ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FULL-TIME #สายรุ้งสีคราม

    ลำดับตอนที่ #10 : CH09 :: 09:00

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 65





    09:00

     

    พอตั้งสติได้ไม่กี่วินาทีต่อมา และอ่านข้อความต่อจากนั้นก็ยิ่งทำให้ต้องกุมขมับหนักกว่าเดิม สาวเจ้าบอกว่าชอบมาตั้งแต่ขึ้นปี 1 เลยด้วย แถมกำลังรอจังหวะเลิกอีกต่างหาก แต่ก็ดันมาโดนปาดหน้าเค้กแบบไม่รู้ตัว ก็เลยตัดสินใจมาบอกเพราะกลัวว่าเดี๋ยวชาตินี้จะไม่ได้บอก

    อืม เอากับเขาสิ

    ยังไงก็ต้อง say no กลับไปแหละนะ แต่ก่อนที่จะบานปลาย...

    ‘SAMatha: แต่สกายไม่ต้องคิดมากนะ เรารู้ว่าสกายต้องปฏิเสธอยู่แล้ว

    ‘SAMatha: เพราะงั้น ปล่อยเราชุบตัวเป็นแฟนคลับสกายได้ไหม

    ห้ะ?? คืออะไรวะ อยู่ดีๆ ก็มีแฟนคลับ

    ‘skyyy: แบบนี้ก็ได้เหรอ เรายังไม่ทันปฏิเสธแซมก็ปาดเราแล้วอ่ะ

    ‘skyyy: แล้วทำไมจะเป็นแฟนคลับล่ะ เป็นเพื่อนกันปกติก็ได้ไม่ใช่เหรอ

    ‘SAMatha: สกายน่าจะรู้นะว่าตัวเองหน้าตาดี แต่ความจริงคือไม่ใช่ดีธรรมดาไง สกายหน้าเหมือนไอดอลเกาหลีเลยอ่ะ แง เห็นแล้วอยากกรี๊ดมากบอกเลย

    “ฮ่าๆๆๆ” อ่านข้อความที่ถูกส่งมาจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้า ตอนนี้ไม่สนแล้วล่ะว่าคนข้างห้องจะนอนหรือยัง แต่แซมมันพูดถูกใจว่ะ ขอบคุณที่บอกว่าหน้าตาดีระดับไอดอลละกัน

    ผมไม่ได้ตอบอะไรแซมไปอีก ก่อนจะเปลี่ยนมานอนบนเตียงเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยเหมือนปกติ ก่อนมาหยุดที่ห้องแชทของสายรุ้งที่บทสนทนาล่าสุดจบลงไปเมื่อตอนเย็น

    จะว่าไป ยังไงได้ถามเรื่องแผลที่สายรุ้งโดนกาแฟลวกเลยว่าซื้อยามาใส่หรือยัง จะทักไปถามตอนนี้ก็ไม่น่าจะได้คำตอบ เพราะรายนั้นบอกจะทำงานไปยาวๆ คิดได้อย่างนั้นแต่ก็ยังเลือกที่จะพิมพ์คำถามและส่งไปทั้งที่รู้ว่ายังไงคืนนี้ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

    เอาเถอะ ถ้าสายรุ้งเห็นตอนไหนก็ได้คำตอบตอนนั้นแหละ

     

    ครืด...

    โทรศัพท์ที่สั่นเพราะแจ้งเตือนอะไรสักอย่างปลุกให้ผมที่เล่นมันจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้สะดุ้งขึ้นมาด้วยสติที่ไม่เต็มร้อยสักเท่าไหร่ ภายในห้องไร้แสงสว่างอื่นใดนอกจากแสงพระจันทร์ด้านนอกที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่ยังไม่ได้ดึงม่านปิด

    ถ้าเป็นหนังรักก็โรแมนติกดี แต่หนังผีก็คือจะมีผีอยู่ในผ้าม่านแน่ๆ แต่ช่างเรื่องนั้นเถอะ

    หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางหรี่ตามองแสงจากหน้าจอที่แยงตา ค่อยๆ อ่านข้อความที่ถูกส่งมา

