คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1st TOXIC – เรื่องเก่าเก่า [rw]
กฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ข้อที่หนึ่ง – เรื่องเก่าเก่า
0.
ลัลทริมา วิกรานต์วรสริต
จบการศึกษาจากโรงเรียนนิศาพาณิชย์
สถานะ ...อดีตตัวซวย/แม่มด
นักศึกษาปี 4 สาขามานุษยวิทยา
ย่างเข้าอายุ 22 ปี ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
เลิกกับแฟนคนล่าสุดได้ 4 เดือนกว่า
ปัจจุบัน : โสด
1.
ร่างบอบบางเดินเข้าคาเฟ่เล็ก ๆ ใกล้มหาวิทยาลัย ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมของนักศึกษา ไม่ต้องคิดอะไรมากมายนัก เพียงแค่เห็นร่างคุ้นตาของเพื่อนสนิทสมัยเรียนปวช.ด้วยกันก็เดินตรงเข้าไปนั่งด้วยแทบจะทันที
“ไงนี รอนานไหม ฉันเพิ่งเลิกเรียนน่ะ”
“แป๊บเดียวเอง เหลือยัยเอมอีกคนซินะที่ยังไม่มา” มัณฑีนีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสวมชุดลำลองสบายๆ แต่ดูน่ารักสดใสไม่เรียบเนี้ยบ แว่นตาของเธอดูจะหนาขึ้นนิดหน่อยคงเป็นเพราะเรียนหนัก ผมที่เคยมัดเปียอยู่เสมอถูกปล่อยสยายเคลียไหล่ลาด
“พวกเธออุตส่าห์ถ่อมาหาฉันถึงมหาลัยเชียว ที่จริงไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้”
ลัลทริมาพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไร ฉันกับยัยเอมเรียนอยู่ใกล้กันจะเจอเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนลัลซิอยู่ตั้งไกล ไม่ค่อยว่างด้วย แถมมหาลัยพวกเราเปิดเทอมคลาดกันอีก ป่านนี้เลยเพิ่งได้นัดเจอกันพร้อมหน้า” สาวแว่นปัดมือบอกเป็นท่าทางว่าไม่ต้องคิดมาก ในตอนนั้นพนักงานร้านเดินเข้ามาเสิร์ฟเค้กที่มัณฑิณีสั่งไว้พอดี ลัลทริมาเลยถือโอกาสออเดอร์ชาเย็นให้ตัวเองบ้าง
“เมื่อกี๊เอมไลน์มาบอกว่าถึงแล้ว กำลังเดินมาร้านล่ะ”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้
“เรียนเป็นไงบ้างล่ะลัล”
“ก็ดี ช่วงนี้ก็กำลังแก้ธีสิสอยู่เรื่อย ๆ น่ะ ตารางชีวิตไม่ค่อยยุ่งเพราะเป็นเทอมสุดท้ายแล้ว ...นีก็น่าจะคล้าย ๆ กันไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวหลุดหัวเราะเบาๆออกมา คนสวมแว่นก็ยิ้มตอบพลางมือหยิบช้อนตัดที่เค้กไปด้วย
“นั่นก็ใช่ ...เดี๋ยวฉันก็ต้องไปฝึกงานแล้วล่ะ”
“จะจบแล้วยังต้องฝึกอีกเหรอ”
“อื้อ ก็เคยบอกไปแล้วไงว่ามอฉันให้ฝึกทุกเทอมเลย”
2.
