คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CH06 :: 06:00
06:00
“สกาย” เสียงเรียกชื่อทำให้ละสายตาจากท้องถนนยามค่ำคืนด้านนอกกลับมาหาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ครับ?”
“เรามีวิธีปฏิเสธคนดีๆ
ไหม” ถามพร้อมกับหยิบเฟรนช์ฟรายขึ้นมาชิ้นหนึ่งก่อนจะเริ่มใช้มันเขี่ยชิ้นอื่นๆ
ที่กองพะเนินอยู่ในถาด
“หมายถึง...
ปฏิเสธ ‘คนดีๆ’ หรือปฏิธิเสธคนด้วย ‘วิธีดีๆ’ นะครับ”
“มันต่างกันยังไงน่ะ” ถามกลับอย่างอึนๆ ก่อนจะพูดต่อเมื่อสายตาเลื่อนลอยเหมือนคนจิตหลุดเริ่มกลับมาฉายแววเหมือนคนปกติสามัญ
“เอ่อ... วิธีปฏิเสธแบบดีๆ อ่ะ”
“แค่พูดตรงๆ
ไปก็น่าจะพอมั้งครับ” ตอบออกไปแบบนั้น
เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่
เนื่องจากส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ค่อยเจอเห็นการณ์ที่ว่าคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องในเวลาจริงจังสักเท่าไหร่
“แล้วถ้าสมมติว่ามีคนมาชอบเรา” ตัวอย่างที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำให้ลมหายใจสะดุดจนเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เราจะปฏิเสธไปยังไง”
ลอบถอนหายใจเบาๆ
เมื่อได้ยินประโยคถัดมา
เอาจริงๆ
เจอการยกตัวอย่างแบบนี้โดยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปมันต้องมีสักวินาทีแหละที่จะคิดว่าเป็นตัวเอง
เหอๆ
“ก็บอกเขาไปตรงๆ ครับ ว่าไม่ได้ชอบเขา เราให้เขาเป็นได้แค่เพื่อนหรืออะไรก็ว่าไป”
“เหรอ”
จะว่าไปแล้ว...
เจมิไนมันไปทำอะไรที่นั่น ว่าแต่หอของสายรุ้งคือที่นั่นเหรอ?
“เจมันทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจรึเปล่าครับ?”
!
ดูเหมือนจะปุบปับสำหรับคนฟังไปหน่อย
เพราะตากลมเบิกกว้างอย่างคนตกใจ
“รู้ได้ไงอ่ะ”
ถูกเฉย
“ว่าแต่เรารู้จักมันด้วยเหรอ”
“ครับ
ผมกับเจเป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ”
“อ่า...
งั้นเหรอ” สายรุ้งทำท่าอึกอักเหมือนกำลังลังเลว่าจะพูดต่อหรือไม่พูดดี
คิ้วเรียวเคลื่อนเข้าชนกันอย่างใช้ความคิดพร้อมกับริมฝีปากบางสีสดที่เม้มเข้าหากัน
“เจมันมาบอกชอบอ่ะ”
“ครับ”
ตอบรับออกไปแค่นั้นพยายามแสดงออกว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร
ทั้งที่ในใจกำลังตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นสุดๆ
เพราะตั้งแต่ที่สายรุ้งถามถึงวิธีปฏิเสธคนในตอนแรกแล้วนำมันมาเชื่อมโยงกับเรื่องที่เจ้าตัวบอกก็ตีความได้ว่า
สายรุ้งไม่ได้ชอบเจมิไน
และไอ้คนถูกปฏิเสธก็คงจะเห็นแววแห้วของตัวเองอยู่แล้ว
ถึงได้ส่งข้อความมาขอกำลังใจจากผมสินะ แถมยังบอกให้ไปหาอีก
“แต่ใครจะไปชอบลงอ่ะ
ชอบคนที่เอาแต่หาเรื่องแกล้งตัวเองไม่รู้จักจบจักสิ้นเนี่ยนะ ตลกสิ้นดี
ไม่ใช่นิยายหรือละครน้ำเน่าสักหน่อย” สายรุ้งร่ายยาวพลางเบ้ปากขมวดคิ้วมุ่น
สีหน้าเหยเกแสดงออกชัดเจน
“ถ้าชอบใครมันก็ต้องทำดีกับเขารึเปล่าอ่ะ
หรือถ้าจะแกล้งก็ให้มันพอดีหน่อยเถอะ ไอ้เหี้ยเอ้ย”
จากประโยคบอกเล่าเริ่มกลายเป็นประโยคสบถก่นด่า
และผมก็ได้แต่นั่งฟังคนด่าญาติตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
เดี๋ยวจะโดยด่าไปด้วย
“แต่ตอนนี้พี่ยังไม่ได้ปฏิเสธมันใช่ไหม”
“ใช่
ก็ตอนนั้นมันตกใจอ่ะ”
“ถ้างั้น...”