    ‘[rainbow]: นอนยัง

    เลื่อนสายตาขึ้นไปมองเวลาตรงมุมของหน้าจอที่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสองตรงเป๊ะ มันควรเป็นเวลานอนหรือเปล่าสายรุ้ง ทำไมถามแบบนี้ล่ะสายรุ้งงงง

    แต่ความอยากรู้ก็เอาชนะความง่วงสะลึมสะลือ ทำให้พิมพ์ตอบกลับไปว่าตัวเอง เพิ่งตื่น

    ไม่กี่วินาทีหลังจากกดส่ง คนถามก็วิดิโอคอลมาทันที หน้าจอที่ปรับความสว่างต่ำสุดก็ฉายแสงแสบตาเมื่อห้องสายรุ้งเปิดไฟสว่างโร่

    ...บ้าจริงตาจะบอดไหม

    [เอ่า เห็นบอกเพิ่งตื่น แต่ไหงจอมืดมาเลยอ่ะ]

    พรึบ

    เมื่อสายรุ้งว่าอย่างนั้นผมจึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟข้างเตียงเพื่อเพิ่มแสงสว่าง แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังออกมาจากปลายสายทันทีที่มีแหล่งกำเนิดแสง

    [ฮะๆๆ หน้าแดงเป็นปื้นเลยสกาย นอนต่อไหม? พี่ไม่กวนก็ได้]

    “ไม่ครับ ไม่นอนแล้ว หายง่วงแล้วล่ะ” บอกพลางกะพริบตาสองสามครั้งเพื่งปรับสายบตาให้ชินกับแสงสว่างเพียงน้อยนิดที่มี ก่อนจะถามต่อ “แล้วทำไมพี่รุ้งยังไงนอนครับ เพิ่งทำงานเสร็จเหรอ”

    [ไม่เสร็จอ่ะ แค่ร่างไอเดียทั้งหมดไว้เฉยๆ แล้วยังไม่ง่วงอ่ะ อยากกินขนม]

    “โห หิวขนมดึกมาก”

    [อันที่จริงก็หิวข้าวแหละ ลืมกินข้าวเย็นอ่ะ] ทั้งสีหน้า คำบอกเล่าแถมด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ นั่นทำคิ้วผมกระตุกโดยอัตโนมัติ ก่อนเผลอกดเสียงถามออกไป

    ทำไมไม่กินข้าวล่ะครับ เดี๋ยวก็โรคกระเพาะกำเริบหรอก

    [อย่าเพิ่งดุสิ คือ... พี่ลืมอ่ะ ทำงานเพลินไปหน่อย แหะๆ]

    “งั้นเดี๋ยวผมพาไปกินข้าว ตอนนี้ร้านข้าวต้มน่าจะเปิดแล้ว” บอกพลางยันตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดไฟ ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าพร้อมกับตั้งโทรศัพท์พิงกับแก้วใส่แปรงสีฟันไว้เอาไว้

    [เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ ที่คอลหาคืออยากคุยเล่นด้วยเฉยๆ ไม่ต้องมา ดึกแล้วววว]

    ปล่อยให้สายรุ้งโวยวายเสียงดังก่อนจะลดเสียงลงเป็นบ่นงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว ในขณะที่ตัวเองล้างหน้าล้างตาให้หายสะลึมสะลือ ก่อนจะหันไปหยิบผ้าขนหนูมาซับหน้าให้แห้ง แต่ก็ต้องชะงักมือทันทีเมื่อสายรุ้งโพล่งถามขึ้นมา

    [นี่ท่าเช็ดหน้าเหรอสกาย ไม่ได้กำลังแอ็คอยู่ใช่ไหม]

    ...

    หันกลับไปมองคนในหน้าจอโทรศัพท์พร้อมเครื่องหมายคำถามแปะอยู่กลางหน้า คือ... ท่าเช็ดหน้าคืออะไรยังไง?

