คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CH01 :: 01:00
01:00
“มึงไม่ต้องพามิ้นท์ไปกินข้าวเหรอ”
เพื่อนแก้มย้วยที่เดินอยู่ข้างๆ
โพล่งขึ้นระหว่างทางที่ผมกับมันกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ
และคำเตือนนั่นทำให้ต้องชะงักทันที
“เออว่ะ
วันนี้ทั้งวันก็หายไปเลย”
ว่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดห้องแชทที่ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ
มีแค่ข้อความที่ผมเป็นฝ่ายส่งไปหาอีกฝ่ายตั้งแต่เช้าและมันยังไม่ถูกเปิดอ่าน
...รู้สึกโหวงๆ
ยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“ไม่ตอบแชทเหรอ
ทำไมไม่โทรหาเขาล่ะ” แทนว่าและมันเป็นสิ่งที่ผมกำลังจะทำ เพราะวันนี้ทั้งผมทั้งมิ้นท์เรียนเต็มวันเหมือนกันหรอก
ถึงไม่มีเวลาโทรหาอีกฝ่ายเลยน่ะ
[ไม่มีหมายเลขที่คุณเรียก
กรุณาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง...]
กดตัดสายพลางขมวดคิ้วมองหน้าจอที่เปลี่ยนกลับไปเป็นหน้าจอแสดงคอนแทคที่เมมเอาไว้ในโทรศัพท์
สไลด์หน้าจอเลื่อนดูประวัติการโทรแล้วก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย
“เป็นไง”
“...”
ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะแตะชื่อของมิ้นท์เพื่อโทรออกอีกครั้ง
[ไม่มีหมายเลขที่คุณเรียก...]
“ทำไมมันบอกว่าไม่มีเบอร์วะ”
ตัดสายทิ้งก่อนที่เสียงตอบรับอัตโนมัตินั่นจะพูดจบ คำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในหัว
หมายความว่ายังไง?
หายไปไหน?
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงติดต่อไม่ได้?
“อ้าว! นั่นสกายนี่นา ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมเรียกชื่อให้ผมต้องหันไปตามเสียง
ร่างสูงโปร่งกับใบหน้าที่เคยเจออยู่บ่อยครั้งเวลาที่ผมมาหามิ้นท์
คนคนนี้ชื่อซัน
เพื่อนกลุ่มเดียวกันกับมิ้นท์
ด้วยความที่เจอกันแทบจะทุกครั้งที่ผมมาหามิ้นท์ที่คณะ
บวกกับช่วงที่เริ่มคบกับมิ้นท์ใหม่ๆ ผมก็หึงเธอกับเพื่อนผู้ชายของเธอไปทั่ว
เลยถูกจับไปนั่งจับเข่าคุยกันจริงจังจนกลายเป็นสนิทกันในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้
“ไง
ที่พูดนั่นยังไงก่อน แล้วทำไมกูจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะ”
ยกมือขึ้นทักทายพร้อมถามกลับถึงคำถามแปลกๆ ที่อีกฝ่ายถาม
“ก็มิ้นท์มันขึ้นเครื่องวันนี้
นึกว่ามึงจะไปส่งที่สนามบิน” ซันตอบกลับในทันที
แต่สิ่งที่ได้ยินทำให้ต้องขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ
ขึ้นเครื่องไปไหน?
“หมายความว่ายังไง”
ถามกลับไปทั้งที่ลำคอเริ่มแห้งผาก ความข้องใจเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนสองมือเริ่มกำเอาไว้หลวมๆ
“อ้าว
มึงไม่รู้เรื่องเหรอ เห็นมิ้นท์มันบอกพวกกูว่ามันคุยกับมึงแล้ว”
“ไม่รู้”
เค้นเสียงตอบกลับอย่างฉุนเฉียวแทบจะในทันทีจนอีกฝ่ายชะงักไป
นั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองเผลอเหวี่ยงออกไป ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่กดให้อ่อนลง
“กูไม่รู้อะไรทั้งนั้นซัน”
“...”
มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
จากสีหน้าปกติกลับเริ่มมองเห็นความเครียดขึงในแววตา
เหมือนคิดอะไรบางอย่างและกำลังลังเลที่จะพูดมันออกมา
ต่อให้ไม่รู้เรื่องอะไร
แต่จากที่ฟังสิ่งที่ซันพูดแล้ว ในตอนนี้ต่อให้ผมรู้ มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“บอกกูมาเถอะ”
พูดออกไปแบบนั้นทั้งที่สองมือเย็นเยียบและความกลัวเริ่มก่อตัว
...กลัวสิ่งที่กำลังจะได้ฟัง
กลัวว่าที่คิดมันเป็นเรื่องจริง
“เฮ้อ!” ซันถอนหายใจเหมือนทำใจเสร็จก่อนจะพูดต่อ
“มิ้นท์มันย้ายไปเรียนที่อเมริกา”
“มึงรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มันพูดกับพวกกูตลอดนะ
ว่าอยากไปอเมริกา แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะไปจริงๆ พวกกูมารู้ว่ามันจะไปก็เมื่อสองเดือนที่แล้วเอง”
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกปวดหนึบไปหมด...
“มึงยังติดต่อกับเขาได้ใช่ไหม”
ถามกลับพร้อมเบนสายตาที่หลุดโฟกัสจากคนพูดให้กลับมาสบตาอีกฝ่าย
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวผมเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน
ซันถึงได้ชะงักไปเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
“...”
“...”
เราต่างฝ่ายต่างสบตากันนิ่งเหมือนเป็นการหยั่งเชิง
ผมเงียบเพื่อรอคำตอบ
และซันเงียบเหมือนกับชั่งใจว่าควรจะทำยังไงต่อไปเมื่อผมเอาแต่เงียบและจ้องหน้าเอาคำตอบอย่างไม่ลดละ
“มึงติดต่อมันไม่ได้เหรอ
แล้วไลน์...”
“ไม่ได้...
มิ้นท์ไม่อ่านไลน์ ไม่รับสาย”
“เอ้า
อะไรของมันวะ ไหนบอกจบดีไง ทำไมมันไม่คุยกับมึงล่ะนั่น”
ซันร้องพลางเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ
แต่สิ่งที่ซันพูดยิ่งทำให้สองมือผมเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิมพร้อมเสียงตึกตักในอกที่เริ่มดังอื้ออึงและเริ่มรู้สึกเจ็บไปหมด
‘จบดี’ ที่ซันว่าคืออะไร
“จบอะไร”
เค้นเสียงถามยากเย็น ทั้งที่รู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองกำลังหายไป
“ก็มิ้นท์มันบอกว่าเลิกกับมึงแล้วกลับไปเป็นแค่เพื่อนกัน”
“...”
ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ทั้งซัน ทั้งผม หรือแม้แต่แทนที่เฟดตัวหลบฉากออกไปอยู่ด้านหลัง
คือ...
แค่นี้ก็เห็นได้ชัดมากๆ แล้วว่าที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะทำดีให้ไปแค่ไหน
มิ้นท์ก็คงจะไม่เคยเห็นค่าอะไรเลย ถึงได้ทำกับผมแบบนี้
เหมือนควายที่เพิ่งจะถูกปลุกความเป็นคนที่หลับอยู่ให้ตื่น
คำบอกเล่าที่ทำให้หายโง่
แต่ก็แลกมาด้วยความปวดหนึบยากอธิบาย
...ให้ตายเถอะ
“อืม”
ครางเสียงในลำคอเบาๆ พลางพยักหน้าพร้อมหลุบสายตามองต่ำด้วยไม่อยากมองว่าสายตาที่มองมาของอีกฝ่ายจะเป็นยังไง
แต่ต่อให้ไม่ต้องมองก็พอจะเดาได้
...ก็คงไม่พ้นสงสารหรือไม่ก็สมเพช
“ขอบใจที่บอก”
ผมพูดแค่นั้นพร้อมโบกมือเป็นเชิงขอตัว ก่อนก้าวออกไปจากตรงนี้เงียบๆ
รู้สึกแย่ชะมัด
หลังจากถกกันในห้องแชทกลุ่มว่าพี่จูนจะพาไปเลี้ยงขนมที่ร้านไหน
ผมกับแทนที่นั่งลอยไปลอยมารอเวลาก็พากันย้ายสารร่างมาที่ร้านขนมที่เจ้ามือเป็นคนเลือก
