คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CH03 :: 03:00
03:00
มีเรียนบ่ายแทนที่จะได้ออกจากห้องในระยะเวลาใกล้ๆ
กัน แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนผมทิ้งรถตัวเองเอาไว้ที่ร้าน
แผนการเล่นเกมฆ่าเวลาเลยล่มสลายไปโดยปริยาย และกลายเป็นว่าต้องอาบน้ำแต่งตัวก่อนเวลามากๆ
และก็กลายเป็นว่าผมมานั่งจุมปุ๊กอยู่ใต้คณะตัวเองตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่าเพราะไม่รู้จะไปไหน
เปิดโทรศัพท์เข้าแอปพลิเคชันแชทสำรวจความต้องการของเพื่อนร่วมชะกรรมทางการเรียนอย่างแทนกับคริสว่าเที่ยงนี้จะกินข้าวกันที่ไหน
ซึ่งผมก็ไม่รู้จะกินอะไรดี
ยกให้เป็นปัญหาระดับโลกได้ไหม
ไอ้คำถาม ‘กินอะไรดี’ เนี่ย
‘Crystal royal: ไปกันเลย กูกินกับแฟน เดี๋ยวมันไปส่ง’
‘TAN: ไปอักษรกัน อยากกินหมูกรอบ’
‘skyyy: ดีล’
จบการแชทแต่เพียงเท่านั้น
เมื่อกลับมาอยู่ในความสงบของตัวเองผมก็ดันกดเข้าไปในห้องแชทของมิ้นท์ด้วยความเคยชิน
นั่งเงียบๆ เลื่อนย้อนอ่านข้อความเก่าๆ ให้ตัวเองชี้ช้ำเล่นๆ
ก่อนกดเข้าไปที่หน้าโปรไฟล์ของอีกคน
แต่แค่พริบตาข้อมูลบุคคลที่เคยเห็นก็หลายเป็นว่างแปล่า
ห้องแชทที่เคยมีชื่อก็กลายเป็น
Empty
แม่งเอ๊ย! คือลบแอคเคาท์ไปต่อหน้าต่อตากูเลยว่ะ
โหดสัดอะไรขนาดนี้
ไม่เหลือเยื่อใยใดๆ สักนิดหรือคิดจะบอกกันดีๆ หน่อยเหรอวะ
ต้องเป็นคนยังไงถึงได้ใจร้ายใส่กันฉิบหาย
และระหว่างที่กำลังหัวร้อนและอารมณ์แปรปรวนไปหมดแจ้งเตือนว่ามีคนแปลกหน้าแอดเข้ามาด้วยไอดีทำให้ต้องเลิกคิ้วแล้วกดเข้าไปดู
แต่เร็วกว่าโปรเน็ตราคาแพงที่ใช้คุ้มบ้างไม่คุ้มบ้างคนที่เพิ่มเพื่อนเข้ามาใหม่ก็ส่งข้อความมารัวๆ
ใจความสำคัญมีแค่ว่า
‘ลืมกระเป๋าสตางค์’
คงเป็นเพราะเมื่อเช้าส่งข้อความไปบอกหงส์ว่าเพื่อนตัวเองลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้องผมสินะ
และสรุปคือการคืนกระเป๋าสตางค์ต้องเจอกันคนละครึ่งทางเพราะคณะผมกับคณะของอีกคนอยู่ห่างกันเอาเรื่อง
อีกอย่างคืออีกคนเขากลัวกลับไปพรีเซนต์งานไม่ทัน
“สกายยยยย!” เสียงเรียกดังๆ
ที่แสนจะคุ้นหูและหนวกหูในเวลาเดียวกันดังแหวกเหล่าผู้คนชาวนิเทศแลนด์ที่นั่งสุมหัวกันเป็นย่อมๆ
อยู่ใต้คณะทำให้อดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจพร้อมกลอกตามองบนกับความบ้าบอนี้
ตอนเด็กๆ
แม่มันให้กินโทรโข่งกับนกหวีดหรือยังไง ทำไมเพื่อนกูเสียงดังขนาดนี้
อายชาวบ้านบ้างเถอะไอ้เหี้ย
“ใครน่ะ”
สวนกลับเพื่อนตัวดีกลับไปพลางทำหน้าเหมือนเจอตัวประหลาดใส่ทำให้มันชะงักเลิ่กลั่กหันซ้ายหันขวาเหมือนคนหน้าแตก
ก่อนจะก้าวเร็วๆ ตรงดิ่งเข้ามาหา
ไอ้แทนก็คือไอ้แทน
ต่อมุขชาวบ้านได้เสมอ แม้จะเป็นมุขห้าบาทสิบบาทก็ตาม
“จำพ่อไม่ได้เหรอลูก
นี่พ่อไง หรือว่าตอนเด็กๆ พ่อเผลอปล่อยให้ลูกกินขี้เถ้าสมองถึงไม่สามารถจำหน้าพ่อบังเกิดเกล้าได้
ไอ้สัด!”
