คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : CH09 :: 09:00
09:00
พอตั้งสติได้ไม่กี่วินาทีต่อมา
และอ่านข้อความต่อจากนั้นก็ยิ่งทำให้ต้องกุมขมับหนักกว่าเดิม
สาวเจ้าบอกว่าชอบมาตั้งแต่ขึ้นปี 1 เลยด้วย แถมกำลังรอจังหวะเลิกอีกต่างหาก
แต่ก็ดันมาโดนปาดหน้าเค้กแบบไม่รู้ตัว ก็เลยตัดสินใจมาบอกเพราะกลัวว่าเดี๋ยวชาตินี้จะไม่ได้บอก
อืม เอากับเขาสิ
ยังไงก็ต้อง say no กลับไปแหละนะ
แต่ก่อนที่จะบานปลาย...
‘SAMatha: แต่สกายไม่ต้องคิดมากนะ
เรารู้ว่าสกายต้องปฏิเสธอยู่แล้ว’
‘SAMatha: เพราะงั้น
ปล่อยเราชุบตัวเป็นแฟนคลับสกายได้ไหม’
ห้ะ?? คืออะไรวะ อยู่ดีๆ ก็มีแฟนคลับ
‘skyyy: แบบนี้ก็ได้เหรอ
เรายังไม่ทันปฏิเสธแซมก็ปาดเราแล้วอ่ะ’
‘skyyy: แล้วทำไมจะเป็นแฟนคลับล่ะ
เป็นเพื่อนกันปกติก็ได้ไม่ใช่เหรอ’
‘SAMatha: สกายน่าจะรู้นะว่าตัวเองหน้าตาดี
แต่ความจริงคือไม่ใช่ดีธรรมดาไง สกายหน้าเหมือนไอดอลเกาหลีเลยอ่ะ แง เห็นแล้วอยากกรี๊ดมากบอกเลย’
“ฮ่าๆๆๆ”
อ่านข้อความที่ถูกส่งมาจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้า
ตอนนี้ไม่สนแล้วล่ะว่าคนข้างห้องจะนอนหรือยัง แต่แซมมันพูดถูกใจว่ะ
ขอบคุณที่บอกว่าหน้าตาดีระดับไอดอลละกัน
ผมไม่ได้ตอบอะไรแซมไปอีก ก่อนจะเปลี่ยนมานอนบนเตียงเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยเหมือนปกติ
ก่อนมาหยุดที่ห้องแชทของสายรุ้งที่บทสนทนาล่าสุดจบลงไปเมื่อตอนเย็น
จะว่าไป
ยังไงได้ถามเรื่องแผลที่สายรุ้งโดนกาแฟลวกเลยว่าซื้อยามาใส่หรือยัง
จะทักไปถามตอนนี้ก็ไม่น่าจะได้คำตอบ เพราะรายนั้นบอกจะทำงานไปยาวๆ คิดได้อย่างนั้นแต่ก็ยังเลือกที่จะพิมพ์คำถามและส่งไปทั้งที่รู้ว่ายังไงคืนนี้ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี
เอาเถอะ
ถ้าสายรุ้งเห็นตอนไหนก็ได้คำตอบตอนนั้นแหละ
ครืด...