ภายในร้านแบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนคาเฟ่ที่อยู่ชั้นล่าง
ส่วนที่สองก็อยู่บนชั้นสองเปิดเป็นบาร์เบียร์ที่มีทั้งโซนอินดอร์และมีโซนเอาท์ดอร์ให้นั่งรับลม
แต่ถ้าวันไหนฝนตกแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยก็ฉิบหายกันทั้งโซน
ถ้าจำไม่ผิด
เคยได้ยินมาว่าถ้าเครียดให้กินของหวานจะได้อารมณ์ดี แล้วถ้าอยู่ในโหมดซึมอย่างกับหมาหงอยแบบผมนี่จะใช้ทฤษฎีนี้ได้ผลหรือเปล่า
ก็เลยกลายเป็นว่าสั่งขนมมาจนเต็มโต๊ะ ทั้งๆ ที่คนอื่นยังไม่มา
ไม่เป็นไร
ถ้าคนกินจุอย่างผมกินไม่หมด ก็มีคนกินจุกว่าอย่างแทนอยู่ด้วย แป๊บเดียว
เดี๋ยวก็หมด
นั่งแช่อยู่พักใหญ่กว่าคนอื่นจะมาถึงกันทีละคนๆ
ทุกครั้งที่ของบนโต๊ะเริ่มหมด ก็จะมีคนสั่งเพิ่มเหมือนกระเพาะเป็นหลุมดำ
ทั้งของคาวหวานถูกยกเสิร์ฟจนแทบจะไม่มีที่ว่าง
จนพนักงานต้องคอยเก็บจานที่ถูกวางเบียดเสียดกันแทบจะร่วงจากโต๊ะ
เรื่องราวสัพเพเหระถูกขุดขึ้นมาพูดเรื่อยๆ
จากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง จากคลองข้างถนนออกอ่าวไทยไปยันมหาสมุทร
ใครว่าผู้ชายไม่ขี้เม้าท์คงต้องกลับไปคิดใหม่แล้วล่ะ
แต่คนพวกนี้คงรู้ว่าผมอยู่ในโหมดซึมเป็นส้วม
หัวข้อสนทนาล้านแปดเลยไม่มีเรื่องของผมกับมิ้นท์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น
(แน่นอนว่าเรื่องนี้แพร่งพรายเข้าไปในแชทกลุ่มเพราะไอ้แทนคนเดียว)
แม้พวกมันจะขี้เสือกมากถึงมากที่สุด
ไม่รู้นั่งกันอยู่นานแค่ไหน
ด้วยฟ้าข้างนอกที่มืดสนิทไปนานโข พอเหลือบมองนาฬิกาก็บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว
...
เสี้ยนเหล้าว่ะ
“อิ่มว่ะ
เชี่ยแทนมึงสั่งเยอะ จัดการที่เหลือเลยนะ ไม่ต้องเนียนดันมาให้กูเลย”
รุ่นพี่ต่างคณะที่ใช้ผมเป็นแมสเซนเจอร์เมื่อเย็นอย่าง ‘พี่จูน’ และผู้เป็นเจ้ามือเลี้ยงขนมแทนข้าวเย็นมื้อนี้ว่าพร้อมใช้ส้อมในมือชี้หน้า
‘แทน’
เพื่อนที่เพิ่งสนิทตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย
ที่กำลังแอบเนียนดันจานโทสต์ที่ตัวเองสั่งมาไปทางคนเลี้ยง
“บ้า! กูแค่ขยับจานนี้เพราะว่ากูจะเอาอันนี้มากินต่างห่าง
พี่มึงกล่าวหากูอ่ะ”คนถูกว่าพูดรัวเลิ่กลั่กพร้อมทำเนียนหยิบจานวาฟเฟิ้ลที่อยู่อีกด้านมาวางตรงหน้าอย่างที่แถไป
“หน้าตาดูตอแหลมาก”
‘คริส’ ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโพล่งขึ้นทำให้รุ่นพี่ต่างขณะอีกคนอย่าง
‘พี่ซิงค์’ ที่น่าจะกำลังเล่นเกมในโทรศัพท์
(เห็นกดมานานมาก) เงยหน้าขึ้นมามองคนถูกกล่าวหาก่อนจะก้มหน้าลงไปสนใจโทรศัพท์ตัวเองเหมือนเดิม
“หน้ามึงตอแหลกว่ากูอีกนะคริสนะ”
ปากก็เคี้ยวจนแก้มย้วย แต่ก็ยังพูดต่อปากต่อคำกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามทั้งๆ
ที่ขนมยังเต็มปาก แอบเห็นเศษขนมกระเด็นออกมาด้วย ewww
ชั่งใจกับตัวเองสักพักว่าจะสั่งเหล้ามาที่โต๊ะหรือจะปลีกตัวออกไปนั่งดื่มคนเดียวที่ชั้นบนดี
แต่ดูจากสภาพที่ทุกคนน่าจะอิ่มของหวานกันแล้ว
กูขึ้นไปนั่งข้างบนคนเดียวดีกว่า
ขืนสั่งมาที่โต๊ะ น่าจะมีคนอ้วกแตก
แบบ...
