คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Lost Forever ✿ เวลาที่ 2
LOST FOREVER
เวลาที่ 2
แม้จะมีเวลาให้เริ่มต้นใหม่
ก็ไม่ได้แปลว่าโอกาสนั้นจะมีเสมอไป
แสงไฟร้อนแรงหลากสีในยามราตรีสาดส่องเรือนร่างสูงใหญ่บนเวทีดูโดดเด่นเป็นจุดสนใจของบรรดาชายหญิงภายในผับชื่อดังแห่งนี้
เสียงดนตรีบรรเลงไปตามจังหวะนิ้วมือเรียวยาวที่เกลาสายกีตาร์คู่ใจบนตัก
ขับกล่อมให้นักท่องราตรีเคลื่อนไหวร่างกายเบียดเสียดกันเสียจนพื้นที่กว้างดูแคบไปถนัดตา
หากแต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะสนใจ เพราะค่ำคืนนี้ทุกคนเข้ามาเพียงเพื่อหาความสุขใส่ตัวเท่านั้น
บรรยากาศของสถานบันเทิงชื่อดังกลางใจเมืองสร้างความสุขสมให้แก่ผู้ที่มีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างสุรุ่ยสุร่าย
กลิ่นเครื่องดื่มหลากรสคละคลุ้งไปทั่วห้องกว้าง กอปรกับเสียงดนตรีนุ่มหูชวนฟังทำให้ความตึงเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันบรรเทาลงอย่างไม่น่าเชื่อ
…แต่มันก็ใช้ไม่ได้กับทุกคน
ทันทีที่เพลงใหม่บรรเลงขึ้นมา
ทุกสรรพสิ่งรอบกายก็เงียบงันราวกับถูกใครบางคนสาปให้แน่นิ่งอยู่กับที่ เสียงกีตาร์นุ่มลึกในผับช่างเป็นสิ่งที่ดูไม่เข้ากันเสียเลย
แต่มันกลับตรงกันข้ามเมื่อผู้บรรเลงเพลงรักแสนเศร้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาขวัญใจสาวสวยทั้งหลาย
저 별을 가져다 너의 두 손에 선물하고 싶어
โชคชะตากำหนดให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผมอยากจะวางของขวัญลงบนมือทั้งสองข้างของคุณ
내 모든 걸 다 담아서 전해주고파
ผมขอมอบทุกสิ่งทุกอย่างของผมให้กับคุณ
Sometimes I cry 널 잃을까
ใบบางครั้งผมก็ร้องไห้เพราะกลัวจะสูญเสียคุณไป
Sometimes I feel 내 품에 잠들어 있는 너
ในบางครั้งผมก็รู้สึกว่าคุณหลับอยู่ในอ้อมกอดของผม
I promise you 첫눈이 오는 날에
ผมสัญญากับคุณ ในวันแรกที่หิมะร่วงหล่นลงมา
I promise you 너와 함께
ผมสัญญาว่าจะอยู่กับคุณ
두 손을 마주잡고 그날을 거닐며 외쳐
เดินเล่นไปด้วยกันและร้องตะโกนออกมา
I love you 잡은 두 손은 흐르는 세월 모르길
ผมรักคุณ และไม่รู้เลยว่าเราจับมือกันมานานเท่าไหร่แล้ว
(Song : Listen to the letter)
*Cr. ANOchaNYEOL T.
ทำนองเพลงอบอุ่นทว่าบาดลึกภายในจิตใจจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องแสดงความชื่นชอบจากบรรดาผู้ชมทั้งหลาย
ปาร์คชานยอลก้มศีรษะแทนคำขอบคุณ
ก่อนจะเดินลงจากเวทีด้วยท่าทางเรียบนิ่ง
แม้ในใจจะยินดีไม่น้อยที่มีคนชอบในอาชีพที่เขารัก หากแต่ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกลับไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆ
ปรากฏขึ้นอย่างเช่นทุกครั้ง
“ชานยอล ทางนี้เว้ย!”
น้ำเสียงโทนต่ำดังมาจากฝั่งที่นั่งมุมสุดเรียกให้ชายหนุ่มตัวสูงหันไปมองตามต้นเสียง
ดวงตาคมจดจ้องเพื่อนสนิทผิวสีแทนเป็นเอกลักษณ์และซ่อนดีกรีความหล่อร้ายเอาไว้ไม่น้อยยืนโบกมือไปมากลางอากาศ
ชานยอลกระชับกระเป๋ากีตาร์ในมือแน่น ก่อนจะก้าวเท้ายาวเดินตรงไปยังเป้าหมายอย่างไม่รีรอ
เมื่อมาถึงโต๊ะประจำที่พวกเขามักจับจองพื้นที่ในการนั่งดื่ม
นั่งฟังเพลง หรือแม้แต่การใช้เวลาเหล่านี้ปลดปล่อยความเมื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวัน ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วนก็ถูกเพื่อนสนิทกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้สีแดงสดทันที
“เลิกงานแล้วดิ? วันนี้ไม่มีคิวหลังเที่ยงคืนเหรอวะ”
‘คิมจงอิน’ เจ้าของผับหรูแห่งนี้หรือเพื่อนสนิทอีกคนของชานยอลเอ่ยถามพลางมองสีหน้าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามว่าอีกฝ่ายพร้อมจะตอบคำถามของเขาหรือไม่
ชานยอลเอี้ยวตัววางกีตาร์ตัวโปรดลงข้างกายอย่างระมัดระวัง
คำถามของหนุ่มผิวแทนไม่ได้รับการตอบรับจากร่างสูงสง่าด้วยคำพูด
หากเสี้ยวใบหน้าคมคายที่หันกลับมาพร้อมยักคิ้วก็ถือว่าแทนคำตอบได้ดี
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าปาร์คชานยอลสุขุมและวางตัวได้ดีมากแค่ไหน ไม่เช่นนั้น
สาวน้อยสาวใหญ่คงตามมาเกาะแกะสร้างความปวดหัวกันให้วุ่นแน่นอน
“จะอยู่ต่ออีกนานไหม?”
