มันหันกลับไปตักขนมเข้าปากตามปกติเหมือนไม่ได้สนใจอะไร

    “ให้ไปนั่งเป็นเพื่อนไหม หรืออยากอยู่คนเดียว” ถามทั้งที่ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มย้วย

    “...” ส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนเดินไปตรงไปยังบันไดวนขึ้นไปบนชั้นสอง กวาดสายตามองหาที่นั่งแถวเคาน์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มแบบช็อตกับบาร์เทนเดอร์ก่อนจมดิ่งกับความคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ

    ตอนนี้ในหัวมันสับสนไปหมด ความรู้สึกต่างๆ ตีรวนปนกันมั่ว การถูกทิ้งเป็นสิ่งที่ควรเสียใจแต่ผมกลับไม่รู้สึกเสียใจเท่าที่ควรเลย

    เอาจริงๆ ผมว่าผมรู้สึกแย่ที่ผมไม่ได้รู้สึกแย่หรือเสียใจที่ถูกทิ้งเท่าที่ควร

    ...มันเหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่นชิ้นหนึ่งมากๆ เลยพยายามเก็บเงินทีละน้อยเพื่อซื้อมัน แต่พอถึงเวลากลับพบว่าไอ้ของเล่นนั้นเขาเลิกขายไปแล้ว

    น่าจะประมาณนั้น

    มั้ง

    เหนือสิ่งอื่นใด ต่อให้ไม่เสียใจเท่าไหร่ แต่การที่มิ้นท์ไปโดยที่ไม่บอกกันดีๆ มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีไปแล้ว เหมือนเธอทำเป็นว่าผมแค่คนแปลกหน้าที่มีสถานะไว้บังหน้าเท่านั้น

    ถ้าไม่เห็นหัวกันขนาดนี้จะปล่อยให้ผมจีบแล้วยอมตกลงคบกันไปทำไมวะ

    คิดมาถึงตรงนี้ก็หงุดหงิด กระดกแอลกอฮอล์ไปอีกช็อต

    ผมเกลียดการถูกปั่นหัว อันที่จริงคงไม่มีใครสนุกที่จะถูกยกตำแหน่งตัวตลกให้ในชีวิตจริงหรอก

    เสียงเฮฮาปาร์ตี้ดังจากอีกด้านของร้าน ซึ่งดูเหมือนว่าคนพวกนั้นกำลังฉลองวันเกิดของใครสักคน และไม่แน่ใจว่าผมตาฝาดหรือเปล่า ที่เห็นบุคคลที่ถึงจะเรียนต่างคณะแต่ก็ค่อนข้างจะคุ้นหน้าคุ้นตา

    ซัน... กับเพื่อนในกลุ่มของมิ้นท์

    “หึ” ได้แต่แค่นหัวเราะกับตัวเองก่อนเบนสายตาออกไปด้านนอก มองพระจันทร์ผ่านกระจกใส แม้จะมีเมฆครึ้มเคลื่อนตัวมาก็ไม่ได้บดบังแสงสีนวลสักเท่าไหร่

    แอลกอฮอล์ช็อตแล้วช็อตเล่าถูกผมกระดกเข้าปากรัวๆ เหมือนประชดชีวิต แต่ก็เปล่าประชดนะ ผมแค่อยากดื่มเยอะๆ บ้างก็เท่านั้น

    มองพระจันทร์บนฟ้าอยู่นานก็เบนสายตามองนั่นนี่ไปเรื่อย บ้างก็มองไปยังพวกกลุ่มที่กำลังเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวที่ยังฉลองวันเกิดไม่หยุด บ้างก็มองไปยังบาร์เทนเดอร์ที่กำลังผสมค็อกเทลสีประหลาดอย่างคล่องแคล่ว ก่อนกวาดมองลงไปด้านล่างของร้าน และด้วยความที่จุดที่ผมนั่งเป็นฝั่งหน้าร้าน วิวที่เห็นคือลานกว้างฝั่งหน้าร้านเกือบทั้งหมด

    แทนที่จะได้กวาดตามองผ่านๆ แต่มันก็ไปสะดุดเข้ากับเงาตะคุ่มๆ ตรงซอยที่อยู่ข้างร้าน

    ตัวอะไรสักอย่างกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับถังขยะหลายใบ

    ...คนเร่ร่อนที่อาศัยเก็บพลาสติกในถังขยะไปขาย?

    และด้วยความผีบ้าอะไรของตัวเองก็ไม่รู้แหละ หรืออาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่องว่าสิ่งที่เห็นนั่นมันอะไร เลยเรียกเก็บเงินค่าเครื่องดื่มก่อนเดินลัดเลาะฝ่าฝูงชนที่กำลังเมาได้ที่ออกไปนอกร้าน

    ตรงดิ่งไปยังที่ที่คนหรืออะไรสักอย่างที่ยังอยู่ข้างๆ กองขยะกองเบ้อเร่อนั่น

    แหมะ...

