ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FULL-TIME #สายรุ้งสีคราม

    ลำดับตอนที่ #4 : CH03 :: 03:00

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 63





    03:00

     

    มีเรียนบ่ายแทนที่จะได้ออกจากห้องในระยะเวลาใกล้ๆ กัน แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนผมทิ้งรถตัวเองเอาไว้ที่ร้าน แผนการเล่นเกมฆ่าเวลาเลยล่มสลายไปโดยปริยาย และกลายเป็นว่าต้องอาบน้ำแต่งตัวก่อนเวลามากๆ

    และก็กลายเป็นว่าผมมานั่งจุมปุ๊กอยู่ใต้คณะตัวเองตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่าเพราะไม่รู้จะไปไหน

    เปิดโทรศัพท์เข้าแอปพลิเคชันแชทสำรวจความต้องการของเพื่อนร่วมชะกรรมทางการเรียนอย่างแทนกับคริสว่าเที่ยงนี้จะกินข้าวกันที่ไหน ซึ่งผมก็ไม่รู้จะกินอะไรดี

    ยกให้เป็นปัญหาระดับโลกได้ไหม ไอ้คำถาม กินอะไรดี เนี่ย

    ‘Crystal royal: ไปกันเลย กูกินกับแฟน เดี๋ยวมันไปส่ง

    ‘TAN: ไปอักษรกัน อยากกินหมูกรอบ

    ‘skyyy: ดีล

    จบการแชทแต่เพียงเท่านั้น

    เมื่อกลับมาอยู่ในความสงบของตัวเองผมก็ดันกดเข้าไปในห้องแชทของมิ้นท์ด้วยความเคยชิน นั่งเงียบๆ เลื่อนย้อนอ่านข้อความเก่าๆ ให้ตัวเองชี้ช้ำเล่นๆ ก่อนกดเข้าไปที่หน้าโปรไฟล์ของอีกคน แต่แค่พริบตาข้อมูลบุคคลที่เคยเห็นก็หลายเป็นว่างแปล่า

    ห้องแชทที่เคยมีชื่อก็กลายเป็น Empty

    แม่งเอ๊ย! คือลบแอคเคาท์ไปต่อหน้าต่อตากูเลยว่ะ

    โหดสัดอะไรขนาดนี้ ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ สักนิดหรือคิดจะบอกกันดีๆ หน่อยเหรอวะ

    ต้องเป็นคนยังไงถึงได้ใจร้ายใส่กันฉิบหาย

    และระหว่างที่กำลังหัวร้อนและอารมณ์แปรปรวนไปหมดแจ้งเตือนว่ามีคนแปลกหน้าแอดเข้ามาด้วยไอดีทำให้ต้องเลิกคิ้วแล้วกดเข้าไปดู แต่เร็วกว่าโปรเน็ตราคาแพงที่ใช้คุ้มบ้างไม่คุ้มบ้างคนที่เพิ่มเพื่อนเข้ามาใหม่ก็ส่งข้อความมารัวๆ

    ใจความสำคัญมีแค่ว่า ลืมกระเป๋าสตางค์

    คงเป็นเพราะเมื่อเช้าส่งข้อความไปบอกหงส์ว่าเพื่อนตัวเองลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้องผมสินะ

    และสรุปคือการคืนกระเป๋าสตางค์ต้องเจอกันคนละครึ่งทางเพราะคณะผมกับคณะของอีกคนอยู่ห่างกันเอาเรื่อง

    อีกอย่างคืออีกคนเขากลัวกลับไปพรีเซนต์งานไม่ทัน

    “สกายยยยย!” เสียงเรียกดังๆ ที่แสนจะคุ้นหูและหนวกหูในเวลาเดียวกันดังแหวกเหล่าผู้คนชาวนิเทศแลนด์ที่นั่งสุมหัวกันเป็นย่อมๆ อยู่ใต้คณะทำให้อดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจพร้อมกลอกตามองบนกับความบ้าบอนี้

    ตอนเด็กๆ แม่มันให้กินโทรโข่งกับนกหวีดหรือยังไง ทำไมเพื่อนกูเสียงดังขนาดนี้ อายชาวบ้านบ้างเถอะไอ้เหี้ย