นิ้วมือแข็งแรงหยิบยกแก้วทรงสวยซึ่งบรรจุแอลกอฮอล์สีสันล่อตาขึ้นมา
ก่อนจะจรดริมฝีปากแนบขอบแก้วรับเหล้าดีกรีสูงให้ไหลผ่านลำคอลงสู่กระเพาะอาหาร
จงอินเลิกคิ้วรอคอยคำตอบจากปากของบุคคลหน้านิ่ง มืออีกข้างก็กวักเรียกเด็กเสิร์ฟภายในผับให้เดินมาบริการเพื่อนตัวสูงถึงที่
“อืม”
ชานยอลพยักหน้าตอบรับพลางเอนตัวพิงศีรษะกับเก้าอี้ตัวยาวด้วยความเหนื่อยล้า
ดวงตากลมโตทว่าแฝงไปด้วยความแข็งกระด้างปิดลงเพราะต้องการลบล้างความคิดและภาพต่างๆ
ที่รบกวนเขามาทั้งวันให้ออกไปจากสมองเสียที
แม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางทำได้เลยสักครั้ง แต่ก็ยังคงฝืน ฝืนทำในสิ่งที่ทรมานหัวใจบอบช้ำดวงนี้
“ถ้าเหนื่อยก็กลับก่อนได้นะ”
“ไม่กลับ”
“อ้าว ไม่กลับแล้วจะไปไหนครับเพื่อน”
จงอินกลั้วหัวเราะกับคำตอบที่ได้รับ เขายืดตัวนั่งเต็มความสูง
มือหนาวางแก้วบางลงบนโต๊ะแล้วเงยหน้าสอบสวนเพื่อนสนิทตัวสูงอีกครั้ง
ช่างเป็นคำตอบที่น่าขันเสียจริงๆ หากไม่กลับบ้านของตัวเองแล้วคุณชายปาร์คชานยอลจะไปนอนที่ไหนกันล่ะ
“คอนโดแก”
“บ้าหรือไง คอนโดฉันเนี่ยนะ มีเตียงเดียวนะเว้ย
คงไม่คิดจะนอนด้วยกันหรอกใช่ไหม อึ๋ย! ดูดิ ขนลุกแล้วเนี่ย”
คิมจงอินเสียงขึ้นจมูกพร้อมทำท่าทางรังเกียจยิ่งกว่าเพื่อนตัวสูงเป็นกิ้งกือไส้เดือน
ชี้ขนแขนที่พร้อมใจกันลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมายให้คนตรงหน้าดู
เป็นครั้งแรกที่ชานยอลเอ่ยปากบอกจะนอนที่คอนโดของเขา
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
หมอนี่กินยาลืมเขย่าขวดหรือไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าถึงได้กล้าพูดคำนั้นออกมา
“คืนเดียวน่า ไว้ม๊าคืนคีย์การ์ดคอนโดเมื่อไหร่จะไม่รบกวนเลย” ชานยอลถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้เมื่อนึกถึงความเผด็จการของมารดาตนเอง
เขาถูกยึดคีย์การ์ดห้องเพราะหมอนั่น
หากแบคฮยอนไม่กลับมา ม๊าก็คงไม่ทำกับเขาเช่นนี้
คนอะไรช่างน่ารังเกียจได้เพียงแค่นึกถึงชื่อ
ยิ่งใบหน้าปั้นยิ้มเสแสร้งเหล่านั้นยิ่งทำให้ความโกรธเกลียดภายในใจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า
“ไปทำอะไรให้ท่านไม่พอใจอีกล่ะ เรื่องของแบค เอ่อ…ฉันหมายถึง…”
จงอินอยากวิ่งไปข้างกำแพงแล้วโขกศีรษะลงแรงๆ เหลือเกิน ในตอนที่เขาลืมตัวเผลอเอ่ยชื่อของใครบางคนออกมา
สีหน้าเรียบนิ่งของชานยอลก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด
‘เรื่องของใครบางคนก็คงไม่ใช่
เพราะในเมื่อร่างเล็กจากแผ่นดินเกาหลีไปอยู่อีกซีกโลกได้นานถึงสี่ปีแล้ว’
เขาเผลอเอ่ยถึงสิ่งที่ปาร์คชานยอลเกลียดมากที่สุดบนโลกใบนี้
ชื่อต้องห้ามสำหรับเพื่อนสนิทตัวสูง
ชื่อของบยอนแบคฮยอน
“แกจะพูดอะไร?”
แววตาเกรี้ยวกราดนั้นมองจงอินอย่างไม่พอใจ
ริมฝีปากอิ่มขยับเพื่อเปล่งเสียงทุ้มต่ำดุดันด้วยคำถามแสนธรรมดาแต่สามารถทำให้คนฟังใจเสียได้ง่ายๆ
“ปะ…เปล่า แล้วทำไมแกถึงไม่กลับบ้านล่ะ
บ้านหลังนั้นน่ะ”
รีบเบี่ยงประเด็นทันทีเมื่อรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่ดีเอาเสียเลย
แต่หนุ่มผิวแทนจะรับรู้บ้างหรือไม่ว่าการเปลี่ยนเรื่องสนทนาอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีเช่นกัน
บ้านหลังนั้น...บ้านที่เจ้าของอีกคนกลับมาแล้วในวันนี้
ลมหายใจเข้าออกของร่างสูงกระตุกฮวบไปเล็กน้อยหลังจากได้ยินประโยคที่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป
ทำไมสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหมอนั่นต้องตามมาปั่นป่วนเขาทุกครั้ง
คนน่ารังเกียจแบบนั้นไม่สมควรมีบทบาทในชีวิตของใครทั้งสิ้น
“นั่นไม่ใช่บ้านฉัน”
คนฟังอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ จงอินเกลียดนักกับความปากแข็งและการถามคำตอบคำของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
แต่เขาจะทำอะไรได้นอกจากชวนพูดคุยเพียงเพื่อหวังว่ามันจะทำให้ความตึงเครียดที่เพื่อนสนิทตัวสูงสะสมมาทั้งวันหรืออาจจะนานเป็นปีผ่อนคลายลงบ้าง
และเพียงเพื่อหวังว่าสักวันชานยอลคนเดิมจะกลับมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าต่อให้ตายกันไปข้างก็คงไม่มีวันนั้น
“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็…”
“ฉันไม่มีทางกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีกแน่ ตราบใดที่ม๊ายังไม่ยอมให้ฉันหย่ากับคนน่าขยะแขยงอย่างหมอนั่น”
ยามเอ่ยถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่
อารมณ์คุกรุ่นที่ไม่ส่งผลดีต่อใครก็กลับมาปะทุอีกคราราวกับถูกเติมด้วยเชื้อเพลิงชั้นดี
แล้วค่อยๆ แผดเผาให้ทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้ไม่เหลือเศษซากใดๆ หลงเหลืออยู่
ไม่เว้นแม้กระทั่งหัวใจอ่อนแอดวงนี้ หัวใจที่บอบช้ำมานานหลายปี หัวใจที่ถูกใครบางคนกระชากติดมือไปและอาจไม่มีวันได้กลับคืน
“ฉันรู้ว่าแกเสียใจมาก แต่ช่วยเปิดใจไม่ได้เหรอ”
“ไม่จำเป็น”
“ยังไงซะเขาก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเรา”
“เหอะ!”