    ทันทีที่ก้าวขาออกมาพ้นอาณาเขตชายหลังคาของร้านน้ำเย็นๆ ก็หยดลงมากลางหน้าผากทำเอาเสียจังหวะการสับขาเดินไปนิดหน่อย ก่อนห่าฝนจะเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วกะทันหัน

    ซ่า!...

    นี่ไม่ใช่ละคร ไม่ใช่นิยายที่พระเอกจะต้องไปตากฝนให้ลำบากตัวเอง ผมเลือกถอยหลังฉับๆ เข้าไปอยู่ใต้หลังคาร้าน พร้อมเสียงโวยวายจากชั้นสองของเหล่าขี้เมาที่สังสรรค์กันอยู่ในโซนเอาท์ดอร์

    “ตกลงนั่นมันตัวเองวะน่ะ” แต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็นชะโงกหน้ามองไปยังกองขยะที่มองจากมุมนี้ไม่ค่อยเห็นไหร่

    “โฮ้ย! ทำไมฝนตกล่ะ ทำไมอ่ะ ทำไมง่ะ” เสียงบ่นโวยวายดังแว่วฝ่าเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาลอยเข้าหูทำให้เผลอคิดตามและโต้ตอบคำถามนั่นในใจ

    ตอนประถมไม่ได้เรียนวิทย์เหรอถึงไม่รู้ว่าทำไมฝนถึงตก?

    อยู่ๆ ภาพเก่าในอดีตเมื่อตอนติดฝนอยู่ที่ไหนสักที่กับมิ้นท์ก็ไหลย้อนเข้ามา จากที่เคยสนใจอะไรอยู่กลับกลายเป็นเหม่อมองออกไปกลางสายฝนสีขาวที่เทลงมาอย่างหนัก

    อุตส่าห์ดื่มจนเผลอลืมไปได้แล้วเชียว ทำไมมันนึกขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้

    เหตุการณ์เหมือนกันอย่างกับเดจาวู ผมก็ไม่ค่อยชอบเวลาที่ตัวเองอยู่ในโหมดหดหู่สักเท่าไหร่ ทำยังไงล่ะถึงจะพาตัวเองออกไปจากโหมดนี้ให้ได้เร็วๆ

    “แอ้กกก!” เสียงร้องดังแว่วฝ่าเสียงฝนมาอีกครั้งเรียกความสนใจได้นิดหน่อย

    ... ไม่นิดอ่ะ ตอนนี้อยากรู้ว่าตรงนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เลยตัดสินใจวิ่งไปตามแนวหลังคากันสาดแคบๆ ที่ไม่สามารถกันฝนสาดในตอนนี้ได้สักนิด

    ทันทีที่เข้าถึงเป้าหมายก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังคลานไปมาอยู่บนพื้นไม่หยุดพลางแหกปากร้องโวยวายไม่เป็นภาษา หรือภาษาที่ผมฟังไม่ออก

    ดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างนะ

    “เฮ้! ทำอะไรน่ะ” ตะโกนแข่งกับเสียงฝนแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าหูไอ้คนที่กำลังงมหาอะไรบางอยู่ตรงหน้าเลย

    หมับ!

    “ใครน่ะ”  อีกคนร้องขึ้นเมื่อผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่ให้หันมาสนใจกันสักนิด พยายามเพ่งสายตามองแล้วนะ แต่ก็เห็นแค่ว่าเจ้าตัวกำลังเบะปากจะร้องไห้เหมือนเด็กๆ

    “โทรศัพท์หายอ่ะ ช่วยหาหน่อย หาไม่เจอออออ!!!” โวยวายทำท่างอแงก่อนกลับไปก้มหน้าปะมือไปกับพื้นเพื่อหาโทรศัพท์ของตัวเอง

    เอาจริงคือตรงนี้มันข้างกองขยะอ่ะ ค่อนข้างมืดเอาเรื่องแถมพื้นแถวนี้อาจจะมีพวกน้ำจากขยะนองออกมาก็ได้ แต่ตอนนี้ฝนมันตกไง มองยังไงก็แยกไม่ออกหรอกว่าตรงไหนเป็นแอ่งน้ำฝนตรงไหนเป็นแอ่งน้ำขยะ

    “เอาเบอร์มาเดี๋ยวโทรเข้าให้” ว่าพลางหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแต่ก็ชะงักไปอึดใจนึงว่าโทรศัพท์ตัวเองจะพังไหม เปียกขนาดนี้ แต่ในวินาทีต่อมาก็นึกได้อีกว่าซื้อมาแพงเพราะมันกันน้ำนี่แหละ

    “...” แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ยินที่ผมพูดเลยต้องก้มตัวลงไปพูดใกล้ๆ

    “เอาเบอร์มา เดี๋ยวโทรเข้าเครื่องให้” พูดย้ำอีกครั้งข้างหูทำให้อีกคนหยุดปะมือไปกับพื้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้มีวิธีหาแบบนี้อยู่ในโลกอะไรประมาณนั้น

    ทันทีที่บอกเบอร์ครบจำนวนและกดโทรออก ไม่นานแสงสว่างวาบจากจอโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้าก็ปรากฏขึ้นที่พื้นอีกด้านหนึ่ง

    ฝั่งที่เจ้าของโทรศัพท์มันไม่ได้หา...