ไอ้แทนมันคออ่อน แต่ชอบทำซ่า ดื่มด้วยกันทีไรเมาเป็นหมาอ้วกรดชาวบ้านทุกที
“ไปนั่งข้างบนนะ”
ตกลงกับตัวเองได้ก็บอกเพื่อนในโต๊ะพร้อมหยัดตัวลุกขึ้น
“อยากก็สั่งลงมากินที่นี่ก็ได้นะ”
พี่จูนบอกพลางยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นจิบ
“เสี้ยนเหล้าล่ะสิ”
พี่ซิงค์โพล่งขึ้นอย่างรู้ทันทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากเกมในโทรศัพท์ตัวเอง
และมันทำให้คนที่เหลือหันกลับมามองผมอีกครั้ง
คริสมองหน้าผมก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แกมไล่ให้ผมขึ้นไป
ส่วนพี่จูนก็ไม่ต่างกัน ส่วนแทน
มันหันกลับไปตักขนมเข้าปากตามปกติเหมือนไม่ได้สนใจอะไร
“ให้ไปนั่งเป็นเพื่อนไหม
หรืออยากอยู่คนเดียว” ถามทั้งที่ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มย้วย
“...”
ส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนเดินไปตรงไปยังบันไดวนขึ้นไปบนชั้นสอง
กวาดสายตามองหาที่นั่งแถวเคาน์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มแบบช็อตกับบาร์เทนเดอร์ก่อนจมดิ่งกับความคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ
ตอนนี้ในหัวมันสับสนไปหมด
ความรู้สึกต่างๆ ตีรวนปนกันมั่ว การถูกทิ้งเป็นสิ่งที่ควรเสียใจแต่ผมกลับไม่รู้สึกเสียใจเท่าที่ควรเลย
เอาจริงๆ
ผมว่าผมรู้สึกแย่ที่ผมไม่ได้รู้สึกแย่หรือเสียใจที่ถูกทิ้งเท่าที่ควร
...มันเหมือนเด็กที่อยากได้ของเล่นชิ้นหนึ่งมากๆ
เลยพยายามเก็บเงินทีละน้อยเพื่อซื้อมัน แต่พอถึงเวลากลับพบว่าไอ้ของเล่นนั้นเขาเลิกขายไปแล้ว
น่าจะประมาณนั้น
มั้ง
เหนือสิ่งอื่นใด
ต่อให้ไม่เสียใจเท่าไหร่ แต่การที่มิ้นท์ไปโดยที่ไม่บอกกันดีๆ
มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีไปแล้ว เหมือนเธอทำเป็นว่าผมแค่คนแปลกหน้าที่มีสถานะไว้บังหน้าเท่านั้น
ถ้าไม่เห็นหัวกันขนาดนี้จะปล่อยให้ผมจีบแล้วยอมตกลงคบกันไปทำไมวะ
คิดมาถึงตรงนี้ก็หงุดหงิด
กระดกแอลกอฮอล์ไปอีกช็อต
ผมเกลียดการถูกปั่นหัว
อันที่จริงคงไม่มีใครสนุกที่จะถูกยกตำแหน่งตัวตลกให้ในชีวิตจริงหรอก
เสียงเฮฮาปาร์ตี้ดังจากอีกด้านของร้าน
ซึ่งดูเหมือนว่าคนพวกนั้นกำลังฉลองวันเกิดของใครสักคน
และไม่แน่ใจว่าผมตาฝาดหรือเปล่า
ที่เห็นบุคคลที่ถึงจะเรียนต่างคณะแต่ก็ค่อนข้างจะคุ้นหน้าคุ้นตา
ซัน...