ช่างเป็นคำพูดที่ดูจะขัดหูร่างสูงไปเสียหน่อย ชานยอลจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าวทั้งร้องเหอะในลำคอเสียงดัง
เขาไม่ต้องการให้จงอินพูดถึงเรื่องนั้นอีก
เรื่องที่เขาไม่เคยลืมได้เลยสักวินาทีเดียว
ทุกอย่างยังคงตอกย้ำและตามหลอกหลอนทุกเวลาทุกวินาที
ยังคงจมกับเรื่องราวในอดีต
รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ตรงหัวใจตีตราจองจำให้อยู่กับความทุกข์ทรมานไม่มีสิ่งใดสามารถลบล้างได้
ต่อให้ต้องผ่านไปอีกสิบปีหรือยี่สิบปี
…มันก็ไม่เพียงพอ
“แกเจ็บปวด แกทรมาน แกไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
ฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างกันนักหรอก แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่บอกตรงๆ
ว่ะ…”
“…”
“ฉันสงสารแบคฮยอน”
“จะสงสารทำไม!”
ชื่อของบุคคลที่สามดังเข้าสู่โสตประสาทการรับรู้ทันที
ชานยอลกำมือแน่นมากกว่าเดิม คิ้วเข้มทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ
ร่างสูงบดกรามจนเห็นเป็นสันนูนเด่นชัดเมื่อควบคุมอารมณ์รุนแรงนี้ไม่ได้
เขาเกลียด…
เกลียดชื่อของบยอนแบคฮยอน
ไม่อยากรับรู้และไม่อยากให้ชื่อของคนที่เกลียดชังนักหนาดังก้องอยู่ในหัว
เพราะมันน่าขยะแขยงสิ้นดี น่ารังเกียจเกินกว่าจะนึกถึง
“เขาทำผิดต่อแกก็จริง แต่ที่ผ่านมามันก็มากเกินพอแล้ว
แบคฮยอนเองคงทรมานไม่น้อย ปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่เถอะ
แกจะทำตัวจมอยู่กับอดีตแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอกนะ”
จงอินพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่มันกลับยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้ลุกลาม
เขาทนเห็นชานยอลจมปลักกับเรื่องราวในอดีตมานานเกินไปแล้ว
ชานยอลที่เขาเคยรู้จักไม่ใช่คนตามืดบอด ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือขาดการให้อภัย
ชานยอลที่เขารู้จักไม่ได้มีจิตใจด้านชาเหมือนผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้
“ลองมาเป็นฉันดูไหมล่ะ! อยากรับรู้รสชาติการตายทั้งเป็นทั้งที่ยังหายใจอยู่ไหม!”
แววตาแข็งกระด้างสั่นไหวเมื่อความปวดร้าวเข้าเล่นงานทุกพื้นที่ในหัวใจ
ความพยายามในการเอื้อนเอ่ยคำพูดช่างเป็นไปได้ยากเหลือเกินในเวลานี้
เหตุใดคนรอบกายถึงได้เอาแต่สงสารผู้ชายน่าสมเพชคนนั้นกัน
คนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อตัวเองแม้ต้องทำลายชีวิตคนอื่นให้ย่อยยับไม่มีชิ้นดี
คนที่ทนมองความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก หรือจะเป็นคนที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการโดยไม่สนว่าใครจะเป็นตายร้ายดียังไง
คนแบบนี้สมควรได้รับความสงสารหรือยังไง?
น่าสมเพช…
คนแบบนายมันน่าสมเพชที่สุดบยอนแบคฮยอน!
“โอเค ชานยอล ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นท่าไม่ดี หนุ่มเจ้าเสน่ห์จึงพยักหน้าช้าๆ ผ่อนคลายน้ำเสียงลงอย่างเหนื่อยอ่อนราวกับยอมแพ้เมื่อไม่สามารถเอาชนะวาจาของเพื่อนตัวสูงได้
วินาทีนี้จงอินรับรู้แล้วว่าต่อให้เอาน้ำเย็นเข้าลูบ
อารมณ์ร้ายราวกับเพลิงไฟร้อนแรงก็ไม่อาจดับมอดลงได้ง่ายๆ
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ทำให้แกไม่ยอมกลับบ้าน แบคฮยอนไม่ได้อยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือไง
บางทีเขาอาจจะไม่กลับมาแล้วก็ได้นะ”
เป็นเพราะความไม่รู้ จงอินถึงได้เอ่ยออกมาเช่นนั้น
สิ่งที่เขารู้ก็คือเมื่อสี่ปีที่แล้ว แบคฮยอนเพื่อนสนิทภายในกลุ่มเมื่อครั้งเรียนมหาลัยด้วยกันเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสหลังจากเรียนจบและแต่งงานกับปาร์คชานยอลลูกชายคนเล็กของตระกูลปาร์ค
พิธีแต่งงานใหญ่โต
แขกเหรื่อมากหน้าหลายตาที่มาร่วมงานไม่ได้สร้างความยินดีให้ทั้งสองฝ่ายเลยสักนิด
ความไม่พอใจกลับกลายเป็นความเกลียดชัง
จากเพื่อนสนิทกลายเป็นคนเคยรู้จัก ถึงแม้แบคฮยอนจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
แต่ตลอดระยะเวลาที่ร่างบางยังคงอยู่บนแผ่นดินเกาหลี
ผู้เป็นสามีก็ปฏิบัติราวกับว่าแบคฮยอนเป็นเพียงเศษฝุ่นไม่มีค่าในสายตา
เวลาล่วงเลยมานานหลายปี คนตัวเล็กไม่ได้กลับมาหลังจากตัดสินใจไปอยู่ไกลคนละซีกโลก
แม้เป็นเช่นนั้นชานยอลก็ยังไม่ยอมกลับไปสถานที่แห่งนั้นอีก แม้ที่ที่เรียกว่าบ้านจะไม่มีร่างบางแล้วก็ตาม
คนมีทิฐิอย่างไรก็ยังคงมีทิฐิอย่างนั้น
ชานยอลคิดเสมอว่าบ้านหลังโตนั่นไม่ใช่ของตนเอง ทั้งที่มันคือบ้านที่เป็นของขวัญวันแต่งงานจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย
ในเวลาที่บิดามารดาของแบคฮยอนไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ท่านทั้งสองได้เก็บที่ดินและเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้ใช้ในยามจำเป็น
อีกทั้งยังมอบทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่ใช้ทั้งชีวิตก็ไม่มีวันหมดให้กับบยอนแบคฮยอน
เป็นเพราะความรักความห่วงใยต่อลูกชายอันเป็นที่รักมากมายนัก
อยากให้แบคฮยอนดูแลตัวเองได้ในยามที่ไม่มีท่านทั้งสองคนแล้ว
และในงานแต่งงานครั้งนั้นก็หวังว่าลูกชายของเพื่อนสนิทจะสามารถดูแลลูกชายเพียงคนเดียวของพวกท่านได้เป็นอย่างดี
แต่ไม่เลย...
