คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : 23rd TOXIC – คลื่นน้ำ [rw]
กฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ข้อที่ยี่สิบสาม – คลื่นน้ำ
1.
“บางเรื่องก็เหมาะจะอยู่ในความเพ้อฝันเนอะ”
“ถ้าความฝันเป็นจริงจะไม่ดีกว่าเหรอ?”
ลัลทริมาเลิกคิ้ว
ร่างบางนั่งคุยกับหญิงสาวแปลกหน้าที่เริ่มจะคุ้นเคยกันอยู่หน้าคัตเอ้าท์ประจำคณะ ครั้งนี้เส้นผมอีกฝ่ายถูกย้อมเพิ่มจนเป็นสีม่วงชมพูเข้มสดใสดังเดิม ไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่เห็นเธอคนนี้ได้ยังไงในเมื่อย้อมสีผมเด่นซะขนาดนั้น
“แล้วถ้าฝันร้าย เธออยากให้เป็นจริงเหรอ”
คนถูกถามหัวเราะแหะ “...คงไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก”
ลัลทริมาพบว่าบีมเป็นคนหนึ่งที่สามารถสนทนาในหัวข้อไร้สาระด้วยอินเนอร์จริงจังได้โดยไม่มีท่าทางประดักประเดิดเลยแม้แต่นิดเดียว หล่อนพูดมันออกมาหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องที่ใคร ๆ เขาก็คุยกันอยู่แล้ว นั่นแหละที่ทำให้รู้สึกสนุกที่จะคุยด้วยถึงลัลทริมาจะเป็นฝ่ายถูกทำให้ความคิดจนมุมก็ตาม
แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นพูดคุยเรื่องส่วนตัวได้ แต่ลัลทริมาก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยเรื่องเรื่อยเปื่อยไม่เป็นชิ้นอันแบบนี้กับใคร ถ้าไม่ใช่กับบีมแล้วขืนปริปากเพ้อสุ่มสี่สุ่มห้าออกไป ต่อให้เป็นเอม นี หรือแนท พวกนั้นต้องหาว่าเธอสติเพี้ยนแหง
“ที่ควรเป็นแค่ฝัน เพราะเอาเข้าจริงก็ดันรับไม่ได้น่ะสิ”
“ประมาณว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายอ่ะนะ?”
“ถ้าขึ้นไปเห็นอะไรบนพระจันทร์แล้ว เราคงหมดอารมณ์ที่จะฝันถึงพระจันทร์ต่อไป เนี่ยแหละที่ฉันหมายถึง”
“ฟังดูคุ้น ๆ จังแฮะ”
“แหงสิ ข้อความเขียนไว้ข้างตึกนี่” บีมหัวเราะ ชี้ให้ดูที่ผนังหนึ่งที่มีตัวอักษรใหญ่เด่นหราเขียนอยู่บนนั้น
“เอ้อ...จริงด้วย”
“ฉันว่าใช้ได้กับหลายเรื่องเลยนะเนี่ย บางทีปล่อยให้คนในฝันอยู่ในฝันต่อไป อาจจะดีกว่าทำให้ฝันเป็นจริงแล้วได้รู้ว่าเขาไม่ดีก็ได้”
“แล้วถ้ารู้อยู่แล้วแต่แรกว่าเขาไม่ดีล่ะ?”
“นั่นชายในฝันของเธอเหรอ?”
“เปล่า หมายถึงรู้อยู่ก่อนว่าไม่ดี และเอาเข้าจริงก็ไม่ดี ...แต่กลับออกมาไม่ได้”
หญิงสาวผมสีม่วงทำหน้างง หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ก็นั่นน่ะ นรกที่เราเลือกเองนี่นา”
จู่ ๆ ลัลทริมารู้สึกเหมือนโดนแทงใจ
2.
"นายได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เอาเปรียบฉันเกินไปไหมอะ"
"เอาเปรียบเธอ?” เขาทวนถาม คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้น
“ใช่ เอาเปรียบ ทุกวันนี้นายก็ยังใช้สัมผัสที่หกของฉันแทนญาณอาถรรพ์อยู่ไม่ใช่เหรอ...”
“ฉันว่ามันก็แฟร์ออก"
"ไม่มีตรงไหนแฟร์เลย นายได้ทั้งอาถรรพ์ แถมยังได้...ได้ฉันด้วย แล้วฉันล่ะได้อะไรบ้าง?"