    อืม ถ้าปล่อยมันหาคนเดียวต่อไปชาติหน้าก็คงไม่เจออ่ะ

    “ไหนอ่ะ ไม่เห็นมีเลย กดเบอร์ผิดป่ะเนี่ย” ยังคงบ่นเพราะเจ้าตัวไม่เห็นแถมยังเงยหน้าขึ้นมาทำเหมือนไม่พอใจใส่กันอีกต่างหาก ผมเลยชี้ไปด้านหลังคนที่ยังคุกเข่าอยู่กับเพื้นเน่าๆ นี่

    “โอ๊ะ! เจอแล้วๆ ฮือ โทรศัพท์ของพี่” ร้องดีใจพร้อมดีดตัวเข้าไปตะครุบโทรศัพท์เหมือนกลัวว่ามันจะหนี ก่อนหยิบขึ้นมาเช็ด...

    เช็ดโทรศัพท์ด้วยชายเสื้อเปียกๆ กลางห่าฝนที่ยังเทลงมาไม่หยุดเนี่ยนะ

    ...เป็นบ้าเปล่าวะ?

    ได้แต่เกาหัวอย่างไม่เข้าในการกระทำของคนตรงหน้าพร้อมกดวางสายและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

    “ขอบคุณนะ” คนบ้าหันมาพูดขอบคุณเสียงดังแข่งกับเสียงฝนพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ร่วงแหมะลงกับพื้นเหมือนคนไม่มีแรงจนผมต้องรีบถลาเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ

    คนคนนี้แม่งมีแต่อะไรที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจทั้งนั้นเลยวุ้ย

    “ไม่มีแรงอ่ะ” คนบ้าบอกทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนหิ้วปีกคนบ้านี่ไปที่ชายคาของตึกข้างๆ ที่สามารถกันไม่ให้ฝนห่าใหญ่นี่เทใส่ให้เปียกยิ่งกว่าเดิม

    “ทำไมไม่มีแรง” ผมถามออกไปอย่างที่ไม่เข้าใจ หลังจากที่เจ้าตัวยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว แม้จะต้องกำแขนเสื้อผมเอาไว้เพื่อเป็นหลักพยุงตัวเอง

    “...” แทนที่จะตอบกลับส่ายหน้าแทนการตอบคำถาม

    “ไม่มีแรงแบบนี้เป็นเรื่องปกติเหรอ” ถามต่อ แต่ก็ยังได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบอีกหน จนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นี่มันรู้อะไรบ้างวะ?

    “ต้องไปหาหมอไหม”

    “...” ส่ายหน้าเป็นคำตอบเหมือนเดิม

    หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่ถามอะไรก็ไม่รู้อะไรเลย เรื่องของมึงก็แล้วกัน ไอ้ฉิบหาย

    ตัดสินใจกับตัวเองว่าจะเลิกสนใจคนบ้าที่ยืนมึนอยู่ข้างตัว แต่แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นแหละ หัวเปียกๆ ก็เอนมาซบที่ไหล่พร้อมเสียงบ่นหงุงหงิง

    “ง่วงอ่ะ พาไปนอนหน่อย”

    ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ ก้มหน้ามองหน้าไอ้คนที่ซบไหล่เอาแก้มแนบไปกับเสื้อเปียกๆ อย่างไม่สนใจอะไรใดๆ

    “เฮ้!” อ้าปากจะโวยวายแล้วล่ะ แต่ก็ร้องออกไปแค่นั้นเพราะดูเหมือนไอ้คนที่ยืนพิงนี่กำลังทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดโถมเข้าใส่จนต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่จะร่วงลงไปกองกับพื้น

    “เฮ้! นาย” ตบมือไปที่แก้มสองสามทีก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยสักนิด

    มันจะหลับไปทั้งๆ แบบนี้เลยเหรอ เอาจริงดิ กูถามจริง?

     

    CH01 :: 100%

     

    มาอัพแล้วขอรับ หลังจากเปิดเรื่องไว้แรมปี ...แหะ

    รีดเดอร์อ่านแล้วติชมเข้ามาได้ขอรับ ข้าน้อยอ่านทุกคอมเมนท์

    หรือจะฟีดแบคพูดคุยกันที่แท็ก #สายรุ้งสีคราม ในทวิตเตอร์ก็ได้ขอรับ

    ข้าน้อยขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจขอรีดเดอร์ทุกคนด้วยนะขอรับ //พับเพียบไหว้

    #สายรุ้งสีคราม

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×