ท่านทั้งสองคงตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะไม่มีโอกาสรับรู้เลยว่าลูกชายแสนบอบบางคนนี้จะทนเจ็บปวดและทรมานกับการแต่งงานที่ถูกผู้ใหญ่บังคับมากแค่ไหน
อีกทั้งเจ้าของหัวใจที่แบคฮยอนเฝ้ารักมาแสนนานก็ยังเกลียดกันเข้าไส้ รังเกียจกันยิ่งกว่าร่างบางเป็นสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคร้ายที่อาจทำให้เขาแปดเปื้อนเพียงแค่ได้เข้าใกล้
ช่างเป็นความรักที่ขมขื่นเหลือเกิน
เวลานี้คิมจงอินรวมถึงทุกคนรู้ก็คือ แบคฮยอนยังคงอยู่ที่เมืองหนาวซึ่งไกลจากบ้านเกิดหลายพันไมล์
ไม่มีใครทราบเหตุผลว่าร่างบางไปที่นั่นทำไม ทั้งที่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่กลับมา
บางทีแบคฮยอนอาจจะลงหลักปักฐานกับใครสักคนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ไปแล้วก็ได้
หารู้ไม่ว่าที่ชายหนุ่มพูดออกมามันไม่เป็นความจริงเลยสักนิดเดียว
ก็เพราะใครบางคนกลับมาแล้ว…
บยอนแบคฮยอนคนน่ารังเกียจในสายตาของปาร์คชานยอลกลับมาแล้วยังไงล่ะ
ร่างสูงถึงทนอยู่ร่วมบ้านกับสิ่งสกปรกแบบนั้นไม่ได้ หากได้เฉียดกันแม้แต่ปลายนิ้วชานยอลคงขาดใจตายก่อนแน่ๆ
“เหอะ คิดอย่างนั้นจริงเหรอ?”
“…”
“งั้นแกก็รู้ไว้ตรงนี้เลยว่าที่ฉันไม่อยากกลับบ้าน…”
“…”
“…มันเป็นเพราะหมอนั่นเสนอหน้ากลับมาให้ฉันรู้สึกเกลียดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่าแล้วยังไงล่ะ
หึ!”
กล้าพูดเลยว่าเขาจะไม่มีทางกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเป็นอันขาด
ต่อให้อีกคนจะตายจากกันไปก็ตาม
ชานยอลกลอกตาพลางขบกรามสะกดกลั้นอารมณ์คุกรุ่นภายในใจเอาไว้ กำมือทั้งสองข้างแน่นเพื่อระงับความคับแค้นที่สุมอก
แม้อยากจะระบายสิ่งที่อึดอัดอยู่ข้างในมากแค่ไหนก็ต้องนั่งเงียบราวกับคนไม่มีสิทธิ์มีเสียง
เขาไม่เคยคิดอยากจะกลับบ้านที่มีสิ่งสกปรกอาศัยอยู่เลยสักครั้งเดียว
และยิ่งรู้ว่าใครบางคนกลับมา ใครบางคนที่เขาเกลียดชังกว่าทุกสิ่งบนโลก
เพียงเท่านี้ชานยอลก็สะอิดสะเอียนจนอยากจะหายไปให้พ้นๆ ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น
เชื้อโรคอย่างหมอนั่นไม่สมควรเป็นคนที่ใครๆ ต่างก็รักใคร่และเอ็นดู
ไม่สมควรเป็นคนที่ใครๆ ต่างก็สงสารและเห็นใจ
ในเมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนชัง คนรักนายมีมากนักหรือ
หึ! ก็เอาสิ
ยกเว้นฉันคนหนึ่งนี่แหละที่จะไม่มีทางรู้สึกแบบนั้นได้
เพราะปาร์คชานยอลคนนี้จะเกลียดบยอนแบคฮยอนไปจนวันตาย!
ในช่วงเย็นของอีกวันที่ใครบางคนเฝ้าคอยให้มันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เครื่องยนต์ที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงก็ตรงเข้ามาภายในโรงจอดรถของคฤหาสน์หลังใหญ่ทันทีที่มาถึงที่หมาย
เจ้าของยานพาหนะคันโตอย่างรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คู่ใจถอดหมวกนิรภัยเผยให้เห็นใบหน้าคมคายสะกดใจใครหลายต่อหลายคน
เรียวคิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันคล้ายไม่พอใจในบางสิ่งบางอย่าง
สันกรามสวยถูกขบจนขึ้นเป็นสันนูนเมื่อต้องพยายามควบคุมอารมณ์คุกรุ่นที่กำลังปะทุเดือดพล่านอยู่ในตอนนี้ให้สงบลงเท่าที่จะทำได้
ปาร์คชานยอลโมโหมากที่จู่ๆ ม๊าก็โทรไปหาจงอินเพื่อที่จะตามเขามาคฤหาสน์ตระกูลปาร์คซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ของบิดาและมารดา
ทั้งที่เขาปิดเครื่องมือสื่อสารตัดขาดการติดต่อกับคนอื่นแล้วแท้ๆ แต่ม๊าก็ยังทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เขามาที่นี่จนได้
คนอ่อนโยนทว่าจิตใจกลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการเอ่ยปากขู่ว่าหากเขาไม่ยอมกลับมาภายในสิบนาที
ท่านจะส่งลูกน้องไปจัดการผับของจงอินอย่างไม่คิดลังเล
อภิสิทธิ์ใหญ่โตเหล่านั้นมาจากการที่คุณแม่เป็นเพื่อนรักกับแม่ของจงอิน
ท่านถึงได้ออกปากสั่งอะไรก็ย่อมได้อย่างที่ใจต้องการทุกครั้ง
ชานยอลไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว
แม้จะเกลียดความเผด็จการของมารดามากจนไม่อยากมาเหยียบที่นี่ในเวลานี้แค่ไหน
แต่เขาจะไม่มีทางทำให้เพื่อนสนิทต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยแน่นอน
ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าร่างสูงไม่ใช่คนหัวรั้นมากมายนัก
และเหตุผลสำคัญที่ทำให้คำพูดเหล่านั้นกลับตาลปัตรคงเป็นเพราะประโยคสุดท้ายก่อนที่ผู้เป็นมารดาจะวางสายไป
คำพูดที่บีบบังคับให้จำยอมอย่างเสียไม่ได้ น้ำเสียงอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยอำนาจมหาศาลที่แม้แต่ปาร์คชานยอลคนยึดมั่นในความต้องการของตนเองต้องยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหากมันคือคำประกาศิตของมารดาอันเป็นที่รักก็ทำให้ร่างสูงขัดใจไม่ได้สักครั้งเดียว
‘รีบกลับมานะครับพี่ชาน ไม่ใช่แค่ป๊ากับม๊าที่รอลูกนะ พี่คริสกับหนูแบคฮยอนก็รออยู่ที่นี่แล้วด้วย
พี่ชานจะปฏิเสธก็ได้นะครับ
แต่รับรองว่าถ้าพี่ชานไม่มาหรือมาช้ากว่าเวลาที่ม๊ากำหนด
คงรู้นะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น’
ความอดทนของเขาหมดลงเพราะชื่อของคนที่เกลียดแสนเกลียดยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิต
หมอนั่นก็อยู่ที่นี่งั้นหรือ…
หึ เสนอหน้านักนะ!