    [มะ ไม่มีอะไร ช่างมันๆ ฮะๆ]

    ก็อยู่ๆ ก็นึกถึงประโยคฮิตในโซเชียลขึ้นมาได้ ซึ่งมันก็น่าจะเข้ากับสถานการณ์นี้ได้แหละมั้งไอ้ที่ว่า กูหล่อก็หาว่ากูแอ็คน่ะ

     

    หลังจากไปรับสายรุ้งที่หอและมาถึงร้านข้าวต้มไม่กี่นาที คนลืมกินข้าวยังตักน้ำมาเผื่อกันไม่ทันเสร็จ ลูกค้ารายใหม่ที่ค่อนข้างจะคุ้นหน้าค่าตาก็เดินเข้ามา

    เจมิไน...

    “อ้าวกาย ไม่เคยเห็นมึงออกเวลานี้เลย” เป็นคนที่มาด้วยกันกับเจมิไนอย่างไอ้พี่จูนทักขึ้นมาเหมือนเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่เห็นว่าบรรยากาศน่าอึดอัดกำลังตั้งเค้า

    “ไม่เคยเห็นก็เห็นซะนะพี่มึงนะ แล้วนี่ไปแดกเหล้ากันมาหรือไง”

    “เออสิ ช่วงหลังนี้เชี่ยเจชวนกูออกบ่อยฉิบหาย” พี่จูนว่าพลางหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ ที่ว่างอยู่พร้อมกันกับที่สายรุ้งเดินถือแก้วน้ำกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามผมพอดี ซึ่งโต๊ะหนึ่งตัวสำหรับสี่ที่นั่ง และตอนนี้แม่งก็เหลืออยู่ที่เดียวสำหรับเจมิไนที่ยังยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ ไม่ยอมนั่งสักที

    ยังไงล่ะทีนี้ สายรุ้งจะนั่งข้างเจมิไนได้หรือเปล่า ผมว่าที่ช่วงนี้เจมันออกบ่อยอาจจะเป็นเพราะเฮิร์ทเรื่องสายรุ้งอยู่แน่ๆ

    “แล้วทำไมมึงไม่นั่งสักทีล่ะน่ะ” จูนถามเจมิไนแต่ก็เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะทันทีที่ถามเสร็จพี่มันก็หันไปสั่งข้ามต้มกับป้าเจ้าของร้าน

    “กูจะไปเอาน้ำ” เจมิไนตอบ แม้คนถามจะไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ ก่อนเจ้าตัวจะเดินดุ่มๆ ไปตักน้ำตามที่ว่า

    “เจมันรู้หรือยังวะที่มึงกับรุ้งคุยกันอยู่อ่ะ” พี่จูนเอียงตัวมากระซิบถามขณะที่สายตาก็ยังมองไปที่เจมิไนที่ยืนตักน้ำอยู่ห่างออกไป

    “อาจจะรู้แล้วมั้ง” ตอบกลับด้วยระดับเสียงเดียวกัน

    “เออเนอะ กูก็คิดว่ามันน่าจะรู้แหละ ไม่งั้นคงไม่ออกทุกคืนแบบนี้หรอก”

    ผมไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น และเป็นจังหวะเดียวกับที่เจมิไนเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพอดี บรรยากาศมาคุเริ่มปกคลุม เห็นว่าเดิมทีสายรุ้งก็ไม่ชอบเจอยู่แล้ว ยิ่งมามีเรื่องหักอกกันเกิดขึ้นอีกความอึมครึมมันเลยเพิ่มทวีเข้าไปอีก ไม่มีใครพูดอะไรจนข้าวต้มมาเสิร์ฟกระทั่งต่างคนต่างกินเสร็จและจ่ายเงิน

    “จริงสิ ว่าจะถามก็ลืม แขนที่โดนลวกเป็นยังไงบ้างครับ” ผมโพล่งถามขึ้นหลังจากแยกกับเจมิไนกับพี่จูนแล้ว แต่แทนที่จะได้คำตอบเป็น อ้อ ทายากแล้ว อะไรประมาณนี้กลับมีเพียงแค่รอยยิ้มแหย่ที่ถูกส่งมาให้

