คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : SPECIAL – เล่าเรื่องจิปาถะ + Interview [rw]
S P E C I A L
(untitled)
สวัสดีค่ะทุกคน นี่ลัลเอง
คิดว่าคงเป็นเรื่องน่าสงสัยพอสมควรว่าในห้าปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนไปยังไงบ้าง นอกจากเรื่องที่กลายมาเป็นแฟนกันแล้วก็ยังมีเรื่องยิบย่อยอีกมากมายที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกไป
รวมถึง “ความการิน” ที่เพื่อนร่วมคณะทั้งหลายต้องพบเจอในสังคมมหาลัยด้วย
เอาเป็นว่า จะพยายามเล่าให้ฟังเท่าที่นึกออกแล้วกัน
1. ถูกเพื่อนในรุ่นแบน
โดยปกติเมื่อเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย กิจกรรมที่เลี่ยงได้ยากก็คือกิจกรรมรับน้องใหม่ ประกวดดาวเดือน และชนเชียร์คณะ แต่ถามจริงเถอะ คิดว่าคนอย่างการินจะทำไหม?
ถ้าคุณคิดว่า ไม่
...คุณคิดถูกแล้วค่ะ
สมัยเรียนนิศาพานิชย์การินเคยเมินกิจกรรมโรงเรียนยังไง พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็ทำตัวไม่ต่างกัน หมอนั่นโดดร่มใส่ทุกอีเว้นท์ที่สามารถจะทำได้ วันดีคืนดีอีเว้นท์ไหนที่บังคับเก็บคะแนนการินก็โทรมาฝากเช็คชื่อให้ด้วยซ้ำ วัน ๆ มาเรียนอย่างเดียวสลับกับไปหมกมุ่นกับอะไรที่เขาชอบ
ปีนั้นกิจกรรมรับน้องยังคงเกิดขึ้นตามปกติ เหตุนี้เสียงวิจารณ์จากคนรอบข้างเริ่มมากขึ้นตามลำดับ เมื่อบวกกับบุคลิกการแสดงออกไร้มนุษย์สัมพันธ์ของเจ้าตัวเข้าไป คนที่ไม่คิดอะไรก็เริ่มคิดลบแล้วตีวงห่างออกไป เหลือคนที่ยังคงความรู้สึกไม่อคติได้น้อยแสนน้อย
ทว่าการินก็คือการิน
เขาถือคติอย่าได้แคร์ (ควรเรียกว่าไม่สนใจใครหน้าไหนมากกว่า) และลอยหน้าต่อไป จนกระทั่งเสียงวิจารณ์พวกนั้นมีน้อยลง เพราะทุกคนเริ่มเข้าใจว่าเขาไม่ได้ผิดที่จะทำแบบนั้น
ยังไงก็ตาม เพื่อนร่วมเอกของการินพูดคุยกับเขาบ้างประปราย ...ฉันไม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ระดับไหนต่อกัน แต่เดาว่าน่าจะวางตัวคล้ายๆกับเพื่อนร่วมงานอะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง ชีวิตช่วงมหาลัยการินไม่ได้ถูกแบนเพราะประหลาด แต่ถูกแบนเพราะเขานิสัยไม่ดีต่างหาก
แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเขาชอบใจกับการที่ไม่มีใครยุ่งนะ
.
.
.
อ๊ะ! เพิ่งนึกออกอีกเรื่อง
ในตอนเรียนนิศาพาณิชน์การินดูแปลกแยกเพราะเป็นเพียงคนเดียวที่ท่าทางแปลก ๆ และดูมืดมนเพราะเล่นของ แต่แปลกมากคณะที่ฉันเรียนอยู่มีคนเล่นของหลายคนเลยล่ะ
ไม่ว่าใคร ๆ ก็ตามที่มีความรู้เรื่องศาสตร์อาคม พอจะสามารถประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ได้หรือดูดวงเป็น พวกเขาจะถูกเรียกว่ารวม ๆ ว่า ‘พวกหมอผี’ ไปซะหมด ...อาจจะด้วยเพราะชื่อคณะและเนื้อหาที่เราศึกษาเลยทำให้พอคนที่มาสายนี้กับคนธรรมดาที่อยู่ร่วมกันไม่รู้สึกประหลาดเท่าไหร่
2. สมบัติคณะ
พอหยุดพฤติกรรมและบุคลิกประหลาดอย่างสมัยก่อนได้เขาก็ได้รับความนิยมพอตัว ครั้งหนึ่งที่อ้อนวอนให้มาออกค่ายของคณะสำเร็จ ผลลัพท์คือพูดได้แค่ว่าเรตติ้งในหมู่รุ่นน้องดีมาก ถ้าพูดถึงแค่หน้าตา ขออวดตรงนี้เลยว่าผู้หญิงหลายคนแอบปลาบปลื้มการินอยู่เงียบ ๆ
สำหรับที่นี่ คนที่หน้าตาดีที่ไม่ได้รับการดันให้เป็นดาวเดือนคณะเท่าคนที่กล้าแสดงออก แต่จะถูกเรียกว่าสมบัติคณะแทน และสมบัติคณะอย่างการินเหมือนว่าเป็นของที่มีไว้ใส่ตู้โชว์ ไม่มีใครอยากแตะต้องสักเท่าไหร่ การินไม่ได้สูงเกินเอื้อม แต่ที่ถูกปลาบปลื้มอยู่ห่าง ๆ นั้นมีเหตุผล
ถ้าคุณเห็นของชิ้นหนึ่งอยู่ตรงหน้า รู้ทั้งรู้ว่ามันมีพิษ หยิบแล้วอาจตายโหง ยังจะกล้าจับอีกไหม
“ของบางอย่างมีเอาไว้แค่ดูให้เจริญหูเจริญตาก็พอแล้ว”
(พวกสาวๆพูดว่างั้นนะ...)