ปึก!
เออ
เริ่มแรกมันก็รับมุขดีๆ แต่ก็ไม่พ้นด่าปิดท้ายอยู่ดี
แถมด้วยการวางหนังสือเล่มหนาชนิดที่ว่าตีหัวหมาแตกลงแรงๆ
บนเป็นเชิงข่มขู่ว่าสิ่งต่อไปที่จะตกเป็นเป้าไอ้หนังสือมหาประลัยนี่จะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผม
“มึงทำการบ้านของศรีสวัสดิ์เสร็จยัง
กูยังทำไม่เสร็จเลย ลอกมั่งดิ”
“แค่คำตอบเชิงวิเคราะห์มึงจะลอกอะไรก่อน
มันต้องความคิดใครความคิดมันดิ”
เมื่อตอบกลับไปแบบนั้นคนฟังก็ได้แต่ทำหน้าเหยเกเหมือนคนท้องผูก
“มึงวิเคราะห์ได้ยังไงก็เขียนๆ
ไปเถอะ ถ้าคำตอบมันตายตัวแบบโจทย์เลขกูก็ให้ลอกอยู่หรอก”
“โอเคๆ
อย่าเทศน์กูเลย กูจะทำเองแล้ว แต่ก่อนทำไปแดกข้าวกันเถอะ”
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จผมก็หนีบไอ้แทนติดรถมาด้วยและเมื่อถึงจุดนัดพบซึ่งเป็นส่วนนั่งเล่นเล็กๆ
ของคณะ... เอ่อ... คณะอะไรสักอย่าง ผมไม่ค่อยได้สังเกต
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดห้องแชทบอกอีกคนว่ามาถึงแล้วและกำลังรออยู่ตรงไหน
ไม่ถึงห้านาทีก็เห็นร่างสูงในสภาพเป็นผู้เป็นคนต่างกับเมื่อวานลิบลับเดินเข้ามาในรัศมีสายตาพร้อมกับไอ้เพื่อนที่นั่งบนม้าหินข้างๆ
กันเอาแต่สะกิดกันยิกๆ
“มึง
คนที่เพิ่งเดินเข้ามา หล่อสัสไอ้เหี้ย หล่อฉิบหาย” พูดทั้งที่ยังมองไปยังทางเข้าสวนไม่วางตา
และพอหันไปมองตามที่เพื่อนตัวเองมองผมก็เห็นแค่เจ้าของกระเป๋าสตางค์ที่นัดกันเอาไว้
จะว่าไปก็หล่อเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย
แค่เดินเข้ามาก็มีแต่คนแอบมอง
ผมปัดมือแทนที่ยังสะกิดไม่เลิกทิ้งพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณเรียกให้คนมาใหม่เดินเข้ามาเมื่อหันมาสบตากันพอดี
“เดี๋ยว
คนนี้เหรอ?”