ครืด
โทรศัพท์ของสายรุ้งที่วางคว่ำไว้บนโต๊ะสั่นขึ้นขัดบทสนทนา
แต่พอมือเรียวพลิกหงายหน้าจอขึ้นมาก็ปรากฏชื่อของคนที่เจ้าตัวเพิ่งจะด่าไปหมาดๆ
โทรศัพท์ยังคงสั่นไม่หยุดเมื่อเจ้าของไม่ยอมกดรับสาย
“รับเถอะครับ
ถ้ามันพูดไม่รู้เรื่องเดี๋ยวผมช่วยพูดให้”
นิ้วเรียวสไลด์หน้าจอรับสายก่อนกดเปิด
speaker phone แล้ววางลงตรงกลางโต๊ะ
ผมเงียบ
เจ้าของเครื่องก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไร และเสียงจากโทรศัพท์มีเพียงเสียงดนตรีดังคลอเหมือนกับว่าปลายสายนั่งอยู่ในร้านเหล้าที่ไหนสักที่
[สายรู้งงงงงง
กูรู้ว่ากูมันแย่ที่ชอบแกล้งมึง แต่กูไม่รู้จะทำยังไงให้มึงมาสนใจกูอ่า]
เสียงเมาได้ที่เลย
พี่กู...
“เลยแกล้งกูงี้เหรอไอ้สัส”
[ช่ายยยย
ผู้ชายยิ่งชอบยิ่งแกล้งงายยยย มึงไม่รู้เหรออออ]
“ไม่รู้
อีเวร แต่กูเบื่อไอ้ห่า รำคาญด้วยไอ้ฉิบหาย”
[ฮือ
ห้ายโอกาสเราหน่อยไม่ได้เหรอ น๊าาาาา]
มุมปากกดลงกลายเป็นคว่ำปากอย่างบูดบึ้ง
คิ้วเรียวยังคงขมวดมุ่น
สายตาที่มองจอโทรศัพท์เหลือบขึ้นมาสบตากันชั่วครู่ก่อนเบนกลับไปที่หน้าจออีกครั้ง
“ไม่เอา
กูไม่ได้ชอบมึง” ตอบกลับปลายสายไปทั้งที่ยังคว่ำปากอยู่
[น๊าาา
สงสารเราเถอะน๊าาาาา]
“เหี้ยเจ
มึงเมาอ่ะ ไม่ต้องมายุ่งกับกูได้มะ” น้ำเสียงที่เคยอยู่ในโทนปกติเริ่มมีน้ำโหเจือความหงุดหงิด
[ทำไมอ่า
ให้โอกาสเค้าไม่ได้หราาาา]
ใบหน้าคนทางนี้เริ่มงอง้ำเมื่อถูกขัดใจ
ก่อนละสายตาจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาขอความช่วยเหลือผ่านดวงตาสีนิลกาฬ
“โทษทีนะ
แต่ช่วยอย่ามาล้ำเส้นกับคนของผมจะได้ไหม”
โพล่งออกไปแบบนั้นน่าจะสร้างความตกใจให้ปลายสายไม่น้อย
และแน่นอนว่ามันสร้างความมึนงงให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยเหมือนกัน
‘เล่นไม้นี้เลยเหรอ’
คือสิ่งที่อ่านได้จากริมฝีปากบางที่ขยับพูดอย่างไร้เสียง
[ฮะ?