นั่นก็จริง
ต่อให้หน้าตาดีแค่ไหน แต่เรื่องนิสัยก็เป็นที่เล่าลือในด้านลบจนไม่มีใครต้อนรับอยู่ดี สาว ๆ นอกคณะอาจจะอิจฉาที่ฉันดูเหมือนสนิทกับเขา กลับกันหากเป็นสาว ๆ ร่วมคณะจะส่งสายตาให้แบบเข้าอกเข้าใจกัน เพราะพวกเรารู้กันดีว่าการินเป็นยังไง เคยมีเพื่อนพูดเอาไว้ว่า ‘ถ้าไม่ใช่ลัลแล้ว การินก็เหวี่ยงใส่หมดนั่นแหละ’
ขนาดเป็นลัลยังโดนเหวี่ยงเลยเพื่อน ๆ จะเอาอะไรกับคนคนนี้มากมาย
ปล. การินในตอนที่อยู่กับแฟนจะมีปฏิสัมพันธ์มากกว่าปกติ การแสดงออกเป็นมิตรมากขึ้น ยิ้มให้เห็นบ้าง (ถึง 90% จะเป็นแสยะยิ้มก็เถอะ) ในสายตาคนอื่นฉันเลยดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่เอาเขาอยู่
...ก็แค่ดูเหมือนเท่านั้นแหละ
3. รูปต้องสาป กับเพจคิ้วท์บอย
วันหนึ่งที่แสนสงบสุขเพื่อนร่วมสาขาคนหนึ่งยื่นโทรศัพท์มาให้ดู ฉันต้องตกใจที่เห็นว่ามันเป็นภาพการินที่ถูกโพสต์ลงในเพจคิ้วท์บอยของมหาลัยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
ถ้าให้เดาฉันคิดว่ามันเป็นภาพในมุมแอบถ่ายจากกล้องโทรศัพท์มือถือใครสักคนในมหาลัย ตากล้องฝีมือไม่เลว ขนาดเป็นรูปแอบถ่ายยังเห็นแล้วรู้สึกเลยว่าหล่อมาก โพสต์ถูกดึงความสนใจจากคนในโซเชียลด้วยเพราะการที่มีแต่ภาพถ่ายเพียงสามภาพ แคปชั่นทิ้งไว้ให้รู้แค่ชื่อคณะและชั้นปี ไม่ได้บอกแม้แต่ชื่อนายแบบ หรือทิ้งวาร์ปไปสู่เฟซบุ๊คหรืออินสตาแกรมอย่างที่เพจพวกนี้มักจะทำ
...ส่วนตัวรู้สึกว่าแอดมินคงอยากแปะวาร์ปแต่หาไม่ได้มากกว่า
ภาพแรกโฟกัสชัดเจนแต่นายแบบตัวสูงกลับไม่มองกล้องสักนิด เขาสวมเสื้อนักศึกษาพับแขนยืนหน้าชั้นหนังสือในหอสมุด หันข้างให้กล้อง ส่วนอีกรูปเห็นหน้าเขาชัดมาก มุมปากยกยิ้มนิดหน่อย มือข้างหนึ่งยกขึ้นสูงทำให้จำได้ว่าเป็นตอนที่เขากำลังแกล้งฉันอยู่พอดี ถ่ายติดด้านหลังฉันด้วยแต่ถูกครอปออกให้เห็นแค่นิดหน่อยทำเอาแอบเจ็บใจจึ้ก ๆ และ...เพิ่งเห็นว่ารูปสุดท้ายดวงตาคมกริบของเขาช้อนขึ้นมองกล้องพอดี ชวนให้คนมองใจสั่นเล่น ๆ ว่ากำลังแอบมองแล้วถูกจับได้อะไรทำนองนั้น
โดยไม่มีใครรู้ฉันแอบกดแชร์โพสต์นั้นจากเพื่อนเข้าในแชทตัวเอง
พอเห็นเขาเดินผ่านมาพอดีฉันก็รีบโบกมือร้องเรียก ถามเขาว่าเห็นโพสต์นี้หรือยัง
การินเดินเข้ามา ด้วยระยะโต๊ะม้านั่งที่ห่างกันทำให้เขาต้องอ้อมมายืนด้านหลัง โน้มหน้าลงมาใกล้จนได้กลิ่นหอมกำยานจาง ๆ มองหน้าจอที่เปิดโพสต์นั้นไว้ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ได้พูดหรือโวยวายอะไรจนฉันรู้สึกสงสัย รู้สึกว่าเขาขมวดคิ้วแต่พอหันไปมองอีกทีก็ไม่เห็นอะไร ฉันคิดไปเองหรือเปล่านะ
บังเอิญที่ปลายนิ้วพลาดแตะจอ ทันใดนั้นกรอบคอมเม้นท์ก็เด้งขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว อ่านแล้วก็รู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะแทบไม่มีอะไรนอกจากคนที่แท็กเพื่อนมาดูกับคนที่เรียกร้องขอวาร์ป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง แต่ก็มีคอมเม้นท์อีกส่วนหนึ่งที่เข้ามาเย้าแหย่แทะโลมด้วยความไม่รู้ ฉันอ่านแล้วอึ้ง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกกับคอมเม้นท์พวกนั้น รู้ตัวเองเลยว่าอาจจะทำสีหน้าแปลกๆออกไป แถมไม่รู้ว่าการินจะคิดยังไงหากไอ้รีพลายบ้าๆพวกนั้นผ่านสายตาเขา
“โห เม้นท์กันจี๊ดมาก ยัยลัลโกรธแล้วเนี่ย” เพื่อนสาวร้องทัก
“หา? ฉันไม่ได้โกรธสักหน่อย”
เจ้าตัวท่าทางไม่เห็นจะเดือดร้อนเท่าไหร่ที่ถูกแอบถ่าย แต่นับถือคนถ่ายจริง ๆ ที่จับภาพเขาออกมาได้ดูดีขนาดนี้ ทั้งที่เห็นหน้าการินอยู่ทุกวันยังอดทึ่งไม่ได้ คนมีรูปเป็นทรัพย์มันดีอย่างนี้นี่เองสินะ
มาพนันกันเถอะว่าฝ่ายนั้นจะโดนฟ้อง หรือจะโดนเล่นของใส่
.......
“แกเอ๊ย วูดูบอยคณะเราดังแล้วล่ะ”
“วู..ดู? เธอหมายถึงการินเหรอ... เรียกอะไรแบบนั้น ฟังดูประหลาดชะมัด”
วันถัดมาเรื่องภาพในเพจก็ยังคงถูกยกมาเป็นประเด็นพูดคุยของสาว ๆ และยอดการเข้าถึงก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเพื่อนคนหนึ่งกดเข้าไปดูโพสต์ในเพจนั้นอีกครั้ง จู่ ๆ สมาร์ทโฟนก็ดับลงไปเอง
เจ้าของโทรศัพท์ทำหน้าเซ็ง
“ไม่ยอมชาร์ตแบตมาจากบ้านล่ะแก มาเดี๋ยวฉันเปิดให้ พอดีแคปเอาไว้ ...เอ๊ะ ไม่นะ” เพื่อนสาวเอ่ยขอดไม่ทันไรโทรศัพท์เธอเองก็ดับลงไปเช่นเดียวกัน เธอร้องโอด
“อะไรกัน ฉันเสียบชาร์จไว้ทั้งคืนเลยนะ”
“แกก็อีกคนเหรอ งั้นดูในโทรศัพท์ฉันก็ได้” เป็นเพื่อนสาวอีกคนที่อาสาช่วย “...เชี่ย ดับอีกแล้วเหรอ”
“เฮ้ย นี่มันไม่ปกติแล้ว!!” พอมีคนหนึ่งในโต๊ะนั้นเริ่มทัก สาว ๆ กลุ่มนั้นร้องวี้ดว้ายคิดว่าตัวเองถูกสาป แต่หลังจากนั้นหลายวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากรูปภาพที่แคปไว้ถูกลบไปอย่างปริศนา
หลังจากนั้นมีข่าวลือแปลก ๆ ไปทั่ว ส่วนคนในรุ่นลือกันว่าถ้าใครเปิดรูปการินที่ถูกแอบถ่ายลงเพจมหาลัยจะโดนของ รูปนั้นจะลบตัวเองทิ้งและทำให้คนมองมีอันเป็นไป ...ถึงจะฟังดูเหมือนดมกาวมาพูดให้ฟัง ...แต่ข่าวลือว่าไว้แบบนี้จริง ๆ นะ
ฉันเซฟรูปไว้เหมือนกันแต่ไม่โดนอะไรเลยบอกพยายามพวกเธอว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า แต่พวกเธอก็ยืนยันเสียงแข็งว่าเจอกันแบบนี้ทุกคน เหตุการณ์นั้นยังทำให้ฉันสงสัยจนถึงทุกวันนี้ แต่อย่างน้อยก็พูดได้เต็มปากว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับญาณอาถรรพ์แน่ ๆ
จะไปเกี่ยวได้ยังไง ตอนนั้นฉันไม่มีมันนี่นา!
