NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ FANFIC ] TOXIC (รินxลัล) : จบแล้ว

    ลำดับตอนที่ #6 : 6th TOXIC – โซ่ตรวน [rw]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.45K
      110
      12 มี.ค. 66

     กฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ข้อที่หก – โซ่ตรวน

     

    1.

    ญาณอาถรรพ์เอย ...เจ้าเพื่อนเก่า

    ล่อลวงฝันร้าย เติบใหญ่ในกาย

    บัดนี้แม้นไม่มีก็เหมือนมี

    ...

    เมื่อเจ้าไปเหลือเพียงสีขาว

    ภูตผีผลาญเผา เข้ารุมราย

    หล่อนมิวายถูกกลืนทั้งเป็น

    ...

    ปรสิตหยั่งราก กาฝากลี้ลับ

    ไล่ปราดสาดซัด

    กอดรัด จองผลาญ

    ... 

    ปร่าขมในลมหนาว เฝ้าครวญสาป 

    หวิวบาดถึงวิญญาณ

    ตราบชีพสิ้น ชีวาวาย

     

     

     

    2.

    “ถ่ายรูปให้หน่อย”

    “ก็ถ่ายเองสิ”

    เขาตอบเฉยชา

    “ถ่ายให้หน่อยน่า” เสียงหวานเริ่มงอแงประท้วง ยัดโทรศัพท์ใส่มืออีกฝ่ายเสร็จสรรพก็ยืนยิ้มแป้น แก้มสีชมพูยกขึ้น เอียงหน้าในองศาดั่งใจ ดวงตากลมใสยิ้มตามเมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ตั้งฉากโทรศัพท์ขึ้นในอากาศ

    เพียงนับถึงสามในใจก็ลดแขนลงและยื่นกลับมาให้เธอ

    “ขอบคุณค่ะ” ลัลทริมายื่นมือไปรับโทรศัพท์คืน

    ยังไม่ทันได้แตะ เขาก็ชักมือกลับ

    “แค่นี้เองเหรอ”

    ร่างบางมีสีหน้างุนงง  “แค่นี้อะไรของนาย”

    ชั่วครู่เดียวก็หรี่ตาลงเมื่อเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดอยากได้มากกว่าคำขอบคุณ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้น กดริมฝีปากนุ่มนิ่มลงที่ปลายคางคนตัวสูง และผละออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับฉกฉวยของในมือเขามาด้วย

    “จะให้แค่นี้แหละ”

    ไม่มีการทักท้วงเกิดขึ้นหลังจากนั้น

     

     

     

    3.

    ว่ากันว่าโดยปกติแล้วมนุษย์เราจะกลายเป็นบุคคลที่เป็นพิษ ใส่คนอื่นไม่รู้ตัว และในทางตรงกันข้ามจะมีคนบางคนที่เป็นฝ่ายเป็นพิษใส่เราด้วย

    การินก็เช่นกัน

    เขาเป็นพิษร้ายสำหรับเธอ

    มนุษย์พิษ...ผู้เป็นเจ้าของความรักที่เป็นพิษ

    ลัลทริมารู้สึกราวกับหัวใจถูกกรดอ่อนกัดกินทีละน้อย นานนับแรมปี  

    หากเขาไม่เลิกทำแบบนี้เสียที เกรงว่าจะรับพิษบาดแผลไม่ไหวและเหลวสลายไปสักวัน

     

     

     

    4.

    หญิงสาวทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น หายใจหอบถี่ น้ำตาร่วงจากเบ้าหยดหนึ่ง

    เสียงกรีดร้องในที่ดังก้องในหัว และเงาดำพวกนั้นหายไปแล้ว แต่ชุดนักศึกษาเปื้อนเลือดยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ใช่ภาพหลอน

    และเลือดนั้นไม่ใช่ของเธอ

     

    การิน ...แฟนหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น

    ใบหน้าหล่อคมคายแสยะยิ้มอย่างยินดี ไม่คิดแม้เข้ามาปลอบประโลมใด ๆ

    “เธอนี่สมเป็นแม่มดจริง ๆ”

     

     

     

    5.