“มาแล้วเหรอครับลูก”
เสียงทักทายสดใสจากร่างสวยสง่าที่นั่งตรงโต๊ะอาหารเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กของตนเดินหน้าบูดบึ้งเข้ามาอย่างไม่สบอารมณ์
แม้จะไม่พอใจที่ถูกบังคับให้มายังสถานที่แห่งนี้ แต่ชานยอลก็ไม่เสียมารยาทลืมโค้งตัวแสดงความเคารพบิดาและมารดาทั้งสองคน
“ครับ”
ชานยอลพยักหน้าเพียงเล็กน้อย
เหลือบสายตาไปเห็นพี่ชายตัวสูงที่นั่งข้างๆ
ภรรยาของประมุขบ้านตระกูลปาร์คด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยทักทายพี่ชายเพียงคนเดียว
“สวัสดีครับเฮีย”
“สวัสดีเจ้าน้องชาย ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม?”
‘คริส’ หรือ ‘ปาร์คอี้ฝาน’ คุณหมอมากความสามารถเจ้าของใบหน้าคมคายสมบูรณ์แบบไร้ที่ติระบายยิ้มอ่อนโยน
“สบายดีครับ เฮียก็คงสบายดีนะครับ”
“ถูกแล้วล่ะ ส่วนชาน…ดูไม่จืดเลยนะ”
อี้ฝานกวาดสายตามองน้องชายที่ดูแตกต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันแล้วครุ่นคิดภายในใจ
การแต่งกายก็ยังคงเป็นชานยอลคนเดิมที่ชอบสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนปล่อยชาย
กางเกงยีนตัวยาวกับรองเท้าผ้าใบคู่เก่งสมเป็นปาร์คชานยอลลูกชายคนเล็กของตระกูลปาร์ค
หากแต่สิ่งที่คุณหมอหนุ่มสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือใบหน้าอิดโรยราวกับคนพักผ่อนน้อยหรือมีเรื่องให้ทุกข์ใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เหตุใดคนเป็นหมอจะดูไม่ออกว่าน้องชายคนนี้ไม่ดูแลร่างกายตัวเองถึงได้ปล่อยให้ซูบผอมกว่าเมื่อก่อนจนน่าเป็นกังวล
คงเป็นเพราะเรื่องนั้น…
อี้ฝานรู้
และเขาไม่ควรพูดถึงมัน
“เฮียคิดยังไงถึงกลับมาที่บ้านได้
หายหน้าไปนานจนป๊ากับม๊าแทบลืมไปแล้วว่ามีลูกชายอีกคน”
ชานยอลที่กำลังเอ่ยแซวพี่ชายตนเองเป็นนิสัยที่ใครๆ ต่างก็คุ้นเคยดี
ไม่ได้เจอกันนานถึงสี่ปี พี่ชายของเขายังคงมีท่าทางสุขุมนุ่มลึก รักษามาดของคุณหมอคนเก่งได้อย่างยอดเยี่ยม
“ป๊ากับม๊าไม่ใจร้ายลืมลูกชายคนโตได้ลงคอหรอกน่า”
อี้ฝานหัวเราะในลำคอกับคำพูดคำจาเหล่านั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นปาร์คชานยอลก็คือการชอบเย้าแหย่คนอื่นด้วยท่าทางกวนประสาทพร้อมรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้า
ยังดีที่น้องชายของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากจนชวนให้ใจหาย
“นั่งก่อนสิ ยืนนานไม่เมื่อยหรือไง” ประมุขที่มีอำนาจสูงสุดของบ้านเอ่ยแทรกท่ามกลางบทสนทนาของลูกชายทั้งสองคน
คุณ ‘ปาร์คโฮยอล’ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Park Design Corporation คนปัจจุบันหรือสามีของคุณ ‘ปาร์คเหม่ยอิง’ หญิงสัญชาติจีนที่พบรักกันเมื่อสามสิบห้าปีก่อนสบตาลูกชายคนเล็กที่เอาแต่ยืนนิ่ง
ไม่ยอมนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างๆ ภรรยาตัวเล็กเสียที
ในแต่ละวันจะมีเพียงแค่เจ้าของบ้านทั้งสองคนที่นั่งทานอาหารร่วมกัน แต่วันนี้โต๊ะอาหารสำหรับห้าที่นั่งดูแคบไปถนัดตาเมื่อมีผู้มาใหม่ถึงสามคน
สองคนนั่งจับจองพื้นที่คนละฝั่ง
เหลือเพียงชานยอลเท่านั้นที่ยังคงยืนมองใครบางคนด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ดวงตาเรียบนิ่ง ทว่าเต็มไปด้วยประกายบางอย่างที่คาดเดาไม่ได้ยามทอดมองคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้าไม่สบตาใคร
นอกเสียจากมารดากับพี่ชายของเขาซึ่งนั่งฝั่งตรงข้าม
นั่นก็แสดงว่าเขาต้องได้นั่งข้างคนที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียด
หลบหลีกมาโดยตลอด วันนี้กลับหนีไม่พ้น
แค่สบตาก็พาลทำให้สิ่งที่เก็บไว้ในใจกัดกินความรู้สึก แล้วการได้เฉียดใกล้กันเพียงนิดคิดหรือว่าเขาจะยอมให้มันเกิดขึ้น
ไม่มีทาง!
“วันนี้มีเรื่องสำคัญหรือครับ”
ดูเป็นการเสียมารยาทไปสักหน่อยที่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงห้วนติดจะไม่พอใจ
ร่างสูงมองบิดา มารดาและพี่ชายของตน
ไม่แม้แต่จะชายตามองคนตัวเล็กเพื่อตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่อยากพบเจอมากเพียงใด
“มีสิครับ ไม่งั้นม๊าจะเรียกเรามาทำไมล่ะ หืม?” คุณผู้หญิงของบ้านยิ้มหวาน ไม่ได้เอะใจถึงสาเหตุของคำถามนั้น
“ถ้าไม่อยากเสียเวลา
ผมคิดว่าเราควรจะคุยกันตอนนี้เลยนะครับ”
ชานยอลพยายามเร่งรัดเวลาทุกวินาทีให้สั้นและคุ้มค่ามากที่สุด
หวังว่าทุกคนจะเข้าใจในท่าทีเหล่านี้
เข้าใจว่าเขาไม่ต้องการยืนใช้ลมหายใจร่วมกับใครบางคนได้นานแม้เพียงนาที
ความรู้สึกที่ฝังลึกภายในจิตใจของเขามานานนับสี่ปีเป็นสิ่งที่คอยตอกย้ำชัดเจนทุกคืนวัน
คนในครอบครัว เพื่อนสนิท คนรอบข้างต่างก็รู้ดี
แล้วคนที่เขาเกลียดจะไม่รับรู้สักหน่อยหรือว่าไม่สมควรมานั่งเชิดหน้าชูตาในบ้านของป๊ากับม๊า
ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหนก็ตาม!