กับเพื่อนในกลุ่มของมิ้นท์
“หึ”
ได้แต่แค่นหัวเราะกับตัวเองก่อนเบนสายตาออกไปด้านนอก มองพระจันทร์ผ่านกระจกใส
แม้จะมีเมฆครึ้มเคลื่อนตัวมาก็ไม่ได้บดบังแสงสีนวลสักเท่าไหร่
แอลกอฮอล์ช็อตแล้วช็อตเล่าถูกผมกระดกเข้าปากรัวๆ
เหมือนประชดชีวิต แต่ก็เปล่าประชดนะ ผมแค่อยากดื่มเยอะๆ บ้างก็เท่านั้น
มองพระจันทร์บนฟ้าอยู่นานก็เบนสายตามองนั่นนี่ไปเรื่อย
บ้างก็มองไปยังพวกกลุ่มที่กำลังเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวที่ยังฉลองวันเกิดไม่หยุด
บ้างก็มองไปยังบาร์เทนเดอร์ที่กำลังผสมค็อกเทลสีประหลาดอย่างคล่องแคล่ว
ก่อนกวาดมองลงไปด้านล่างของร้าน และด้วยความที่จุดที่ผมนั่งเป็นฝั่งหน้าร้าน
วิวที่เห็นคือลานกว้างฝั่งหน้าร้านเกือบทั้งหมด
แทนที่จะได้กวาดตามองผ่านๆ
แต่มันก็ไปสะดุดเข้ากับเงาตะคุ่มๆ ตรงซอยที่อยู่ข้างร้าน
ตัวอะไรสักอย่างกำลังก้มๆ
เงยๆ อยู่กับถังขยะหลายใบ
...คนเร่ร่อนที่อาศัยเก็บพลาสติกในถังขยะไปขาย?
และด้วยความผีบ้าอะไรของตัวเองก็ไม่รู้แหละ
หรืออาจจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่องว่าสิ่งที่เห็นนั่นมันอะไร
เลยเรียกเก็บเงินค่าเครื่องดื่มก่อนเดินลัดเลาะฝ่าฝูงชนที่กำลังเมาได้ที่ออกไปนอกร้าน
ตรงดิ่งไปยังที่ที่คนหรืออะไรสักอย่างที่ยังอยู่ข้างๆ
กองขยะกองเบ้อเร่อนั่น
แหมะ...
ทันทีที่ก้าวขาออกมาพ้นอาณาเขตชายหลังคาของร้านน้ำเย็นๆ
ก็หยดลงมากลางหน้าผากทำเอาเสียจังหวะการสับขาเดินไปนิดหน่อย
ก่อนห่าฝนจะเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วกะทันหัน
ซ่า!...
นี่ไม่ใช่ละคร
ไม่ใช่นิยายที่พระเอกจะต้องไปตากฝนให้ลำบากตัวเอง ผมเลือกถอยหลังฉับๆ
เข้าไปอยู่ใต้หลังคาร้าน พร้อมเสียงโวยวายจากชั้นสองของเหล่าขี้เมาที่สังสรรค์กันอยู่ในโซนเอาท์ดอร์
“ตกลงนั่นมันตัวเองวะน่ะ”
แต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็นชะโงกหน้ามองไปยังกองขยะที่มองจากมุมนี้ไม่ค่อยเห็นไหร่
“โฮ้ย! ทำไมฝนตกล่ะ ทำไมอ่ะ ทำไมง่ะ”
เสียงบ่นโวยวายดังแว่วฝ่าเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาลอยเข้าหูทำให้เผลอคิดตามและโต้ตอบคำถามนั่นในใจ
ตอนประถมไม่ได้เรียนวิทย์เหรอถึงไม่รู้ว่าทำไมฝนถึงตก?
