คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2nd TOXIC – ยังคงเหมือนเดิม [rw]
กฎแห่งกรรมที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ข้อที่สอง – ยังคงเหมือนเดิม
1.
หญิงสาวนึกชังอารมณ์เฉยชาที่เขามีต่อความสัมพันธ์นี้นัก เธอเกลียดการที่เขาปรากฏตัวขึ้นแล้วทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมได้อย่างหน้าตาเฉย
...เหมือนเดิม
ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากครั้งก่อน
ดั่งเช่นการที่เธอเดินลงจากชั้นสองมายังโต๊ะอาหาร แล้วมีแก้วน้ำเซรามิคสีฟ้าถูกรินไว้เต็มวางไว้ทางซ้ายของจานก่อนที่ลัลทริมาจะเริ่มมื้ออาหารอย่างที่เคยเป็นทุกครั้ง โดยที่เจ้าของผลงานไม่พูดอะไรสักคำ
นั่นไม่ใช่ฝีมือรสวดีหรือภัทระแน่ ลัลทริมาวางมันไว้มุมลึกในสุดของตู้กับมือ เพราะงั้นสองคนนั้นไม่มีทางบังเอิญหยิบแก้วใบนี้หรอก หรือต่อให้บังเอิญก็ไม่น่าพลาดจังหวะนรกแตกอย่างวันที่การินอยู่ที่บ้านเธอ
คงไม่มีใครทำแบบนี้นอกจากเขา
2.
“ที่นายบอกว่ามีธุระ ...ธุระอะไรเหรอการิน”
ร่างบางโพลงขึ้นมากลางวงอาหารหลังจากที่ของในจานถูกจัดการลงไปอยู่ในกระเพาะของทุกคนจนหมดเกลี้ยงแล้ว หญิงสาวเลือกเวลานี้เพราะไม่อยากให้น้าโรสและน้าเขยปลีกตัวออกไปจนอยู่กับเขาแค่สองต่อสอง
“เปล่านี่” เขาตอบแค่นั้น
“แต่เมื่อกี๊นายเพิ่งบอกฉันเองว่ามี”
“เธอทึกทักเอาเองแล้วล่ะมั้ง”
...เอาอีกแล้ว
รอยยิ้มเหยียดที่อยู่บนหน้าคมทำให้เธอหงุดหงิดอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าชายหนุ่มแค่จงใจกวนประสาท แต่ก็คล้ายจะบอกใบ้ว่าเขาคงไม่พูดเรื่องธุระที่ว่าแน่หากไม่ได้อยู่กับเธอเพียงลำพัง
แต่เธอไม่ยินดีจะเล่นตามเกม “ถ้ามีอะไรอยากจะพูด นายก็พูดตรงนี้เลยดีกว่า”
เขาจ้องเธอกลับ
“แล้วถ้าไม่ดีล่ะ”
ร่างบางจงใจไม่มองสบดวงตาที่จ้องกลับมา “งั้นก็หวังว่าอาหารมื้อนี้จะถูกปาก ขับรถกลับดี ๆ ฉันไม่เดินส่งนะ”
“อะไรกัน เธอไม่อยากรู้จริงเหรอ” น้ำเสียงเขายียวน ใครจะรู้ว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่แอบแฝงอยู่ในบทสนทนาแบบนี้เอง ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ระหว่างเราไปกันไม่ได้
ใช่ ...น่ารำคาญ
เหมือนเดิม
เคร้ง!
เสียงช้อนส้อมถูกปล่อยกระแทกจานดังจนทุกคนตกใจ
มันเกิดจากความหงุดหงิดของลัลทริมานั่นแหละ ทั้งรสวดีและภัทระต่างเงียบกริบเมื่อไม่เคยเห็นท่าทางโกรธกร้าวแบบนี้จากหลานสาว มีแค่การินเพียงคนเดียวที่ยังคงตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากพร้อมกระดกน้ำตามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“...ขอโทษค่ะ”
เพียงชั่ววูบ ร่างบางผ่อนลงหายใจลงและกลับมาเป็นปกติ เธอหน้านิ่งตึง มือเรียวหยิบจานข้าวของคนกวนประสาทมาซ้อนกับจานตัวเองแล้วสะบัดหน้าเดินเข้าไปในครัว
ยังอุตส่าห์เก็บจานให้
...แบบนี้นับว่าไม่ถือสาหรือเปล่านะ?