ใครน่ะ ไอ้กายเหรอ]
เวร ขนาดตอนเมายังจะอุตส่าห์จำเสียงกูได้อีก
“จะเป็นใครไม่สำคัญ
แต่คุณไม่ควรตามตอแยคนที่เขาปฏิเสธคุณแบบนี้นะ” แสร้งทำเสียงให้เข้มยิ่งกว่าโทนปกติของตัวเอง
ในใจก็แอบหวั่นว่าเจมันจะจำเสียงผมได้จริงหรือว่ามันแค่พูดชื่อใครไปเรื่อย
[เหี้ยกาย
มึงแม่ง...] เป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อตัวเองแล้วรู้สึกชาวาบ ลางสังหรณ์กำลังบอกว่าเรื่องวุ่นวายกำลังจะตามมายังไงก็ไม่รู้แฮะ
“เออ
กูเองแหละ จบมั้ย”
[...]
ไม่มีเสียงอะไรจากเจตอบกลับมา
มีเพียงแค่เสียงดนตรีที่ดังอยู่แว่วๆ ก่อนสายจะถูกตัดไปในที่สุด
มือบางที่กำแน่นวางอยู่บนโต๊ะของสายรุ้งคลายลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของเราสองคน
“ขอโทษที่ผมพูดแบบนั้นนะครับ
ไม่คิดว่าเจตอนเมาจะยังจำเสียงผมได้” หันไปขอโทษอีกคนตรงๆ
ที่ผมดันตัดสินใจผิดแบบซึ่งหน้า แม้จะแอบหวั่นหน่อยๆ ว่าคนตรงหน้าจะโกรธกันหรือเปล่าที่ผมดันสร้างเรื่องให้มันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิมแทนที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เขาต้องเผชิญ
ผมยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมองสายรุ้ง
เลยไม่รู้ว่าอีกคนรู้สึกยังไงกับเรื่องที่ผมดันโป๊ะแตกจนได้เรื่อง
จะโดนด่าหรือเปล่า?
“ป่านนี้เจมันก็คงเข้าใจว่าเราสองคนไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักของกันและกันเฉยๆ
แล้วล่ะมั้ง” น้ำเสียงโทรปกติที่ได้ยินเหมือนทุกทีว่า สายตาผมยังมองมือเรียวที่ยังวางอยู่บนโต๊ะดังเดิม
และยังไงก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนอยู่ดี
ปอดแหกกับอะไรแบบนี้ไปได้นะกู
“สกาย”
“ครับ...”
ขานรับเมื่อถูกเรียกตามนิสัยที่เคยชินพร้อมกับถูกปลายนิ้วเรียวที่ขยับเขามาแตะปลายคางให้เงยหน้าขึ้นตามที่อีกคงต้องการ
ได้แต่กะพริบตาปริบมองสบตาสีนิลของคนตรงหน้าที่ไม่มีท่าทีเหมือนโกรธ
หงุดหงิด หรืออารมณ์ในทางลบเลย
“ไม่เห็นต้องซึมเลย”
ว่าพลางยกยิ้มให้น้อยๆ ก่อนมือที่แตะปลายคางจะเปลี่ยนเป็นลูบหัวเบาๆ แล้วเปลี่ยนเป็นขยี้จนมันแทบจะเสียทรงและปิดท้ายด้วย
fact ที่ผมมักจะได้ยินจากเพื่อนบ่อยในระดับหนึ่ง
“หน้าหงอยเหมือนหมาเลยนะเราอ่ะ”
ใช่! ทุกคนชอบว่าผมหน้าเหมือนหมาอ่ะ ถ้าพูดตอนหงุดหงิดหน่อยก็จะกลายเป็น
‘หน้าหมา’ แทน
แม่ง...
“...”
ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และทำเพียงแค่เบะปากกับการที่ถูกทักว่าหน้าเหมือนหมาครั้งที่เท่าไหร่ของชีวิตก็ไม่รู้
“ผมขอโทษจริงๆ
นะ” ยังคงขอโทษอีกคนอยู่ดี ผมรู้สึกผิดจริงๆ นะ
ถึงเขาจะยังยิ้มให้แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าลึกๆ เขาจะคิดยังไงกับสิ่งที่ผมพูดไป
อาจจะแอบด่าผมอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้
“ฮะๆ
ไม่ต้องคิดมากน่า เผลอๆ นะ โดนเราพูดใส่แบบนั้นเจมันอาจจะไม่มาแกล้งพี่อีกก็ได้”
“พี่โกรธผมหน่อยก็ได้นะครับ
เพราะที่ผมพูดไปมันอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจพี่ผิดว่าพี่ชอบผู้ชายอ่ะ”
“อืม…” สายรุ้งครางรับในลำคอก่อนจะเงียบไป
จนอดไม่ได้ที่จะแอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แต่ก็ต้องติดสตั๊นท์ไปชั่วขณะเพราะสิ่งที่เจ้าตัวพูดต่อจากนี้...
Sairoong’s Part
หลังจากไปนั่งกินหมูกระทะแก้เครียดกับคนอื่นๆ
โดยมีเคปเป็นตัวตั้งตัวตี นั่งกินอยู่ดีๆ ก็ได้ดูละครดราม่าดูคู่รักทะเลาะกันอย่างงงงวย
แต่เท่าที่เสือกจากบทสนทนาจับใจความได้แค่ว่า
เคปไม่พอใจที่แฟนตัวเองมีสาวมานัวตอนไปร้านเหล้า
แล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยบอกให้เคปรู้เลย ไม่รู้ว่าไปเคลียร์ใจกันยังไง
แต่สุดท้ายก็น่าจะจบดีแหละ มันถึงได้มานั่งแดกหมูกระทะกันต่อเหมือนไม่เคยทะเลาะกัน
จบจากหมูกระทะก็แยกย้าย
ทุกคนต่างถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพแม้กระทั่งหงส์ที่ออกจากร้านพร้อมกัน
มีจุดหมายเดียวกัน (อยู่หอเดียวกัน) แต่ดันถึงก่อน เพราะแม่งฉลาดขับมอเตอร์ไซค์มา
ทิ้งให้คนขับเป็นแค่รถยนต์เกียร์ออโต้อย่างผมติดแหง็กอยู่บนถนนกลางสี่แยกหน้าหอตัวเอง!!!
ทันทีที่ก้าวลงจะรถเดินแบกท้องตึงๆ
ตรงไปยังมินิมาร์ทใต้หอหวังซื้อยาลดอาการแน่นท้องก็ดันมาเจอมารผจญอย่างเจมิไนนั่งรออยู่
ทำให้เท้าที่กำลังสับถี่หยุดชะงักอย่างหวาดระแวง
ไอ้หมอนี่มันแกล้งผมเก่งมาก
เก่งแบบเก่งฉิบหาย แกล้งมันทุกสิ่งที่จะสรรหามาแกล้งได้จนผมเหม็นขี้หน้าและไม่อยากเข้าใกล้โดยไม่จำเป็นสักนิด
“มึงมาทำอะไร”
แยกเขี้ยวถามพร้อมก้าวถอยหลังในขณะที่มันกำลังก้าวเข้ามาหา
“มีเรื่องจะคุยด้วย
แล้วนั่นมึงจะถอยไปถึงไหนน่ะ”
“ไปให้พ้นจากมึงไง
แล้วกูก็ไม่มีเรื่องคุยกับมึง ไปไหนก็ไปเลย ชิ่ว” พูดใส่รัวๆ พร้อมโบกมือไล่รัวๆ
จนมันถอนหายใจออกมาเสียงดังแต่ก็ยังไม่วายสืบเท้าก้าวเข้ามาอีก
“ขอจริงจังแป๊บนึงได้ไหม”
“ไม่”
ปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิด คนอย่างไอ้เจอ่ะ
สุดท้ายยังไงแม่งก็จบลงที่แกล้งผมอยู่ดีนั่นแหละ ทั้งน่ารำคาญ น่าเบื่อ
น่าโมโหสุดๆ
“วางอคติลงก่อนสายรุ้ง”
เสียงที่เข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้แอบชะงักไปนิดนึง
“ฟังสิ่งที่กูจะบอกแค่แป๊บเดียว”
“...”