“ใช่”
ตอบคำถามเพื่อนแค่นั้น
และมันก็เอาแต่ทำปากพะงาบๆ เป็นบ้าอยู่คนเดียว ผมเลิกสนใจแทนแล้วหันไปทางที่คนมาใหม่กำลังเดินเข้ามา
“โทษทีนะ
เมื่อเช้ารีบไปเช็คชื่อน่ะ” เอ่ยกล่างทักทายด้วยคำขอโทษเป็นอย่างแรก
“ไม่เป็นไรครับ”
ตอบกลับพร้อมยื่นกระเป๋าสตางค์ส่งคืนให้เจ้าของ
“ขอบคุณครับ”
จบคำก่อนยิ้มจนตาหยี ยิ้มที่ทำให้ผู้ชายหน้าหล่อๆ คนหนึ่งกลายเป็นน่ารักได้แบบงงๆ
“ผมไปก่อนนะ”
“ครับ”
จบการสนทนา
โบกมือลา และแยกย้าย
“ไปแทน
กลับ” ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูที่บอกเวลาว่าใกล้ถึงเวลาเรียนเข้าไปทุกที
ถ้าขับรถกลับไปรวมเวลาเดินกว่าจะถึงห้องเรียนก็คงเหลือเวลาให้หายใจทิ้งก่อนอาจารย์เข้าสอนแค่ไม่กี่นาที
แน่นอนว่าไอ้แทนก็คือไอ้แทนเจออะไรมาต้องเล่าไม่อย่างนั้นจะลงแดง
ล่าสุดคือไปหวีดกรีดร้องลงแชทกลุ่มว่าเจอคนหล่อ
จะว่าหล่อก็หล่อผมไม่เถียงหรอก
แต่หลังจากเห็นยิ้มแป้นๆ นั่นก็มองเป็นหล่ออีกไม่ได้เลย
ผมว่าเขาน่ารักมากกว่าหล่ออ่ะตอนนี้
ผมแย้งไปแบบนั้น
ในกลุ่มแชท ในขณะที่ไอ้แทนที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ก็เถียงกลับมาไม่หยุด
ลามไปถึงหวีดอยากเป็นเมียเขา...
เพื่อนกูทำไมดูเป็นบ้าหนักขึ้นทุกวัน
เลิกคบตอนนี้ทันไหม?
แต่จะว่าไปผมกับเขายังไม่เคยรู้ชื่อของอีกฝ่ายเลย...
ถ้าถามพี่จูนน่าจะรู้นะ
แต่ก่อนจะได้พิมพ์คำถามที่อยากรู้ลงไปเหล่าสมาชิกกลุ่มแชทก็เรียกร้องหารูปของคนหล่อของไอ้แทนซะก่อน
‘สายรุ้ง’
คือชื่อของคนที่เป็นหัวข้อสนทนาในแชทกลุ่ม
ตามคำบอกเล่าของพี่จูนหลังจากที่ผมส่งรูปโปรไฟล์ของเจ้าของการตั้งชื่อแชทด้วยอีโมจิตัวเดียว
เพราะว่าชื่อนี้ถึงได้ใช้อีโมจิสายรุ้งสินะ
ก็น่ารักเหมาะกับเจ้าตัวดี
เลิกเรียนผม
แทนและคริสก็มานั่งหน้าสลอนกันอยู่หน้าคณะสถาปัตย์ให้คนมองกันเล่นๆ
คริสนัดเจอกับแฟนมันที่นี่
ส่วนผมที่เป็นคนดีมาส่งเพื่อนก็ถือโอกาสมาดักรอพี่จูนเพื่อคุยธุระนิดหน่อย
ถ้าถามว่าทำไมไม่แชทหรือโทรคุยให้มันจบไป... ก็แบบ
ปล่อยผมทำอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนต้องจะต้องไปเผชิญกับงานกองเท่าภูเขาที่อาจารย์เพิ่งจะสั่งมาสดๆ
ร้อนๆ เถอะ
ระหว่างนั่งรอในต่างถิ่นคริสกับแทนก็พากันก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์กันเงียบๆ
ไม่พูดไม่จากันสักแอะ
ส่วนผมที่ไม่รู้ทำอะไรก็ได้แต่ไถหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองไปมาอย่างเบื่อๆ ก่อนกดล็อกหน้าจอแล้วกวาดสายตามองนั่นนี่รอบตัวไปเรื่อยเปื่อย
ผมว่าผมคิดผิดที่มาที่นี่
หันไปตรงไหนก็พาลทำให้ผมนึกถึงคนใจร้ายคนเดิม ภาพเก่าๆ เริ่มผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ
เริ่มทำให้ผมฟุ้งซ่าน
และก่อนที่จะฟุ้งซ่านจนสติแตก
ชีทเรียนของแทนที่วางอยู่บนโต๊ะก็กลายเป็นเหยื่อผู้โชคร้ายที่ถูกผมเอามาพลิกด้านหลังเขียนเล่นเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองที่กำลังจะเป็นบ้า
“วาดก๊อตซิลล่าดิ
ถล่มเมืองๆ” เจ้าของชีทเคราะห์เสนอโดยไม่มีห้าม
“วาดอุลตร้าแทนด้วยๆ
สู้กันๆ” คริสที่เสริมขึ้นอีกคน
เอาล่ะ
เรื่องเรียนเราก็ไม่เคยจะจริงจังได้ขนาดนี้หรอก
ปากกาด้ามโปรดถูกใช้วาดตึกรามบ้านช่องเป็นฉากหน้าก่อนจะตามมาด้วยตัวเอกอย่างก๊อตซิลล่า
เวร...