“ปกติลัลไม่เป็นแบบนี้นะ” รสวดีขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำให้โต๊ะอาหารที่เงียบไปชั่วครู่เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ ภัทระยิ้มส่งเจื่อนให้ร่างโปร่งที่นั่งอยู่เยื้องกัน
“พี่ว่าวันนี้ลัลคงมีเรื่องทำให้อารมณ์ไม่ดีเอามาก ๆ อย่าคิดมากเลยนะการิน” คุณพ่อลูกหนึ่งเอ่ยปลอบ แม้แต่ลูกชายรสวดียังตกใจท่าทางของพี่สาวจนซุกตัวกับแขนคนเป็นพ่อ มีเพียงแขกร่วมมื้อค่ำเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่มีท่าทีลำบากใจ
ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังบอบบางที่หลบหายเข้าไปหลังบ้าน
“ช่างเขาเถอะ ผมชินแล้ว”
3.
ลัลทริมากำลังว้าวุ่นใจกับการตามตัวการินมาที่คณะ
อาจารย์ประจำวิชาถามหาการินที่ยังไม่มาส่งงาน และถามว่ามีใครพอจะติดต่อนักศึกษาคนนี้ได้บ้าง ทว่าเพื่อนทั้งรุ่นกลับมองหน้ากันเงียบๆ จึงกลายเป็นเธอต้องยกมืออาสาจะตามตัวเขาให้เพราะดูเหมือนเป็นคนเดียวที่รู้จักเขาดี
ระหว่างที่เด็กสาวเดินออกจากห้องเรียน ก็ครุ่นคิดอยู่ว่าจะต้องไปตามหาเขาที่คอนโดหรือเปล่า และจะให้ทันเวลาส่งตอนบ่ายโมงตามกำหนดได้อย่างไร ขยับขาก้าวมาจนสุดทางเดิน
สุดซวยที่ลิฟต์เสีย ร่างบางจำใจเปลี่ยนทิศหมุนเท้าเดินกึ่งวิ่งไปตามทางเดินของอาคาร กำลังจะเลี้ยวลงที่บันได ระหว่างนั้นก็ควักโทรศัพท์โทรหาการิน โชคดีที่ปลายสายกดรับพอดี
“ฮัลโหล ...นายอยู่ไหนแล้วน่ะ อาจารย์ถามหาว่าจะมาส่งงานรึเปล่า”
ทางนั้นรับโทรศัพท์แต่ไม่มีเสียงใดกลับมา เมื่อปลายสายเงียบไม่ตอบ เด็กสาวเลยบ่นใส่ต่ออีกประโยค “เหลือนายคนเดียวที่ยังไม่ส่งเล่มรายงานนะการิน ”
“หรือว่านายมาไม่ได้ จะให้ฝากส่งก็บอก— กรี๊ดดดด”
ชั่ววินาทีที่ปลายเท้าลื่นลงจากขั้นบันได เธอหลับตาปี๋เตรียมรับความเจ็บปวด แต่แล้ววงแขนแข็งแรงก็คว้าเธอเอาไว้เหมือนมีใครบางคนรู้อนาคต น้ำหนักตัวลากอีกฝ่ายลงไปนอนกองอยู่ชานบันได โทรศัพท์สองเครื่องกระดอนจากมือเจ้าของร่วงลงไปอยู่ที่พื้น
ร่างของเด็กสาวทับอยู่บนตัวเด็กหนุ่ม มือบางทาบบนแผ่นอกหนา จังหวะเงยหน้าขึ้นประสานสายตากันทำเอานึกถึงฉากในหนังรักสักเรื่อง
“เอ่อ..”
“รีบลุกเดี๋ยวนี้เลยยัยโง่ เธอนี่มันตัวภาระชะมัด” ประโยคหลังจากนั้นกลับไร้ซึ่งความโรแมนติกสิ้นดี เสียงทุ้มฉุนเฉียว แต่อย่างน้อยลัลทริมาก็ได้รู้ว่าคนที่เธอกำลังตามตัวอยู่ตรงนี้นี่เอง
ร่างบางยันตัวลุกขึ้นด่วนจี๋เมื่อเห็นคนตัวสูงถลึงตาใส่
“ชิ คนกำลังรีบแท้ ๆ สมกับเป็นยัยตัวซวยจริง”
“น... นายหายไปไหนมาถึงไม่เข้าคลาส ฉันโทรตามตั้งหลายรอบ”
ลัลทริมาเห็นใต้ตาเด็กหนุ่มคล้ำขึ้น ก็เดาได้ว่าคงตามหาอะไรที่เขาโปรดปรานเช่นเคย แม้ไม่เอ่ยตอบ
4.