    “ใครน่ะ”

    สวนกลับเพื่อนตัวดีกลับไปพลางทำหน้าเหมือนเจอตัวประหลาดใส่ทำให้มันชะงักเลิ่กลั่กหันซ้ายหันขวาเหมือนคนหน้าแตก ก่อนจะก้าวเร็วๆ ตรงดิ่งเข้ามาหา

    ไอ้แทนก็คือไอ้แทน ต่อมุขชาวบ้านได้เสมอ แม้จะเป็นมุขห้าบาทสิบบาทก็ตาม

    “จำพ่อไม่ได้เหรอลูก นี่พ่อไง หรือว่าตอนเด็กๆ พ่อเผลอปล่อยให้ลูกกินขี้เถ้าสมองถึงไม่สามารถจำหน้าพ่อบังเกิดเกล้าได้ ไอ้สัด!

    ปึก!

    เออ เริ่มแรกมันก็รับมุขดีๆ แต่ก็ไม่พ้นด่าปิดท้ายอยู่ดี แถมด้วยการวางหนังสือเล่มหนาชนิดที่ว่าตีหัวหมาแตกลงแรงๆ บนเป็นเชิงข่มขู่ว่าสิ่งต่อไปที่จะตกเป็นเป้าไอ้หนังสือมหาประลัยนี่จะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผม

    “มึงทำการบ้านของศรีสวัสดิ์เสร็จยัง กูยังทำไม่เสร็จเลย ลอกมั่งดิ”

    “แค่คำตอบเชิงวิเคราะห์มึงจะลอกอะไรก่อน มันต้องความคิดใครความคิดมันดิ” เมื่อตอบกลับไปแบบนั้นคนฟังก็ได้แต่ทำหน้าเหยเกเหมือนคนท้องผูก

    “มึงวิเคราะห์ได้ยังไงก็เขียนๆ ไปเถอะ ถ้าคำตอบมันตายตัวแบบโจทย์เลขกูก็ให้ลอกอยู่หรอก”

    “โอเคๆ อย่าเทศน์กูเลย กูจะทำเองแล้ว แต่ก่อนทำไปแดกข้าวกันเถอะ”

     

    หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จผมก็หนีบไอ้แทนติดรถมาด้วยและเมื่อถึงจุดนัดพบซึ่งเป็นส่วนนั่งเล่นเล็กๆ ของคณะ... เอ่อ... คณะอะไรสักอย่าง ผมไม่ค่อยได้สังเกต หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดห้องแชทบอกอีกคนว่ามาถึงแล้วและกำลังรออยู่ตรงไหน

    ไม่ถึงห้านาทีก็เห็นร่างสูงในสภาพเป็นผู้เป็นคนต่างกับเมื่อวานลิบลับเดินเข้ามาในรัศมีสายตาพร้อมกับไอ้เพื่อนที่นั่งบนม้าหินข้างๆ กันเอาแต่สะกิดกันยิกๆ

    “มึง คนที่เพิ่งเดินเข้ามา หล่อสัสไอ้เหี้ย หล่อฉิบหาย” พูดทั้งที่ยังมองไปยังทางเข้าสวนไม่วางตา และพอหันไปมองตามที่เพื่อนตัวเองมองผมก็เห็นแค่เจ้าของกระเป๋าสตางค์ที่นัดกันเอาไว้

    จะว่าไปก็หล่อเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย แค่เดินเข้ามาก็มีแต่คนแอบมอง

    ผมปัดมือแทนที่ยังสะกิดไม่เลิกทิ้งพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณเรียกให้คนมาใหม่เดินเข้ามาเมื่อหันมาสบตากันพอดี

    “เดี๋ยว คนนี้เหรอ?”