หมึกหมด
“นั่นไง
ปากกาอีกด้ามมึงเหน็บกระเป๋าเสื้ออยู่”
เจ้าของรีเควสก๊อตซิลล่าบอกพลางชี้มาที่อกเสื้อนักศึกษาของผมที่เหน็บปากกาด้ามที่เก็บได้ตั้งแต่เมื่อวานเอาไว้
อา...
ของใครไม่รู้ ท่าทางจะแพงด้วย แต่ขอยืมก่อนนะ
ครืด...
โทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้และลืมสนใจไปพักใหญ่เด้งแจ้งเตือนขึ้นมาบนหน้าจอหลังจากที่วาดฉากตามต้องการของเพื่อนเสร็จ
‘[Rainbow]: นาย นั่นปากกานายเหรอ’
เจ้าของชื่อแชทที่ตั้งด้วยอีโมจิตัวเดียวส่งข้อความมา
ทำให้ต้องเลิกคิ้วพร้อมกับกวาดสายตามองหาอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ แต่ก็หาไม่เจออยู่ดี
อยู่ตรงไหนของเขาน่ะ?
แต่ก่อนที่ผมจะได้พิมพ์คำตอบกลับไปอีกฝ่ายก็รัวส่งคำถามมาชุดใหญ่
มาทำอะไรที่นี่เอย เรียนคณะนี้เหรอ ไม่มีเรียนเหรอ
แล้วก็วนกลับไปคำถามแรกว่าปากกาในมือผมเป็นของผมหรือเปล่า
ตอบเจ้าตัวไปทีละคำถามพลางหัวเราะเบาๆ
กับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเล่าผ่านตัวหนังสือว่าถูกคนให้ปากกาแสนดุร้ายต่อว่ามา
แปะ...
เสียงเหมือนพลาสติกหรือยางอะไรสักอย่างกระทบกับของแข็งทำให้ต้องละสายตาจากหน้าจอไปมองต้นเสียงทันที
“เหวอ!!!”
“เฮ้ย!!!”
“ว้าก!!!”
เสียงใครเป็นเสียงใครก็ไม่รู้แหละ
แต่ที่แน่ๆ
คือหลังจากที่เห็นสิ่งมีชีวิตมีหนวดสีน้ำตาลแดงอยู่บนโต๊ะและแหกปากร้องลั่น ตัวผมและเพื่อนทั้งสองที่สติแตกพอกันพากันกระโดดหนีไปกันคนละทิ้งละทางจนใครหลายคนที่อยู่ในบริเวณนี้พากันหันมามองเป็นตาเดียว
ไอ้เหี้ยเอ๊ย! แมลงสาบ!!!