เอมิกากระหืดกระหอบมาแต่ไกล พอเห็นเพื่อนสองคนนั่งรอในร้านผ่านกระจกใสก็ชะลอฝีเท้า ผ่อนแรงลงเดิน เธอสวมกางเกงสกินนี่ยีนส์ขาดเป็นริ้วกับต่างหูเงินดูมีรสนิยม ผ่านไปสี่ปีเด็กสาวผมแดงคนนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งมาดสาวเท่ไม่เปลี่ยน ที่แปลกตาคงมีเพียงผมที่ยาวขึ้นจนมัดรวบไว้ด้านหลังได้กระจุกหนึ่ง
“ไงจ๊ะ แม่สาวเท่ของเรา”
“แกมาสายตั้งสิบห้านาที ฉันบอกให้แกออกจากมอมาพร้อมฉันเลยก็ไม่เอา” สาวแว่นเอ็ด
“ก็ฉันเพิ่งเสร็จธุระนี่ รีบมาสุด ๆ แล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะรถติดฉันมาถึงก่อนยัยลัลอีก” เอมิกาเอ่ยทับถมกวนประสาทเล็ก ๆ ซึ่งนั่นทำให้อีกสองคนหลุดขำอารมณ์ดีได้เช่นเคย หลังจากเอมิกาสั่งเครื่องดื่มเป็นคนสุดท้าย สามสาวเพื่อนสนิทก็นั่งคุยกันอย่างออกรส
“จะว่าไปพวกเราก็ไม่ได้มาเจอกันพร้อมหน้าตั้งนานแล้วเนอะ”
“พอขึ้นมหาลัยต่างคนต่างยุ่ง ๆ กันน่ะสิ”
“ลัลเองก็ชีวิตราบรื่นดีใช่ไหม น้าโรสกับน้องเป็นยังไงบ้าง”
“น้าโรสน่ะเหรอ เดี๋ยวนี้น่ะบ้างานมากกว่าเดิมอีก กลายเป็นเจ้าตัวเล็กติดพี่ภัทไปแล้วเนี่ย ...ฉันว่าเดี๋ยวอีกหน่อยต้องติดพ่อจนลืมแม่แหงๆ”
“อ้อ ตอนนี้น้องสามขวบใช่ไหม งั้นปีหน้าก็ได้เข้าโรงเรียนแล้วน่ะสิ?”
“ถ้าให้เข้าตอนสามขวบได้ก็จะให้เข้าล่ะเอม เด็กอะไร...รู้ดีเป็นบ้าเลย”
“ไว้เธอก็ถ่ายรูปน้องลงไอจีให้เห็นหน้าบ่อย ๆ สิลัล หน้าตาน่ารักเชียว ท่าจะโตมาหล่อเหมือนพ่อเขา” พอพูดถึงคนเป็นพ่อ ก็นึกถึงเรื่องราวของภัทระขึ้นมาได้ “จะว่าไป ฉันเพิ่งเห็น ad สินค้าของพี่ภัทที่โปรโมททางเน็ตอะ สโลแกนเค้านอกจากน่าซื้อแล้วยังโพสิทีฟอีก สมแล้วที่เคยเป็นไลฟ์โค้ช”
“ฉันก็เห็นเหมือนกัน กระแสในโซเชี่ยลไม่เลวเลยนะ หวังว่ากระแสรีวิวจะดีด้วย”
ลัลทริมายิ้มกว้าง
“ขอบใจพวกเธอมากนะ ฉันจะเก็บไปบอกพี่ภัทให้ครบทุกคำเลย”
“แล้ว ‘หมอนั่น’ ล่ะเป็นไงบ้าง” มัณฑินีเอ่ยถามถึงใครอีกคนพลางกินเค้กคำสุดท้ายในจานไปด้วย ลัลทริมาได้ยินเสียงเธอพึมพำว่าร้านนี้อร่อยดี ได้ยินแบบนั้นเธอก็เงียบไป ทำท่าไม่เข้าใจคำถาม
“หมอนั่นไหน?”
สาวแว่นเห็นแบบนั้นก็เริ่มลังเลว่าจะถามต่อดีหรือไม่ กลายเป็นเอมิกาที่ช่วยขยายความคำถามนั้นให้แทน “ก็ตาบ้านั่น... คุณชายจิตหลุดน่ะ ฉันไม่เห็นเธอพูดถึงเขามาสักพักแล้วนะ”
ลัลทริมาพลันหน้านิ่ง รอยยิ้มที่ริมฝีปากสีสดเลือนหายและเม้มเข้าหากันครู่หนึ่ง ชาเย็นในแก้วพลาสติกถูกคนด้วยหลอดไปเรื่อย ๆ ดวงตากลมโตหลุบลงก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน
“ไม่รู้สิ เรียนคนละสาขาเลยไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ คงกำลังยุ่งละมั้ง ...ว่าแต่ช่วงนี้เอมเป็นไงบ้างล่ะ?”
3.
วันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนในรั้วนิศาพาณิชย์มาถึงหลังจากรอคอยมานาน ลัลทริมาก้าวเข้านั่งในห้องโถงขนาดใหญ่ เห็นผู้อำนวยการนั่งรอเตรียมตัวขึ้นกล่าวคำอำลาอยู่ข้างเวที กระทั่งนักเรียนชั้นปีที่สามทยอยเข้ามานั่งในห้องประชุมจนเก้าอี้เต็ม ช่วงเวลากล่าวถ้อยคำอวยพรต่อนักเรียนชั้นปีที่สามจากผู้อำนวยการเป็นไปอย่างราบเรียบและจบลงภายในเวลาไม่นานนัก
บรรยากาศในห้องโถงเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาลัย น้ำตาจากสายสัมพันธ์ร่วมสามปีที่แต่ละคนได้สร้างด้วยกันเอาไว้ หรือแม้แต่ฉากนักเรียนหญิงชายถูกสารภาพรักในวันสุดท้ายอย่างในการ์ตูนสาวน้อย ลัลทริมาก็ได้หันไปเห็นเต็มตา น่าทึ่งเสียจริง
หนึ่งปีเต็มที่ปราศจากญาณอาถรรพ์ ไม่มีการกลั่นแกล้ง และการถูกก่อกวนจาก ‘ใครบางคน’ นับว่าเป็นการตายแล้วเกิดใหม่โดยสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตาม ชีวิตเด็กสาวปกติที่ลัลทริมาไฝ่หา ถึงจะไม่มีใครเข้ามาทำร้ายโต้ง ๆ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะยินดีเป็นเพื่อนเธอ เด็กสาวยังคงเป็นอากาศธาตุสำหรับพวกเขาบางคน ความหวาดหวั่น รังเกียจ เย็นชา แสดงชัดเจนอยู่ภายในดวงตาและหลายครั้งสีหน้าท่าทางพวกนั้นก็ทำเธออึดอัด แต่ไม่อาจทำอะไรได้ ทำให้ต้องทนอยู่แบบนั้นจนถึงวันจบการศึกษา
สายตาบางคู่ที่เหลือบมองมาทำให้รู้ตัวว่าการไม่ร้องไห้ซาบซึ้งในวันปัจฉิมนิเทศก็เป็นตัวประหลาดได้ แม้ไม่มีญาณอาถรรพ์ก็ตาม ...อันที่จริงก็พูดได้ว่าพวกเขาต่างมองเธอเป็นตัวประหลาดตลอดเวลา เด็กสาวรับรองได้เลย ถ้าเกิดได้ยินเสียงในใจพวกเขามันจะต้องเป็น
‘ในที่สุดฉันก็รอดจากโรงเรียนบ้า ๆ ที่มียัยแม่มดซะที’ หรือไม่ก็ ‘ไงล่ะ ยืนเงียบเพราะฆ่าใครไม่ได้แล้วล่ะสินังฆาตกร’ อะไรทำนองนี้
ทว่ารู้สึกเหมือนขาดบางอย่างไปเมื่อไร้วี่แววของ ‘ใครบางคน’ ที่ว่า
แม้แต่วันจบการศึกษานายก็ไม่มา...
ตอนนี้ทำอะไรอยู่เหรอ การิน
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ในตอนที่ลัลทริมาหันหลังกำลังจะเดินออกจากห้องโถงเธอกลับเห็นเขาอยู่ใกล้ประตูทางออกพอดี การินอยู่ในชุดสูทดำคลุมทับเครื่องแบบนักเรียนเต็มยศดูแปลกตา ถึงแม้นาทีนี้เธอจะไร้ประโยชน์ในสายตาเขาแล้วแต่ก็เอาเถอะ
...ไหน ๆ วันสุดท้ายของที่นี่แล้ว เข้าไปทักสักหน่อยคงไม่แย่จนเกินไป
อย่างน้อยก็ในฐานะคนรู้จักกัน
เด็กสาวก้าวเท้าเข้าใกล้ร่างสูงโปร่งที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ สีหน้าซังกะตายของเขาบ่งบอกว่าอยากเดินออกจากที่นี่เต็มทน เธอมองมันอย่างนึกขำแล้วเอ่ยทัก
“ฉันนึกว่านายจะไม่มาแล้วซะอีก”
เด็กหนุ่มหันมามองเธอสีหน้าราบเรียบ คำพูดเสียดสีถูกเปล่งออกมาเช่นทุกครั้ง “ฉันก็นึกว่าใครบางคนจะทำให้งานสนุกกว่านี้เหมือนกัน”
“อย่าทำกวนประสาทไปหน่อยเลยการิน ฉันไม่มีพลังพิเศษนั่นมาเป็นปีแล้วนะ”
ลัลทริมาอวดดีเชิดหน้าใส่ ทว่าเด็กหนุ่มกลับจ้องเธอนิ่งเสียจนเธอนึกกลัว พลันมือแกร่งคว้ามือเธอไปจับไว้ไม่ทันตั้งตัว เด็กสาวสะดุ้ง ใจกระตุกวาบเมื่อปลายนิ้วร้อนสอดประสานจนแนบแน่น
“...การิน?”