    “ใช่”

    ตอบคำถามเพื่อนแค่นั้น และมันก็เอาแต่ทำปากพะงาบๆ เป็นบ้าอยู่คนเดียว ผมเลิกสนใจแทนแล้วหันไปทางที่คนมาใหม่กำลังเดินเข้ามา

    “โทษทีนะ เมื่อเช้ารีบไปเช็คชื่อน่ะ” เอ่ยกล่างทักทายด้วยคำขอโทษเป็นอย่างแรก

    “ไม่เป็นไรครับ” ตอบกลับพร้อมยื่นกระเป๋าสตางค์ส่งคืนให้เจ้าของ

    “ขอบคุณครับ” จบคำก่อนยิ้มจนตาหยี ยิ้มที่ทำให้ผู้ชายหน้าหล่อๆ คนหนึ่งกลายเป็นน่ารักได้แบบงงๆ

    “ผมไปก่อนนะ”

    “ครับ”

    จบการสนทนา โบกมือลา และแยกย้าย

    “ไปแทน กลับ” ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูที่บอกเวลาว่าใกล้ถึงเวลาเรียนเข้าไปทุกที ถ้าขับรถกลับไปรวมเวลาเดินกว่าจะถึงห้องเรียนก็คงเหลือเวลาให้หายใจทิ้งก่อนอาจารย์เข้าสอนแค่ไม่กี่นาที

    แน่นอนว่าไอ้แทนก็คือไอ้แทนเจออะไรมาต้องเล่าไม่อย่างนั้นจะลงแดง ล่าสุดคือไปหวีดกรีดร้องลงแชทกลุ่มว่าเจอคนหล่อ

    จะว่าหล่อก็หล่อผมไม่เถียงหรอก แต่หลังจากเห็นยิ้มแป้นๆ นั่นก็มองเป็นหล่ออีกไม่ได้เลย ผมว่าเขาน่ารักมากกว่าหล่ออ่ะตอนนี้

    ผมแย้งไปแบบนั้น ในกลุ่มแชท ในขณะที่ไอ้แทนที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ก็เถียงกลับมาไม่หยุด ลามไปถึงหวีดอยากเป็นเมียเขา...

    เพื่อนกูทำไมดูเป็นบ้าหนักขึ้นทุกวัน เลิกคบตอนนี้ทันไหม?

    แต่จะว่าไปผมกับเขายังไม่เคยรู้ชื่อของอีกฝ่ายเลย... ถ้าถามพี่จูนน่าจะรู้นะ แต่ก่อนจะได้พิมพ์คำถามที่อยากรู้ลงไปเหล่าสมาชิกกลุ่มแชทก็เรียกร้องหารูปของคนหล่อของไอ้แทนซะก่อน

    สายรุ้ง

    คือชื่อของคนที่เป็นหัวข้อสนทนาในแชทกลุ่ม ตามคำบอกเล่าของพี่จูนหลังจากที่ผมส่งรูปโปรไฟล์ของเจ้าของการตั้งชื่อแชทด้วยอีโมจิตัวเดียว

    เพราะว่าชื่อนี้ถึงได้ใช้อีโมจิสายรุ้งสินะ

    ก็น่ารักเหมาะกับเจ้าตัวดี

     

    เลิกเรียนผม แทนและคริสก็มานั่งหน้าสลอนกันอยู่หน้าคณะสถาปัตย์ให้คนมองกันเล่นๆ

    คริสนัดเจอกับแฟนมันที่นี่ ส่วนผมที่เป็นคนดีมาส่งเพื่อนก็ถือโอกาสมาดักรอพี่จูนเพื่อคุยธุระนิดหน่อย ถ้าถามว่าทำไมไม่แชทหรือโทรคุยให้มันจบไป... ก็แบบ ปล่อยผมทำอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนต้องจะต้องไปเผชิญกับงานกองเท่าภูเขาที่อาจารย์เพิ่งจะสั่งมาสดๆ ร้อนๆ เถอะ

    ระหว่างนั่งรอในต่างถิ่นคริสกับแทนก็พากันก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์กันเงียบๆ ไม่พูดไม่จากันสักแอะ ส่วนผมที่ไม่รู้ทำอะไรก็ได้แต่ไถหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองไปมาอย่างเบื่อๆ ก่อนกดล็อกหน้าจอแล้วกวาดสายตามองนั่นนี่รอบตัวไปเรื่อยเปื่อย