เสียงหัวใจเต้นตุบๆ
ดังอื้ออึงไปจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงรอบตัว สายตาเอาแต่มองแมลงสาบบนโต๊ะอย่างหวาดๆ
ใช่
ผมไม่ถูกโรคกับแมลงสักเท่าไหร่ อันนี่จริงก็เห็นได้ ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วต้องวิ่งหนีอะไรขนาดนั้น
แต่กรณีนี้คือมาแบบจัมป์สแคร์ไง ใครไม่ตกใจสาวแตกก็จิตแกร่งเกินคนไปแล้ว
“ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ดังลั่นพร้อมกับไอ้พี่จูนเดินหัวเราะพลางกุมท้องเข้ามาหาก่อนเอื้อมไปเก็บแมลบสาบปลอมบนโต๊ะไปไว้ในมือ
“ขวัญอ่อนจริง
พวกมึงนี่” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังก็เห็นว่าไอ้พี่ซิงค์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ซึ่งดูเหมือนว่าพี่มันก็น่าจะมาทันเหตุการณ์วงแตกเมื่อกี้นี้ด้วย
“โห่
อยู่ดีๆ แมลงสาบตัวบักเอ้กโดดมาแปะอยู่ตรงหน้าเป็นพี่ พี่ไม่ตกใจเรอะ” แทนแหวใส่คนพี่อย่างมีน้ำโห
“ไม่อ่ะ”
“ขี้โม้
พี่มึงก็กรี๊ดแหละ กูเคยเห็น” คริสโพล่งขึ้นก่อนจะโดนฝ่ามืออรหันต์ของคนโม้ฟาดเข้าให้
“แล้วนี่พวกมึงมาทำอะไรคณะกูเนี่ย
นัดส่งของกันเหรอ” หย่อนตัวลงนั่งพร้อมคำถามชวนเข้าคุกแต่ก็ไม่มีใครตอบอะไรก่อนเจ้าตัวจะหันมาเปิดประเด็นธุระกับผมแทน
“ในฐานะที่มึงเป็นน้องรักของพี่ฟ้าอ่ะ
มึงช่วยไปขอพี่ฟ้ามาเป็นเคสให้กูหน่อยดิ” พี่จูนเปิดประเด็นด้วยประโยคกึ่งบังคับก่อนจะสาธยายโปรเจกต์ของตัวเองมาให้ผมฟังเกือบยาว
เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่รวมๆ ก็คือพี่จูนมันได้โปรเจกต์ออกแบบร้านอาหารแถมยังต้องหายูสเซอร์สำหรับเป็นเคสสตัดดี้เอาเอง
หวยเลยมาลงที่พี่สาวของผมที่เป็นเจ้าของภัตตาคารเสียอย่างนั้น
“คือพี่มึงก็รู้จักพี่ฟ้าไหม
ไม่ไปขอเองวะ”
“กูก็ว่าจะขอเองแหละ
แต่มึงช่วยไปเกริ่นให้พี่มึงฟังก่อนได้ไหมล่ะ แหม”
“อ่ะ
งั้นเดี๋ยวกูบอกพี่ฟ้าเลย แต่ที่เหลือมึงคุยเองนะพี่จูน” ว่าสรุปตัดบทเสร็จสรรพ
ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพี่สาวตัวเองพลางลุกออกจากม้าหินที่นั่งอยู่แยกตัวออกมาเพื่อตัดเสียงรบกวนการสนทนาของพวกที่เหลือที่กำลังเปิดประเด็นเมาท์มอย
ระหว่างที่คุยกับพี่ฟ้าและเริ่มเกริ่นนำให้ปลายสายฟัง
ร่างสูงโปร่งของคนที่เพิ่งจะได้แชทคุยกันไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็โผล่มาตรงหน้าพลางส่งยิ้มมาทักทายตามประสาและด้านหลังก็มีร่างสูงกว่าของคนชื่อหงส์ยืนอยู่ด้วย
สายรุ้งยืนกับหงส์ที่ยืนเว้นระยะเอาไว้เพราะเห็นว่าผมกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
ก็หันไปคุยกันสองคนระหว่างรอให้ผมเสร็จธุระจากตรงนี้
ทันทีที่วางสายและหันไปหาคนที่ยืนรออยู่หมายจะเอ่ยปากเรียก
แต่คนที่ยืนรอผมอยู่ก็ดันถูกไอ้พี่จูนที่นั่งอยู่ไม่ไกลเรียกตัดหน้าไปซะก่อน
“อ้าว
สายรุ้งกับหงส์นี่ มาหาสกายมันเหรอ” คนถูกเรียกทั้งสองหันไปหาต้นเสียงทันที
กลายเป็นผมต้องยกมือที่กำลังจะกวักเรียกเก้ออยู่กลางอากาศแทน
ส่วนเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกก็หันไปพยักหน้าหงึกหงักก่อนหันกลับมาพร้อมเดินเข้ามาหา
ส่วนผมก็หยิบปากกายื่นไปให้เจ้าของที่ยื่นมือมารอรับอยู่ก่อนแล้ว
“ขอบคุณนะ
รบกวนไว้เยอะเลย” พูดจบก็ส่งยิ้มตาหยีมาให้อีกหน “ว่าแต่รู้จักจูนด้วยเหรอ”
“ครับ
พี่ข้างบ้านน่ะ”
“เห
จูนเป็นพี่คุณเหรอ งี้คุณก็เป็นน้องผมด้วยดิ เพราะผมรุ่นเดียวกับจูนอ่ะ”
อ่า...