    “แหะ ลืมซื้อยามาทาเลยอ่ะ” สายรุ้งว่าปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ ทำเอาอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ กับคนที่ไม่ค่อยจะใส่ใจตัวเองตรงหน้า

    “ไม่ได้สิครับ กระเพาะก็เป็นไปแล้ว นี่กาแฟลวกยังไม่สนใจดูแลตัวเองอีกเหรอ” เอ่ยปากดุคนอายุมากว่าเสียงเรียบยิ่งทำให้เจ้าตัวหน้าจ๋อยสนิท ริมฝีปากบางเริ่มเบะน้อยๆ เหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้ไม่มีผิด

    “ขอโทษครับ”

     

    ระหว่างทางกลับก็แวะร้านขายยาเพื่อซื้อยาสำหรับแผลของคนดื้อมาด้วย จัดการยัดถุงยากใส่มือสายรุ้งเมื่อรถจอดสนิทตรงหน้าหอยามวิกาลสุดๆ

    “ขอบคุณนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่พี่ทำให้เราลำบาก แถมยังรบกวนเวลานอนอีก” สายรุ้งว่าหงอยๆ พลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก แต่ก็ยังทำท่ายึกยักเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ยังลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

    “คือ เราโกรธพี่หรือเปล่า แบบ... ที่ดุที่ร้านข้าวต้มคือโกรธกันเลยไหมอ่ะ” ตากลมค่อยๆ ละจากมือตัวเองที่วางอยู่บนตักเลื่อนขึ้นมาสบตากันอย่างจ๋อยๆ

    มองช้อนขึ้นมาแบบนี้คืออ้อนหรือเปล่า?

    “ไม่ได้โกรธเลยครับ แต่ที่ดุก็เพราะว่าพี่ไม่ดูแลตัวเองไง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงปรับให้อ่อนลงพร้อมมองสบตาสีราตรีคู่สวยที่ฉายแววสำนึกผิด

    “ฮื่อ” สายรุ้งหลบสายตากลับไปมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตักก่อนจะเอามือขึ้นมาประกบแก้มตัวเองทั้งสองข้างเอาไว้ แล้วก็หันกลับมามองกันอีกหนแต่พอเห็นว่าผมยังคงมองเจ้าตัวอยู่เหมือนเดิมก็เสสายตาหลบอีก

    เอากับเขาสิ เขินไม่หยุดเลยคนนี้

    “โห ตีสามกว่า” อยู่ๆ สายรุ้งก็โพล่งขึ้นอย่างตกใจเมื่อเจ้าตัวเหลือบไปเห็นนาฬิกา “สกายง่วงไหม นอนห้องพี่ก็ได้ ดึกขนาดนี้กลับรถคนเดียวมันอันตราย”

    ลืมอาการเขินเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้าจนหมดแถมชวนพร้อมเหตุผลไม่ให้ผมกลับเสร็จสรรพ

    แต่จะให้นอนที่นี่ตอนนี้มันจะเร็วไปไหมนั่น คือสถานะก็แค่คนคุยไหมแต่ไปนอนที่ห้องอีกคนแล้วงี้เหรอ คนนอกมองก็น่าจะไวไฟแหละ แต่ช่างแม่งเถอะ ขนาดตอนเจอกันครั้งแรกยังนอนด้วยกันได้เลย

    “แน่ะ เมื่อกี้ยังเขินผมอยู่เลย ทำไมรีบชวนผมค้างแล้วล่ะ” แกล้งถามเย้าแหยไปนิดหน่อย แต่คนที่กะพริบตามองกันปริบๆ แบบหน้าซื่อตาใสก็เบิกตากล้างอีกครั้งเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเขินอยู่ ก็เลยกลับมาเขินอีกครั้ง

    แบบนี้ก็ได้เหรอวะ?