เจ้าของใบหน้าคมคายจ้องเธอนิ่ง “ฉันได้เธอแล้วยังไง? ก็ถ้าเธอพอใจกับมันแล้วทำไมถึงไม่แฟร์ ...เธอพูดออกมาตรง ๆ เลยดีกว่าว่าอยากจะเรียกร้องอะไร?"
เขาหงุดหงิด
“ยังไง? จะไม่ให้ยุ่ง ไม่ให้แตะหรือจะเอาอะไรก็ว่ามา ขี้เกียจตีความ”
เรียกร้อง...งั้นเรอะ?
ลัลทริมาขมวดคิ้ว มีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเธอคงได้เล่นบทผู้หญิงงี่เง่าอีกครั้ง เธอเม้มปากแน่น “ก็แบบนี้มัน ...มันไม่โอเคอะ”
"แล้วทำไง เธอจะไปหรือเปล่าล่ะ?"
"ซักวันคงไป" ตอนนั้นเธอแค่ประชด
“อ้อเหรอ”
การินแสยะยิ้ม กดจูบหนักลงที่ข้างขมับแฟนสาว
"งั้นทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน"
บทสนทนาเมื่อหน้าฝนปีก่อนสิ้นสุดลงเท่านี้
เขารู้ว่าเธอไปไหนไม่ได้ไกลนักหรอก
3.
“น้าโรสคะ ที่ตรงนี้มีคนซื้อไปแล้วเหรอ”
“อ้อ น่าจะแบบนั้นมั้งจ๊ะ เห็นประกาศขายตั้งหลายปี มีคนซื้อสักทีนะ” รสวดีมองที่ดินหัวมุมหน้าซอยที่ถูกนั่งร้านเหล็กขึ้นล้อมรอบด้านของโครงสิ่งก่อสร้างแล้วครุ่นคิดขณะที่ขับรถผ่าน “ถ้าไม่ใช่ทำบ้านใหม่ อาจจะเปลี่ยนเป็นร้านค้า ไม่ก็สำนักงานอะไรสักอย่างมั้ง”
“น้าโรสรู้ได้ไง?”
“ก็เขารื้อหลังคา รื้อตัวบ้านออกเหลือแต่โครงเสา น้าเลยคิดว่าเขาอาจจะเสริมชั้นขึ้นไปข้างบนน่ะ”
“เห็นแค่นั้นก็รู้เลยเหรอคะว่าสร้างไปทำอะไร”
“น้าแค่ลองเดาน่ะ...สามชั้นอาจเป็นหอพักก็ได้ แต่ดูจากทำเลแถวนี้แล้วน้าว่าไม่น่าใช่หรอก หรือเรามาพนันกันดี ถ้าน้าทายถูกลัลต้องเลี้ยงข้าวน้านะ”
ลัลทริมามองตามแล้วพยักหน้า “เอางั้นก็ได้ค่ะ”
ดวงตากลมมองลอดเร้นเข้าไปในส่วนลึกของที่ดินรกร้าง
ไม่นึกเฉลียวใจกับเสียงกระซิบแผ่วที่ถูกแตรรถและผู้คนกลบจนหมด
4.