เสียงที่เข้มขึ้นผิดแผกไปจากทุกทีที่มักจะกวนตีนผมเสมอมาทำให้ความหวาดระแวงเริ่มก่อตัว
และเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นไม่ดี
“กูชอบมึง”
น้ำเสียงจริงจัง สายตาที่สื่อว่าไม่ได้ล้อเล่นทำให้ผมตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออก
สมองเหมือนหยุดทำงานไปชั่วขณะเพียงเพราะไอ้คนตรงหน้าบอกว่า ‘ชอบ’
พระเจ้าเล่นอะไรอ่ะ!
“...”
ไม่รู้ว่าเจมันพูดอะไรต่อ
แต่หูผมอื้อไปหมด ตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับไปไหน ทำได้แค่กลอกตาไปมาอย่างร้อนรน
แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรถคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดตรงหน้าหอพอดี
ซีวิคสีเทาที่มีรอยขูดเป็นทางยาวตั้งแต่ประตูหน้ายันประตูหลังนั่นทำให้รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
หัวใจเต้นตึกตักเหมือนเจอโอเอซิสกลางทะเลทรายอะไรแบบนั้น
และทันทีที่ชายผมสีแดงซีดเหมือนสีตกนั่นยิ่งทำให้ขาก้าวฉับๆ
ตรงไปหาสกายที่กำลังกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่างอยู่
ไม่สนด้วยว่าคนที่กำลังคุยกับผมอยู่ฝ่ายเดียวจะเป็นยังไง
ไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวมาทำอะไรที่นี่
มีนัดกับใคร หรืออะไร แต่ตอนนี้ช่วยพี่ด้วยน้องชาย!!!
“พาพี่ออกไปจากที่นี่ที”
บอกเจ้าของรถที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกก่อนถือวิสาสะเปิดประตูข้างคนขับแล้วยัดตัวเองเข้าไปในรถทันที
และเมื่ออีกคนกลับเข้ามานั่งประจำที่หลังพวงมาลัยผมผู้ไม่รู้จะไปไหนเพราะคิดได้แค่ว่าต้องไปให้พ้นจากที่นี่ก็ได้แต่บอกชื่อร้านอาหารชุดที่เปิด
24 ชั่วโมงไป
ตลอดทางผมเอาแต่คิดซ้ำๆ
วนไปมาถึงเรื่องที่เพิ่งประสบพบเจอ
เกิดมาเพิ่งเคยมีคนมาบอกชอบเนี่ยแหละ
แถมเป็นคนที่ตัวเองแสนจะเหม็นขี้หน้าด้วย เฮลโหล! นี่ไม่ใช่ละคร ใครจะไปชอบคนที่ทำแย่ๆ กับตัวเองลงวะ
เดาว่าเด็กผมแดงตรงหน้าที่อุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อนทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยคงจะอยากรู้เต็มแก่แล้วล่ะ
ว่าทำไมตัวถึงถูกผมลากให้มานั่งด้วยกันในเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแบบนี้
ลองถามวิธีปฏิเสธคนกับคนตรงหน้าไปแต่ก็ได้คำตอบแสนจะเบสิกกลับมาว่าให้พูดตรงๆ
คือ... ไม่เผื่อกรณีเจอคนพูดไม่รู้เรื่องหน่อยเหรอน้อง?