    “ยัยโง่!

    “ห้ะ หือออ” ร่างเล็กสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นก็เห็นอีกฝ่ายทำหน้าดุใส่

    “มัวแต่แชทกับใครอยู่ได้ เรียกไม่ตอบ”

    “ก็น้องรหัสทักมา ...ว่าแต่นายเรียกฉันทำไมนะ”

    "หยิบตุ๊กตาให้หน่อย" การินปรับสีหน้าไม่พอใจให้เป็นปกติ ชี้ข้ามร่างเธอไป

    หันมองตามก็เห็นตุ๊กตาไม้สลักขนาดเล็กพอดีมือวางอยู่ แทนที่จะได้ของดั่งใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อแฟนสาวคว้าตุ๊กตาแมวดำยื่นใส่มือให้

    "ไม่ตุ๊กตานี้ดิ เอาตุ๊กตารับเคราะห์" เขาโวย

    ลัลทริมายกยิ้มชอบใจเมื่อแหย่อีกฝ่ายได้สำเร็จ

     

     

     

    6.

    เคยอ่านคำคมจากเพจไหนสักเพจหนึ่งนานมาแล้ว บอกไว้ว่า 'พระเจ้าส่งแฟนเก่ามาเพื่อทดสอบว่าเรายังโง่เหมือนเดิมไหม' ในครั้งแรกที่ได้อ่านหญิงสาวเกิดคำถามขึ้นมากมาย แต่เมื่อได้เจอกับตัวเองเข้าก็รู้ทันทีเลยว่าทำไมข้อความถึงว่าไว้แบบนั้น

    อืม... เจ็บแต่จริง

    สมแล้วที่การินเอาแต่เรียกเธอว่ายัยโง่

    แม้แต่เธอยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองนี้ช่างโง่สิ้นดี

    โดยเฉพาะยามเมื่อใบหน้าคมคายขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจร้อนเป่ารดแก้มจนผ่าวไปทั้งหน้า จมูกโด่งเฉียดแทบแนบชิด

    เธอขมวดคิ้ว เบี่ยงหน้าหลบ

    เพราะถูกกำข้อมือไว้ทั้งสองข้างจึงไม่กล้าขยับมากนัก แม้การินไม่ได้จับแน่นมากมายอะไร แต่สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุดเสียที ใจอยากจะผลักเขาออกให้พ้นแล้ววิ่งหนี...คงจะทำได้อยู่หรอกหากเธอมีแรงกายมากพอจะต่อสู้กลับไปบ้าง

    “การิน อย่าทำแบบนี้”

    “กลัวอะไร”

    “กลัวโดนทำอะไรไม่ดีเหมือนที่เคยโดนมั้ง”

    “ฉันดีกับเธอจะตายไป”

    “เป็นบ้าเหรอ! กล้าพูดออกมาได้ยังไง?!

    การินเห็นแววตาไม่ยอมแพ้จ้องกลับมาก็เพียงแต่เลิกคิ้ว ทำท่าแปลกใจอย่างเสแสร้ง วินาทีที่ร่างบอบบางพยายามขยับหนี ทำให้ผิวแก้มขาวแนบจมูกโด่งโดยไม่ตั้งใจ ความร้อนแล้วริ้วผ่านใบหน้า

    เธอผงะ รีบขยับหนี

    ถูกเขารั้งไว้อีก

    “ไหนบอกว่าอยากคุยกันตรง ๆ” เสียงนั้นเนิบนาบ

    ปากแดงอิ่มเม้มเป็นเส้นตรงชั่วครู่ ถ้าตอบตามตรง เธอคงจะพูดไปว่ากลัวเขา "ก็ฉันกลัวตัวเอง ...กลัวจะใจอ่อนลืมว่านายใจร้ายแค่ไหนแล้วยอมตามน้ำทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่รู้ดีว่ามันมี"