แอร์เย็นเฉียบ เธอนอนอยู่ข้างเขา
"เธอเจาะหูตั้งแต่เมื่อไหร่?" เป็นพวกปากว่ามือถึง การินเอื้อมมือไปสัมผัสจิวสีเงินประดับมุกขาวนวลเม็ดเล็กบนติ่งหูหญิงสาว
"เกือบสองเดือนแล้วมั้ง"
"อยากเจาะทำไมไม่บอก ทำให้ได้ ไม่เห็นต้องไปร้าน"
"บ้าเหรอ ...ใครจะไปรอนายล่ะ" เธอปัดมือเขาออก กระชับผ้าห่มขึ้นปิดเรือนอก ผุดร่างลุกขึ้นนั่งและคว้าเสื้อยืดบนเตียงมาสวม “ฉันจะกลับบ้านนะ เดี๋ยวขออาบน้ำก่อน”
“ตีสองยังต้องขับรถไปส่งอีก เธอไม่คิดว่าฉันเหนื่อยบ้างเหรอ หลับในลงข้างทางทำไงเนี่ย ค้างนี่ดิ”
การินว่าไม่จริงจังนัก คลี่ยิ้มเบาบาง คว้าปลายผมยาวเคลียเนินอกขาวไปจับเล่น คล้ายกับฉวยโอกาส เธออยากจะแย้งแต่พอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ร่างสูงก็จับมั่วซั่วไปทั้งตัวแล้วเธอก็ไม่รู้จะโวยวายอะไรอีก
เห็นอดีตแฟนสาวส่ายหน้า แววตาคมกลับยิ่งยียวน
“งั้นก่อนไป ต่ออีกรอบไหม?” แค่เสี่ยงถาม เผื่อจะโชคดี
“เชื่อใจได้เหรอเนี่ย”
“นิดเดียวเอง”
“แค่ไหนเรียกนิดเดียว” ดวงตากลมหรี่มอง พลางเอ่ยทวนถาม
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มกระซิบตอบ ทำเอาร่างบางต้องกลอกตา หมอนี่บ้าไปแล้ว ไหนเมื่อกี๊ยังทำเป็นประท้วงว่าไม่ห่วงใครเขาเหนื่อยเลยแท้ ๆ ขืนเธอยอมให้ทำนานขนาดนั้น พรุ่งนี้ก็ร่างพังแบบไม่ต้องสืบกันพอดี
อีกอย่างหญิงสาวรู้ตัวว่าไม่ควรอยู่นานไปกว่านี้ ต้องรีบลาจากเมื่อเริ่มรู้สึกวางใจ
“ขี้โม้อะไรขนาดนี้การิน ห้านาทีก็เหลือแหล่แล้ว”
“เออ ดูถูกกันเก่งจริงนะ ห้านาทียังไม่ทันได้ทำอะไรเลย”
มือเอื้อมหยิกแก้มขาวจนเธอร้อยโอดโอย โดนร่างบางทุบแรงๆถึงยอมปล่อยออก
“จะไปอาบน้ำ!” เธอตัดบทเสียงห้วน
นัยน์ตาคู่คมปรากฏความเสียดายอย่างปิดไม่มิด แต่ก็ยอมหยิบผ้าขนหนูในตู้ยื่นให้เธอโดยดี
5.
วันนี้ลัลทริมาเลิกเรียนเร็วกว่าที่คิดเล็กน้อย ด้วยอารมณ์ในขณะนั้นที่ยังไม่อยากรีบกลับบ้านสักเท่าไร จึงแวะเดินเข้าในหอศิลป์ของมหาวิทยาลัย
เธอเห็นร่างหนึ่งคุ้นตายืนอยู่ที่นั่น
“บีม...”
คนถูกเรียกหันมา เผยรอยยิ้ม “ว่าไง”
เสียงนั้นดูร่าเริงน้อยกว่าครั้งก่อน
“ไม่เจอกันสักพักแล้วนะ” หญิงสาวผมสีม่วงเอ่ยทัก เธอหันไปมองงานชิ้นหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ลัลทริมามองตามสายตาเธอไป เกาคางมองรูปภาพบนผืนผ้าใบขนาดกว่าสองเมตรบนผนัง
“ชอบงานชิ้นนี้เหรอ”
“อ้อ เปล่า นี่งานพี่รหัสน่ะ แวะมาดูเฉย ๆ”
เห็นท่าทางเงียบ ๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณางานชิ้นนั้นบ้าง “...แปลกจัง”
“หืม ลัลชอบดูงานแนวนี้ด้วยเหรอ”
“ฉันดูไม่เป็นหรอก นี่ก็ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่” เจ้าของเรืองผมสีอ่อนหัวเราะเบาๆ “มันคือรูปทรงของอะไรน่ะ แหลมเหมือนเจดีย์เลย”
บีมหันกลับมา สีหน้าประหลาดใจ
“เห้ย เก่งมาก! งานนี้เป็นเรื่องศาสนาล่ะ” หล่อนปรบมือ มองด้วยสายตาที่เป็นประกายชื่นชม
“จริงเหรอ” ลัลทริมาเลิกคิ้ว อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจตัวเองนิดหน่อย “ถ้าบีมไม่เฉลยฉันก็ไม่รู้เลยนะเนี่ย รอยเพ้นท์ออกจะเลือนซะขนาดนี้ งั้นขอฟังคำอธิบายจากคนในสายงานหน่อยได้ไหมคะ”