รสวดีหรี่ตาลงมองลัลทริมา พลางกดเสียงกระซิบถามเบา
“ทำไมรู้สึกเดี๋ยวนี้การินมาบ้านเราบ่อยจัง มีอะไรที่น้าต้องรู้ไหมเนี่ย?”
“เอ่อ...เขาแค่มาเยี่ยมตามประสาเพื่อนไงคะ” เด็กสาวแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ส่วนคนที่ถูกพูดถึงก็ได้แต่นั่งฟังนิ่ง ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมไปมากกว่านั้น นึกขบขันในใจกับท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนคนกลัวความผิดของร่างบาง
“แปลว่าคงเป็นเพื่อนคนสำคัญสินะถึงได้มาบ่อยขนาดนี้”
ลัลทริมายิ้มแห้ง เริ่มกลืนขนมไม่ลง
“เฮ้อ ปากแข็งจริง ๆ งั้นน้าถามการินดีกว่าเนอะ” จู่ ๆ นักข่าวสายสังคมก็เปลี่ยนเป็นนักข่าวสายบันเทิงชั่วคราว ทำเอาคนถูกถามตกใจไม่น้อย ได้แต่ระแวดระวังว่าจะไม่แสดงอาการแปลกๆออกไป
เด็กสาวยิ่งลนลานใหญ่เมื่อรสวดีเปลี่ยนใจหันหน้าไปถามใครอีกคน
“การิน...คบกับหลานน้ารึเปล่าจ๊ะ?”
“แค่ก ๆๆ ...น้าโรส!!!”
คำถามของน้าสาวทำเอาลัลทริมาสำลักขนมหวานในปากจนติดคอ ไอจนหน้าแดงก่ำ ในขณะที่รสวดีลุ้นคำตอบอยู่นั้น เธอกลับพบว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กหนุ่มน่าสนใจยิ่งกว่า
การินเหลือบมองรสวดีเล็กน้อย
รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย ทว่าไม่ได้ขยับปากเอ่ยคำใด
5.
เมื่อไร้ซึ่งญาณอาถรรพ์และข่าวลือร้าย ผู้คนรอบตัวก็เยอะขึ้นเป็นธรรมดา
แม้ลัลทริมาไม่ใช่ผู้หญิงที่เครื่องหน้าหวานจัดจ้านเหมือนนางเอกละคร หน้าคมเย้ายวนชวนฝัน หรือเครื่องหน้าโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ดูมีสเน่ห์ โดยรวมติดจิ้มลิ้มดูเหมาะกับคำว่าน่ารักเสียมากกว่าด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็จัดว่าสะสวยตามมาตรฐานพิมพ์นิยมสาวเอเชียในหลายศตวรรษนี้ พูดได้อย่างเต็มปากว่าหน้าตาน่ามองไม่หยอกเลยทีเดียว และคงไม่ใช่เรื่องแปลกตรงไหนที่ดอกไม้พันธุ์ดีสักดอกหนึ่งจะมีแมลงใดมาเกี้ยวตอม
คนที่นึกรำคาญแมลงพวกนั้นคงมีเพียงเจ้าของดอกไม้เท่านั้นแหละ
.......
“มึงเป็นแฟนพี่ลัลสินะ” ถึงการินจะอยู่ปีสูงกว่าแต่อีกฝ่ายรู้ว่าอีกฝ่ายอายุเท่ากันถึงได้กล้าเรียกแทนด้วยชื่อเฉย ๆ และขึ้นสรรพนามถือดีแบบนี้
“มึงอายุเท่ากู กูไม่เรียกพี่หรอกเว้ย”
การินมองหน้าคนแปลกหน้านิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงคำถามกลายๆ เขานึกให้ตายยังไงก็จำไม่ได้ว่ารู้จักอีกฝ่ายมาก่อน
ส่วนฝ่ายลัลทริมาเธอพยายามจะห้ามปรามความอารมณ์ร้อนนั้นเพราะเธอรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ดี เพราะนี่คือน้องรหัสตัวเองไม่ใช่ใครอื่น เพียงแต่อ้าปากจะพูดออกไปก็โดนขัด
“คอยดู กูจะเอาพี่ลัลมาจากมึง” เด็กหนุ่มว่าเช่นนั้น
สาวงามอ้าปากค้าง ร้อนผ่าวด้วยความอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเดินมาพูดตรง ๆ แบบนั้นโดยเฉพาะในตอนที่เธอนั่งอยู่ตรงหน้าเขา กลายเป็นฉากศึกชิงนางระหว่างน้องปีหนึ่งกับพี่ปีสามที่อายุเท่ากันไปซะแล้ว แถมยังเป็นกลางโรงอาหารเสียด้วย
การินฟังน้ำเสียงมั่นใจแล้วกลั้นขำ “หึหึๆๆ ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอสวยขนาดนั้น”
ลัลทริมาอยากกลายเป็นอากาศไปซะตรงนั้นเลยจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก
“เด็กเธอสติไม่ดีไปแล้วหรือไง”
“ไม่ใช่เด็กฉันสักหน่อย!”