    เขาปล่อยเธอเป็นอิสระ ฉวยจังหวะจุมพิตร้อนกดแนบที่มุมปากหญิงสาว

    งับเบาทว่าทำดวงใจสั่นสะท้าน

    ครั้นมองสบเข้ากับดวงตาสีดำลึกลับที่โน้มลงมาในระดับสายตา ริมฝีปากชายหนุ่มคลี่ออกอย่างร้ายกาจ

    ฝ่ามือที่เคยกักขังไล้เรื่อยแผ่วเบาที่แผ่นหลัง ร่างกายเธอนิ่งเป็นท่อนไม้เมื่อถูกกระซิบประโลม ปลายคางเล็กถูกเชยสูงขึ้น ก่อนจะกดสัมผัสลงกลางหน้าผาก วินาทีนั้นทุกอย่างหยุดนิ่ง ความคับเคืองขุ่นข้องหลายประการก็ว่างเปล่าไปในชั่วขณะหนึ่ง

    โอ้...นี่เองสินะที่เขาต้องการ

     

    ลัลทริมา...แกมันโง่

    แกรู้นี่ว่าควรจะผลักเขาออก

     

    แต่มือกลับเกี่ยวเนคไทบนคออีกฝ่าย ดึงเข้ามาใกล้

    หัวใจทรยศสมอง

    คงเป็นเพราะเธอคิดถึงเขาเหลือเกิน

     

     

     

    7.

    การินเดินไปตามทางเดินโรยกรวดในสวน สีหน้าเย็นชาเหมือนดั่งเคย

    ความรู้สึกของการไร้พันธะมันดีเช่นนี้นี่เอง แม้ในหลายครั้งอาจจะเผลอคิดว่ามีใครอีกคนยังอยู่ด้วยด้วยความเคยชิน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องนำมาเป็นสาระสำคัญ

    เรียกแบบขำ ๆ ยกระดับให้ดูยิ่งใหญ่เพื่อหลอกตัวเองหน่อยก็ ...หมาป่าเดียวดาย

    ไม่มีสัมพันธ์ ทำทุกอย่างโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

    นี่แหละตัวเขาในอดีต

    รวมถึงตอนนี้ก็ควรจะเป็นแบบนั้น

     

    เบื้องหน้าเป็นเพิงสังกะสีเล็ก ๆ ริมแม่น้ำไหลเอื่อย

    ชายชราแปลกหน้าสวมกางเกงม่อฮ่อมคาดผ้าขาวม้านั่งเหลากิ่งไม้อยู่บนชานพักด้วยมีดรูปร่างแปลกตา ท่อนบนที่เปลือยผิวเต็มไปด้วยยันต์ขุ่นเบลอ และรอยแผลสากผิว

    แกหันมามองการินที่เดินเข้าไปใกล้ มุมปากยกขึ้น

    มาเรื่องของ หรือมาเรื่องคนล่ะ”

    เขาไม่ตอบ ชายชราพูดต่อ

    “เรื่องคนล่ะสิ...ผู้หญิงด้วย ใช่ไหม” ร่างชราเงยหน้ามองการิน พลันดวงตาหรี่ลง มุมปากยกยิ้มเย้ยเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม “...ข้าล่ะไม่เข้าใจว่าเอ็งจะสนใจแสงสว่างนั่นทำไมนัก”

    คล้ายว่ากำลังถูกอ่านใจ

    “ลองถามคนที่ชลบุรีเอาก็หมดเรื่องแล้ว จะลำบากมาที่นี่ทำไมก็ไม่รู้” การินรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังหมายถึงใคร เขาลอบถอนหายใจออกมา ใครใช้ให้ตาแก่ปากหนักนั่นความลับเยอะนักเล่า หากไม่หลุดปากเอ่ยถึงคนผู้นี้เขาก็คงไม่มาให้เสียเวลา

    “ก็ยอมให้เจออยู่ไม่ใช่รึไง ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังเทศน์ ฉันแค่อยากรู้ว่า—”

    “ถ้าอยากได้มันนักเอ็งก็มาผิดที่แล้ว แต่ถ้าไม่รีบร้อนก็นั่งลงคุยกันก่อนเถอะ ข้ามีของจะให้”

     

     

     

    8.