หน้าผมอาจจะฟ้องว่ากำลังไม่สบายใจสกายที่นั่งเงียบมาพักหนึ่งถึงได้เอ่ยปากถาม
“เจมันทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจรึเปล่าครับ?” เสียงแหบต่ำเป็นเอกลักษณ์ที่ถามไถ่ทำให้ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ
พ้อยท์ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวรู้ได้ยังไง
แต่มันอยู่ที่ทำไมถึงรู้ว่าเจมันเป็นคนทำให้ผมกระวนกระวายเป็นผีบ้าแบบนี้มากกว่า
แล้วคนตรงหน้าก็บอกว่าตัวเองเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจมิไน
บ๊ะ! บางทีโลกก็กลมไปอ่ะ
ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สกายฟัง
ไม่แน่ว่าผมอาจจะถูกเจ้าตัวด่าในใจที่ไปทำกับพี่ชายตัวเองแบบนั้น
แต่ถ้ารู้ว่าเจมันแกล้งผมยังไงบ้างก็ต้องมีเข้าข้างผมบ้างแหละวะ
ระหว่างที่ผมยังระบายสิ่งที่อัดอั้นจากสิ่งที่เจอไม่หมด
ไอ้คนที่ผมกำลังก่นด่าก็โทรเข้ามา อยากจะตัดสายทิ้งที่ก็เป็นสกายนั่นแหละที่บอกให้ผมรับสาย
แถมยังออกตัวด้วยว่าถ้าการเจรจาไม่สำเร็จเจ้าตัวจะช่วยพูดให้อีกแรง
“โทษทีนะ
แต่ช่วยอย่ามาล้ำเส้นกับคนของผมจะได้ไหม”
แต่ก็ไม่คิดว่าเล่นไม้นี้เลยนะ!
เสียงตึกตักดังขึ้นจนได้ยินชัดเจน
ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะแน่ใจว่าทำไมต้องมาตื่นเต้นกับการได้ยินเรื่องแบบนี้
“จะเป็นใครไม่สำคัญ
แต่คุณไม่ควรตามตอแยคนที่เขาปฏิเสธคุณแบบนี้นะ”
สกายพูดย้ำเมื่อปลายสายยังคงต้องการยืนยันตัวตนว่าคนพูดใช่น้องชายตัวเองที่แกล้งทำเป็นไขสือหรือเปล่า
[เหี้ยกาย
มึงแม่ง...]
“เออ
กูเองแหละ จบไหม” สุดท้ายสกายก็ตอบรับคำสบถนั้นก่อนที่จะไม่มีใครพูดอะไรและไม่มีใครกดวางสาย
เสียงเพลงจากอีกฝั่งดังคลอเสียงแก้วกระทบกันเบาๆ อยู่พักหนึ่งก่อนที่สายจะถูกตัด
ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
และเหมือนว่าสกายกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่
แต่ก่อนที่จะได้ถามคำขอโทษขอโพยก็ถูกโพล่งขึ้นซ้ำๆ พร้อมสีหน้าจ๋อยสนิทที่เจ้าตัวยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมซึ่งเป็นคู่สนทนา
“ฮะๆ
ไม่ต้องคิดมากน่า เผลอๆ นะ โดนเราพูดใส่แบบนั้นเจมันอาจจะไม่มาแกล้งพี่อีกก็ได้” เอ่ยปลอบบอกข้อดีที่อาจจะตามมาให้คนที่กำลังจ๋อยฟัง
“พี่โกรธผมหน่อยก็ได้นะครับ
เพราะที่ผมพูดไปมันอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจพี่ผิดว่าพี่ชอบผู้ชายอ่ะ” ตาคมสีน้ำตาลอ่อนฉายแววสำนึกผิดอย่างเห็นได้ชัด
นั่นยิ่งทำให้ผมได้ยินเสียงตึกตักในอกตัวเองดังชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
“อืม...”
ถ้าเกิดเรื่องที่สกายพูดมันเป็นจริงขึ้นมามันจะเป็นยังไงนะ
ไม่ใช่เรื่องที่ผมชอบผู้ชาย
แต่เป็นเรื่องที่ว่า ถ้าผมกับคนตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสถานะพี่น้องที่รู้จักกัน...
“ไหนๆ
มันก็เข้าใจไปว่าคบกันแล้ว เรามาลองทำตามที่มันเข้าใจดูไหม”
ผมเงียบเพื่อรอฟังและดูปฏิกิริยาของคนผมสีแดงซีดตรงหน้า
ส่วนคนฟังอาจจะเงียบเพราะเผลอทำเสียงหาย...
ยิ่งสกายเอาแต่นิ่งมองหน้ากันตาปริบๆ
ในใจผมยิ่งเต้นโครมคราม ลุ้นยิ่งกว่าวันประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก
“ฮะๆ
มุกพี่ฝืดนะครับ รอบนี้” เสียงหัวเราะแห้งมาก หน้าผมก็เช่นกัน เหอะๆ
“อ่า...