ชายหนุ่มแค่นเสียงเฮอะออกจากลำคอ หันกลับไปถามคนแปลกหน้าที่เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นเด็กของยัยแม่มดตาใส ยังมีหน้ามาเลิกลั่กแก้ตัวว่าไม่ใช่อีก
ช่างเข้ามาได้จังหวะดีเหลือเกินเพราะช่วงนี้ทั้งคู่มีเรื่องให้มึนตึงใส่กันอยู่พอดี
“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน”
“ตั้งแต่เรื่องที่เกิดตอนออกค่าย วันนั้นมึงบังคับพี่ลัลให้ทำอะไรตรงศาลเพียงตาทุกคนก็เห็นกันหมด คนเลยลือกันไปทั่วแล้วว่ามึงหมกมุ่นเรื่องพวกนี้อยู่แล้วแต่แรกเลยมาคบพี่ลัลแค่เพราะเธอเห็นผีได้เท่านั่นเอง ไม่แมนเลยว่ะ มึงไม่ได้รักที่ตัวตนพี่เค้าจริง ๆ สักหน่อย”
คู่สนทนายิ้มแสยะ
ไม่คิดว่าค่ายผูกมิตรไร้สาระนั่น ยังเอามาเป็นประเด็นอะไรได้
ก็แค่มีพวกหน้าโง่ชอบลบหลู่หาเรื่องใส่ตัวจนลำบากมาให้คนอื่นช่วยเองก็เท่านั้น ทริปที่จัดกันเอง ทำกันเอง สาระแนออกไปห่างไกลชุมชน เกิดอะไรขึ้นก็ต้องแก้ไขกันเองในหมู่คณะ อย่างกับหนังระทึกขวัญวัยรุ่น เป็นภาระของ ‘คนที่รู้’ กับ ‘คนที่เห็น’ ช่วยเหลือพวกเขาในช่วงเวลานั้น
...ไม่คิดเลยว่าจะโดนตอบแทนอย่างนี้จริง ๆ
ดวงตาคู่คมหรี่มองเด็กหนุ่มแปลกหน้าจนอีกฝ่ายขนลุกและเป็นฝ่ายหลบสายตาไปเอง ได้ยินแล้วรู้สึกเคืองกว่าที่คิดเมื่อถูกกว่าหาว่าเขาใช้ลัลทริมาเป็นเครื่องมือ
ถึงเมื่อก่อนอาจจะทำแบบนั้นจริง ๆ ก็เถอะ
“คิดว่าจะชนะฉันได้รึไง สิ่งที่ยัยนั่นมีไม่ใช่คนทั่วไปจะรับมือกับมันได้หรอกนะ...ถ้ามีปัญญาเอาไปได้ก็เชิญ”
การินเหยียดยิ้มมองฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเรื่องกลางโรงอาหารด้วยสายตาดูแคลน ความมั่นใจอวดดีที่แสดงออกผ่านทางไม่รู้ร้อนนั่นยิ่งยั่วอารม์ให้ฝ่ายนั้นนึกหงุดหงิด บวกกับกับคำพูดเย็นชาพรรค์นั้นยิ่งดูเหมือนไม่ใส่ใจลัลทริมาเข้าไปใหญ่
เป็นเช่นนั้นคู่กรณียิ่งไม่เข้าใจว่าทำไม 'คนแบบนี้' ถึงได้มีเธออยู่ด้วย
..........
..........