“อ้อ พี่เขาทำเป็นเจดีย์ที่อยู่บนผิวน้ำไง แบบ...ใคร ๆ ก็รู้ว่าเงาในน้ำจะเซนซิทีฟกับภาพสะท้อนถูกไหม โดนใบไม้ร่วงหรือลมพัดก็เป็นรอยกระเพื่อมแล้ว เปรียบว่าศาสนาบ้านเรามันอ่อนแอ โดนบิดเบือนง่ายเหมือนภาพสะท้อนในน้ำแหละ”
“...พอจะเข้าใจละ”
“คือศาสนาอยู่นิ่ง ๆ ของมันด้วยนะ ซิมโบลิคที่เป็นเจดีย์ จะสื่อว่าจริง ๆ แล้วภาพพวกนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่ละลายไปเพราะถูกบิดเบือนเท่านั้น ส่วนคลื่นน้ำที่ละลายภาพมันก็เป็นการบอกเล่าไทม์มิ่งอย่างหนึ่ง เพราะในความเป็นจริงคลื่นน้ำก็ไม่ได้เกิดตลอดเวลา และไม่ได้เกิดขึ้นถ้าไม่มีตัวแปรแวดล้อม”
บีมพูดสะดุดไปนิดหน่อยเมื่อมีกลุ่มเด็กปีหนึ่งคุยกันเสียงดังเดินผ่านไป
“ที่เหลืออาจจะเป็นเรื่องสะท้อนสังคม หรือพูดถึงอดีตที่เฟื่องฟูของศาสนาหรืออะไรก็แล้วแต่ ประเด็นพวกนั้นเป็นเรื่องของผู้ชมที่จะตีความ ส่วนความหมายที่แท้จริงมีแค่ศิลปินเจ้าของงานเท่านั้นจะรู้”
“แล้วเธอล่ะ ตีความมันว่ายังไง”
“ก็คิดว่าที่งานนี้จงใจทำให้ภาพรวมออกมาเป็นกึ่งนามธรรม เพราะถ้าว่ากันตามตรง ศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์สมมติและประกอบสร้างขึ้นมาเอง ให้ค่าความหมาย แถมยังเป็นนามธรรม เดิมทีก็ไม่มีรูปอยู่แล้วแถมยังถูกบิดเบือนอีก ในที่นี้คือการเอาลายสะท้อนน้ำมาพรางตา ผู้ชมเลยสามารถที่จะมองเห็นหรือไม่เห็นรูปทรงของเจดีย์ที่เป็นสัญญะก็ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน นั่นแปลว่าเราจะสามารถขบคิดและตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ทั้งการดำรงอยู่และไม่ดำรงอยู่ของสิ่งนั้นได้ด้วย” สาวผมม่วงยกมือเกาท้ายทอยนิดหน่อย และพูดต่อ “แต่ส่วนตัวถ้ามองแบบไม่คิดอะไรมาก ฉันว่าพี่เขาคงพาดถึงดราม่าวงการสงฆ์ที่เดือด ๆ ช่วงนี้ก็ได้มั้ง เห็นพี่แกวิจารณ์ลงหน้าเฟสไปทีนึงแล้ว”
“อืม พอถอยออกมาดูแล้วเป็นเจดีย์บนน้ำจริงด้วย”
“ถูกต้องแล้ว มองภาพอย่ามองใกล้เกินไป ...เธอต้องลองถอยออกมา ถึงจะรู้ว่าภาพนั้นมันสมบูรณ์หรือบกพร่องอย่างไร นั่นแหละวิธีเสพงานที่ควรจะเป็น” บีมยิ้มบาง ประโยคหลังคล้ายพูดลอย ๆ กับตัวเองเสียมากกว่า “แต่บางทีฉันก็ชอบชะโงกเข้าไปดูใกล้ ๆ นะ ได้สำรวจรายละเอียดที่ศิลปินตั้งใจทำแล้วก็รู้สึกดีไม่แพ้กันเลย”
ลัลทริมาฟังแล้วยืนนิ่งอึดใจหนึ่ง ใบหน้าหวานหันไปหาหญิงสาวผมสีม่วง “เธอทำให้ฉันนึกถึงคำที่เขาพูดกันว่าเวลาแก้ปัญหาไม่ได้ให้ถอยหนึ่งก้าว แล้วจะเห็นอะไรชัดเจนขึ้น”
“อื้อ ก็คงเหมือน ๆ กันแหละ” หญิงสาวว่า
เผลอย่นคิ้วไปชั่วขณะหนึ่งกับการตอบกลับของลัลทริมา เพราะคงไม่มีคนปกติที่ไหนโยงเข้าประเด็นนี้หลังได้ฟังวิธีแนะนำการชมงานในแกลลอรี่ และคิดไปว่าช่วงนี้เธออาจจะมีปัญหาหนักอกหนักใจอะไรสักอย่างอยู่ก็เป็นได้
“มันใช้วิธีการเดียวกันแค่ต่างจุดประสงค์อ่านะ คือพอเป็นเรื่องศิลปะก็ว่าด้วยสุนทรีย์ศาสตร์ไง ทำได้ด้วยการก้าวถอยแบบกายภาพ ส่วนปัญหาชีวิตก็ถอยอีกแบบ”
“ก็จริงแฮะ”
“นี่...ฉันไม่ได้รับจ้างปรึกษาปัญหาชีวิตนะ”
6.