4. การินไม่นอกใจ ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิง
โดยเฉพาะผู้หญิงที่การินถึงกับเดินเข้าไปทักก่อน และนั่นทำให้ฉันตระหนักในข้อนี้ได้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหน้าตาหมอนี่เป็นปัญหาจนได้มาเป็นแฟนกัน
จริง ๆ แล้วมันเป็นความผิดซึ่งหน้าแต่เขาก็แค่ทำท่ายักไหล่แล้วก็แบบ ...อ้อ งั้นเหรอ หมายถึงเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ฉันเลยไม่รู้จะด่าอะไร เพราะการินก็แค่ทำในสิ่งที่เขาหลงใหลนักหนา และผู้หญิงพวกนั้นก็แค่เข้าใจผิด
คนอย่างเขาแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครถ้าไม่มีจุดประสงค์เคลือบแฝง
เคยโกรธเขาเรื่องนี้จนทะเลาะกันใหญ่โตเพราะแม่สาวสวยบางคนอยากมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์น่าขนลุกนี้ด้วย ฉันรู้จักการินดี เลยดูออกว่าท่าทีปฏิบัติที่เขามีต่อผู้หญิงพวกนั้นชัดเจนเถรตรงและเว้นระยะห่างมากแค่ไหน และมั่นใจว่าแฟนตัวเองจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง แต่พวกเธอก็ยังจะเข้าข้างตัวเองและส่งสัญญาณกลับมาให้เขารู้ว่าเธอเล่นด้วย ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่โอเคมาก ๆ
ส่วนการินเหรอ
เขาไม่แคร์ ไม่ถือว่าจำเป็นต้องแคร์ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด
หมอนั่นรู้ตัวเองดีว่าทำหรือไม่ได้ทำอะไร ฉะนั้นหากพวกหล่อนหรือฉันที่เป็นแฟนเขาจะมโนสะระตะไปเองก็เป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ และเขาจะถือว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา
เพราะงั้นสิ่งที่การินทำคือแค่เฟดตัวจากคนเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์หลังจากเข้าถึงอาถรรพ์ที่ต้องการได้แล้ว และปล่อยพวกเธอไปเฉย ๆ ถ้าไม่ได้ล้ำเส้นเข้ามา
ส่วนความรู้สึกใคร คนนั้นต้องจัดการ ...นั่นคือพาร์ทที่โหดร้ายสุด
ฉันละไม่เข้าใจพวกหล่อนจริง ๆ คือหนึ่งการินเป็นคนแปลกหน้า และสองถ้ามีใครสักคนเข้ามาหา พยายามคุยด้วย แล้วจู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปทักเรื่องดวงตก มีเงาดำกำลังตาม หรือทักเพราะรู้ว่าบูชาวัตถุมงคลก่อนจะถามชื่อแซ่เสียอีก นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเค้าจะทักทายกันเลยจริงไหม
ต่อให้คนคนนั้นจะหน้าตาดีชนิดฟ้าประทานขนาดไหนก็ควรจะระวังตัวไว้ก่อนไม่ใช่หรือไงกัน!
5. น่าจะชอบผู้หญิงหวานๆ (มั้ง??)
“เพิ่งรู้ว่าการินชอบผู้หญิงเรียบร้อย
“แนทรู้ได้ยังไง”
“ตอนนั้นที่เลิกกับแกไป ฉันเห็นอีตาการินที่นอกมออยู่ครั้งสองครั้ง เห็นสายตาหมอนั่นมองตามผู้หญิงทรงประมาณนี้แล้วก็คิดว่า...เออ น่าจะใช่แหละ”
“เหรอ เขาชอบแบบนั้นเหรอ”
แอบคิดว่ามันก็แปลกดี ...แต่ฟังแล้วไม่ชอบใจนิดหน่อยที่รู้ว่าเขาเองก็มองผู้หญิงคนอื่น สงสัยต้องเผื่อใจไว้ว่าเขาเองก็มีด้านที่เป็นผู้ชายธรรมดามากกว่าที่คิด เรื่องที่ว่าจริง ๆ แล้วการินชอบผู้หญิงแบบไหน แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ การินไม่เคยบอก ไม่เคยแสดงออกว่าสนใจแบบไหนด้วยซ้ำ
“อือ ช่าย แบบคล้าย ๆ ลัลน่ะ”
“เธอพูดแบบนี้ ฉันก็เข้าข้างตัวเองแย่”
คนเริ่มหัวข้อสนทนานิ่งนึก “เออ แต่การินมองแล้วขมวดคิ้วนะ”
“จริงอะ ...งั้นก็เรียกว่าชอบไม่ได้น่ะสิ แล้วหมอนั่นจะมาโกรธแค้นอะไรฉันขนาดนั้น?”