“พี่ชานมานั่งก่อนสิลูก นานๆ
ทีเราจะได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันนะ อีกอย่างพี่คริสกับหนูแบคก็กลับมาที่นี่วันแรกด้วย
ถือว่าเลี้ยงฉลองก็แล้วกัน” พยายามไม่สนใจในคำพูดของลูกชาย เพราะเข้าใจดีว่าชานยอลกำลังรู้สึกอย่างไร
คุณเหม่ยอิงยิ้มบางพร้อมทั้งใช้สายตาสื่อความหมายบางอย่างแทนคำพูด
หากชานยอลฉลาดมากพอจะเข้าใจว่าเธอต้องการให้เจ้าตัวนั่งเก้าอี้ว่างข้างๆ
ภรรยาตัวน้อย
สีหน้าไม่พอใจแสดงออกชัดเจน ร้อนไปถึงแบคฮยอนที่คาดเดาไม่ได้ว่าเขาจะยินดีนั่งใกล้กันหรือไม่
กังวลว่าจะถูกต่อว่าด้วยวาจาร้ายกาจอย่างที่เคยได้รับ ไม่ก็ถูกเขาหักหน้าโดยการเอ่ยเหยียดหยามกัน
ร่างบางจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารทั้งตัวแข็งทื่อ
ทำอะไรไม่ถูกแม้แต่ควบคุมจังหวะการหายใจ
“เหลือเก้าอี้ว่างตัวเดียวหรือครับป้าซังมี”
คุณป้าแม่บ้านที่มาพร้อมกับคุณหนูคนโปรดสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคุณชายคนเล็กของครอบครัวปาร์คเลือกถามเธอที่ยืนบริเวณประตูทางเข้าห้องอาหารขนาดกว้าง
ทั้งที่สาวใช้คนอื่นๆ ก็ยืนเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟท่ากันอยู่ถึงสองสามคน
“อะ…เอ่อ ค่ะ คุณชานยอล” ตอบกลับอย่างละล่ำละลัก ป้าซังมีไม่ทราบว่าอีกฝ่ายถามเรื่องเก้าอี้ทำไม
แต่ลางสังหรณ์บอกชัดเจนแล้วว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ก็ดูสายตาที่คุณชานยอลมองคุณหนูแบคฮยอนสิ ทั้งดุดัน เกรี้ยวกราดและเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่คุณป้าแม่บ้านพอจะทราบสาเหตุได้
ใครเล่าจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด
“หึ…” ร่างสูงแค่นหัวเราะในลำคอทันทีที่ได้รับคำตอบ
“ไม่ยักรู้นะครับว่าครอบครัวเรามีห้าคน”
ท่าทางประชดประชันที่เกิดจากอารมณ์คุกรุ่นและน้ำเสียงขุ่นมัวที่เอ่ยกระทบกระทั่งใครบางคนอย่างเปิดเผย
ส่งผลให้ความอึดอัดเริ่มเข้าปกคลุมบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร
โดยที่คนพูดไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
ปาร์คชานยอลคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติอีกฝ่าย ก็ในเมื่อร่างบางเป็นแค่คนนอกที่เข้ามาอยู่ภายในตระกูลปาร์คโดยที่เขาไม่เต็มใจเลยสักนิด
ซ้ำยังรังเกียจอีกฝ่ายจนเกินทน
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะพี่ชาน” ผู้เป็นภรรยาของประมุขแห่งตระกูลปาร์คขมวดคิ้วเมื่อลูกชายที่เธอรักทำกิริยาไม่เหมาะสม
หลังจากนั้นจึงหันไปมองลูกสะใภ้ด้วยความเอ็นดูเคล้าสงสารจับใจ
“เรื่องจริงนี่ครับ ก็แค่พวกชอบถีบตัวเองให้สูงขึ้นโดยการเหยียบหัวคนอื่น
ผมไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วย”
“พี่ชานเกเรใหญ่แล้ว ม๊าไม่อยากดุเราหรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทานกันไปเถอะครับ
ผมจะไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น ให้นั่งกับใครบางคนผมคงทานข้าวไม่ลง!”
เขาเอ่ยมันออกมาโดยไม่ได้นึกถึงจิตใจคนฟังเลยแม้แต่น้อย
ไม่คิดว่ามันจะบาดลึกกลายเป็นแผลเหวอะหวะภายในใจอีกฝ่ายจนสาหัสมากแค่ไหน ร่างสูงไม่แม้แต่จะสนใจ
หลบหลีกบทสนทนาโดยการสาวเท้าไปยังอีกห้องแต่ก็ถูกมารดารั้งเอาไว้เสียก่อน
“ถ้าไม่มาทานข้าวด้วยกัน ม๊าจะจัดการขั้นเด็ดขาดแล้วนะ!”