ฝืดเนอะ ฮะๆ”
สกายเข้าใจว่าที่ผมพูดไปเป็นมุกฝืดๆ
แต่ใจหนึ่งผมก็แอบคาดหวังคำตอบรับ ในขณะที่อีกใจก็แอบโล่งอกที่ถูกเข้าใจไปแบบนั้น
ผมต้องการอะไรกันแน่วะเนี่ย
หลังจัดการกับกองเฟรนช์ฟรายเสร็จสกายก็พาผมกลับมาส่งที่หอตามเดิม
และทันทีที่ปิดประตูห้องปุ๊บก็ส่งข้อความบอกคนที่เพิ่งแยกจากกันปั๊บ
ผมนั่งรอจนอีกคนกลับถึงหอตัวเอง ขอบคุณไปอีกครั้งที่อุตส่าห์ช่วยอะไรๆ ผมตั้งหลายอย่าง
ส่งตอบข้อความได้อีกไม่กี่บับเบิ้ล
หน้าจอก็เด้งแจ้งเตือนสายเรียกเข้าที่ทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องกลอกตาไปมา
ไอ้เจโทรมาอีกแล้ว!
มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สกายขอตัวทางเลือกของผมจึงเหลือแค่ตัดสายทิ้งหรือรับสาย
แต่เดาว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้มันก็คงจะโทรหาผมไม่หยุดแน่ๆ
เพราะงั้นก็รับสายไปให้มันจบๆ
เถอะ
[สายรู้งงงง] เสียงยานคางอ้อแอ้ที่ฟังแล้วรู้สึกว่าแม่งเมากว่าตอนก่อนหน้าหนี้พอสมควร
และผมว่าผมคิดผิดที่รับสายตัดรำคาญ
ผมควรบล็อกเบอร์ไปเลยมากกว่า
เจมิไนเอาแต่พูดขอโอกาส
ขอความเห็นใจ ขอโทษขอโพยวกไปวนมาซ้ำๆ ฟังดูน่าสงสาร แต่จะให้ผมไปคบกับคนที่ตัวไม่ไม่ชอบก็คงไม่ใช่เรื่องหรอก
ผมปล่อยเจมิไนมันคร่ำครวญอยู่พักใหญ่
ไม่ตอบโต้อะไรเพราะต่อไปพูดไปมันก็คงไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ที่จะคุยกับคนเมา
และหลังจากที่คนเมาวางสายไปผมก็พิมพ์ข้อความไปหาเจ้าตัว
ให้มันเป็นแค่เพื่อนจอมกวนตีนต่อไปนั่นแหละ
แต่การที่เจมันยังโทรมาคร่ำครวญใส่ผมก๊อกสองแบบนี้ก็แปลว่าที่สกายแอ๊บตัวเองเป็นแฟนผมไปเมื่อก่อนหน้านี้คือไม่มีประโยชน์อะไรเลยเหรอ
...หรือแค่คำพูดมันไม่เชื่อวะ?
…หรือต้องทำอะไรที่มันมากกว่าคำพูด?
โธ่
แค่เรื่องเรียนชีวิตก็ยุ่งยากพออยู่แล้วนะ ทำไมต้องมีเรื่องยุ่งยากมาเพิ่มอีกเนี่ย!
CH06 :: 100%
มาอัพแล้วขอรับ แอบแต่งยากง่ะ ลบแล้วลบอีก ;-;
รีดเดอร์อย่าเพิ่งปาสิ่งของใส่ขอหน้อยเลยขอรับ// หลบหลังเสา
พี่สายรุ้งจะทำยังไง แล้วทำไมน้องสกายปัดคำของพี่รุ้งให้กลายเป็นมุกฝืดอันนี้ต้องรอดูขอรับ
บางที... มนุษย์เราเมื่อมีโอกาสอยู่ตรงหน้า ก็มักจะปอดแหกนะขอรับ อุแหะ
#สายรุ้งสีคราม
ความคิดเห็น