“สงสัยจะหลอนว่าเป็นแกมั้ง ไม่รู้ดิ”
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ตกใจกลัวแย่เหรอ”
“กลัวทำไม วิ่งเข้าใส่แล้ว หล่อขนาดนั้นอะ” แนทยิ้มขำ “ฉันว่าถ้าไม่รักสักนิดคงไม่ติดใจอะไรกับผู้หญิงสไตล์นี้นะ ต่อให้แอบมองเพราะชอบจริง ๆ เขาคงเอาแกเป็นบรรทัดฐานแหละ เชื่อฉันดิ”
แม่คุณก็ชงให้ซะหวานเจี๊ยบ
ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ...แต่มันก็แค่ความเป็นไปได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ล่ะนะ
6. แต่ที่แน่ ๆ เขาเกลียดมินิสเกิร์ตของฉันเสียเหลือเกิน
โดยเฉพาะทรงเอ ทรงสอบ
กระโปรงเข้ารูปเป็นของต้องห้าม ใส่ทีไรโดนหนังยางดีดขาอ่อนทุกที
เคยซื้อกระโปรงทรงเอยาวถึงข้อเท้าแบบผ่าข้างมาใส่ประชด เพื่อนๆที่มอก็บอกว่าใส่แล้วสวย แต่ประชดแล้วแพ้ก็ตรงที่การินเห็นแล้วทำเหมือนไม่เคยเถียงกันมาก่อน ถ้าแววตาเขาไม่แสดงอารมณ์ก็แปลว่าพอใจ
หมอนั่นพูดว่า ‘ดีเลย ชอบมาก’ แต่พอรู้ว่ามันผ่าข้างก็ทำหน้าบึ้งใส่กันอีก
ฉันไม่ได้ใส่ไปอวดใคร แค่อยากใส่ให้ภูมิใจตัวเองสวย ๆ เขาได้ยินแบบนั้นก็รีบต่อรองว่างั้นใส่ให้ยาวลงมาอีกหน่อยจะเป็นไรไป แล้วใช้ตรรกะที่ว่าคนจะสวยมันก็สวยที่เบ้าหน้า ไม่เห็นต้องเปิดขาอ่อนขนาดนี้เลย นาทีที่ได้ยินนั้นก็รู้ว่าตัวเองหน้าง้ำหงิกไปเรียบร้อยแล้ว
.......
“รู้ตัวว่ามีดีอยู่เรื่องเดียว เราไม่เคยเห็นคุณชอบอะไรบนโลกนี้สักอย่างนอกจากเรื่องผี คุณก็สนใจเรื่องของคุณไปดิ ไม่ต้องมาวิจารณ์เราได้มั้ย”
“ชอบนักเหรอโดนผู้ชายมองโลมเลีย?”
“มันก็ไม่ใช่ความผิดของฉันไหม เป็นความผิดของผู้ชายพวกนั้นต่างหากที่มอง ทำไมต้องมาบังคับด้วยว่าใส่อะไรได้หรือไม่ได้”
“เธออ่านใจพวกมันได้แล้วเธอควบคุมใจพวกมันให้คิดแต่เรื่องดี ๆ ได้ด้วยหรือไง รู้ไหมไอ้พวกเวรนั้นพูดถึงผู้หญิงได้ดาร์กกว่าที่เธอคิดเยอะ”
“แต่มันไม่ใช่ความผิดของเสื้อผ้าหรือคนใส่สักหน่อย”
การินถอนหายใจ สายตาดุดันซะไม่กล้าสบตา
“เลิกโลกสวยคิดว่าตัวเองปกติเหมือนคนอื่นสักทียัยงี่เง่า...” เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แล้วกลืนกลับเข้าไป สิ่งที่ออกจากริมฝีปากหยักกลายเป็นการตัดบท
“ช่างแม่งเถอะ ใส่ไรก็ใส่ แล้วพยายามอย่าเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ฉันปกป้องไม่ได้บ่อย ๆ ก็แล้วกัน”
เพราะการินยอมลงให้แบบนั้น ฉันเลยมาคิดทีหลังว่าตัวเองดื้อกับเขามากไปหรือเปล่า รู้สึกผิดจนใส่กระโปรงยาวไปสามวันเจ็ดวันเพราะรู้สึกแย่
แต่...อยากได้มินิสเกิร์ตตัวใหม่จังแฮะ
7. เรื่องสายงานของการินที่ ...เอ่อ
พูดตามตรงเลยนะ บางทีฉันก็รู้สึกว่าการินไม่ได้มีจุดประสงค์โปร่งใสในการมาเรียนสายคณะนี้
ใช่ว่าโบราณวัตถุทุกชิ้นจะเป็นอาถรรพ์วัตถุ แต่เพราะหมอนั่นหลงใหลในเรื่องอาถรรพ์ เลยอาจจะอยากจะคลุกคลีกับโบราณวัตถุ เพิ่มเปอร์เซ็นต์การพบเจอ เผื่อว่าสิ่งนั้นที่เจออาจจะกลายเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่เขาไฝ่หาอยู่
ในส่วนนี้ไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่เมื่อเริ่มสังเกตได้ว่าจากการออกขุดค้นภาคสนาม (ไอ้ที่พวกเขาเรียกว่ากัน fieldwork นั่นแหละ) บางครั้งการินก็จะได้ของแปลก ๆ ติดไม้ติดมือกลับคอนโดมาด้วยและนำมันไปเก็บไว้ในห้องเก็บของอาถรรพ์ของเขา
เรื่องนี้ชักจะทำให้ฉันไม่ค่อยแน่ใจ ฉันคิดว่าภาพลักษณ์เขาดูเหมือนนักล่า มากกว่านักอนุรักษ์เสียอีก
........
“เอาของแบบนี้มาจากไหนเนี่ยการิน?!”
ฉันหันไปจ้องเขาเขม็ง เริ่มคาดโทษ “อย่าบอกนะว่าหยิบกลับมาจากหลุมขุด”
วัตถุทำจากโลหะหน้าตาประหลาดจับฝุ่นดินเขรอะทั้งชิ้นวางอยู่บนโต๊ะ มีกระดาษหนังสือพิมพ์รองอยู่ชั้นหนึ่งอีกที แม้ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหรือไม่ อย่างไร เพียงแต่มองด้วยตาก็รู้ว่าคงจะเก่ามาก
“แบบนี้มัน..ผิดไม่ใช่เหรอ การิน เอาไปคืนเลยนะ”
ถ้าถามว่าผิดอะไร เอ่อ... ผิด เอ่อ ผิดมารยาท ผิดจรรยาบรรณนักอนุรักษ์มั้ง ผิดกฎหมายด้วยไหม ไอ้ที่อยู่บนโต๊ะนั่นเขาได้มายังไง ขโมยมาเหรอ เป็นสมบัติของใคร ของชาติหรือเปล่า?? แต่ที่รู้ ๆ ก็คือฉันมีลางสังหรณ์ว่าการินไม่ควรเก็บมันกลับมาเลย
“มีคนให้มา”
“พูดจริงเหรอ”
“เห้อ ยัยแม่มด ฟังนะ...”
การินกัดฟันกุมขมับ กว่าจะเขาจะหลุดพ้นจากคำถามซักไซ้และอธิบายที่มาที่ไปให้ฉันผู้ตื่นตระหนกเข้าใจว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงได้ก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว
......................................................................................
– Interview –
Q – กลับมาคบกันแล้วรู้สึกยังไงบ้าง?
L : รู้สึกว่าต้องทำใจค่ะ
G : ก็แบบ ได้ของหายคืน
Q – ความรู้สึกครั้งแรกที่กลับมาเจอกันหลังจาก 6 เดือน...