โทรศัพท์ที่สั่นเพราะแจ้งเตือนอะไรสักอย่างปลุกให้ผมที่เล่นมันจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้สะดุ้งขึ้นมาด้วยสติที่ไม่เต็มร้อยสักเท่าไหร่
ภายในห้องไร้แสงสว่างอื่นใดนอกจากแสงพระจันทร์ด้านนอกที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่ยังไม่ได้ดึงม่านปิด
ถ้าเป็นหนังรักก็โรแมนติกดี
แต่หนังผีก็คือจะมีผีอยู่ในผ้าม่านแน่ๆ แต่ช่างเรื่องนั้นเถอะ
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางหรี่ตามองแสงจากหน้าจอที่แยงตา
ค่อยๆ อ่านข้อความที่ถูกส่งมา
‘[rainbow]: นอนยัง’
เลื่อนสายตาขึ้นไปมองเวลาตรงมุมของหน้าจอที่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองตรงเป๊ะ
มันควรเป็นเวลานอนหรือเปล่าสายรุ้ง ทำไมถามแบบนี้ล่ะสายรุ้งงงง
แต่ความอยากรู้ก็เอาชนะความง่วงสะลึมสะลือ
ทำให้พิมพ์ตอบกลับไปว่าตัวเอง ‘เพิ่งตื่น’
ไม่กี่วินาทีหลังจากกดส่ง
คนถามก็วิดิโอคอลมาทันที
หน้าจอที่ปรับความสว่างต่ำสุดก็ฉายแสงแสบตาเมื่อห้องสายรุ้งเปิดไฟสว่างโร่
...บ้าจริงตาจะบอดไหม
[เอ่า
เห็นบอกเพิ่งตื่น แต่ไหงจอมืดมาเลยอ่ะ]
พรึบ
เมื่อสายรุ้งว่าอย่างนั้นผมจึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟข้างเตียงเพื่อเพิ่มแสงสว่าง
แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังออกมาจากปลายสายทันทีที่มีแหล่งกำเนิดแสง
[ฮะๆๆ
หน้าแดงเป็นปื้นเลยสกาย นอนต่อไหม? พี่ไม่กวนก็ได้]
“ไม่ครับ ไม่นอนแล้ว
หายง่วงแล้วล่ะ” บอกพลางกะพริบตาสองสามครั้งเพื่งปรับสายบตาให้ชินกับแสงสว่างเพียงน้อยนิดที่มี
ก่อนจะถามต่อ “แล้วทำไมพี่รุ้งยังไงนอนครับ เพิ่งทำงานเสร็จเหรอ”
[ไม่เสร็จอ่ะ
แค่ร่างไอเดียทั้งหมดไว้เฉยๆ แล้วยังไม่ง่วงอ่ะ อยากกินขนม]
“โห หิวขนมดึกมาก”
[อันที่จริงก็หิวข้าวแหละ
ลืมกินข้าวเย็นอ่ะ] ทั้งสีหน้า คำบอกเล่าแถมด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ
นั่นทำคิ้วผมกระตุกโดยอัตโนมัติ ก่อนเผลอกดเสียงถามออกไป
“ทำไมไม่กินข้าวล่ะครับ
เดี๋ยวก็โรคกระเพาะกำเริบหรอก”
[อย่าเพิ่งดุสิ คือ...
พี่ลืมอ่ะ ทำงานเพลินไปหน่อย แหะๆ]
“งั้นเดี๋ยวผมพาไปกินข้าว ตอนนี้ร้านข้าวต้มน่าจะเปิดแล้ว”
บอกพลางยันตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดไฟ
ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าพร้อมกับตั้งโทรศัพท์พิงกับแก้วใส่แปรงสีฟันไว้เอาไว้
[เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ
ที่คอลหาคืออยากคุยเล่นด้วยเฉยๆ ไม่ต้องมา ดึกแล้วววว]
ปล่อยให้สายรุ้งโวยวายเสียงดังก่อนจะลดเสียงลงเป็นบ่นงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว
ในขณะที่ตัวเองล้างหน้าล้างตาให้หายสะลึมสะลือ
ก่อนจะหันไปหยิบผ้าขนหนูมาซับหน้าให้แห้ง แต่ก็ต้องชะงักมือทันทีเมื่อสายรุ้งโพล่งถามขึ้นมา
[นี่ท่าเช็ดหน้าเหรอสกาย
ไม่ได้กำลังแอ็คอยู่ใช่ไหม]
“...”
หันกลับไปมองคนในหน้าจอโทรศัพท์พร้อมเครื่องหมายคำถามแปะอยู่กลางหน้า
คือ... ท่าเช็ดหน้าคืออะไรยังไง?