ลัลทริมาวางดอกไม้ลงในพานบูชา
ปักธูปลงในกระถาง
ผุดตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินหลบผู้คนรอบข้างออกมาด้านนอกอุโบสถ ปลายเท้าขยับไปยืนใต้ต้นไทรใหญ่ริมรั้ววัดสีขาวหมอง ทรุดตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้หลบอากาศระอุของไอแดด
ดวงตาเหม่อมองฝ่ามือตัวเอง นึกถึงเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อน
แมวตัวหนึ่ง ...กับคนจำนวนหนึ่งที่ญาณอาถรรพ์พรากไปยังทำให้ลัลทริมาเศร้าไม่หาย ไหนจะความฝันแปลกๆกับรูปร่างของมันที่เธอเห็นเมื่อก่อนหน้านี้อีก
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันกลับมาแล้วจริง ๆ
“จะแก้กรรมต้องเดินไปทางโน้นนะหนู”
จู่ ๆ ร่างหญิงวัยกลางคนหน้าตาผ่องใสในชุดขาวสะอาดเดินมาแตะไหล่ พลางชี้ไปทางเต็นท์ผ้าใบที่ตั้งคลุมลานดินกว้างกลางวัด
ร่างบางชะงัก
ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกแม่ชีท่านนี้ทักเอาแบบนั้น
“เปล่าค่ะ หนูไม่ได้มาแก้กรรม”
“งั้นหรอกเหรอ ฉันคงเข้าใจผิดไป ขอโทษจ้ะ”
หญิงวัยกลางคนมองเธอครู่หนึ่ง
ลัลทริมารีบถามก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไป
“เอ่อ... มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณป้าเห็นอะไรหรือ?”
คำถามนั้นทำให้แม่ชีจ้องหน้าเธอนิ่ง แววตาคู่นั้นเวทนาอย่างน่าประหลาด เธอเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“เอาบุญไว้มาก ๆ นะหนู ยังเหลือเวลาอีกสักพัก ฉันว่าวันนี้กรวดน้ำด้วยก็ดี...”
“...เอ๊ะ”
“ขอโทษจ้ะ ฉันพูดได้เท่านี้แหละ”
7.
เด็กสาวนอนเท้าคางบนเตียงใหญ่
ชุดเครื่องแบบเปรอะละอองเลือดเพิ่มขึ้นโดยหากไม่เพ่งดูคงไม่เห็น เรียวขายกขึ้นตีอากาศอย่างเป็นธรรมชาติทำให้กระโปรงสีดำร่นขึ้นมานิดหน่อย รอยยิ้มสดใสสว่างเจิดจ้าเสียจนน่าขนลุก
“ได้เก็บข้อเสนอของฉันไปคิดบ้างหรือเปล่า”
เพียงกระพริบตา ‘มัน’ ปรากฏตัวให้เขาเห็นอีกครั้งในตอนที่ลัลทริมาเดินเข้าห้องน้ำไป
“ก่อนจะตอบรับ...ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะไม่เล่นตุกติก”
มันกรีดร้องออกมาเป็นเสียงหัวเราะเยาะหยัน "ฉันอยู่ใต้อำนาจของกฎ สัตย์จริงด้วยเงื่อนไข คงลวงใครตามใจชอบเหมือนเธอไม่ได้หรอก"
“ทำไมคิดว่าฉันต้องการความช่วยเหลือจากแกนัก?”