“ดะ…เดี๋ยวผมออกไปรอข้างนอกเองครับ”
คนที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดเป็นฝ่ายเสนอตัวเมื่อรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการ
ร่างสูงไม่จำเป็นต้องใช้สายตาแบบนั้นมองกันเลย
เพราะคนตัวน้อยพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพอใจ โดยเฉพาะเสียงข้างในที่ร้องออกมาว่าไม่ต้องการให้เขาถูกคุณลุงและคุณป้าตำหนิเอาได้
เป็นเช่นนี้เสมอ
แบคฮยอนยังคงห่วงใยเขามากกว่าตัวเอง
ร่างบางรวบช้อนส้อมไว้เคียงกันบนจาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
เป้าหมายต่อไปคือห้องนั่งเล่นที่อยู่บริเวณทางขวามือ
ทว่าเสียงห้ามของคุณป้าก็ทำให้ขาทั้งสองข้างหยุดการก้าวเดิน
“ไม่มีใครต้องไปไหนทั้งนั้น แบคฮยอนนั่งลงเถอะจ้ะ” คุณเหม่ยอิงบอกลูกสะใภ้ที่มองเธอด้วยแววตาลังเล
แบคฮยอนมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยเมื่อเหลือบไปเห็นสามีของตัวเองยืนจ้องเขม็ง
สุดท้ายก็ยอมนั่งลงที่เดิมเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งคุณป้าที่นับถือเหมือนแม่แท้ๆ
คนหนึ่ง
“ม๊าไม่เคยสอนให้พี่ชานเสียมารยาทใช่ไหมลูก”
หันไปพูดกับใครอีกคนด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยอำนาจดังเช่นทุกครั้งที่บุคคลภายในครอบครัวไม่เชื่อฟัง
ลูกชายคนเล็กกำลังแสดงกิริยาไม่เหมาะสมที่เธอไม่เคยพร่ำสอนเลยสักครั้งในชีวิต เธอไม่เคยสอนให้ลูกเป็นคนเช่นนี้
ไม่เคยสอนให้ใช้สายตาก้าวร้าวข่มเหงผู้อื่น
รู้ว่าชานยอลต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
แต่ร่างบอบบางที่อยู่ตรงหน้าเธอก็ผ่านเรื่องราวต่างๆ
มาหนักหนาสาหัสไม่ต่างกัน
“คุณป้าอย่าดุชานยอลเลยนะครับ ชานยอลพูดถูกต้องทุกอย่าง
แบคเป็นใครก็ไม่รู้…”
“…”
“ที่ก้าวเข้ามาในครอบครัวของคุณลุงคุณป้าผิดเวลา”
“…”
“ไม่สิครับ แบคไม่สมควรเข้ามาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”
แบคฮยอนไม่เคยเห็นเขาผิดเลยสักครั้ง
ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองทั้งสิ้น
ที่เขาว่ากันคงจะจริง
หากรักใครสักคนมากๆ ก็อยากจะเป็นคนที่ปกป้องเขาสุดหัวใจที่มี
แม้ตัวเองจะเจ็บก็คงไม่เป็นไร
“ม๊าไม่เคยเห็นหนูแบคเป็นคนอื่นนะลูก” คุณหญิงเหม่ยอิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ทำไมลูกสะใภ้ของเธอพูดเช่นนี้กันนะ
แบคฮยอนเป็นเด็กจิตใจดีและอ่อนโยนเหมือนกับแม่ของเจ้าตัว เพราะเหตุนี้ใครๆ
ถึงได้รักใคร่มากนักหนา อยากโอบอุ้มหัวใจดวงน้อยๆ
นี้ไม่ให้บอบช้ำไม่ว่าสิ่งใดจะเข้ามาทำร้ายก็ตาม
ยิ่งกับลูกชายคนเล็กที่เธอฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก
คุณหญิงเหม่ยอิงไม่ต้องการให้คนคนนั้นเป็นชานยอล
คนที่พยายามจะทำลายสิ่งมีค่าทว่าแสนเปราะบางดั่งแก้วราคาแพง
“รู้ตัวก็ดีหนิ เมื่อไหร่จะไสหัวไปให้พ้นๆ
จากครอบครัวของฉันสักทีล่ะ”
เอาอีกแล้ว
ถูกเขาตอกหน้ากลับมาด้วยคำพูดแสนเจ็บแสบเช่นนี้อีกแล้ว
แบคฮยอนก็เป็นแค่ส่วนเกินที่เขาไม่ต้องการ
ไม่ว่าจะสี่ปีที่แล้วหรือตอนนี้…
ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อนเลย
“ชานยอล มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” คุณโฮยอลตำหนิเสียงดังหลังจากที่นั่งเงียบมานานและทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป
ท่านจำไม่ได้แล้วว่าชานยอลทำตัวก้าวร้าวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ทุกครั้งที่ดุลูก หัวใจของคนเป็นพ่อก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันเลย แต่ท่านจำเป็นต้องตักเตือนเพื่อไม่ให้ลูกทำเช่นนี้อีก
คุณโฮยอลเป็นอีกหนึ่งคนที่รับรู้ปัญหาของคนทั้งสอง
แม้พยายามจะช่วยเหลือ แต่ผลสุดท้ายเรื่องราวร้ายๆ กลับยิ่งลุกลามไปกันใหญ่
ลูกชายของท่านน่าเห็นใจและหนูแบคฮยอนก็น่าสงสารมากเช่นเดียวกัน
ได้แต่หวังว่าความสัมพันธ์ดีๆ ที่เคยมีให้กันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ถึงแม้ปลายทางข้างหน้าจะเลือนรางก็ตามที
ชานยอลยืนนิ่งนานนับนาที ได้แต่ขบคิดถึงคำพูดของผู้เป็นบิดาและมารดา
เขาจำได้ว่านี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ถูกป๊าขึ้นเสียงใส่เพราะร่างบางตรงหน้า
และเขาก็เกลียดเหลือเกิน
เกลียดคนที่เอาแต่สร้างปัญหาให้ทุกครั้งที่เจอกัน
“ผมขอตัว”
ตัดสินใจหันหลังกลับไปโดยไม่ได้เอ่ยล่ำลาตามมารยาท
หากยังอยู่ตรงนี้ก็มีแต่เขาที่ถูกต่อว่าเพียงคนเดียว
ส่วนคนที่ไม่อยากพบพานนักหนาก็มีแต่คนเข้าข้างคอยเอาใจไม่ห่าง
คงประจบสอพลอคนในครอบครัวของเขาอย่างดีเลยสินะ…
“เดี๋ยวก่อนสิชานยอล”
แบคฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่าไปเอาความกล้าจากที่ไหนมาเสียมากมาย
ถึงได้ถลาเข้าไปประชิดตัวร่างสูงแล้วคว้าข้อมือหนาไว้ในอุ้งมือเล็กๆ เพียงเพื่อหวังว่าจะได้พูดคุยกัน
แม้คำเดียวก็ยังดี
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”
ถูกสะบัดออกเต็มแรงอย่างไม่ใยดี ร่างน้อยๆ เซไปข้างหลังแต่ก็ทรงตัวทันอยู่ในที
ชานยอลตวาดให้เสียขวัญก่อนตวัดสายตามองคนน่ารำคาญด้วยความขุ่นเคือง
รอยยิ้มบางแต้มอยู่บนใบหน้าหวานเมื่อแบคฮยอนได้ใช้สายตาคู่นี้มองใบหน้าที่แสนรักอีกครั้ง
เขาคงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นความสุขของใครคนหนึ่งมากแค่ไหน
ต่อให้เขาจะใจร้ายมากกว่านี้ก็ไม่ทำให้แบคฮยอนเลิกรักเขาได้เลย
“ชานยอลจะไปไหนเหรอ”
“มีสิทธิ์ถามตั้งแต่เมื่อไหร่ จะให้บอกอีกกี่ครั้งว่าไปให้พ้นๆ
หน้าของฉันสักที เพราะฉันไม่ต้องการเห็นหน้านาย!” ชานยอลสะบัดเสียงตอบ
คนประเภทไหนกัน นอกจากจะน่ารังเกียจแล้วยังน่ารำคาญอีกเสียด้วย
“ชานยอลไปทานข้าวกับคุณลุงคุณป้าเถอะนะ เราจะออกไปนั่งข้างนอกแทน
จะไม่อยู่ให้ชานยอลรำคาญอีกแล้ว”
‘จะไม่อยู่ให้รำคาญอีกแล้ว’
แท้จริงแล้วความหมายของมันนั้นยากเกินจะคาดเดา
และคนที่ขลาดเขลาคงไม่มีวันรับรู้เลยว่าเวลาได้เดินเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้ว
ทุกๆ อย่างที่กำลังหมุนเวียนผ่านไปช่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
“ไม่ต้องมายุ่ง! อยากกินนักก็เชิญกินไปเถอะ!”