    กว่าจะจัดการมื้อเช้าเสร็จก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่า

    คิดแล้วมันก็น่าอายนิดหน่อยที่หนุ่มสาวเดินออกมาจากโรงแรมในตอนเช้าด้วยชุดนักศึกษาทั้งคู่แบบนี้ ...ซึ่งว่ากันตามข้อเท็จจริง เหตุการณ์เมื่อคืนก็ไม่ใสสะอาดเท่าไหร่นัก

    รถของการินเคลื่อนตัวออกจากโรงแรม

    มีแต่ความเงียบตลอดทาง

    ลัลทริมาเอาแต่หันหน้ามองนอกหน้าต่าง เหตุการณ์วนเข้าลูปเดียวกับเมื่อคืนเด๊ะ ต่างกันเพียงช่วงเวลา และฉากสองข้างทางก็เท่านั้น

    หญิงสาวเอียงหัวพิงกับกระจกรถ ปิดปากสนิท ไม่ใคร่จะพูดคุยกับคนข้างตัว

    แอร์เย็นฉ่ำในรถชวนให้เข้าสู่นิทราเหลือเกิน แม้ดวงตาหนักอึ้งแต่ลัลทริมาหลับไม่ลงเนื่องจากเสียงแตรรถด้านนอกดังรบกวนอยู่ตลอดเวลา กวนโสตประสาท ราวกับมีใครจับแตรมาเป่าอยู่ข้างหูไม่หยุดจนน่ารำคาญ

    มัน...ผิดปกติ จนหญิงสาวนึกกลัว

    เปลือกตาเปิดขึ้น ถนนเบื้องหน้าที่โล่งว่างไม่มีอะไรผิดปกติ

    หากแต่ลางสังหรณ์บางอย่างกู่ร้องบอกว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง ภายในรถเงียบงันและเส้นทางที่ว่างเปล่า ในที่สุด ก็เห็นเงาของยานพาหนะขนาดมหึมาเคลื่อนเข้ามาตรงปลายหัวโค้งถนน

    หน้ารถคันใหญ่กลับเปิดไฟหน้าสว่างโร่แม้เวลาเช้า 

     

    สว่างจ้าจนลัลทริมาแสบตา

    เธอหลับตาลงด้วยสัญชาติญาณ

     

    ทันใดนั้นแสงรอบตัวดับหายไป

    ความมืดเข้าปกคลุมชั่วพริบตา เบื้องหน้ามีเพียงเงาดำขนาดเทียบเท่ารถบรรทุกและแสงไฟหน้ารถที่ส่องสว่างราวกับเป็นลูกตาที่จับจ้องไม่ยอมกระพริบ พุ่งสวนทางเข้ามาเต็มกำลัง

    เสียงหญิงสาวหวีดร้องดัง

    ชั่ววินาทีเดียวกับที่รถด้านหน้ากำลังเข้าปะทะเตรียมจะบดขยี้รถยนต์ที่เธอนั่งอยู่ให้เละภายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า

     

    เอี๊ยดดดดดดดดด!!!

    ล้อรถครูดกับพื้นถนนดังเสียงจนได้ยินชัดเจนแม้จะอยู่ในตัวรถ เมื่อเงาดำพุ่งเข้าชิดรถยนต์ก็หายวับไป ภาพทั้งหมดก็กลับมาเป็นเวลาเช้าดังเดิม

    การินรีบใช้แขนกั้นตัวเธอไว้ไม่ให้กระแทกคอนโซล เขาก็เห็นไม่ต่างกับที่เธอเห็น และทั้งสองก็ต้องใจหายซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าเป็นโค้งหักศอกที่ติดกับทางลาดกึ่งเหวไม่มีรั้วกั้น หากอดีตแฟนหนุ่มตัดสินใจหักพวงมาลัยหลบสิ่งที่เห็น ในวินาทีนี้คนทั้งคู่คงไม่อยู่ในสภาพหายใจคล่องอย่างนี้แน่แล้ว

    คิ้วเข้มขมวดเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “ยัยโง่ใส่สร้อยรึยัง”

    “สร้อย...”