“เห็นเก็บสร้อยไป เลยคิดว่ามีใจให้กันซะอีก” การินหรี่ตามองร่างนั้นอย่างไม่ไว้ใจ
“งั้นแผนคืออะไร?”
มันสบตาเขาไม่กี่วินาทีและหันหน้าหนี ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น จะพูดออกมาเสียงค่อยแบบที่รู้สึกได้ว่าถ้าเจ้าตัวเป็นคนพูดเองก็ต้องดูน่ารักแน่ล่ะ “คิดว่าฉันจะบอกเธอหรือ เราไม่ใช่พวกเดียวกันนี่”
การินฟังแล้วหงุดหงิดแทบทนไม่ได้ ไม่ว่าจังหวะจะโคน น้ำเสียง การพูดจาและสีหน้า ดันเหมือนยัยโง่จนน่าเตะหวดสักสองสามทีให้หายไปพ้นๆหน้าเสีย ดูเหมือนพัฒนาการเลียนแบบจะดีขึ้น
ครั้งนี้คงไม่ได้มาต่อรอง ญาณอาถรรพ์ในรูปลักษณ์ของอดีตแฟนสาวดูอารมณ์ดีมากจนผิดปกติ มือบางยกขึ้นทาบสองข้างแก้มเผยรอยยิ้มร่าของมันดูเหมือนกำลังเยาะเย้ยเขามากกว่า “รู้ไหมว่าศพไม่เท่าไหร่กับแมวหนึ่งตัวมันไม่พอหรอก ฉันหิวจัง ไอรีนวิทยา...หลายร้อยคน ลบสี่ เหลืออีกเท่าไหร่นะ?”
เธอยกนิ้วขึ้นนับ
“คิดจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสลักบิดเบือนกรรมอีกหรือ อยากเป็นจุติญาณขนาดนั้นเชียว” เขาถามหยั่ง น้ำเสียงเย้ยหยัน
“...นั่นเป็นสิ่งที่ฉันทำได้”
“งั้นก็เหลืออีกเยอะเลยนะ เมื่อก่อนฉันเป็นลากยัยนั่นไปหาอาถรรพ์แกเลยได้ผลประโยชน์แท้ๆ กว่าจะรวบรวมดวงวิญญาณจำนวนมหึมาอีกรอบนี่ไหวแน่เร้อ”
ใบหน้าสวยหวานพิมพ์เดียวกับลัลทริมาเงยหน้าขึ้น
สบตาเขาโดยไม่พูดอะไร
เสี้ยววินาทีที่เขาเห็นความว่างเปล่ามืดมิดในดวงตาสีน้ำตาลกลมโต ขนอ่อนทั่วแผ่นหลังพลันพร้อมใจลุกชันขึ้นมาถึงท้ายทอย แรงปะทะจากไอดำเสียดแทรกเข้ากึ่งกลางอก เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น...ก่อนจะแทนที่ด้วยประกายชีวิตชีวาอ่อนหวานอย่างที่เขาได้เห็นเป็นประจำทุกวัน
“การบิดเบือนกรรมแลกกับดูดกลืนวิญญาณช่างไร้ค่าเมื่อมีลัลทริมา”
การินหายใจหอบ ยกมือขึ้นกุมอกตัวเองไว้ ดวงตาคมกริบจ้องญาณอาถรรพ์เขม็ง
ความกลัวหนึ่งผุดขึ้นมา ณ ขณะนั้น และข้อสันนิษฐานที่มีในหัวเริ่มปะติดปะต่อกันจนใกล้สมบูรณ์
มันรู้ว่าเขาก็ต้องการลัลทริมาพอ ๆ กับที่ตัวมันต้องการ ด้วยจุดประสงค์ที่คล้ายคลึงกันอีกต่างหาก มันอยู่กับลัลทริมามานานย่อมรู้ดีว่าเธอขาวสว่างเจิดจ้าเพียงใด และอยากครอบครองเจ้าของร่างที่มีแสงสว่างนั้นจนตัวสั่น
อยากมาก...เสียจนต้องปรากฏตัว สร้างข้อต่อรองกับเขา
เด็กสาวขยับร่างเข้ามาใกล้ ทาบฝ่ามือเย็นเฉียบลงบนไหล่แกร่ง ส่งรอยยิ้มหวาน ร่างกายเขาพลันแข็งทื่อ “เกิดใหม่บ่อย ๆ ไม่ได้สนุกอย่างที่คิดหรอกนะรู้ไหม”
“...”