เธอพยายามดึงมือออกแต่อีกฝ่ายก็จับไว้แน่นเหลือเกิน
“ทำอะไรของนายน่ะ ปล่อยเถอะ”
“ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงเหรอ?”
“ไม่... ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”
แม้จะรู้สึกแปลกๆต่อคำถามนั้นแต่เธอไม่อยากคิดในแง่ลบว่ามันจะเป็นลางอะไรสักอย่าง ถ้าให้เด็กสาวตอบตามตรงก็คงจะมีแค่รู้สึกหวาดผวากับคนตรงหน้าเท่านั้นแหละ ทางการินได้ฟังคำตอบก็แสยะยิ้ม
“หึ ไม่รู้สึกอะไรก็ดี ...แต่ก็ไม่แน่หรอก”
เด็กสาวสะบัดมืดเขาจนหลุดออกแล้วหันหลังเดินหนี ขยายระยะของแต่ละก้าวให้ยาวเท่าที่เป็นไปได้ ออกห่างจากเสียงทุ้มที่ไล่หลังมาจนประโยคนั้นแทรกกับอากาศจางหายไป
“ถ้าคิดจะหนีให้พ้น ก็ไปให้ไกลล่ะ ไม่อย่างนั้น....”
หลังจากนี้ไม่ว่าเธอกับเขาจะเป็นเพื่อน หรือแค่คนแปลกหน้าต่อกันก็ช่างปะไร เพราะเธอไม่เกี่ยวข้องกับอาถรรพ์อีกต่อไปแล้ว
ทุก อย่างมันจบแล้ว ....มันจบแล้ว
ลัลทริมาได้แต่บอกตัวเองเข่นนั้น
4.
“ตั้งใจสอบเต็มที่นะลัล น้าเชื่อว่าหนูทำได้”
รสวดีคลี่ยิ้มอ่อนโยน วางฝ่ามือลงบนศีรษะทุยได้รูปของหลานสาวแล้วลูบเบาๆ ข้างกายรสวดีมีภัทระยืนเคียงกันอยู่ เขายื่นห่อพลาสติกขนาดกะทัดรัดมาให้ตรงหน้า เพ่งดูก็พบว่าภายในเป็นยันต์กระดาษจีนสีแดงแผ่นเล็กที่ถูกพับทบไว้อย่างเรียบร้อย
“พี่ให้คนรู้จักเขียนฮู้นำโชคให้ ถึงการสอบจะต้องพึ่งตัวเองให้มาก ๆ แต่นี่อาจจะช่วยให้ลัลหายตื่นเต้นได้บ้าง เก็บเครื่องรางไว้ดี ๆ นะครับ” ภัทระที่ไม่เชื่อเรื่องลึกลับมาก่อน ยามนี้โอนอ่อนและปรับตัวได้ดีหลังจากเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในอดีต และปัจจุบันชายหนุ่มเองไม่ได้เป็นไลฟ์โค้ชชื่อดังเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทุกวันนี้ภัทระเป็นที่รู้จักในฐานะคลื่นลูกใหม่ในวงการธุรกิจ
ราว ๆ 2 ปีก่อน หลังจากที่เหตุการณ์สูญเสียญาณอาถรรพ์ของลัลทริมาจบลงไปได้สักพัก งานแต่งงานของรสวดีและภัทระผู้เป็นแฟนหนุ่มก็เกิดขึ้น เด็กสาวได้ใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดาสมดั่งใจ ทว่าเป็นคนใกล้ตัวอย่างน้าเขยของเธอดันประสบปัญหาชีวิตเข้าอย่างจัง
ลัลทริมาตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นข่าวจากสำนักสื่อใหญ่หลายเจ้าว่าภัทระผิดใจอย่างรุนแรงกับชายชื่อทัดเทพ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานและผู้ถือหุ้นหลักของบริษัท ‘Moving Forward’
สถานการณ์ที่ข่าวในบริษัทเริ่มบานปลายออกสู่สังคม ทำให้ภัทระเลือกที่จะถอนตัวออกไปเอง ในเวลานั้นภัทระได้พื้นที่จากสื่อมากมาย แต่ก็เสียความน่าเชื่อถือจากสาธารณะไปด้วย การตัดสินใจครั้งนั้นยังร่วมไปถึงจบอาชีพไลฟ์โค้ชของเขากลาย ๆ เช่นเดียวกันกับ Moving Forward เมื่อขาดภัทระผู้เป็นดั่งรากฐานไป เพียงเดือนกว่า ๆ ก็มีข่าวว่าบริษัทต้องปิดตัวลงตามไปด้วยในท้ายที่สุด