[มะ ไม่มีอะไร
ช่างมันๆ ฮะๆ]
ก็อยู่ๆ
ก็นึกถึงประโยคฮิตในโซเชียลขึ้นมาได้
ซึ่งมันก็น่าจะเข้ากับสถานการณ์นี้ได้แหละมั้งไอ้ที่ว่า ‘กูหล่อก็หาว่ากูแอ็ค’
น่ะ
หลังจากไปรับสายรุ้งที่หอและมาถึงร้านข้าวต้มไม่กี่นาที
คนลืมกินข้าวยังตักน้ำมาเผื่อกันไม่ทันเสร็จ
ลูกค้ารายใหม่ที่ค่อนข้างจะคุ้นหน้าค่าตาก็เดินเข้ามา
เจมิไน...
“อ้าวกาย
ไม่เคยเห็นมึงออกเวลานี้เลย” เป็นคนที่มาด้วยกันกับเจมิไนอย่างไอ้พี่จูนทักขึ้นมาเหมือนเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่เห็นว่าบรรยากาศน่าอึดอัดกำลังตั้งเค้า
“ไม่เคยเห็นก็เห็นซะนะพี่มึงนะ
แล้วนี่ไปแดกเหล้ากันมาหรือไง”
“เออสิ ช่วงหลังนี้เชี่ยเจชวนกูออกบ่อยฉิบหาย”
พี่จูนว่าพลางหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ
ที่ว่างอยู่พร้อมกันกับที่สายรุ้งเดินถือแก้วน้ำกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามผมพอดี ซึ่งโต๊ะหนึ่งตัวสำหรับสี่ที่นั่ง
และตอนนี้แม่งก็เหลืออยู่ที่เดียวสำหรับเจมิไนที่ยังยืนทำหน้าปั้นยากอยู่
ไม่ยอมนั่งสักที
ยังไงล่ะทีนี้
สายรุ้งจะนั่งข้างเจมิไนได้หรือเปล่า
ผมว่าที่ช่วงนี้เจมันออกบ่อยอาจจะเป็นเพราะเฮิร์ทเรื่องสายรุ้งอยู่แน่ๆ
“แล้วทำไมมึงไม่นั่งสักทีล่ะน่ะ”
จูนถามเจมิไนแต่ก็เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะทันทีที่ถามเสร็จพี่มันก็หันไปสั่งข้ามต้มกับป้าเจ้าของร้าน
“กูจะไปเอาน้ำ” เจมิไนตอบ
แม้คนถามจะไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ ก่อนเจ้าตัวจะเดินดุ่มๆ ไปตักน้ำตามที่ว่า
“เจมันรู้หรือยังวะที่มึงกับรุ้งคุยกันอยู่อ่ะ”
พี่จูนเอียงตัวมากระซิบถามขณะที่สายตาก็ยังมองไปที่เจมิไนที่ยืนตักน้ำอยู่ห่างออกไป
“อาจจะรู้แล้วมั้ง” ตอบกลับด้วยระดับเสียงเดียวกัน
“เออเนอะ กูก็คิดว่ามันน่าจะรู้แหละ
ไม่งั้นคงไม่ออกทุกคืนแบบนี้หรอก”
ผมไม่พูดอะไรต่อ
ทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
และเป็นจังหวะเดียวกับที่เจมิไนเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพอดี บรรยากาศมาคุเริ่มปกคลุม
เห็นว่าเดิมทีสายรุ้งก็ไม่ชอบเจอยู่แล้ว
ยิ่งมามีเรื่องหักอกกันเกิดขึ้นอีกความอึมครึมมันเลยเพิ่มทวีเข้าไปอีก
ไม่มีใครพูดอะไรจนข้าวต้มมาเสิร์ฟกระทั่งต่างคนต่างกินเสร็จและจ่ายเงิน
“จริงสิ ว่าจะถามก็ลืม
แขนที่โดนลวกเป็นยังไงบ้างครับ” ผมโพล่งถามขึ้นหลังจากแยกกับเจมิไนกับพี่จูนแล้ว
แต่แทนที่จะได้คำตอบเป็น ‘อ้อ ทายากแล้ว’ อะไรประมาณนี้กลับมีเพียงแค่รอยยิ้มแหย่ที่ถูกส่งมาให้