“น่าจะไม่รู้... และคงไม่มีทางรู้ในเมื่อเกิดมาเพียงครั้งเดียว แต่ดันกระเหี้ยนพยายามเพื่อข้ามผ่านกฎเกณฑ์ที่อยู่เหนือความตายอย่างไม่เจียมกะลา สักวัน...แกจะได้รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่จะสร้างความฉิบหายยังไงได้บ้างเมื่อสายไปแล้ว”
ร่างสูงรู้สึกได้ถึงร่างกายที่สุมด้วยอุณหภูมิร้อนผ่าว หยาดเหงื่อผุดซึมจากก้อนเนื้อกลางอกที่กำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งตอบรับความมืดที่แทรกผ่านเข้ามาเมื่อครู่ พลางพยายามปรับลมหายใจและให้นิ่งเป็นปกติ
“ขอโทษที่พูดอะไรน่ากลัวในร่างนี้ ...มนุษย์ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็งี่เง่าแบบนี้แหละ ถูกไหม”
น้ำเสียงที่ตอบกลับกลั้วหัวเราะคิกคัก การินรู้ว่ามันเป็นการบิดเบือนภาพของดวงจิตเท่านั้นแหละ ความหมายของประโยคนั้นน่ากลัวกว่าเยอะ
...หมายความว่ามันไม่สนใจ และจะไม่ฟัง
หลังจากนี้จะไม่มีการต่อรองอะไรอีกแล้ว
เสียงประตูห้องน้ำเปิด
ญาณอาถรรพ์หายไป เมื่อเจ้าของร่างตัวจริงเดินออกมา
8.
ปลายเดือนตุลาคมอากาศค่อนข้างชื้น เมื่อตอนบ่ายแก่ๆมีฝนตก
อีกไม่นานก็ล่วงเข้าหนึ่งทุ่มของคืนนี้
วันนี้อดีตแฟนหนุ่มไม่ได้มาส่ง เขาช่วยอาจารย์ในเอกจนถึงค่ำ ส่วนลัลทริมาเลิกคาบตอนสี่โมง แวะเดินเตร็ดเตร่ในห้างสรรพสินค้าดังใกล้มหาวิทยาลัยอยู่จนถึงหกโมงกว่าถึงได้กลับ
หญิงสาวเดินผ่านไซต์ก่อสร้างหน้าปากซอยที่มีการตั้งนั่งร้านมาได้สักสองสามวันมานี้ สายตามองอ้อมรั้วสังกะสีที่ถูกกั้นลวกๆ เห็นโครงเหล็กนั่งร้านรางๆที่ถูกความมืดบดบัง
อากาศหนาวเยือก ร่างกายเหมือนถูกดึงให้เดินเข้าใกล้
เสียงกระซิบเชิญชวน
ฝ่ามือดันแผ่นหลัง
ทว่าเธอไม่รู้สึกถึงมัน
ร่างใหญ่โตหนึ่งนั่งหลังคดงออยู่ในความมืด เสียงลมหายใจแหบแห้งเป็นจังหวะเข้าออกลอยมาในอากาศ เพียงร่างนั้นดันแผ่นหลังขึ้นตั้งตรงเล็กน้อยก็ได้ยินเสียงกระดูกข้อลั่นกร๊อบแว่วมา
ปลายเท้าหญิงสาวเคลื่อนเข้าใกล้
ภาพตรงหน้าค่อยๆชัดเจนขึ้น เห็นว่าเป็นหญิงชราขนาดร่างกายใหญ่ว่าคนปกติสักสองเท่าได้ ริมฝีปากสวยแห้งผาก เม้มเข้าหากันแน่น
ร่างนั้นหันมา
ลำคอเหี่ยวย่นบิดผิดรูป
“ออกไป...”
เสียงนั้นทำให้ลัลทริมาขนลุก
++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น