    ผมว่าผมคิดผิดที่มาที่นี่ หันไปตรงไหนก็พาลทำให้ผมนึกถึงคนใจร้ายคนเดิม ภาพเก่าๆ เริ่มผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ เริ่มทำให้ผมฟุ้งซ่าน

    และก่อนที่จะฟุ้งซ่านจนสติแตก ชีทเรียนของแทนที่วางอยู่บนโต๊ะก็กลายเป็นเหยื่อผู้โชคร้ายที่ถูกผมเอามาพลิกด้านหลังเขียนเล่นเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองที่กำลังจะเป็นบ้า

    “วาดก๊อตซิลล่าดิ ถล่มเมืองๆ” เจ้าของชีทเคราะห์เสนอโดยไม่มีห้าม

    “วาดอุลตร้าแทนด้วยๆ สู้กันๆ” คริสที่เสริมขึ้นอีกคน

    เอาล่ะ เรื่องเรียนเราก็ไม่เคยจะจริงจังได้ขนาดนี้หรอก

    ปากกาด้ามโปรดถูกใช้วาดตึกรามบ้านช่องเป็นฉากหน้าก่อนจะตามมาด้วยตัวเอกอย่างก๊อตซิลล่า

    เวร... หมึกหมด

    “นั่นไง ปากกาอีกด้ามมึงเหน็บกระเป๋าเสื้ออยู่” เจ้าของรีเควสก๊อตซิลล่าบอกพลางชี้มาที่อกเสื้อนักศึกษาของผมที่เหน็บปากกาด้ามที่เก็บได้ตั้งแต่เมื่อวานเอาไว้

    อา... ของใครไม่รู้ ท่าทางจะแพงด้วย แต่ขอยืมก่อนนะ

    ครืด... โทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้และลืมสนใจไปพักใหญ่เด้งแจ้งเตือนขึ้นมาบนหน้าจอหลังจากที่วาดฉากตามต้องการของเพื่อนเสร็จ

    ‘[Rainbow]: นาย นั่นปากกานายเหรอ

    เจ้าของชื่อแชทที่ตั้งด้วยอีโมจิตัวเดียวส่งข้อความมา ทำให้ต้องเลิกคิ้วพร้อมกับกวาดสายตามองหาอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ แต่ก็หาไม่เจออยู่ดี

    อยู่ตรงไหนของเขาน่ะ?

    แต่ก่อนที่ผมจะได้พิมพ์คำตอบกลับไปอีกฝ่ายก็รัวส่งคำถามมาชุดใหญ่ มาทำอะไรที่นี่เอย เรียนคณะนี้เหรอ ไม่มีเรียนเหรอ แล้วก็วนกลับไปคำถามแรกว่าปากกาในมือผมเป็นของผมหรือเปล่า

    ตอบเจ้าตัวไปทีละคำถามพลางหัวเราะเบาๆ กับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเล่าผ่านตัวหนังสือว่าถูกคนให้ปากกาแสนดุร้ายต่อว่ามา

    แปะ...

    เสียงเหมือนพลาสติกหรือยางอะไรสักอย่างกระทบกับของแข็งทำให้ต้องละสายตาจากหน้าจอไปมองต้นเสียงทันที

    “เหวอ!!!

    “เฮ้ย!!!

    “ว้าก!!!

    เสียงใครเป็นเสียงใครก็ไม่รู้แหละ แต่ที่แน่ๆ คือหลังจากที่เห็นสิ่งมีชีวิตมีหนวดสีน้ำตาลแดงอยู่บนโต๊ะและแหกปากร้องลั่น ตัวผมและเพื่อนทั้งสองที่สติแตกพอกันพากันกระโดดหนีไปกันคนละทิ้งละทางจนใครหลายคนที่อยู่ในบริเวณนี้พากันหันมามองเป็นตาเดียว

    ไอ้เหี้ยเอ๊ย! แมลงสาบ!!!