ทว่าในโชคร้ายยังมีโชคดี และคำว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามก็ยังใช้ได้
ชายหนุ่มต้องชดใช้หนี้สินในจำนวนไม่มากนัก ยามวิกฤตินั้นผ่านพ้นไป เขาได้นำเงินเก็บส่วนหนึ่งจากที่มีเหลืออยู่มากพอมาลงทุนร่วมกับรสวดีที่เป็นภรรยา และรับบรรยายตามมหาวิทยาลัยเป็นรายได้เสริม ภายในสองปีนับจากเวลานั้น เมื่อชีวิตและการเงินเริ่มอยู่ตัวทั้งสองคนตัดสินใจมีลูกด้วยกันคนหนึ่งในตอนที่ลัลทริมาอายุได้สิบแปดพอดี
ภัทระเป็นพ่อที่ดี รสวดีก็เป็นแม่ที่น่ารัก และญาติผู้น้องแบเบาะของเธอก็น่าเอ็นดูเหลือเกิน ภาพนั้นได้กลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของเด็กสาว และรู้สึกว่าไม่มีคำไหนจะเหมาะสมไปกว่า ‘ครอบครัวแสนสุข’ อีกแล้ว ลัลทริมารู้สึกดีใจมากจริง ๆ
เด็กสาวมองห่อกระดาษเปื้อนหมึกดำตรงหน้า คลี่ยิ้มกับความใส่ใจของเขา
เธอใช้สองมือรับกระดาษนั้นไว้แล้วเก็บลงกระเป๋ากระโปรง เอ่ยขอบคุณก่อนจะบอกลาทั้งสองคนก่อนจะหันหลังเผชิญหน้ากับอาคารสูงใหญ่ สองเท้าก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่ถูกใช้เป็นสนามสอบด้วยใจกังวล
5.
สองเดือนผ่านไปจากวันสอบ
วันนี้แหละชี้ชะตา เด็กสาวกดเข้าเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเป็นรอบที่สามเพื่อรีเฟรชหน้าเว็บ ตรวจดูผลคะแนนสอบ โชคดีที่ครั้งนี้เข้าได้เสียที ผลสอบออกมาในรูปแบบของการเรียงลำดับคะแนนที่มากที่สุด แล้วแจงชื่อสาขาที่ลงสมัครสอบไว้ด้านหลังช่องคะแนน
กดปุ่ม F3 ช่องค้นหาแถบเล็กปรากฏขึ้นมาแล้วจึงพิมพ์ชื่อตัวเองลงไป
ดวงตากลมโตกวาดมองเลขพวกนั้นแล้วถอนหายใจเฮือก
คุณพระคุณเจ้า... สอบติดแล้ว
เมื่อเด็กสาวปิดแถบค้นหา หน้าเอกสารในเบราเซอร์ก็เด้งขึ้นมาที่ด้านบนสุดโดยอัตโนมัติ
ทว่านั่นแหละที่ทำให้เธอแทบกลั้นใจ หากไม่ใช่เพราะชื่อที่เธอคุ้นเคยกับมันมาตลอดสามปีถูกวางไว้เป็นรายชื่อแรกของหน้าเอกสาร ชื่อนี้ที่เธอรู้จักดีเหลือเกิน แม้ผลสอบจะบอกว่าจะเป็นคนละสาขาวิชากันก็ตาม
เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามุมปากตัวเองขยับยกขึ้น
รอต่อไปอีกไม่นานนัก วันมอบตัวก็มาถึง เด็กสาวก้าวเข้ามาในอาคารเรียนประจำคณะของมหาวิทยาลัย เธอไม่รู้หรอกว่าต้องเดินไปที่ไหน จนกระทั่งมีรุ่นพี่สะกิดเรียกและบอกให้เธอเดินตามเด็กนักเรียนเหล่านั้นที่ทยอยเดินตามในทิศทางเดียวกัน
โชคร้ายที่ลัลทริมาดันหูดีได้ยินคนข้างๆคุยกันว่าต้องไปกรอกเอกสารใต้อาคารเสียก่อน สองขาจึงก้าวเปลี่ยนทิศไปกะทันหัน ทันใดนั้นร่างกายบอบบางชนกับแผ่นหลังกว้างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าคนหนึ่งพอดี ทำเอาเซถอยก้าวไปด้านหลังเล็กน้อย
ปากที่กำลังเอ่ยคำขอโทษหยุดลงเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเจ้าของแผ่นหลังที่เธอคุ้นเคยดี
การิน?