G : ทุกอย่างเหมือนเดิม รู้สึกเหมือนเดิม
L : หลายเดือนที่หายไปคิดว่าเฉยๆแล้ว แต่พอเจอการินก็จบเลย หน้าสั่นเก้าริกเตอร์
Q – ตอนเป็น FWB กันรู้สึกยังไง?
L : ตอนแรกคิดว่าจะโอเค แต่จากนั้นไม่โอเคเลย
G : นาทีแรกก็ไม่โอเค แต่ที่จริงมันโอเคกว่าที่คิดนะ
Q – ตอนเจออีกฝ่ายครั้งแรกเป็นยังไงบ้างพอเทียบกับปัจจุบัน?
G : เมื่อก่อนเธอไม่ดื้อขนาดนี้ กล้าพูดขึ้นเยอะ ไม่รู้จะรำคาญหรือช่างมันดี
L : ติดเชื้อนายมาไง
L : การินดูเป็นคนปกติขึ้นเยอะเลยค่ะ เขาใจเย็นขึ้นนะแต่ก็ร้ายกว่าเดิมเยอะเลย
Q – โมเม้นต์ไหนที่ประทับใจแฟนที่สุด?
G : ต้องตอบจริงเหรอ?
Q – ต้องตอบสิ
G : ตอนโกรธแล้วเอาหัวมาถูไหล่ ก็ฟีลกู้ดแปลกๆดี
L : ตอนที่บ่นขึ้นมาว่าชอบนู่นนี่จังเลย แล้วเขาหามาให้ค่ะ ทั้งที่เรายังไม่ได้บอกเลยว่าจะเอา บางทีก็ต้องรีบเบรคไว้ก่อนที่เขาจะให้อ่ะ เราแค่พูดลอย ๆ เอง
G : แผนการทั้งนั้นใช่ไหม ทำเป็นอ้างว่าพูดลอย ๆ
Q – แล้วโมเม้นต์ไม่น่าประทับใจล่ะ?
L : ตอนที่เขาเป็นตัวของตัวเองจนน่าเจ็บใจ
G : ตอนเธอประชด
Q – คิดยังไงที่ถูกเรียกว่าหมอผีคณะ?
G : ก็เฉย ๆ แต่คนที่รู้เรื่องอาถรรพ์ที่นั่นไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวหรอกนะ
L : (รีบพยักหน้ารัวๆ) ทรงอย่างการินเนี่ยไม่เท่าไหร่ถือว่าปกติเลยนะ มีคนที่ดูน่ากลัวกว่าเขาอีกค่ะ รุ่นพี่หน้าโหด ๆ สักยันต์ซ่อนไว้ใต้เสื้อก็มี
G : รุ่นพี่นั่นคนจริงเร้อ ไม่ใช่ว่าเธอเห็นอยู่คนเดียว?
L : หยุดปั่นทีเถอะการิน
L : แต่จากบรรดาหมอผีในคณะ การินเวอร์ชั่นคลีนตอนนี้ดู “มีอะไร” มากสุดแล้วล่ะ ไม่ใช่เพราะน่าขนลุกนะ แต่เพราะเขาแบบว่า... (ยกมือขึ้นขยับนิ้วทำท่าร่ายมนต์)
G : ฉันมันทำไม
L : นายมัน voodoo geek อะสิ
Q – เดี๋ยวนี้ตามเก็บอาถรรพ์ยังไง?
G : เฉพาะเวลาออกฟิลด์ต่างจังหวัดของเอก เรียนมหาลัยแล้วไม่ค่อยมีเวลาว่าง มันหยุดเรียนพร่ำเพรื่อเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้น่ะ ถ้าเป็นอาถรรพ์ในเมืองไม่ค่อยว่างไปหา จะมีเวลาอีกทีก็ช่วงปีสี่เทอมสุดท้ายเลย
L : แต่การินใช้โควตาขาดเรียนครบทุกวิชาตลอดเลยนะ ...จะว่าไปสมัยเรียนนิศาพาณิชย์ ถ้าไม่ใช่โรงเรียนคุณลุงนรินทร์ก็น่าจะโดนรีไทร์นานแล้วล่ะ
Q – ไปคนเดียวยังงี้ ก็แปลว่าเดี๋ยวนี้เห็นผีแล้วน่ะสิ?
G : ทำนองนั้น ตั้งแต่หลังจากหลุดจากภาพวัฏสงสารเมื่อหลายปีก่อนก็เริ่มเห็นมากขึ้นแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง...ยังต้องอาศัยตัวช่วยอีกเยอะ
Q – งั้นมีเรื่องแปลกๆใกล้ตัว เล่าให้ฟังได้บ้างไหม?
G : จะเอาแปลกขนาดไหน (ทำท่านึก) เอาเรื่องเซอร์ไพรส์นี่ดีกว่า... ฉันเห็นพี่ชายยัยแม่มดมองจากนอกคอนโดทุกครั้ง หลังจากเราทะเลาะกันแบบบ้านแตก จ้องเขม็งเลย สงสัยจะโกรธที่ทำน้องเขาร้องไห้มั้ง
L : จริงรึเปล่า?! ทำไมไม่เห็นบอกกันบ้างเลย (เขย่าตัว)
L : งั้นนายมาพี่ลัทธเข้ามาอยู่ด้วยกันกับเราในคอนโดได้ไหม นะนะๆ
G : ฉันไม่รับสัมภเวสีที่ฉันไม่ได้เลี้ยงเข้าห้อง
Q – เรียนจบแล้วนี่นา ทำอะไรต่อล่ะ?
L : ช่วงนี้ลัลได้งานทำคอนเท้นต์ในนิตยสารหัวนอกสายสังคม-ประวัติศาสตร์มา กำลังพัฒนาสกิลการเขียนค่ะ มีคนติดต่องานที่ปรึกษาสังคมสงเคราะห์มาด้วย แต่ไม่ได้ตอบรับเพราะเราไม่ใช่สายตรง ไม่รู้ว่าเค้าได้คอนแทคมาได้ยังไง (หัวเราะ) เรื่องเรียนต่อยังไม่แน่ใจ กำลังคิดอยู่
Q – แล้วการินล่ะ?
G : เรียนต่อโทในสายงานเดิมนี่แหละ วนเวียนอยู่แถวนี้คงไม่ไปไหนไกล หลังจากนี้ไม่เป็นอาจารย์ก็คงเดินสายขุดค้นโปรเจคส่วนตัวไปเรื่อย ๆ
L : เที่ยวเก่งงง แล้วจะต่อป.เอกด้วยไหม?
G : (มองลัล) ภาระตัวใหญ่มาก ขอคิดดูก่อน
Q – การินโอเคหรือเปล่ากับการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา?