    เสียงหัวใจเต้นตุบๆ ดังอื้ออึงไปจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงรอบตัว สายตาเอาแต่มองแมลงสาบบนโต๊ะอย่างหวาดๆ

    ใช่ ผมไม่ถูกโรคกับแมลงสักเท่าไหร่ อันนี่จริงก็เห็นได้ ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วต้องวิ่งหนีอะไรขนาดนั้น แต่กรณีนี้คือมาแบบจัมป์สแคร์ไง ใครไม่ตกใจสาวแตกก็จิตแกร่งเกินคนไปแล้ว

    “ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ดังลั่นพร้อมกับไอ้พี่จูนเดินหัวเราะพลางกุมท้องเข้ามาหาก่อนเอื้อมไปเก็บแมลบสาบปลอมบนโต๊ะไปไว้ในมือ

    “ขวัญอ่อนจริง พวกมึงนี่” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังก็เห็นว่าไอ้พี่ซิงค์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ซึ่งดูเหมือนว่าพี่มันก็น่าจะมาทันเหตุการณ์วงแตกเมื่อกี้นี้ด้วย

    “โห่ อยู่ดีๆ แมลงสาบตัวบักเอ้กโดดมาแปะอยู่ตรงหน้าเป็นพี่ พี่ไม่ตกใจเรอะ” แทนแหวใส่คนพี่อย่างมีน้ำโห

    “ไม่อ่ะ”

    “ขี้โม้ พี่มึงก็กรี๊ดแหละ กูเคยเห็น” คริสโพล่งขึ้นก่อนจะโดนฝ่ามืออรหันต์ของคนโม้ฟาดเข้าให้

    “แล้วนี่พวกมึงมาทำอะไรคณะกูเนี่ย นัดส่งของกันเหรอ” หย่อนตัวลงนั่งพร้อมคำถามชวนเข้าคุกแต่ก็ไม่มีใครตอบอะไรก่อนเจ้าตัวจะหันมาเปิดประเด็นธุระกับผมแทน

    “ในฐานะที่มึงเป็นน้องรักของพี่ฟ้าอ่ะ มึงช่วยไปขอพี่ฟ้ามาเป็นเคสให้กูหน่อยดิ” พี่จูนเปิดประเด็นด้วยประโยคกึ่งบังคับก่อนจะสาธยายโปรเจกต์ของตัวเองมาให้ผมฟังเกือบยาว เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่รวมๆ ก็คือพี่จูนมันได้โปรเจกต์ออกแบบร้านอาหารแถมยังต้องหายูสเซอร์สำหรับเป็นเคสสตัดดี้เอาเอง หวยเลยมาลงที่พี่สาวของผมที่เป็นเจ้าของภัตตาคารเสียอย่างนั้น

    “คือพี่มึงก็รู้จักพี่ฟ้าไหม ไม่ไปขอเองวะ”

    “กูก็ว่าจะขอเองแหละ แต่มึงช่วยไปเกริ่นให้พี่มึงฟังก่อนได้ไหมล่ะ แหม”

    “อ่ะ งั้นเดี๋ยวกูบอกพี่ฟ้าเลย แต่ที่เหลือมึงคุยเองนะพี่จูน” ว่าสรุปตัดบทเสร็จสรรพ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพี่สาวตัวเองพลางลุกออกจากม้าหินที่นั่งอยู่แยกตัวออกมาเพื่อตัดเสียงรบกวนการสนทนาของพวกที่เหลือที่กำลังเปิดประเด็นเมาท์มอย

    ระหว่างที่คุยกับพี่ฟ้าและเริ่มเกริ่นนำให้ปลายสายฟัง ร่างสูงโปร่งของคนที่เพิ่งจะได้แชทคุยกันไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็โผล่มาตรงหน้าพลางส่งยิ้มมาทักทายตามประสาและด้านหลังก็มีร่างสูงกว่าของคนชื่อหงส์ยืนอยู่ด้วย

    สายรุ้งยืนกับหงส์ที่ยืนเว้นระยะเอาไว้เพราะเห็นว่าผมกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ก็หันไปคุยกันสองคนระหว่างรอให้ผมเสร็จธุระจากตรงนี้

    ทันทีที่วางสายและหันไปหาคนที่ยืนรออยู่หมายจะเอ่ยปากเรียก แต่คนที่ยืนรอผมอยู่ก็ดันถูกไอ้พี่จูนที่นั่งอยู่ไม่ไกลเรียกตัดหน้าไปซะก่อน