ฝ่ายนั้นหันมาปรายมองด้วยแววตาเรียบนิ่งจนดูเฉยชา
...ไม่ใช่สิ
แทบไร้เยื่อใยเลยก็ว่าได้ ริมฝีปากเหยียดออกคลับคล้ายจะเบะปากก็ไม่ใช่เป็นรอยยิ้มก็ไม่เชิง แทนที่จะได้รับรอยยิ้มกับสีหน้าเหยียดหยาม ทว่าเจ้าตัวกลับส่ายหัวเบา ๆ
ลัลทริมาคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงถอนหายใจ
“หึ ...สงสัยจะนรกลิขิตจริง ๆ ซะแล้ว”
ไม่มีคำต่อว่า ทิ้งไว้แค่เสียงทุ้มคุ้นหูพึมพำ
เด็กสาวพยายามตีความ ถ้อยคำนั้นอาจจะเป็นคำถากถาง การินเสียดสีอดีตของเธออยู่งั้นเหรอ หรือว่าเขาแค่พูดไปงั้น ๆ ตามนิสัยของเจ้าตัวโดยไม่แฝงความนัยอะไรเลย แต่อย่างน้อยลัลทริมาเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่เจตนาร้ายต่อเธอแน่ หมอนั่นคงไม่ใจร้ายขนาดนั้น
เขาเป็นคนบ้าบิ่นที่เธอให้มากกว่าความเชื่อใจ
และในเมื่อไม่มีญาณอาถรรพ์ การเรียนสถาบันเดียวกันอีกครั้งคงไม่เลวร้ายนักหรอก
...แต่เสียใจที่ต้องบอกว่า จุดเริ่มต้นแห่งความชังก็เริ่มจากตรงนี้เช่นกัน
6.
“ไม่รู้สิ เรียนคนละสาขาเลยไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ คงกำลังยุ่งละมั้ง ...ว่าแต่ช่วงนี้เอมเป็นไงบ้างล่ะ”
เพื่อนสาวทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อย ไม่ปริปากถามอะไรต่อถึงเรื่องนั้น เพียงเพราะลัลทริมาแสดงทีท่าว่าไม่อยากพูดถึงมัน กลายเป็นว่าบทสนทนาถูกเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงเข้าสู่เรื่องราวของเอมิกา
คนถูกถามเกาแก้ม และเอ่ยตอบ “ฉันเหรอ? ตอนก็เรื่อย ๆ นะ อาทิตย์หน้าฉันต้องเริ่มฝึกงานแล้ว สวดมนต์ภาวนาทุกวันเลยว่าขอให้บริษัทที่เลือกไปเป็นที่ที่ดี”
“สวดมนต์ทั้งที่แกเป็นฝรั่งเนี่ยนะ” มัณฑิณีเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
“ฝรั่งไหว้พระไม่ได้หรือยัยแว่น คนเราต้องมีที่พึ่งทางใจบ้างสิ”
“จะว่าไป เอมเนี่ยโชคดีจริง ๆ ที่พ่อเข้าใจ สุดท้ายก็ได้เรียนท่องเที่ยว ถ้าตอนนั้นไม่ไปคุยกับพ่อดี ๆ ป่านนี้นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะเรียนอะไรอยู่”
“อื้อ ฉันก็ดีใจที่แด๊ดยอมเข้าใจเหมือนกัน ...ไม่แน่นะ ถ้าแด๊ดไม่ยอมอาจจะต้องจำใจเรียนบัญชีเอกภาษาจนหัวฟูแว่นหน้าเตอะเหมือนแกก็ได้” คนโดนพาดพิงถลึงตาใส่
คุยต่อได้สักพักใหญ่โทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า
มือขาวนวลพลิกหน้าจอขึ้นมาแล้วสีหน้าเปลี่ยน คิ้วสวยย่นเข้าหากันก่อนจะคว่ำหน้าจอกลับลงไปโดยไม่สนใจข้อความที่ยังคงถูกส่งตามมาอีกสองสามครั้ง
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ติ๊ง!