    “พะ พี่ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอะไรเลยนะ แค่เห็นว่ามันดึกมากๆๆๆๆ แล้วก็เลยให้นอนที่นี่น่าจะดีกว่า ขืนขับกลับตอนนี้แล้วเราหลับในทำไงอ่ะ” สายรุ้งละล่ำละลักพูดพลางสายตาก็มองซ้ายมองขวา ดูมีพิรุธสุดๆ ไปเลย

    แกล้งไอ้แทนว่าสนุกแล้วนะ แต่แกล้งสายรุ้งสนุกกว่าอีก หึๆ

    “ฮะๆ โอเคๆ นอนห้องพี่ก็ได้ แต่กายยังไม่ได้อาบน้ำอ่ะ ต้องยอยืมเสื้อผ้าพี่ก่อนนะ”

    “...” คนฟังนิ่งงันกะพริบตาปริบมองกัน แก้มที่ขึ้นสีเลือดฝาดอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม

    “...” เมื่ออีกคนยังเงียบ ผมก็เงียบบ้างเพื่อรอดูปฏิกิริยาต่อจากนี้ของอีกฝ่าย แต่มองแบบนี้มันอดไม่ได้ที่จะห้ามไม่ให้มุมปากขยับขึ้นเลย

    “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” แสร้งตีหน้าซื่อเลิกคิ้วถาม และนั่นก็เหมือนเป็นการเรียกสติของเจ้าตัวให้รีบลงไปจากรถพร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า

    “เดี๋ยวพี่ไปดูที่จอดให้ว่าตรงไหนว่าง”

     

    มาถึงห้องของสายรุ้ง และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของเจ้าของห้องเรียบร้อยก็มานั่งจุมปุ๊กอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นตรงปลายเตียงเจ้าเดิม เหลือบสายตาดูนั่นนี่ไปเรื่อยเหมือนครั้งก่อนที่เคยมา แต่คราวนี้มีเวลาเดินสำรวจแล้ว ขอดูหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง

    ไวเท่าความคิด หยัดตัวลุกขึ้นเดินดุ่มๆ ไปที่ชั้นวางของซึ่งมีรูปสีน้ำใส่กรอบวางเอาไว้ บ้างก็เป็นรูปธรรมชาติ บ้างก็เป็นรูปห้องอะไรต่างๆ และทุกรูปล้วนลงลายเซ็นเล็กๆ เอาไว้

    ‘eternal

    ทำไมถึงเลือกใช้นามปากกานี้นะ?

    “ดูอะไรน่ะ” เสียงเจ้าของห้องดังขึ้นในระยะประชิด พร้อมกับหน้าใสๆ นั่นชะโงกหน้าผ่านไล่เพื่อดูสิ่งที่ผมกำลังมองอยู่ กลิ่นหอมเย็นของแชมพูที่ผมเองก็เพิ่งจะใช้ไป แต่พอมันมาจากอีกคนแล้วกลับทำให้มันหอมกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด

    “รูปพวกนี้พี่วาดเองหมดเลยเหรอ”

    “อื้อ สวยใช่ไหมล่ะ” สายรุ้งตอบรับพร้อมก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้างๆ ขณะที่สายตายังคงมองรูปสีน้ำของตัวเองพลางยกยิ้มน้อยๆ

    แค่ยิ้มบางๆ ของคนตรงหน้าก็สวยไม่แพ้รูปสีน้ำที่เจ้าตัวบรรจงแต่งแต้มเลยแม้แต่น้อย

    “ครับ”

    “...” อาจะเพราะผมมองหน้าคนข้างๆ นานไปจนคนถูกมองรู้สึกตัวหันมาทำท่าเลิ่กลั่กที่ถูกมอง ก่อนจะหมุนตัวเดินนำไปที่เตียง

    “จะตีสี่แล้ว พี่ว่าเราควรนอนไหมอ่ะ” ถามไปหาวไปจนน้ำตาเล็ด มือหนึ่งก็เอื้อมไปกดเปิดโคมไฟตรงหัวเตียงเป็นเชิงบังคับกลายๆ ให้ผมหยุดสำรวจห้องสักที

    สืบเท้าไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเตียงก่อนสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนาเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟในห้องดับลง เหลือเพียงแค่แสงสว่างจากโคมไฟเล็กๆ ที่สายรุ้งเพิ่งจะเปิดมันเอาไว้