G : ถ้าไม่โอเคแล้วต้องทำยังไง? (ยิ้มน่ากลัว) ที่จริงทำตัวกลมกลืนกับคนทั่วไปมันดีตรงที่ได้อะไรที่ต้องการง่ายกว่า ข้อมูลบางอย่างจะเข้าถึงได้ต้องใช้ภาพลักษณ์ช่วย อย่างงานวิชาการบางฉบับ หรือเหยื่ออาถรรพ์บางคน ถ้าฉันเป็นตัวเองเกินไปพวกนั้นคงจะไม่ยอมคุยง่ายๆ คนเราก็เฟคบุคลิกขึ้นมาสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย
L : อย่างตอนที่นายคุยโทรศัพท์ในคดีเจตภูตสินะ?
G : อือ ประมาณนั้น
Q – นี่ไม่คิดจะแต่งงานกันจริง ๆ ใช่มั้ย?
L : โห...แม้แต่คุณก็ถามเหรอ ยังไม่พร้อมค่ะ
L : อีกอย่างเราว่าการินอยู่กับเด็กไม่ได้อะ เคยฝากการินดูน้องอยู่สองสามวัน พอกลับไปบ้านพี่ภัทโทรมาถามลัลว่าเอาลูกเค้าไปทำอะไรมา น้องเราเราก็เลี้ยงมาดีๆนี่คะ ตานี่ทำเด็กเรียบร้อยซะซนเฮี้ยนเลย ถ้ามีลูกเขาจะเลี้ยงลูกเรายังไงนี่ก็เป็นอีกข้อนึงที่ทำให้หลอนอยู่เหมือนกัน แต่หลักๆแล้วก็คือเราทั้งคู่ยังรักอิสระในชีวิตอยู่มาก เลยคุยกันว่ายังไม่แต่งดีกว่า
Q – โดนคนขี้แกล้งแกล้งอะไรบ้าง?
G : ถามว่ายังไม่โดนอะไรบ้างน่าจะตอบง่ายกว่า (หัวเราะ)
L : ก็จริง...กลั่นแกล้งสารพัด จำได้ว่ามีครั้งนึงเคยโมโหเขาจนร้องไห้คาจานข้าวเลย โกรธจนกินไม่ลงเพราะการินนั่งหัวเราะอยู่ตรงหน้าอะ วันไหนอารมณ์ไม่ดีก็เหมือนฟาดเคราะห์ วันไหนอารมณ์ดีเราก็โดนเขาแกล้งทั้งวัน ปั่นประสาทเก่ง
Q –ทะเลาะแล้วดีกันได้ยังไงอะ?
L : เคยเล่าแล้วไงว่าลัลหนีไปสงบสติคนเดียว เดินกลับมาก็ดีกัน พาไปเลี้ยงขนม
G : มันเป็นแผนหลอกให้เลี้ยงปะ? เริ่มสงสัยแล้วนะว่าทำไมเราถึงทะเลาะกันบ่อย
L : ไม่เกี่ยวเลย พูดขอโทษก็จบแล้วป่าว มัวแต่ลีลา
Q – ลัลโดนตามใจเยอะจริงไหม? ได้ข่าวว่าแฟนใจดี?
G : ไปเอาข่าวมาจากไหน
G : ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองตามใจขนาดนั้น แต่หลายครั้งก็แค่อยากให้อะไรก็แค่ให้เลยเฉยๆ เธอไม่ได้มาขอ เหมือนสนองนี้ดว่าได้เลี้ยงหมาแมว ทำนองนั้น
L : ถ้าเขาใจดีจริงลัลจะนอยด์บ่อยขนาดนี้เหรอคะ? (หัวเราะ) ที่จริงเราโดนสปอยล์เยอะนะ มานึกๆย้อนดูก็รู้สึกว่าทำไมเรื่องนี้เราเอาแต่ใจจัง แต่เขาก็ไม่เห็นว่าอะไรเลย กลับกันมันก็มีบางเรื่องที่เขาเป็นฝ่ายเอาแต่ใจด้วย อันที่จริงการินก็เอาแต่ใจตลอดเวลาอะนะ
Q - อย่างเรื่องบนเตียงงี้เหรอ?
L : อยากได้คำตอบแบบไหนเหรอคะ (หัวเราะเขิน)
L : สังเกตหลายรอบแล้วว่าเขาคงชอบแบบ rough sex แต่บางทีลัลไม่ไหวจริง ๆ กัดแรงมาก ทำเจ็บมาก ไอ้ที่รู้สึกวูบวาบอย่างนั้นมันก็มีแหละ แต่เราไม่ควรร้องไห้หนักขนาดนี้ระหว่างที่นอนกับใครสักคนป่าวอะ ทำไมเขาไม่อ่อนโยนกับเราเลย บางคืนนี่แบบดูจังหวะถอดเสื้อก็รู้เลยว่าพรุ่งนี้ต้องยืนขาสั่นแน่
G : มันรุนแรงขึ้นตามอารมณ์ไง เห็นชอบถามว่ารักเธอไหม เลยมาตอบบนเตียง
L : พูดจาเชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว แย่ๆ
Q – ทะเลาะกันแรงสุดเท่าไหน?
L : ถึงขั้นที่เราร้องไห้จนพูดไม่รู้เรื่องแล้วร่วงลงไปกอดขาเขาไว้อะ ปาของจนห้องเละไปหมดเลย
Q – แล้วแฟนเราใจใจอ่อนบ้างไหม?
L : เขาสะบัดเราออกค่ะ
G : เธอ...พอแล้ว ไม่ต้องพูด
L : สะบัดออกแล้วเปิดประตูเดินออกคอนโดไปเลย โทรไปไม่รับ ไม่ตอบข้อความ ติดต่อไม่ได้ ช่วงนั้นก็คือเราไม่มองหน้ากัน...แค่ปริปากคุยกันยังไม่ได้เลย มันจะจบลงที่เราร้องไห้แล้วเขาก็หนีออกไปตลอด ตอนนั้นใกล้จะเลิกกันอยู่แล้วอะ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เรารู้สึกว่าเราพอแล้วกับคนคนนี้
L : แต่ทะเลาะปกติก็แรงใส่กันหลายแบบนะ ผลัดกันเอาคืนแบบทีใครทีมันน่ะค่ะ เทข้าวทิ้งก็ทำมาแล้ว
Q – จริงเหรออ มันเป็นยังไงอะ?
G : เฮ้ย ถามบ้าอะไรเนี่ย ทำไมต้องยุ่งเรื่องคนอื่นขนาดนี้วะ
L : ทำไมอะไม่เห็นเป็นไรเลย เล่าได้ เธอเล่ามั่งดิ
G : (ทำหน้าไม่อยากพูด) คร่าวๆพอนะ...ทะเลาะกันเสร็จ สักพักเห็นเดินเข้าไปในครัวได้ยินเสียงทำอะไรไม่รู้ เลยเดินตามไปดู ปรากฏว่าเตรียมอาหารเย็นให้กินน่ะสิ ยัยนี่หุงข้าวไปปาดน้ำตาไปเฉยเลย
Q – ขนาดโกรธกันอยู่ยังห่วงปากท้อง ตอนนั้นรู้สึกผิดมั่งปะ?