    “อ้าว สายรุ้งกับหงส์นี่ มาหาสกายมันเหรอ” คนถูกเรียกทั้งสองหันไปหาต้นเสียงทันที กลายเป็นผมต้องยกมือที่กำลังจะกวักเรียกเก้ออยู่กลางอากาศแทน

    ส่วนเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกก็หันไปพยักหน้าหงึกหงักก่อนหันกลับมาพร้อมเดินเข้ามาหา ส่วนผมก็หยิบปากกายื่นไปให้เจ้าของที่ยื่นมือมารอรับอยู่ก่อนแล้ว

    “ขอบคุณนะ รบกวนไว้เยอะเลย” พูดจบก็ส่งยิ้มตาหยีมาให้อีกหน “ว่าแต่รู้จักจูนด้วยเหรอ”

    “ครับ พี่ข้างบ้านน่ะ”

    “เห จูนเป็นพี่คุณเหรอ งี้คุณก็เป็นน้องผมด้วยดิ เพราะผมรุ่นเดียวกับจูนอ่ะ”

    อ่า... ไอ้พี่จูนก็ยังไม่เคยบอกนี่นะว่าคนคนนี้เรียนอยู่ปีอะไร ไอ้ผมก็ทึกทักเอาเองว่าเป็นรุ่นเดียวกันซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าอายุมากกว่าตั้ง 2 ปี

    “แต่ท่าทางน้องเค้าควรเป็นพี่มึงมากกว่าอีกรุ้ง” พี่หงส์ที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นจากการกดโทรศัพท์โพล่งขึ้นก่อนร้องทักถึงการเรียกแทนตัวที่ผมกับคนตรงหน้าใช้

    “ว่าแต่ทำไมใช้คุณกับผมคุยกันล่ะ คุยกันตั้งหลายทีแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่เคยแนะนำตัวกัน”

    “...”

    “...”

    เรื่องจริงทั้งนั้น! อันที่จริงก็อยากจะถามชื่อกับเจ้าตัวตรงๆ นะ แต่ก็แบบ... ไม่มีจังหวะถามบ้างล่ะ ลืมบ้างล่ะ คิดๆ ดูมันก็น่าเวทนาอยู่นิดๆ แฮะ

    “จริงดิ นี่พวกมึงลำดับการทำความรู้จักผิดรึเปล่า” พี่หงส์พูดต่อพลางขมวดคิ้วมองหน้าผมกับเพื่อตัวเองสลับกันไปมา ไอ้ผมก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไปแค่นั้น เพราะไม่รู้จะแก้ต่างยังไง

    “ทำความรู้จักกันใหม่เลยไป กูไปคุยกับไอ้จูนก่อน” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดบทแล้วปลีกตัวเองออกไปทางโต๊ะที่พวกผมนั่งสุมหัวกันอยู่

    ส่วนผมกับสายรุ้งก็เอาแต่ยืนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

    “ตลกดีอ่ะ เคยคุยกันตั้งหลายทีแล้วยังต้องมาแนะนำตัวกันใหม่อีก ฮะๆ” คนโตกว่าพูดทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นพลางเกาท้ายทอยไปพลาง

    “เห็นด้วยเลย”

    “เอ่อ... เราก็ไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างที่หงส์มันว่าจริงๆ แหละเนอะ เอาเป็นว่าพี่ชื่อสายรุ้งสถาปัตย์ปีสี่ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แนะนำตัวปิดท้ายด้วยยิ้มตาหยีอีกรอบ

    “สกายนิเทศฟิล์มปีสอง ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

    “ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่เหรอ” สายรุ้งถามตาปริบๆ ก่อนจะหันไปมองทางเพื่อนตัวเองที่นั่งคุยอยู่กับไอ้พี่จูน

    “มาส่งเพื่อนน่ะครับ แฟนมันเรียนคณะนี้ ผมเลยแวะมาคุยธุระกับพี่จูนมันด้วย”

    “คนนั้นเหรอ ที่ผอมๆ สูงๆ” ถามทั้งที่สายตายังคงมองไปทางโต๊ะที่เริ่มจะมีประชากรเยอะเกินกว่าที่นั่งของชุดโด๊ะเก้าอี้จะรองรับได้

    ผมที่มองตามไปก็เริ่มขมวดคิ้วกับคนที่เพิ่มเข้ามา

    นั่นมันซันไม่ใช่เหรอ ทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ปกติมันอยู่อีกกลุ่มไม่ใช่หรือไง?