    ความเงียบโรยตัวมีเพียงเสียงเสียดสีของผ้าห่มก่อนจะเงียบไปเมื่อเจ้าของห้องขยับตัวจัดท่าทางจนพอใจหากแต่นัยน์ตาสีนิลยังคงต้องแสงจากโคมไฟทำรู้ว่าอีกคนยังไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทรา

    “ไม่ง่วงเหรอ” เสียงทุ้มใสโพล่งถามท่ามกลางความสงัด ก่อนพลิกตัวตะแคงหันมามองกันในความมืด

    “ฮะๆ กายเพิ่งตื่นเมื่อสองชั่วโมงก่อนเอง พี่รุ้งแหละ ไม่ง่วงเหรอ เห็นนะว่าเมื่อกี้หาวจนน้ำตาเล็ดน่ะ”

    “พอหัวถึงหมอนก็หายง่วงเลย แบบ... เวลาทำอย่างอื่นอยู่ก็จะแสนง่วง แต่พอเตรียมตัวนอนความง่วงคืออะไร”

    “ก็พอเห็นภาพ เพราะช่วงไหนงานไม่สุมหัวกายก็เป็น”

    “เนอะๆ”

    บทสนทนาไหลไปเรื่อยๆ เรื่องสัพเพเหระถูกหยิบยกมาคุยสั้นๆ เปลี่ยนวนหัวข้อไปเรื่อย

    อาจจะเพราะคุยกันไปคุยกันมามันออกรสออกชาติจนต่างฝ่ายต่างขยับเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ระยะห่างจากคนละฟากของเตียงเหลือเพียงไม่ถึงช่วงแขนที่เอื้อมถึง

    “เออ พี่มีเรื่องสงสัย”

    “ครับ?”

    “เวลาคนเป็นแฟนกันเขานอนหนุนแขนกันอ่ะ คนถูกหนุนไม่เป็นเหน็บชาตายเลยเหรอ” คำถามที่ได้ยินทำให้หลุดขำพรืดออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ ในหัวก็อดคิดไม่ได้ว่าที่สายรุ้งถามนี่แค่อยากรู้เฉยๆ หรือเปล่า

    “สำหรับคนอื่นไม่รู้นะ แต่สำหรับกายไม่เคยเป็นอ่ะ” พอได้ยินคำตอบคนถามถึงกับเบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ เหมือนคนแสร้งฟังเรื่องขี้โม้ยังไงก็ไม่รู้

    “โห นี่แขนคนธรรดาหรือแขนคนเหล็ก ทำไมโดนทับทั้งคืนไม่เป็นอะไรเลย”

    “กายไม่ใช่คนเหล็กสักหน่อย กายก็แค่ทำแบบนี้” ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้อีกคนให้มากขึ้นก่อนสอดแขนเข้าไปรองใต้คอซึ่งเป็นช่องว่างพอดี ออกแรงดึงเล็กน้อยให้คนขี้สงสัยเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนให้หายสงสัย

    ตาสีนิลเบิกกว้างอย่างตกใจกับการกระทำอุกอาจที่ไม่ปล่อยให้ตั้งตัว

    “แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเหน็บชาแล้ว” แสร้งกระซิบเสียงพร่าหยอกคนที่ยังตกใจอยู่ให้ก้มหน้างุดๆ ก่อนถือโอกาสในระยะใกล้ชิดเกยคางบนกลุ่มผมนุ่มที่ส่งกลิ่นหอมเย็นไว้อย่างนั้น

    “จริงสิ กายมีเรื่องจะบอก”

    “หือ? อะไรเหรอ”

    “วันนี้มีคนมาบอกชอบกายด้วย” บอกไปแค่นั้นเพื่อรอดูอาการของคนฟัง

    “อ่า...” ลากเสียงยาวแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วเราว่ายังไงล่ะ”