ไอ้พี่จูนก็ยังไม่เคยบอกนี่นะว่าคนคนนี้เรียนอยู่ปีอะไร
ไอ้ผมก็ทึกทักเอาเองว่าเป็นรุ่นเดียวกันซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าอายุมากกว่าตั้ง
2 ปี
“แต่ท่าทางน้องเค้าควรเป็นพี่มึงมากกว่าอีกรุ้ง”
พี่หงส์ที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นจากการกดโทรศัพท์โพล่งขึ้นก่อนร้องทักถึงการเรียกแทนตัวที่ผมกับคนตรงหน้าใช้
“ว่าแต่ทำไมใช้คุณกับผมคุยกันล่ะ
คุยกันตั้งหลายทีแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่เคยแนะนำตัวกัน”
“...”
“...”
เรื่องจริงทั้งนั้น! อันที่จริงก็อยากจะถามชื่อกับเจ้าตัวตรงๆ นะ
แต่ก็แบบ... ไม่มีจังหวะถามบ้างล่ะ ลืมบ้างล่ะ คิดๆ ดูมันก็น่าเวทนาอยู่นิดๆ แฮะ
“จริงดิ
นี่พวกมึงลำดับการทำความรู้จักผิดรึเปล่า” พี่หงส์พูดต่อพลางขมวดคิ้วมองหน้าผมกับเพื่อตัวเองสลับกันไปมา
ไอ้ผมก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไปแค่นั้น เพราะไม่รู้จะแก้ต่างยังไง
“ทำความรู้จักกันใหม่เลยไป
กูไปคุยกับไอ้จูนก่อน” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดบทแล้วปลีกตัวเองออกไปทางโต๊ะที่พวกผมนั่งสุมหัวกันอยู่
ส่วนผมกับสายรุ้งก็เอาแต่ยืนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ตลกดีอ่ะ
เคยคุยกันตั้งหลายทีแล้วยังต้องมาแนะนำตัวกันใหม่อีก ฮะๆ” คนโตกว่าพูดทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นพลางเกาท้ายทอยไปพลาง
“เห็นด้วยเลย”
“เอ่อ...
เราก็ไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างที่หงส์มันว่าจริงๆ แหละเนอะ เอาเป็นว่าพี่ชื่อสายรุ้งสถาปัตย์ปีสี่
ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แนะนำตัวปิดท้ายด้วยยิ้มตาหยีอีกรอบ
“สกายนิเทศฟิล์มปีสอง
ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ว่าแต่มาทำอะไรที่นี่เหรอ”
สายรุ้งถามตาปริบๆ ก่อนจะหันไปมองทางเพื่อนตัวเองที่นั่งคุยอยู่กับไอ้พี่จูน
“มาส่งเพื่อนน่ะครับ
แฟนมันเรียนคณะนี้ ผมเลยแวะมาคุยธุระกับพี่จูนมันด้วย”
“คนนั้นเหรอ
ที่ผอมๆ สูงๆ” ถามทั้งที่สายตายังคงมองไปทางโต๊ะที่เริ่มจะมีประชากรเยอะเกินกว่าที่นั่งของชุดโด๊ะเก้าอี้จะรองรับได้
ผมที่มองตามไปก็เริ่มขมวดคิ้วกับคนที่เพิ่มเข้ามา
นั่นมันซันไม่ใช่เหรอ
ทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ปกติมันอยู่อีกกลุ่มไม่ใช่หรือไง?