    ส่วนอีกคนที่ตัวเล็กๆ ก็น่าจะเป็นแฟนของคริสที่ผมไม่เคยเห็นหนสักครั้งตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนตัวเองมีแฟน

    “ครับ ไอ้ผอมๆ นั่นแหละเพื่อนผม ส่วนคนตัวเล็กๆ นั่นก็น่าจะเป็นแฟนมันแหละมั้ง ผมก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน”

    “อือ... บังเอิญจัดเลยแฮะ” แม้ว่าอีกคนจะพูดพึมพำกับตัวเองแต่จากการที่ไม่ได้ยืนห่างกันมากมายจึงทำให้ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดชัดเจน จนอดไม่ได้ที่ต้องหันไปมองคนพูดที่ยืนอยู่ข้างๆ

    “สองคนนั้นเป็นหลายรหัสพี่น่ะ คนตัวเล็กที่น่าจะเป็นแฟนเพื่อนเราชื่อเคป แล้วก็เป็นเจ้าของปากกาที่เพิ่งจะด่าที่พี่ทำปากกาที่มันให้หายด้วย” เล่าพลางหัวเราะแห้งๆ ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ในฐานะผู้ฟังที่ดี

    “ส่วนอีกคนชื่อซัน แต่ปกติหมอนั่นไม่ค่อยมาอยู่กับพวกพี่เท่าไหร่หรอก มันชอบอยู่กับกลุ่มตัวเองที่เป็นกลุ่มเด็กสันประจำรุ่นมากกว่า นานๆ จะโผล่หัวมาเล่นด้วยกันทีนึง”

    “ครับ คนชื่อซันนั่นผมก็รู้จัก” โพล่งออกไปทั้งที่สายตายังคงมองไปที่ร่างสูงของซันที่กำลังส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ กับเพื่อนตัวเอง

    “อ่อ อือ”

    คนข้างตัวตอบรับแค่นั้น ในขณะที่ความคิดของผมเริ่มหลุดลอยและกำลังจะฟุ้งซ่านอีกครั้ง

    เรื่องของคนที่ไม่อยากคิดถึงเริ่มผุดพรายขึ้นมาในหัวเพียงแค่เห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้น

    ...ไม่อยากนึกถึงให้ตัวเองรู้สึกแย่เลย ให้ตายสิ

    “ชีวิตมันก็มีอะไรที่แย่ๆ บ้างแหละ ใหม่ๆ ก็อาจจะรู้สึกแย่บ้าง แต่อย่าไปโฟกัสกับมันนานเกินไปล่ะ เลือกทำอะไรที่มีความสุขดีกว่า” เสียงใสของคนข้างตัวโพล่งขึ้นก่อนมือเรียวจะตบลงบนไหล่ 2-3 ทีก่อนบีบเบาๆ

    สิ่งที่ได้ฟังทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องหันไปมองคนพูด

    คนคนนี้พูดเหมือนกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไงอยู่อย่างนั้นแหละ และมันทำให้ผมได้แต่สงสัยว่าตัวเองรู้สึกแล้วแสดงออกมากเกินไปจนอีกคนมองเห็น

    หรือว่าคนคนนี้จะรู้อะไรมากกว่าที่คิด...

     

    CH03 :: 100%


    มาแล้ววววว มาช้าแต่ก็มานะขอรับ อุแหะ

    ฝากคอมเมนต์ติชมกันเข้ามาได้นะขอรับ ข้าน้อยอยากอ่าน และชอบอ่านเหลือเกิน

    และก็ขอฝากน้องสายกับพี่สายรุ้งไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของรีดเดอร์กันด้วยนะขอรับ

    //พับเพียบไหว้

    #สายรุ้งสีคราม

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×