“แต่…”
“ปล่อย!”
ตุบ!
“อะ…โอ๊ย!”
แรงสะบัดจากคนอารมณ์ร้ายส่งผลให้ร่างเล็กล้มลงกับพื้นไม่เป็นท่า
สิ่งแรกที่รู้สึกคือความชาวาบแล่นริ้วไปทั่วร่างเพียงแค่ต้นแขนกระแทกกับพื้นแข็ง
แบคฮยอนนิ่วหน้าข่มความเจ็บที่คนใจร้ายมอบให้ราวกับตั้งใจ
ตั้งใจให้เจ็บปวดเหมือนที่เขากำลังเผชิญอยู่
ไม่โกรธเลย…
ถึงเขาจะใจร้ายแต่แบคฮยอนก็ไม่เคยโกรธเขาลงสักครั้ง
“ชานทำอะไรน่ะ!”
เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมรีบลุกจากเก้าอี้มาคว้าร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขนด้วยความตกใจ อี้ฝานใช้ฝ่ามือแตะลงบนต้นแขนเล็กแผ่วเบา แต่มันกลับทำให้แบคฮยอนร้องครวญในลำคอเพราะความเจ็บปวด
เขาสบตาน้องชายที่จ้องกลับมาคล้ายคนไร้ความรู้สึก
ชานยอลไม่มีทีท่าตกใจที่เผลอสะบัดแขนใส่ผู้เป็นภรรยา ซ้ำยังเหยียดยิ้มแสดงความสะใจ
“พูดกันดีๆ ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย” อี้ฝานตำหนิน้องชายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“แค่นี้ทำเหมือนจะตาย”
เขายังคงทำร้ายจิตใจคนฟังด้วยคำพูดแสนเจ็บแสบยิ่งกว่าคมมีดที่สามารถบาดลึกถึงขั้วหัวใจ
“ตายแล้วหนูแบค เจ็บไหมคะลูก”
คุณหญิงเหม่ยอิงมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นักหลังจากที่วิ่งมาพยุงลูกสะใภ้ตัวน้อย
เธอพร่ำปลอบไม่หยุดเมื่อแบคฮยอนน้ำตารื้นที่ขอบตา แต่ร่างบางกลับกัดฟันข่มความรู้สึกปวดร้าวที่กำลังเล่นงานในตอนนี้เอาไว้
ต้องการแสดงออกเหมือนคนเข้มแข็ง
ทั้งที่ข้างในอ่อนแอจนเกินจะทนไหว
“เหอะ! ออเซาะกันเข้าไป
ถ้าเจ็บนักก็ตายซะสิ”
“แกหยุดทำตัวก้าวร้าวเดี๋ยวนี้นะ!”
ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ประมุขผู้มีอำนาจสูงสุดของบ้านหลังใหญ่ตวาดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
ท่านลุกขึ้นชี้หน้าลูกชายตัวสูงอย่างโกรธเคือง ชานยอลทำร้ายภรรยาตัวเองไม่พอ
ซ้ำยังเอ่ยประชดประชันทั้งที่แบคฮยอนกำลังเจ็บปวดจากสิ่งที่ชานยอลได้กระทำลงไป
ในเมื่อเตือนแล้วไม่ยอมเชื่อฟัง ท่านก็จะไม่ยอมอ่อนให้แล้วเช่นกัน
“ทำไมผมต้องฟัง! แล้วตอนที่ผมเจ็บปวดล่ะ
มีใครเห็นใจผมบ้างหรือเปล่า” เขาเถียงกลับอย่างไม่ลดละ
หากใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าเขาเป็นลูกอกตัญญูอย่างแน่นอน
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนที่กำลังสำออยอยู่นั่นไม่ใช่หรือไง!
“นั่นมันเป็นเพราะตัวแกเองต่างหาก!”
“ถ้าวันนั้นหมอนั่นไม่ก้าวเข้ามาในบ้านของเรา
ชีวิตของผมก็คงไม่เป็นแบบนี้ ผมคงจะได้แต่งงานกับคนที่ผมรัก
ไม่ใช่คนที่เกลียดเข้ากระดูกดำ!”
สิ้นสุดคำพูดนั้น แบคฮยอนก็รู้สึกจุกในลำคอคล้ายจะขาดอากาศหายใจลงเสียดื้อๆ
ชัดเจนแล้วว่าเขาเกลียดกันมากแค่ไหน
“ก็ดี! จมปลักกับความรักบ้าบอจนมองไม่เห็นค่าของคนที่ทำดีด้วย
แกเลือกทางเดินของตัวเองแล้วนะ อย่าเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปล่ะ
จำคำพูดของป๊าเอาไว้ให้ดี!”
“ผมจะไม่มีวันเสียใจ”
แววตาของเขาช่างเด็ดเดี่ยวเหลือล้น ไม่มีแวววูบไหวเลยสักนิดเดียว
ตอกย้ำความจริงที่ว่าต่อให้แบคฮยอนตายลงตรงหน้า
เขาก็จะไม่มีวันเสียใจ
“นับจากนี้เป็นต้นไป
แกจะต้องย้ายของจากคอนโดกลับไปอยู่ที่บ้านกับหนูแบคฮยอน”
“ผมไม่ทำ”
“ถ้ากล้าขัดคำสั่งป๊าล่ะก็…”
“…”
“แกจะต้องขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัทต่อจากป๊าทันที ปาร์คชานยอล!”
100%
ครบแล้วนะคะ เย้!
เราจะพยายามพิมพ์เรื่อยๆ แล้วมาลงให้อ่านน้า
ตอนนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มเข้าใจในความสัมพันธ์ของชานแบคบ้างแล้ว
มีคนถามว่าทำไมชานต้องเกลียดแบคขนาดนี้ด้วย
อยากบอกว่าพี่ชานเกลียดแบคมากกว่าที่พวกเราคิดซะอีก
แง สงสารแบคจัง ;--:
ทุกๆ อย่างมีที่มาที่ไปและมีเหตุผลของมันค่ะ
เราไม่รู้ว่ามีใครชอบเรื่องแนวนี้ไหมหรือยังไง
แต่เราชอบและอยากแต่งให้จบมากเลยค่ะ สู้ต่อไป ฮึบๆ 55555555
เม้นสักนิดเพื่อให้กำลังใจคนเขียนนะคะ
รัก <3
อัพเดต : 01.04.59
ความคิดเห็น