อยู่ๆ
ภาพเก่าในอดีตเมื่อตอนติดฝนอยู่ที่ไหนสักที่กับมิ้นท์ก็ไหลย้อนเข้ามา
จากที่เคยสนใจอะไรอยู่กลับกลายเป็นเหม่อมองออกไปกลางสายฝนสีขาวที่เทลงมาอย่างหนัก
อุตส่าห์ดื่มจนเผลอลืมไปได้แล้วเชียว
ทำไมมันนึกขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้
เหตุการณ์เหมือนกันอย่างกับเดจาวู
ผมก็ไม่ค่อยชอบเวลาที่ตัวเองอยู่ในโหมดหดหู่สักเท่าไหร่
ทำยังไงล่ะถึงจะพาตัวเองออกไปจากโหมดนี้ให้ได้เร็วๆ
“แอ้กกก!” เสียงร้องดังแว่วฝ่าเสียงฝนมาอีกครั้งเรียกความสนใจได้นิดหน่อย
...
ไม่นิดอ่ะ ตอนนี้อยากรู้ว่าตรงนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เลยตัดสินใจวิ่งไปตามแนวหลังคากันสาดแคบๆ
ที่ไม่สามารถกันฝนสาดในตอนนี้ได้สักนิด
ทันทีที่เข้าถึงเป้าหมายก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังคลานไปมาอยู่บนพื้นไม่หยุดพลางแหกปากร้องโวยวายไม่เป็นภาษา
หรือภาษาที่ผมฟังไม่ออก
ดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างนะ
“เฮ้! ทำอะไรน่ะ”
ตะโกนแข่งกับเสียงฝนแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าหูไอ้คนที่กำลังงมหาอะไรบางอยู่ตรงหน้าเลย
หมับ!
“ใครน่ะ”
อีกคนร้องขึ้นเมื่อผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่ให้หันมาสนใจกันสักนิด
พยายามเพ่งสายตามองแล้วนะ แต่ก็เห็นแค่ว่าเจ้าตัวกำลังเบะปากจะร้องไห้เหมือนเด็กๆ
“โทรศัพท์หายอ่ะ
ช่วยหาหน่อย หาไม่เจอออออ!!!” โวยวายทำท่างอแงก่อนกลับไปก้มหน้าปะมือไปกับพื้นเพื่อหาโทรศัพท์ของตัวเอง
เอาจริงคือตรงนี้มันข้างกองขยะอ่ะ
ค่อนข้างมืดเอาเรื่องแถมพื้นแถวนี้อาจจะมีพวกน้ำจากขยะนองออกมาก็ได้
แต่ตอนนี้ฝนมันตกไง มองยังไงก็แยกไม่ออกหรอกว่าตรงไหนเป็นแอ่งน้ำฝนตรงไหนเป็นแอ่งน้ำขยะ
“เอาเบอร์มาเดี๋ยวโทรเข้าให้”
ว่าพลางหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแต่ก็ชะงักไปอึดใจนึงว่าโทรศัพท์ตัวเองจะพังไหม
เปียกขนาดนี้ แต่ในวินาทีต่อมาก็นึกได้อีกว่าซื้อมาแพงเพราะมันกันน้ำนี่แหละ
“...”
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ยินที่ผมพูดเลยต้องก้มตัวลงไปพูดใกล้ๆ
“เอาเบอร์มา
เดี๋ยวโทรเข้าเครื่องให้”
พูดย้ำอีกครั้งข้างหูทำให้อีกคนหยุดปะมือไปกับพื้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้มีวิธีหาแบบนี้อยู่ในโลกอะไรประมาณนั้น
ทันทีที่บอกเบอร์ครบจำนวนและกดโทรออก
ไม่นานแสงสว่างวาบจากจอโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้าก็ปรากฏขึ้นที่พื้นอีกด้านหนึ่ง
ฝั่งที่เจ้าของโทรศัพท์มันไม่ได้หา...