“แหะ ลืมซื้อยามาทาเลยอ่ะ”
สายรุ้งว่าปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ ทำเอาอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ
กับคนที่ไม่ค่อยจะใส่ใจตัวเองตรงหน้า
“ไม่ได้สิครับ กระเพาะก็เป็นไปแล้ว
นี่กาแฟลวกยังไม่สนใจดูแลตัวเองอีกเหรอ” เอ่ยปากดุคนอายุมากว่าเสียงเรียบยิ่งทำให้เจ้าตัวหน้าจ๋อยสนิท
ริมฝีปากบางเริ่มเบะน้อยๆ เหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้ไม่มีผิด
“ขอโทษครับ”
ระหว่างทางกลับก็แวะร้านขายยาเพื่อซื้อยาสำหรับแผลของคนดื้อมาด้วย
จัดการยัดถุงยากใส่มือสายรุ้งเมื่อรถจอดสนิทตรงหน้าหอยามวิกาลสุดๆ
“ขอบคุณนะ
แล้วก็ขอโทษด้วยที่พี่ทำให้เราลำบาก แถมยังรบกวนเวลานอนอีก” สายรุ้งว่าหงอยๆ
พลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก
แต่ก็ยังทำท่ายึกยักเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ยังลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คือ เราโกรธพี่หรือเปล่า แบบ...
ที่ดุที่ร้านข้าวต้มคือโกรธกันเลยไหมอ่ะ” ตากลมค่อยๆ
ละจากมือตัวเองที่วางอยู่บนตักเลื่อนขึ้นมาสบตากันอย่างจ๋อยๆ
มองช้อนขึ้นมาแบบนี้คืออ้อนหรือเปล่า?
“ไม่ได้โกรธเลยครับ
แต่ที่ดุก็เพราะว่าพี่ไม่ดูแลตัวเองไง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงปรับให้อ่อนลงพร้อมมองสบตาสีราตรีคู่สวยที่ฉายแววสำนึกผิด
“ฮื่อ”
สายรุ้งหลบสายตากลับไปมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตักก่อนจะเอามือขึ้นมาประกบแก้มตัวเองทั้งสองข้างเอาไว้
แล้วก็หันกลับมามองกันอีกหนแต่พอเห็นว่าผมยังคงมองเจ้าตัวอยู่เหมือนเดิมก็เสสายตาหลบอีก
เอากับเขาสิ เขินไม่หยุดเลยคนนี้
“โห ตีสามกว่า” อยู่ๆ
สายรุ้งก็โพล่งขึ้นอย่างตกใจเมื่อเจ้าตัวเหลือบไปเห็นนาฬิกา “สกายง่วงไหม
นอนห้องพี่ก็ได้ ดึกขนาดนี้กลับรถคนเดียวมันอันตราย”
ลืมอาการเขินเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้าจนหมดแถมชวนพร้อมเหตุผลไม่ให้ผมกลับเสร็จสรรพ
แต่จะให้นอนที่นี่ตอนนี้มันจะเร็วไปไหมนั่น
คือสถานะก็แค่คนคุยไหมแต่ไปนอนที่ห้องอีกคนแล้วงี้เหรอ คนนอกมองก็น่าจะไวไฟแหละ
แต่ช่างแม่งเถอะ ขนาดตอนเจอกันครั้งแรกยังนอนด้วยกันได้เลย
“แน่ะ เมื่อกี้ยังเขินผมอยู่เลย
ทำไมรีบชวนผมค้างแล้วล่ะ” แกล้งถามเย้าแหยไปนิดหน่อย แต่คนที่กะพริบตามองกันปริบๆ
แบบหน้าซื่อตาใสก็เบิกตากล้างอีกครั้งเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเขินอยู่
ก็เลยกลับมาเขินอีกครั้ง
แบบนี้ก็ได้เหรอวะ?