“ลัลไม่เปิดดูหน่อยเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญน่ะ ไว้ดูทีหลังก็ได้”
“...แต่มัน--”
ติ๊ง!
สิ้นสุดความอดทน พอกันที ลัลทริมาคว้าโทรศัพท์แล้วกดโหมดเงียบเพื่อจบปัญหา ไม่มีเสียงข้อความใด ๆ รบกวนเธออีก
นั่นแปลว่าสายโทรเข้าอีกสองครั้งหลังจากนั้น ก็ส่งไปไม่ถึงด้วย
7.
ลัลทริมากลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ เวลานี้เข็มสั้นจ่อที่ระหว่างเลขเจ็ดและแปด ส่วนเข็มยาวน่ะช่างหัวมันเถอะ ไฟในบ้านเปิดสว่างจ้า กลิ่นอาหารโชยมาจางๆ เสียงเด็กเล็กในบ้านหัวเราะแว่วมาจากด้านใน รสวดีบอกไว้ว่าวันนี้จะมาเยี่ยม คาดว่าครอบครัวของเธอกำลังจัดมื้อค่ำกันอยู่
“หนูกลับมาแล้วค่ะน้าโรส”
“ดีนะลัลบอกน้าก่อนว่าจะกลับช้า น้าเลยไม่รีบ ไม่งั้นกว่าลัลจะมากับข้าวเย็นแน่เลย” ญาติเพียงคนเดียวเอ่ยทักกลับมา
เป็นเพราะนัดกันไว้มาเยี่ยมที่บ้านลัลทริมาในวันที่ฝ่ายหลานสาวมีนัดพอดี เธอจึงบอกรสวดีไว้ก่อนแล้วว่าอาจจะกลับดึกกว่าปกติ ฝ่ายรสวดีไม่ลืมถามถึงเรื่องที่ได้นัดเจอกันเพื่อนเก่าวันนี้
“ไงจ๊ะลัล เพื่อน ๆ หนูเป็นไงบ้าง”
“ดีค่ะ ยังสนิทกันเหมือนเดิมเลย”
ลัลทริมายิ้มตอบ
แม้จะเปิดประตูบ้านเอ่ยทักน้าสาว แต่การที่เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งเอนตัวบนโซฟาตรงหน้าทำให้เธอตัวแข็งทื่อ หัวใจดวงเล็กสั่นรัวแรงขึ้นขึ้น
...ทำไมต้องเป็นตอนนี้ ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วเชียว
มือที่กำสายสะพายกระเป๋าชื้นเหงื่อจนอึดอัด เบี่ยงสายตาหลบดวงตาคมกริบ ดวงตาคู่นั้นที่เธอจะไม่มีวันเคยชินกับมัน
“...โทรไปก็ไม่รับ”
“ตอนนั้นฉันมีนัดอยู่” ทำเหมือนไม่เป็นไรทั้งที่ในใจอยากรีบเดินหนีขึ้นห้อง แสร้งทำเป็นเยือกเย็น ถอดรองเท้าตามปกติ และนึกเกลียดที่วันนี้มันถอดออกยากกว่าทุกวัน
“กับใครเหรอ?” เจ้าของคำถามเลิกคิ้ว ดวงตาคมหลุบต่ำลงมองเรียวขายาว “กระโปรงสั้นเชียว”
“แล้วสำคัญกับนายตรงไหนล่ะ?”