อืม
ถ้าปล่อยมันหาคนเดียวต่อไปชาติหน้าก็คงไม่เจออ่ะ
“ไหนอ่ะ
ไม่เห็นมีเลย กดเบอร์ผิดป่ะเนี่ย”
ยังคงบ่นเพราะเจ้าตัวไม่เห็นแถมยังเงยหน้าขึ้นมาทำเหมือนไม่พอใจใส่กันอีกต่างหาก
ผมเลยชี้ไปด้านหลังคนที่ยังคุกเข่าอยู่กับเพื้นเน่าๆ นี่
“โอ๊ะ! เจอแล้วๆ ฮือ โทรศัพท์ของพี่”
ร้องดีใจพร้อมดีดตัวเข้าไปตะครุบโทรศัพท์เหมือนกลัวว่ามันจะหนี ก่อนหยิบขึ้นมาเช็ด...
เช็ดโทรศัพท์ด้วยชายเสื้อเปียกๆ
กลางห่าฝนที่ยังเทลงมาไม่หยุดเนี่ยนะ
...เป็นบ้าเปล่าวะ?
ได้แต่เกาหัวอย่างไม่เข้าในการกระทำของคนตรงหน้าพร้อมกดวางสายและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า
“ขอบคุณนะ”
คนบ้าหันมาพูดขอบคุณเสียงดังแข่งกับเสียงฝนพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ร่วงแหมะลงกับพื้นเหมือนคนไม่มีแรงจนผมต้องรีบถลาเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ
คนคนนี้แม่งมีแต่อะไรที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจทั้งนั้นเลยวุ้ย
“ไม่มีแรงอ่ะ”
คนบ้าบอกทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนหิ้วปีกคนบ้านี่ไปที่ชายคาของตึกข้างๆ
ที่สามารถกันไม่ให้ฝนห่าใหญ่นี่เทใส่ให้เปียกยิ่งกว่าเดิม
“ทำไมไม่มีแรง”
ผมถามออกไปอย่างที่ไม่เข้าใจ หลังจากที่เจ้าตัวยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว
แม้จะต้องกำแขนเสื้อผมเอาไว้เพื่อเป็นหลักพยุงตัวเอง
“...”
แทนที่จะตอบกลับส่ายหน้าแทนการตอบคำถาม
“ไม่มีแรงแบบนี้เป็นเรื่องปกติเหรอ”
ถามต่อ แต่ก็ยังได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบอีกหน จนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นี่มันรู้อะไรบ้างวะ?
“ต้องไปหาหมอไหม”
“...”
ส่ายหน้าเป็นคำตอบเหมือนเดิม
หน้าตาก็ดีอยู่หรอก
แต่ถามอะไรก็ไม่รู้อะไรเลย เรื่องของมึงก็แล้วกัน ไอ้ฉิบหาย
ตัดสินใจกับตัวเองว่าจะเลิกสนใจคนบ้าที่ยืนมึนอยู่ข้างตัว
แต่แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นแหละ หัวเปียกๆ ก็เอนมาซบที่ไหล่พร้อมเสียงบ่นหงุงหงิง
“ง่วงอ่ะ
พาไปนอนหน่อย”
ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่
ก้มหน้ามองหน้าไอ้คนที่ซบไหล่เอาแก้มแนบไปกับเสื้อเปียกๆ อย่างไม่สนใจอะไรใดๆ
“เฮ้!” อ้าปากจะโวยวายแล้วล่ะ แต่ก็ร้องออกไปแค่นั้นเพราะดูเหมือนไอ้คนที่ยืนพิงนี่กำลังทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดโถมเข้าใส่จนต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่จะร่วงลงไปกองกับพื้น
“เฮ้! นาย” ตบมือไปที่แก้มสองสามทีก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยสักนิด
มันจะหลับไปทั้งๆ
แบบนี้เลยเหรอ เอาจริงดิ กูถามจริง?
CH01 :: 100%
มาอัพแล้วขอรับ หลังจากเปิดเรื่องไว้แรมปี ...แหะ
รีดเดอร์อ่านแล้วติชมเข้ามาได้ขอรับ ข้าน้อยอ่านทุกคอมเมนท์
หรือจะฟีดแบคพูดคุยกันที่แท็ก #สายรุ้งสีคราม
ในทวิตเตอร์ก็ได้ขอรับ
ข้าน้อยขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจขอรีดเดอร์ทุกคนด้วยนะขอรับ
//พับเพียบไหว้
#สายรุ้งสีคราม
ความคิดเห็น