“พะ พี่ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอะไรเลยนะ
แค่เห็นว่ามันดึกมากๆๆๆๆ แล้วก็เลยให้นอนที่นี่น่าจะดีกว่า ขืนขับกลับตอนนี้แล้วเราหลับในทำไงอ่ะ”
สายรุ้งละล่ำละลักพูดพลางสายตาก็มองซ้ายมองขวา ดูมีพิรุธสุดๆ ไปเลย
แกล้งไอ้แทนว่าสนุกแล้วนะ แต่แกล้งสายรุ้งสนุกกว่าอีก
หึๆ
“ฮะๆ โอเคๆ นอนห้องพี่ก็ได้
แต่กายยังไม่ได้อาบน้ำอ่ะ ต้องยอยืมเสื้อผ้าพี่ก่อนนะ”
“...” คนฟังนิ่งงันกะพริบตาปริบมองกัน
แก้มที่ขึ้นสีเลือดฝาดอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม
“...” เมื่ออีกคนยังเงียบ
ผมก็เงียบบ้างเพื่อรอดูปฏิกิริยาต่อจากนี้ของอีกฝ่าย
แต่มองแบบนี้มันอดไม่ได้ที่จะห้ามไม่ให้มุมปากขยับขึ้นเลย
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
แสร้งตีหน้าซื่อเลิกคิ้วถาม และนั่นก็เหมือนเป็นการเรียกสติของเจ้าตัวให้รีบลงไปจากรถพร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า
“เดี๋ยวพี่ไปดูที่จอดให้ว่าตรงไหนว่าง”
มาถึงห้องของสายรุ้ง
และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของเจ้าของห้องเรียบร้อยก็มานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นตรงปลายเตียงเจ้าเดิม
เหลือบสายตาดูนั่นนี่ไปเรื่อยเหมือนครั้งก่อนที่เคยมา
แต่คราวนี้มีเวลาเดินสำรวจแล้ว ขอดูหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง
ไวเท่าความคิด
หยัดตัวลุกขึ้นเดินดุ่มๆ ไปที่ชั้นวางของซึ่งมีรูปสีน้ำใส่กรอบวางเอาไว้
บ้างก็เป็นรูปธรรมชาติ บ้างก็เป็นรูปห้องอะไรต่างๆ และทุกรูปล้วนลงลายเซ็นเล็กๆ
เอาไว้
‘eternal ∞’
ทำไมถึงเลือกใช้นามปากกานี้นะ?
“ดูอะไรน่ะ”
เสียงเจ้าของห้องดังขึ้นในระยะประชิด พร้อมกับหน้าใสๆ
นั่นชะโงกหน้าผ่านไล่เพื่อดูสิ่งที่ผมกำลังมองอยู่ กลิ่นหอมเย็นของแชมพูที่ผมเองก็เพิ่งจะใช้ไป
แต่พอมันมาจากอีกคนแล้วกลับทำให้มันหอมกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด
“รูปพวกนี้พี่วาดเองหมดเลยเหรอ”
“อื้อ สวยใช่ไหมล่ะ” สายรุ้งตอบรับพร้อมก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้างๆ
ขณะที่สายตายังคงมองรูปสีน้ำของตัวเองพลางยกยิ้มน้อยๆ
แค่ยิ้มบางๆ
ของคนตรงหน้าก็สวยไม่แพ้รูปสีน้ำที่เจ้าตัวบรรจงแต่งแต้มเลยแม้แต่น้อย
“ครับ”
“...” อาจะเพราะผมมองหน้าคนข้างๆ นานไปจนคนถูกมองรู้สึกตัวหันมาทำท่าเลิ่กลั่กที่ถูกมอง
ก่อนจะหมุนตัวเดินนำไปที่เตียง
“จะตีสี่แล้ว
พี่ว่าเราควรนอนไหมอ่ะ” ถามไปหาวไปจนน้ำตาเล็ด
มือหนึ่งก็เอื้อมไปกดเปิดโคมไฟตรงหัวเตียงเป็นเชิงบังคับกลายๆ
ให้ผมหยุดสำรวจห้องสักที
สืบเท้าไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเตียงก่อนสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนาเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟในห้องดับลง
เหลือเพียงแค่แสงสว่างจากโคมไฟเล็กๆ ที่สายรุ้งเพิ่งจะเปิดมันเอาไว้
ความเงียบโรยตัวมีเพียงเสียงเสียดสีของผ้าห่มก่อนจะเงียบไปเมื่อเจ้าของห้องขยับตัวจัดท่าทางจนพอใจหากแต่นัยน์ตาสีนิลยังคงต้องแสงจากโคมไฟทำรู้ว่าอีกคนยังไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทรา
“ไม่ง่วงเหรอ”
เสียงทุ้มใสโพล่งถามท่ามกลางความสงัด ก่อนพลิกตัวตะแคงหันมามองกันในความมืด
“ฮะๆ
กายเพิ่งตื่นเมื่อสองชั่วโมงก่อนเอง พี่รุ้งแหละ ไม่ง่วงเหรอ
เห็นนะว่าเมื่อกี้หาวจนน้ำตาเล็ดน่ะ”
“พอหัวถึงหมอนก็หายง่วงเลย แบบ...