    “เบี้ยแก้ที่ให้ไปน่ะ! ทำไมไม่ใส่เอาไว้” ชายหนุ่มดูหัวเสีย

    “เกิดอะไรขึ้น...นี่มันเรื่องอะไรกัน”

    “สร้อยไปไหน เอาออกมาใส่เดี๋ยวนี้”

    “ก็บอกมาก่อนได้ไหม ทำไมจู่ ๆ ฉันถึ —”

     

    “ลัลทริมา ฉันบอกให้ใส่สร้อยเดี๋ยวนี้!! อยากตายหรือไง!!”

     

    ลัลทริมาสะดุ้ง ใบหน้าสวยหวานนิ่งอึ้งเมื่อเขาเรียกชื่อเธอออกมา หญิงสาวนั่งตัวแข็งทื่อเพราะตกใจ ปล่อยให้เขาคว้ากระเป๋าบนตักเธอมารื้อดู รู้ตัวอีกทีก็ถูกการินจับสวมสร้อยเบี้ยให้แล้ว

    “ถ้าถอดเธอโดนดีแน่” ชายหนุ่มถลึงตาใส่

    ก่อนจะสั่งให้ร่างบางสวดคาถาปลุกในทันทีด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

    ฉากแบบนี้คุ้นตายิ่งนัก

     

     

     

    9.

    หญิงสาวนั่งพักผ่อนอยู่ในสวนหย่อมของมหาลัย ดวงตาหลับพริ้ม ได้ยินเพลงเดิมที่ดังผ่านสายหูฟังวนมาเป็นรอบที่สามได้

    “ขอนั่งด้วยนะ”

    หญิงสาวแปลกหน้าเดินเข้ามา

    ลัลทริมามองลักษณะแล้วเดาว่าเป็นนักศึกษาจากมหาลัยเดียวกัน

    เธอยิ้มแล้วพยักหน้า เห็นเช่นนั้นหญิงสาวแปลกหน้าจึงหย่อนตัวที่ม้านั่งฝั่งตรงข้าม เธอคนนั้นหยิบสมุดสเก็ตช์ขนาดพอดีมือออกมา วาดรูปพุ่มไม้แถวๆนี้

    ถาดสีเปิดออก พู่กันเล็กจุ่มสี แตะแต้มบนกระดาษ

    “ทำไมถึงระบายสีแดงในใบไม้เหรอ”

    ศิลปินสาวเงยหน้าขึ้นมอง

    ลัลทริมายิ้ม “โทษทีถ้าถามอะไรเสียมารยาท ฉันแค่อยากรู้เท่านั้น อย่าเข้าใจผิดเลยนะ”

    “เพราะมันมีสีแดงน่ะสิ” เธอตอบ

    “ยังไงเหรอ?”

    “แต่ละคนมองภาพไม่เหมือนกัน เหมือนกับที่แต่ละคนมีความรู้สึกต่างกันในการรับรู้เรื่องเดียวกันไง”

    เห็นคนสวยทำหน้าเดี๋ยวเข้าใจเดี๋ยวไม่เข้าใจสลับไปมา จึงเอ่ยถามกลับ

    “งั้น...เธอเห็นมันเป็นสีอะไร”

    “สีเขียวไง ก็แค่สีเขียว”

    “ดีเลย” เธออธิบายต่อ “ถ้าทางศิลปะนั่นเรียกว่าสีของวัตถุ ส่วนสีแดงที่ฉันระบายคือสีที่สะท้อนอยู่ในอากาศรอบ ๆ เธอเคยเรียนวิทยาศาสตร์ไหม วัตถุไม่มีสี แต่แสงสะท้อนให้เราเห็นแบบนั้น”

    “อ้อ เคยเรียนสิ แล้วหมายความว่ายังไงล่ะ”