คำพูดของเขาทำให้ลัลทริมารู้สึกข้องใจเหลือเกินเชียว หลังจากน้องรหัสเธอเดินจากไปเธอรีบเอ่ยถามคนตรงหน้าทันที
“ที่บอกน้องรหัสฉันว่าถ้าชนะก็เอาฉันไปได้น่ะ...พูดจริงเหรอการิน”
“อือ ตามนั้นเลย”
“นาย...นายนี่มัน—” พอเห็นว่าแฟนสาวเริ่มอารมณ์บูดเตรียมจะงอแงใส่ คนตัวสูงก็รีบอธิบาย
“เฮ้ ฟังนะ ฉันพูดก็จริง แต่ไม่ได้บอกว่าชนะเรื่องไหนสักหน่อย”
“หมายความว่าไง”
“ถ้ามันทำให้เธอชอบได้ด้วยก็คือชนะไง หรือเธออยากไปก่อนล่ะ?” เขายิ้มกว้างขึ้น พูดจาเออ ออเองเสร็จสรรพ “ก็ได้นะ ไม่ว่ากัน”
สาวเจ้าเบ้ปาก “ทำไมพูดแบบนั้น เหมือนไม่หวงกันบ้างเลยตาบ้า...ฉันเป็นแฟนนายแท้ ๆ”
“ถ้าคนมันไม่มีใจแล้วซะอย่าง ฉันจะไปทำอะไรได้อีก...คุณไสยทำเสน่ห์ไม่ใช่แนวฉันหรอกนะ บอกไว้ก่อน” ชายหนุ่มไหวไหล่เบาๆก่อนจะยกน้ำขวดขึ้นดื่ม
“คิดว่าฉันจะชอบนนท์เนี่ยนะ”
ลัลทริมาทำท่าจะวีนใส่อีกครั้ง แต่พอเห็นประกายเจ้าเล่ห์ในดวงตาคมก็ต้องหยุดริมฝีปากไว้ ไม่มีใครรับประกันว่านั่นคือคำพูดที่ออกจากใจเขาหรือไม่
ถ้าใจดีขนาดนั้นคงไม่ใช่การิน
เมื่อคิดดังนั้น ถ้อยคำต่อว่ากลายเป็นกระซิบแผ่ว
“...นายมันบ้า”
การินหัวเราะเบา ก่อนจะซ้อนจานข้าวของตัวเองกับแฟนสาวแล้วยกไปเก็บ
6.
น้ำไหลจากก๊อกท่วมจานสกปรกเบื้องหน้า เธอยืนเงียบเชียบ
จิกมือกำขอบอ่างสแตนเลสแน่นเมื่อนึกถึงภาพมื้ออาหารกระอักกระอวนนั่น หักใจไม่หันไปมองร่างสูงที่เดินเข้ามาทางด้านหลัง กลัวว่ายิ่งเห็นเขาเธอจะยิ่งเปลี่ยนใจ
“พูดธุระของนายมา”
“ไปคุยกันที่รถ” เมื่อเห็นว่าอดีตแฟนสาวยังยืนนิ่งจึงเสริมต่อ
“ไม่ทำอะไรหรอกยัยโง่... ตามมาเถอะ”
ลัลทริมาคิดว่าหากเธอปฏิเสธไปแล้วเดินหนีขึ้นห้องการินคงไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ แน่ จึงตัดสินใจเดินตามเขาไปที่รถยนต์คันเดิมที่เคยนั่ง จากมอเตอร์ไซค์เบาะสูงเปลี่ยนเป็นรถสี่ล้อคันสวยราคาแพง
ครองที่นั่งเบาะทางซ้ายข้างคนขับเป็นประจำอยู่หลายปีแล้วก็เลิกนั่งไป เหตุผลง่ายๆก็คือเธอจบความสัมพันธ์กับเขาแล้ว...