เธอไม่ได้ตอบแต่ทำเมินเดินผ่านเขาไป ในตอนที่กำลังจะขึ้นบันไดเสียงเรียกของรสวดีก็ร้องบอกให้เธอรีบอาบน้ำแล้วลงมารับประทานอาหารด้วยกัน พร้อมกับเอ่ยชวนเขาคนนั้นไว้ด้วย ซึ่งลัลทริมาได้ยินเต็มสองหูว่าเขาไม่ปฏิเสธ และนั่นทำให้เธอชักจะหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า
“ดูสบายดีมากกว่าที่คิดอีกนี่”
เพียงเขาเอ่ยทัก ฉับพลันร่างกายเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เพราะเสียงทุ้มต่ำที่ออกจากริมฝีปากหยักไม่เย็นชาอย่างที่ควรจะเป็น เสียงนั้นเรียบนิ่ง ไม่แม้แต่ห่วงใย...แทบไม่แสดงอารมณ์เช่นเดียวกับทุกครั้งที่เคยได้ยินมาตลอด และนั่นทำให้เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังต้องการอะไร
ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว
...บางทีเจ้ากรรมนายเวรจะมาในรูปแบบของแฟนเก่า...
ลัลทริมาไม่เคยนึกถึงประโยคไหนเท่าวันนี้ ในตอนที่ได้เจอกับตัวเองจริง ๆ
“นายมาทำอะไรที่นี่ การิน”
8.
“ธุระ...สำคัญ”
“งั้นก็ไปทำซิ ไม่ต้องแวะมา”
“ธุระของฉันอยู่ที่นี่”
“บ้านฉันเนี่ยนะ ที่นี่มีอะไร?”
“มีเธอไง”
...บ้าเอ๊ย
“แต่นายก็รู้นี่ว่าฉันไม่มีญาณอาถรรพ์ ...ฉันไม่มีสิ่งที่นายต้องการแล้วการิน นายจะเอาอะไรอีก”
“ก็ไม่เชิงว่าเรื่องนั้นหรอก”
“งั้นก็กลับไปซะสิ”
“บอกแล้วไงว่าทำมาธุระ” สิ้นเสียงทุ้มคุ้นเคย ฝ่ายนั้นแค่นหัวเราะให้กับการดันทุรังตอบโต้บทสนทนาที่คล้ายจะวนเป็นงูกินหางเข้าไปทุกที
เสี้ยววินาทีที่ดวงตาสีดำลึกลับจ้องตรงมาเหมือนจะทะลุเข้าไปในจิตใจ ทำเอาลัลทริมาอยากจะกรีดร้อง ภัทระที่อุ้มลูกอยู่ชะโงกหน้ามาถามเธอว่าเป็นอะไรหรือเปล่า และเธอก็ทำได้แค่ฉีกยิ้มกลวง ๆ กลับไปพร้อมบอกเขาว่าเธอไม่เป็นไร
ในที่สุดการินก็เผยรอยยิ้มเยาะออกมาอย่างน่าโมโห
ลัลทริมากัดริมฝีปากแน่น แม้เธอเองจะไม่เคยปริปากว่าเลิกกับเขาแล้วเพราะคนรอบตัวไม่จำเป็นต้องรู้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะสังเกตได้สิ ปล่อยให้เขาเข้ามานั่งลอยหน้าในบ้านแบบนี้ได้ยังไง ในเมื่อเป็นแบบนี้หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
ไม่รู้เลยว่าจะทนทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้นานอีกแน่ไหน
...ตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่
อยู่ต่อหน้าเธอ
++++++++++++++++++++++++++++++
humble_h :
เราแค่อยากลองเขียนดู แบบว่าเรือที่เราจิ้นๆกันอะ รินลัลโมเม้นต์น่ารักเยอะใช่ไหมล่ะ?
สมมติถ้าสองคนนี้เดินมาบรรจบกันแล้วทุกอย่างมันไม่ได้เวิร์คอย่างที่คิดไว้จะออกมาเป็นยังไง
-------------------------
จะว่ารีไรท์ก็ไม่เชิงแฮะ มีแค่เปลี่ยนบทสนทนา บทบรรยายบางส่วน กับเพิ่มเนื้อเรื่องเข้าไปเฉยๆ เอง บางจุดยังลักไก่ใช้ของเดิม คิดอยู่ว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไรคงมาอัพทุกวันเหมือนตอนลงเรื่องนี้ครั้งแรก ภาคคดีอาถรรพ์ถามตัวเองว่าทิ้งหรือยัง ก็ตอบว่ายังนะ ยังไม่ใช่ตอนเน้ๆๆๆ
ความคิดเห็น