G : ก็นิดนึง เลยออกไปพักอารมณ์ข้างนอก
L : ท่าทางไม่เห็นจะรู้สึกผิดเลย มื้อนั้นไม่ได้กลับมากินด้วยกันนี่ นายไม่มาง้อด้วย
G : คิดว่าจะมากินทีหลังนะ ใครจะไปรู้ว่าเธอโกรธจนกวาดกับข้าวลงถังขยะไปหมดเลยอะ จะกลับมาคุยด้วยก็ไม่ได้คุย มาถึงก็เจอห้องล็อคเถอะ ตัวเองดันหนีกลับบ้านไปอีก
Q – การินไม่คิดจะทำตัวดี ๆ กับแฟนบ้างเหรอ?
G : พยายามอยู่ นี่ก็สุดแล้วในระดับนึง ถ้าไหวก็ไปต่อ
L : แล้วถ้าไม่ไหวอะ?
G : ก็จะบังคับให้ไหวน่ะแหละ
L : (หันหน้ามองกล้อง) เห็นไหมคะ ไม่ได้ใจดีเลยสักนิด
…………………………………………………………………………..
ว่าด้วยความรักแบบ นาย-ทาส ของตัวละคร
ในส่วนนี้ไม่ได้จะมาอธิบาย BDSM อย่างละเอียด แต่จะเล่าในมุมมองนักเขียนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เชื่อมโยงไปสู่ประเด็นของนี้ ยังไงบ้างนะจ๊ะ ถ้าขี้เกียจอ่านหนีออกได้เลย
มีบทความหนึ่งที่อธิบายว่า BSDM ไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงเรื่อง sex เสมอไป โดยทั่วไปแล้ว BDSM ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้ผู้กระทำเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องตอบสนองความพึงพอใจแก่ฝ่ายถูกกระทำ ด้วยคำอธิบายที่ว่า
“ฝ่ายถูกกระทำ คือคนที่มีความพึงใจและมีความสุขเมื่อถูกผู้อื่นใช้ตามอำเภอใจ
ไม่ว่าจะเป็นการถูกทำให้อาย (Humiliation) อย่างเช่น การถมน้ำลาย การด่าทอ เป็นต้น การถูกทำให้เป็นวัตถุ (Objectification) อย่างเช่น Submissive ถูกสั่งให้เป็นโต๊ะ เก้าอี้ ที่รองขา หรือเป็นเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ การถูกทำร้ายร่างกาย (Torturing) อย่างการถูกเฆี่ยนตี เป็นต้น”
– Wariya I. –
(Getting to Know the "Real" BDSM)
ซึ่ง BDSM แตกออกเป็นกลุ่มแยกย่อยหลากหลายแขนง หนึ่งในนั้นมีความสัมพันธ์เชิง “นายและทาส” อยู่ด้วย หากถามว่าเกี่ยวกันอย่างไร คงอธิบายว่าเป็นสถานะที่ใกล้เคียงกับวิธีการที่การินปฏิบัติต่อลัลทริมาที่เป็นแฟนมากที่สุด ถึงบทความนี้จะโยงเข้าเนื้อเรื่องที่ไม่ใช่ส่วนของ sm โดยตรง แต่ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์เชิงนี้แล้ว ประเด็น sm ก็ชวนให้นึกถึงไม่น้อยเลย
บทบาทคู่รักของการินและลัลทริมามีสิ่งนี้เชื่อมไว้และกลมกลืนกับความรู้สึกรัก มองดูแล้วเหมือนเป็นหมอกทึม ๆ ที่ปกคลุมอยู่ให้เห็นภาพบรรยากาศที่ไม่ชัดเจน ความสัมพันธ์แบบคู่รักกึ่งนาย-ทาสที่หลายๆคนน่าจะสังเกตเห็นได้ หลายๆครั้งที่การิน(Dom) ปฏิบัติตัวต่อลัลทริมา(Sub) เป็นวัตถุ จนในท้ายสุดเธอถูกยัดเยียดความคิดนั้นและกดตัวเองลงให้เป็นวัตถุต่อเขาอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการแสดงออกทางคำพูดที่ดูน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่าการินอดทนกับความสัมพันธ์นี้เพราะมีผลประโยชน์เป็นเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นเพราะญาณอาถรรพ์หรือว่าสัมพันธ์ทางกาย ผสมกับความหวาดระแวงที่สะสมมานานแรมปี
การถูกกระทำเป็นวัตถุเป็นเรื่องน่าปวดใจ
ในด้านความเป็นจริงแล้วการถูกผู้ชายหรือคนที่เรารักไว้ใจเห็นเป็นสิ่งของ แม้ทางคำพูดก็เห็นสมควรว่านี่คือการกดขี่ด้วยทัศนคติ การเอาแต่พร่ำบอกว่าใครสักคนเป็นของเล่นของฉัน ก็คงรู้สึกดีได้เพียงในละครหรือนิยาย แม้จะกล้าวอ้างว่าการินใช้ความหมาย 'ของเล่น' ในบรรทัดฐานส่วนตัวของเขาซึ่งไม่ใช่บรรทัดฐานสังคมก็ตาม เราทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจความหมายของมัน และปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากฝ่ายตรงข้ามอย่างลัลทริมามีรสนิยมที่ตอบโจทย์การกระทำแบบนั้น ซึ่งเราทุกคนก็เห็นอยู่ว่าไม่ใช่
ย้อนกลับมามองในเนื้อเรื่อง official ที่การินเอาแต่พร่ำบอกว่าเธอเป็นสิ่งของของเขา ร่วมกับการกระทำคุกคาม รุนแรงที่หนักหนาเกินจะรับไหว เมื่อเกิดขึ้นในความเป็นจริงก็ไม่ได้ชวนใจเต้นและน่าอภิรมย์เลยสักนิด น่าแปลก...ด้วยคาร์แรคเตอร์ความเป็นตัวเอกทำให้แฟนนักอ่านหลายคนให้อภัย ทั้งที่ตัวละครนี้มี mind set ตกต่ำ ในบางครั้งก็แสดงออกกับคนรอบข้างโดยเฉพาะลัลทริมาด้วยความรุนแรงเกินกว่าจะใช้คำว่าซึนเดเระได้ เพียงแค่การแสดงออกของการินไม่ได้คุกคาม จนสื่อออกมาให้เห็นในแง่ลามกเท่านั้นเอง
กลับมาที่แฟนฟิค