    “หมายถึง การที่เธอเห็นสีเขียวไม่ได้แปลว่าจริง ๆ มันเป็นสีเขียว และ...การที่เธอไม่เห็นสีแดงก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริงไงล่ะ” แม่สาวศิลปินใจเย็นกับยัยหนูจำไมมากกว่าที่คิด

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ลัลทริมาเคยเดินเข้าไปดูงานในหอศิลป์ของมหาวิทยาลัยอยู่หลายครั้ง ได้ เห็นงานที่ใช้สีบิดเบือนจากภาพที่ตาเห็นมามากมาย แต่ถึงอย่างนั้นเธอคิดว่าตัวเองยังไม่ค่อยเข้าใจฟิลเตอร์พิเศษของเหล่าศิลปินที่กลั่นความเป็นจริงให้เป็นสุนทรียะสักเท่าไหร่

    สาวแปลกหน้ายิ้ม “เธอชื่ออะไร?”

    “ลัล...”

    “แล้วเขาล่ะ?”

    “เขา?”

    หญิงสาวเอียงคอมองไปด้านหลังของลัลทริมา เธอหันมองตามไปก็เห็นว่าในรัศมีร้อยเมตรถัดไปมีร่างหนึ่งยืนมองอยู่ “นั่นไงเขา”

    “การิน... ริมฝีปากรำพันออกมาเบาๆ

    “เขาเป็นคนรู้จักเธอหรือเปล่า ถ้าไม่รู้จักกันก็ระวังตัวไว้หน่อยนะ

    “ห๊ะ?”

    “โทษทีถ้าถามอะไรเสียมารยาท” ประโยคของลัลทริมาถูกย้อนกลับ “อย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิดนะ เมื่อวานที่เธอไปห้องสมุดของมหาลัยก็เห็นเขามองอยู่ห่าง ๆ แบบนี้ เหมือนอยากคุยด้วย ตอนนั้นฉันก็อยู่ที่นั่น...ฉันว่าฉันจำเธอได้นะ”

    “จำฉันได้เหรอ” ลัลทริมาแปลกใจเล็กน้อย

    “เธอน่ารักจะตาย จำไม่ได้สิแปลก เลยคิดเอาว่าหน้าตาแบบเธอคงจะมีคนชอบมากพอตัว” หล่อนว่าต่อ “แต่มาจ้องอย่างนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ เอาเป็นว่าถือว่าฉันได้เตือนก็แล้วกัน”

    ตอนนี้จิตใจลัลทริมาจดจ่ออยู่กับการมีตัวตนของการินในระยะหลายเมตรเสียแล้ว เธอวกกลับไปตอบคำถามก่อนหน้า “ขอบใจนะ...เขาแค่คนรู้จักน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

    หญิงสาวแปลกหน้าฟังคำตอบแล้วพยักหน้าเบา

    เธอก้มหน้าลงแตะปลายพู่กันลงบนหน้ากระดาษต่อให้เสร็จ

    ไม่ได้พูดอะไรต่อ

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++

     

     humble_h :

    ลัลใจอ่อนเกินไป ราว่าสามปี มันมากพอจะเปลี่ยนสาวน้อยขี้อายให้กลายเป็นผู้หญิงที่เอือมระอาในความรักได้ นี่คือเหตุผลที่เราแต่งคาร์ออกมาเป็นแบบนี้ ...อยากให้คาร์มันพังเพราะ toxic lover อยู่แล้ว ทั้งหมดนี่คือการวิเคราะห์คาร์และคาดเดาเอาเองของเรา

    ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่าลัลงี่เง่า ก็ไม่เถียงนะ เพราะเราก็คิดว่าลัลมีส่วนที่งี่เง่าในต้นฉบับอยู่แล้ว เราดึงมันออกมาให้เป็นประโยชน์ จากนิยายภาค2 เล่ม 10 เถียงกับพี่ลัทธเอาแต่ใจมากๆ 

    เล่มแรกๆของนิยายภาค 1 ก็ต่อปากต่อคำเก่ง "ถ้านายไม่ช่วยก็หุบปากไปเลย" น้องว่างี้นะ การินนั่นแหละที่หลังๆทำให้นางอ่อนลง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×