เวลาทำอย่างอื่นอยู่ก็จะแสนง่วง แต่พอเตรียมตัวนอนความง่วงคืออะไร”
“ก็พอเห็นภาพ
เพราะช่วงไหนงานไม่สุมหัวกายก็เป็น”
“เนอะๆ”
บทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ
เรื่องสัพเพเหระถูกหยิบยกมาคุยสั้นๆ เปลี่ยนวนหัวข้อไปเรื่อย
อาจจะเพราะคุยกันไปคุยกันมามันออกรสออกชาติจนต่างฝ่ายต่างขยับเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
ระยะห่างจากคนละฟากของเตียงเหลือเพียงไม่ถึงช่วงแขนที่เอื้อมถึง
“เออ พี่มีเรื่องสงสัย”
“ครับ?”
“เวลาคนเป็นแฟนกันเขานอนหนุนแขนกันอ่ะ
คนถูกหนุนไม่เป็นเหน็บชาตายเลยเหรอ”
คำถามที่ได้ยินทำให้หลุดขำพรืดออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ ในหัวก็อดคิดไม่ได้ว่าที่สายรุ้งถามนี่แค่อยากรู้เฉยๆ
หรือเปล่า
“สำหรับคนอื่นไม่รู้นะ
แต่สำหรับกายไม่เคยเป็นอ่ะ”
พอได้ยินคำตอบคนถามถึงกับเบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ
เหมือนคนแสร้งฟังเรื่องขี้โม้ยังไงก็ไม่รู้
“โห นี่แขนคนธรรดาหรือแขนคนเหล็ก
ทำไมโดนทับทั้งคืนไม่เป็นอะไรเลย”
“กายไม่ใช่คนเหล็กสักหน่อย
กายก็แค่ทำแบบนี้”
ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้อีกคนให้มากขึ้นก่อนสอดแขนเข้าไปรองใต้คอซึ่งเป็นช่องว่างพอดี
ออกแรงดึงเล็กน้อยให้คนขี้สงสัยเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนให้หายสงสัย
ตาสีนิลเบิกกว้างอย่างตกใจกับการกระทำอุกอาจที่ไม่ปล่อยให้ตั้งตัว
“แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเหน็บชาแล้ว”
แสร้งกระซิบเสียงพร่าหยอกคนที่ยังตกใจอยู่ให้ก้มหน้างุดๆ
ก่อนถือโอกาสในระยะใกล้ชิดเกยคางบนกลุ่มผมนุ่มที่ส่งกลิ่นหอมเย็นไว้อย่างนั้น
“จริงสิ กายมีเรื่องจะบอก”
“หือ? อะไรเหรอ”
“วันนี้มีคนมาบอกชอบกายด้วย”
บอกไปแค่นั้นเพื่อรอดูอาการของคนฟัง
“อ่า...”
ลากเสียงยาวแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วเราว่ายังไงล่ะ”
“กายก็กำลังจะปฏิเสธไปแหละ
แต่เขาแย่งบทกายอ่ะ แล้วบอกว่าขอเป็นแฟนคลับแทนเพราะกายหน้าเหมือนไอดอลเกาหลี”
บอกเล่าเหตุการณ์งงๆ ที่พบเจอให้สายรุ้งฟัง และเชื่อเถอะว่าสายรุ้งเองก็อาจจะงงไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่
“ไอดอลเกาหลี? ใครน่ะ
คังแดเนียลสาขาประเทศไทยเหรอ”
สายรุ้งว่าพลางกลั้วหัวเราะก่อนจะพลิกตัวไปหยิบโทรศัพท์มาจิ้มๆ
แล้วยื่นมาให้ผมดูคนที่เจ้าตัวว่า
อ่า...
ต้องร้องเพลงเกาหลีไหมหรือยังไง
“เห็นเพื่อนในเซคมันชอบคนนี้
ตอนไปทำงานที่ห้องมันก็ติดโปสเตอร์เท่าฝาบ้านเลย”
“แบบนี้ผมจะโดนเอารูปไปติดแบบนั้นบ้างหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่รู้สิ”
ว่าพลางยักไหล่แล้วกดปิดโทรศัพท์ที่ผมส่งคืนไปซุกไว้ใต้หมอน ทำให้ทั้งห้องตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
และด้วยเวลาที่ล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ความง่วงงุนก็เริ่มจะคืบคลาน
“พี่ว่านอนเถอะ ฝันดีๆ”
“ฝันดีครับ”
“อ๊ะ อ๊า!”
กึกๆๆ
เสียงร้องที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบขับไล่ความง่วงจนแตกกระเจิงบวกกับเสียงของแข็งกระทบกันยิ่งทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่นจนต้องลืมตาโพลงขึ้นในที่สุด
เหลือบไปเห็นคนที่นอนข้างกันอย่างสายรุ้งที่ตื่นอยู่ก่อนแล้วกำลังทำหน้าแหยเหมือนอยากจะร้องไห้
ผมควรทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี
เกิดมาไม่เคยเจอข้างห้องเสียงดังแบบนี้ด้วยสิ
“ขอโทษนะ ที่พาเรามาเจออะไรแบบนี้ ปกติไม่เคยเจอแบบนี้เลย”
สายรุ้งว่าพลางเบะปาก
“ไม่เป็นไรครับ คงต้องทนๆ ไป”
ได้ยินผมตอบแบบนั้นสายรุ้งจึงพยักหน้าแล้วหลับตาลงอีกครั้ง
พยายามข่มตาหลับให้ลงท่ามกลางเสียงอีโรติกนี่ และไม่นานก็ดูเหมือนเจ้าตัวก็สามารถทำได้
เหลือแค่ผมที่ยังนอนฟังเสียงบ้านี่มาร่วม 20 นาทีได้แล้วมั้ง
แล้วสภาพตัวเองคือนอนกกกันแบบนี้ มีเสียงบิวต์ให้แบบนี้
จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้
...เวรมากไอ้ฉิบหาย
CH09 :: 100%
พาน้องสกายกับพี่สายรุ้งมาหาแล้วขอรับ
//หลบอยู่หลังเสา
กราบขอโทษที่หายไปนาน รีดเดอร์ยังอยู่กับข้าน้อยมั้ยเอ่ย
TT_TT
สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้จะทำอะไรก็ไม่ได้
แม้แต่ห้องน้ำก็ไปไม่ได้ น่าสงสารน้องเขานะขอรับแง
ขอฝากน้องสกายกับพี่สายรุ้งไว้ในอ้อมอกอ้อมใจรีดเดอร์ด้วยนะขอรับ
ติดขัดตรงไหนคอมเมนต์เข้ามาได้เลยขอรับ
ข้าน้อยจะได้ปรับปรุง ส่วนเรื่องอัพช้านั้น...
ปีหนี้เอาใหม่
ข้าน้อยจะพยายามมาให้มันเร็วกว่าที่ผ่านๆ มาขอรับ มุแงงง
#สายรุ้งสีคราม
ความคิดเห็น