ห้าปีหลังจากนั้นการินไม่พูดคำว่า ‘ของฉัน’ ออกมาเพราะอยู่ในฐานะแฟน (ครั้งแรกที่คนอ่านได้เห็นในฟิคก็ปาเข้าไปจนบทจบแล้ว) แต่เขาก็หลุดออกมาให้เห็นทางการกระทำ บางครั้งลัลทริมาก็สัมผัสได้
ข้อเสียนั้น ถูกทดแทนด้วย ความใจดีของการิน หรือที่ลัลทริมาเรียกบุคลิกนั้นว่า “การินของฉัน” ดูแล้วคล้ายกับการตบรางวัล หรือแสดงอาการโปรดปราน ทั้งในแง่มุมของเจ้าของหรือผู้บังคับบัญชา เป็นทั้งการ pet และ please ในคราวเดียว
เนื่องจากเจ้านายคือพระเจ้าของสัตว์เลี้ยง เชื่อว่าคงไม่มีสัตว์เลี้ยงที่ไหนมีความสุข หรือต้องการให้ตัวมันเองถูกเจ้าของลงโทษ ลัลทริมาที่เป็นมนุษย์เองก็เช่นกัน เธอยังมีด้านปกติเจ็บปวดเมื่อถูกเขาเพิกเฉย ก้าวร้าวใส่ ทำร้ายทางวาจา จิตใจ หรือลงโทษด้วยวิธีใดก็ตาม โดยไม่ต้องอาศัยทรมานทางกาย ผูกมัดชำเราด้วยเรื่องทางเพศ ซึ่งการลงโทษหรือตบรางวัลนั่นเป็นวิธีการที่พ้องกับทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ เช่นเดียวกับการฝึกพฤติกรรมสิ่งมีชีวิตนั่นเอง
เพราะบทบาทของลัลทริมา คือการเป็นคนธรรมดาที่ถูกเทรนด์ให้เป็นมาโซ โดยมุมมองทางจริยธรรมแต่เดิมที่เคยมีขัดกับความรู้สึกยินยอมจากความรัก บวกกับความดื้อในนิสัยส่วนตัว ทำให้ความคิดของลัลทริมาดูย้อนแย้งอย่างน่ารำคาญ พูดง่ายๆก็คือ “เธอไม่ต้องการจะถูกกักขัง” ทว่าเมื่อเขาปล่อยเธอเป็นอิสระลัลทริมากลับไม่สบายใจ จนเกิดแสดงอาการทั้งแพนิค ทั้งดีเพรส เพราะไม่ใช่สภาวะที่คุ้นเคยมาแต่แรก แน่นอนว่าผู้ที่ต้องการความรักไม่สามารถทนต่อการเพิกเฉยได้ สิ่งที่ลัลทริมาจะทำจากนั้นก็คือพร่ำเพ้อและโทษตัวเอง
ยิ่งลัลทริมาได้รับบุคลิกด้านลบ toxic ของการินเท่าไหร่ เธอจะยิ่งต้องการความใจดีของเขาเป็นยารักษา อาการในที่นี้คือผลจากการเสพติด(ความรัก) เห็นได้ชัดว่าแม้จะถูกการินทำร้ายจิตใจแต่ลัลทริมาก็แทบจะคลานเข่ากลับไปหาเขาเมื่อได้รับการเยียวยาอะไรสักอย่าง เธอยอมรับมันไม่ว่าความใจดีนั้นจะมากหรือน้อย และในกรณีใด ๆ ก็ตาม กรณีเสพติดที่กล่าวไปข้างต้นอิงกับเรื่องสารโดพามีนในสมองที่ถูกทดลองกับหนูในแล็ป จากชาพเตอร์ addicted ก่อนหน้านี้ เนื่องจากการินในบทบาทของเจ้านายก็ฟีดเธอด้วยความใจดี (หรือความรัก) มาตลอด ในสภาวะที่ความใจดีนั้นถูกทำเหมือนไม่เคยมีอยู่ นับว่าเป็นการทรมานเธอกลายๆ
ลัลทริมาอาจอยู่ในสถานะมาโซที่ไม่ชอบถูกทรมาน แต่ตีความได้ว่าเธอคงพอใจที่จะถูกกดขี่อยู่ใต้ภาวะที่เขามีอำนาจเหนือตัวเองอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ทราบมาก่อน เพราะรู้ดีว่าการอยู่ในจุดนั้นจะสามารถรับความรักจากเขาได้ด้วย หรือคงทราบแต่ไม่ยอมรับอย่างรุนแรง (การที่เธอไม่ยอมรับก็เป็นผลพวงจากความรู้สึกเกลียดที่มีและความไม่เข้าใจในตัวการิน ในช่วงก่อนจะได้เป็นแฟนกัน) เมื่อถูกทำลายความไว้ใจหลายๆครั้งเข้า กลไกป้องกันตัวทำงานเธอก็ผลักไสเขาออก ในขณะที่ทั้งคู่กลับมาคบกันอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าลัลทริมาจะยังอยู่ใต้อำนาจการินแต่ก็แสดงอาการต่อต้านมากขึ้น อย่างในหลายชาพเตอร์ที่เธอเริ่มแสดงอาการก้าวร้าวทางคำพูด เริ่มร้องหาความยุติธรรมของเธอบ้าง รวมไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จบสถานะกันเธอได้เริ่มต้นตั้งคำถามกับความสัมพันธ์อีกครั้งว่าสำหรับการินแล้วเธอเป็นอะไร
ลัลทริมาอาจเป็นคนเซ็นสิทีฟมากจนใช้อารมณ์ความรู้สึกติดสินใจอะไรหลายอย่าง แม้ในขณะเสียสูญ เธอก็รู้ตัวเองดีและพยายามทำตัวให้มีสติพอจะตระหนักได้ถึงปัญหา แต่อย่างไรก็ไม่อาจจะหลุดพ้นออกมาได้อยู่ดี ส่วนหนึ่งเกิดจากเธอยังเห็นภาพรวมปัญหาที่ไม่กว้างพอ รวมถึงจังหวะแวดล้อมบวกกับตัวแปรอื่น ๆ ที่ทำให้เธอก้าวออกจากจุดนั้นได้ยาก ความโกรธลึก ๆ ในใจที่มีต่อการินในสมัยเรียนนิศาฯ ก็ยิ่งส่งเสริมให้ love-hate relationship รุนแรงขึ้นตามไปด้วย
และยิ่งความรู้สึกนั้นรุนแรงขึ้นมากเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่ลัลทริมาจะได้รับอิสรภาพจากความสัมพันธ์ก็มีมากเท่านั้น
ตราบใดที่การินทำให้ด้าน hate ของลัลทริมามีมากกว่าด้าน love น่ะนะ
ไม่กล้าเคลมว่ามันเป็นจิตวิทยาอะไรขนาดนั้น งั้นเรียกว่าเป็นเกร็ดด้านพฤติกรรมตัวละครแล้วกัน คงพยายามอธิบายทั้งหมดในแง่มุมของเราได้เพียงเท่านี้
สวัสดี
ความคิดเห็น