และวันนี้บังเอิญได้นั่งตรงนี้อีกครั้งเท่านั้นเอง
เสียงยียวนดังขึ้นเมื่อประตูรถปิดลง
“หึ...เธอคงโมโหที่ต้องเสแสร้งทำดีกับฉันน่าดู”
หญิงสาวแค่นหัวเราะกับการเปิดบทสนทนาสุดห่วยแตกของอดีตแฟนหนุ่ม
“เหมือนที่นายกำลังทำใส่ฉันนั่นแหละ”
“เธอทึกทักเอาเองอีกแล้ว”
ใบหน้าหล่อคมคายเหยียดยิ้มลึกลับ รอยยิ้มแบบนี่แหละที่เธอเกลียดมันนักหนา การินยังคงยิ้มแบบนี้แม้แต่ในวันสุดท้ายที่เธอเห็นหน้าเขาเมื่อหลายเดือนก่อน
“เห็นพูดว่าคิดถึงเพื่อน ก็นึกว่าเธอจะคิดถึงฉันด้วยเสียอีก”
“ฝันอยู่รึไง”
“วันนี้แม่มดก้าวร้าวจัง” นัยน์ตาดำขลับฉายแววชอบใจเมื่อถูกสวนกลับ
ใบหน้าคมก้มลงมาใกล้จนลมหายใจร้อนเป่ารดผิวหน้าลัลทริมา
“เธอก็รู้ ...จริง ๆ แล้วคนที่งี่เง่าไม่ใช่ฉันสักหน่อย”
ลมหายใจอุ่นเลื่อนต่ำลงใกล้ใบหู ลงไปถึงลำคอขาว ระยะใกล้ชิดนั้นทำเอาร่างกายหญิงสาวสั่นเล็ก ๆ กลิ่นควันกำยานจางปนกลิ่นสะอาดจากตัวเขาเริ่มจะทำให้เธอรู้สึกปั่นป่วนจึงรีบผลักเขาออก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแกว่งจนตัวเองรู้สึกได้
“รีบพูดธุระของนายสักที”
ร่างสูงเอื้อมมือล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อ กำไว้ในฝ่ามือแล้วยืนมาตรงหน้า
“คิดว่าเธออาจจะจำเป็นต้องใช้ เลยเอามาให้"
จี้หอยเบี้ยขนาดเล็กแกว่งนำสายตาไปมาด้วยแรงเหวี่ยงของสร้อยเงินดูคุ้นตาเธอดี ในช่องท้องบิดมวนอ่อนๆ เมื่อจำได้ว่าเธอสวมสร้อยแบบนี้ล่าสุดเมื่อไหร่ ...ถ้าไม่ใช่ตอนที่ญาณอาถรรพ์จุติอย่างสมบูรณ์
บ้าสิยัยลัล ...แกอะคิดมาก
เขาอาจจะแค่หวังดีเอามาให้เฉยๆก็ได้ เบี้ยแก้จะแก้อะไรก็ได้ทั้งนั้น
แต่ในเมื่อลัลทริมาขาดจากเรื่องผี ๆ สาง ๆ มาได้หลายปีแล้ว ยังจะต้องห้อยเบี้ยแก้ไปทำไมอีก หรือที่จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอกันแน่ ร่างบางชักสงสัยว่าการินไปรู้อะไรมา
เอาล่ะสิ...วนกลับมาที่เรื่องอาถรรพ์ที่เธอขยาดนักจนได้
“ทำไมนาย...”
“ไม่รู้สึกถึงมันก็ดี ใส่เอาไว้ซะจะได้ปลอดภัย”
ครั้งนี้เขาแค่ยื่นใส่มือเธอเฉยๆ โดยไม่ได้สวมมันให้ด้วยตัวเองเหมือนครั้งก่อน ร่างบางไม่ถามต่อ มือเล็กกำสร้อยเส้นนั้นไว้แน่น เสียงปลดล็อคประตูรถดังขึ้นก็รับรู้ได้ว่าธุระของเขาสิ้นสุดลงแล้ว
ในขณะที่ลัลทริมากำลังจะเปิดประตูรถออก สัมผัสจากฝ่ามือร้อนก็ทาบลงที่ไหล่
“หลังจากนี้อาจจะมาเจอบ่อย ๆ”
“ไม่ได้จะทำอะไร ...แค่มาดูว่าผู้หญิงน่าเบื่ออย่างเธอจะยังอยู่”
“....”
“ไปนอนเถอะ ฉันรู้ว่าพรุ่งนี้เธอมีเรียน”
ลัลทริมาเปิดประตูรถออก แล้วเข้าบ้านไป เธอไม่ได้พูดอะไรกับการินอีกเลยในคืนนั้น ในสมองเปี่ยมไปด้วยความสับสน ในใจเปี่ยมด้วยความว้าวุ่น
ปัญหาที่สองที่ทำให้ระหว่างเธอกับเขาเข้ากันไม่ได้
คือการินที่เป็นแฟนเธอมาเกือบสามปี ไม่ใช่การินที่เธอรู้จักเลยสักนิด
...เขาคนนี้ใจดีกว่า และตอนนี้ก็ใจดีเหมือนเดิม
แต่ลัลทริมาไม่เคยรับมือเขาได้เลย
ไม่แม้แต่จะเข้าใจการกระทำของเขาใน "ตอนนั้น" ด้วย
++++++++++++++++++++++++++++++
humble_h : ก็เพราะเวลาอยู่กับแฟน เราจะมีบุคลิกอีกแบบที่ถูกสร้างขึ้นมา
ความคิดเห็น