ส่วนอีกคนที่ตัวเล็กๆ
ก็น่าจะเป็นแฟนของคริสที่ผมไม่เคยเห็นหนสักครั้งตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนตัวเองมีแฟน
“ครับ
ไอ้ผอมๆ นั่นแหละเพื่อนผม ส่วนคนตัวเล็กๆ นั่นก็น่าจะเป็นแฟนมันแหละมั้ง ผมก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน”
“อือ...
บังเอิญจัดเลยแฮะ” แม้ว่าอีกคนจะพูดพึมพำกับตัวเองแต่จากการที่ไม่ได้ยืนห่างกันมากมายจึงทำให้ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดชัดเจน
จนอดไม่ได้ที่ต้องหันไปมองคนพูดที่ยืนอยู่ข้างๆ
“สองคนนั้นเป็นหลายรหัสพี่น่ะ
คนตัวเล็กที่น่าจะเป็นแฟนเพื่อนเราชื่อเคป แล้วก็เป็นเจ้าของปากกาที่เพิ่งจะด่าที่พี่ทำปากกาที่มันให้หายด้วย”
เล่าพลางหัวเราะแห้งๆ ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ในฐานะผู้ฟังที่ดี
“ส่วนอีกคนชื่อซัน
แต่ปกติหมอนั่นไม่ค่อยมาอยู่กับพวกพี่เท่าไหร่หรอก มันชอบอยู่กับกลุ่มตัวเองที่เป็นกลุ่มเด็กสันประจำรุ่นมากกว่า
นานๆ จะโผล่หัวมาเล่นด้วยกันทีนึง”
“ครับ
คนชื่อซันนั่นผมก็รู้จัก”
โพล่งออกไปทั้งที่สายตายังคงมองไปที่ร่างสูงของซันที่กำลังส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ
กับเพื่อนตัวเอง
“อ่อ
อือ”
คนข้างตัวตอบรับแค่นั้น
ในขณะที่ความคิดของผมเริ่มหลุดลอยและกำลังจะฟุ้งซ่านอีกครั้ง
เรื่องของคนที่ไม่อยากคิดถึงเริ่มผุดพรายขึ้นมาในหัวเพียงแค่เห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้น
...ไม่อยากนึกถึงให้ตัวเองรู้สึกแย่เลย
ให้ตายสิ
“ชีวิตมันก็มีอะไรที่แย่ๆ
บ้างแหละ ใหม่ๆ ก็อาจจะรู้สึกแย่บ้าง แต่อย่าไปโฟกัสกับมันนานเกินไปล่ะ
เลือกทำอะไรที่มีความสุขดีกว่า” เสียงใสของคนข้างตัวโพล่งขึ้นก่อนมือเรียวจะตบลงบนไหล่
2-3 ทีก่อนบีบเบาๆ
สิ่งที่ได้ฟังทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องหันไปมองคนพูด
คนคนนี้พูดเหมือนกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไงอยู่อย่างนั้นแหละ
และมันทำให้ผมได้แต่สงสัยว่าตัวเองรู้สึกแล้วแสดงออกมากเกินไปจนอีกคนมองเห็น
หรือว่าคนคนนี้จะรู้อะไรมากกว่าที่คิด...
CH03 :: 100%
มาแล้ววววว มาช้าแต่ก็มานะขอรับ อุแหะ
ฝากคอมเมนต์ติชมกันเข้ามาได้นะขอรับ ข้าน้อยอยากอ่าน
และชอบอ่านเหลือเกิน
และก็ขอฝากน้องสายกับพี่สายรุ้งไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของรีดเดอร์กันด้วยนะขอรับ
//พับเพียบไหว้
#สายรุ้งสีคราม
ความคิดเห็น