    “กายก็กำลังจะปฏิเสธไปแหละ แต่เขาแย่งบทกายอ่ะ แล้วบอกว่าขอเป็นแฟนคลับแทนเพราะกายหน้าเหมือนไอดอลเกาหลี” บอกเล่าเหตุการณ์งงๆ ที่พบเจอให้สายรุ้งฟัง และเชื่อเถอะว่าสายรุ้งเองก็อาจจะงงไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่

    “ไอดอลเกาหลี? ใครน่ะ คังแดเนียลสาขาประเทศไทยเหรอ” สายรุ้งว่าพลางกลั้วหัวเราะก่อนจะพลิกตัวไปหยิบโทรศัพท์มาจิ้มๆ แล้วยื่นมาให้ผมดูคนที่เจ้าตัวว่า

    อ่า... ต้องร้องเพลงเกาหลีไหมหรือยังไง

    “เห็นเพื่อนในเซคมันชอบคนนี้ ตอนไปทำงานที่ห้องมันก็ติดโปสเตอร์เท่าฝาบ้านเลย”

    “แบบนี้ผมจะโดนเอารูปไปติดแบบนั้นบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

    “ไม่รู้สิ” ว่าพลางยักไหล่แล้วกดปิดโทรศัพท์ที่ผมส่งคืนไปซุกไว้ใต้หมอน ทำให้ทั้งห้องตกสู่ความเงียบอีกครั้ง และด้วยเวลาที่ล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ความง่วงงุนก็เริ่มจะคืบคลาน

    “พี่ว่านอนเถอะ ฝันดีๆ”

    “ฝันดีครับ”

     

    “อ๊ะ อ๊า!

    กึกๆๆ

    เสียงร้องที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบขับไล่ความง่วงจนแตกกระเจิงบวกกับเสียงของแข็งกระทบกันยิ่งทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่นจนต้องลืมตาโพลงขึ้นในที่สุด เหลือบไปเห็นคนที่นอนข้างกันอย่างสายรุ้งที่ตื่นอยู่ก่อนแล้วกำลังทำหน้าแหยเหมือนอยากจะร้องไห้

    ผมควรทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี เกิดมาไม่เคยเจอข้างห้องเสียงดังแบบนี้ด้วยสิ

    “ขอโทษนะ ที่พาเรามาเจออะไรแบบนี้ ปกติไม่เคยเจอแบบนี้เลย” สายรุ้งว่าพลางเบะปาก

    “ไม่เป็นไรครับ คงต้องทนๆ ไป”

    ได้ยินผมตอบแบบนั้นสายรุ้งจึงพยักหน้าแล้วหลับตาลงอีกครั้ง พยายามข่มตาหลับให้ลงท่ามกลางเสียงอีโรติกนี่ และไม่นานก็ดูเหมือนเจ้าตัวก็สามารถทำได้ เหลือแค่ผมที่ยังนอนฟังเสียงบ้านี่มาร่วม 20 นาทีได้แล้วมั้ง

    แล้วสภาพตัวเองคือนอนกกกันแบบนี้ มีเสียงบิวต์ให้แบบนี้ จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้

    ...เวรมากไอ้ฉิบหาย

     

    CH09 :: 100%

     


    พาน้องสกายกับพี่สายรุ้งมาหาแล้วขอรับ //หลบอยู่หลังเสา

    กราบขอโทษที่หายไปนาน รีดเดอร์ยังอยู่กับข้าน้อยมั้ยเอ่ย TT_TT

     

    สถานการณ์ล่อแหลมแบบนี้จะทำอะไรก็ไม่ได้ แม้แต่ห้องน้ำก็ไปไม่ได้ น่าสงสารน้องเขานะขอรับแง

    ขอฝากน้องสกายกับพี่สายรุ้งไว้ในอ้อมอกอ้อมใจรีดเดอร์ด้วยนะขอรับ

    ติดขัดตรงไหนคอมเมนต์เข้ามาได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะได้ปรับปรุง ส่วนเรื่องอัพช้านั้น...

    ปีหนี้เอาใหม่ ข้าน้อยจะพยายามมาให้มันเร็วกว่าที่ผ่านๆ มาขอรับ มุแงงง

    #สายรุ้งสีคราม

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×